วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฟังเพลงอย่างนักเล่นเครื่องเสียง

|0 ความคิดเห็น
ฟังเพลงอย่างนักเล่นเครื่องเสียง

ประโยชน์ของการฝึกการฟังที่ถูกต้องก็คือการฝึกให้ประสาทหูได้รู้จักแยกแยะเสียงในลักษณะต่าง ๆ ออกจากกัน ซึ่งถ้าหูของคนเราสามารถแยกแยะรายละเอียดของเสียงได้ดีเพียงใด ก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงวิญญาณของเพลงที่ฟังได้มากเท่านั้น ในโลกของดนตรีนั้นศิลปินผู้สรรค์สร้างงานเพลงได้อาศัย "เสียง" เป็นสื่อในการถ่ายทอดความหมายไปยังผู้ฟัง ไม่ว่าผู้แต่งจะเป็นคนเชื้อชาติใด ภาษาใด แต่ "เสียง" ซึ่งเป็นภาษาดนตรีที่ถูกใช้ในการสื่อสารกันนั้นถือว่าเป็นภาษาสากล
การเรียนรู้ในเรื่องของการฟังก็เหมือนการเรียนรู้ภาษาสากลของดนตรีนั่นเอง
การได้เรียนรู้ถึงความหมายของการฟังที่ถ่องแท้ จะทำให้การเล่นเครื่องเสียงของเราบรรลุถึงเป้าหมายที่แท้จริง การหยิบเพลงของศิลปินขึ้นมาฟังก็เหมือนกับการเสพงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ซึ่งเครื่องเสียงก็เป็นเพียงเครื่องมือในการถ่ายทอดงานศิลปะชิ้นนั้นออกมาให้เราเสพ บทเพลงหรืองานศิลปะดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดออกมาได้ตรงตามความหมายของผู้สรรค์สร้างมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องเสียงซึ่งเป็นตัวถ่ายทอดส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับ "วิธีการปรับแต่งให้ชุดเครื่องเสียงเหล่านั้นอยู่ในสภาวะที่สามารถถ่ายทอดงานศิลปะออกมาได้หมดจดที่สุด" นั่นเอง

(1) อิมเมจ หรือ ตัวเสียง หมายถึง รูปลักษณ์หรือเสียงที่ให้รูปทรงเป็นชิ้นดนตรีหรือเครื่องเสียงที่มีคุณภาพดี จะต้องสามารถให้รูปทรงของชิ้นดนตรีที่ชัดเจนขึ้นรูปเป็นสามมิติ (9) และมีสัดส่วน (10)ที่สมจริง
(2) ซาวนด์สเตจ หรือ เวทีเสียง หมายถึง อาณาเขตโดยรอบที่อิมเมจหรือตัวเสียง (1)ทั้งหมดเรียงตัวอยู่ในอากาศ ลักษณะความกว้าง-แคบหรือตื้น-ลึกของเวทีเสียงจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของชุดเครื่องเสียง และการปรับแต่งตำแหน่งลำโพงและการปรับแต่งสภาพอะคูสติกในห้องฟังเป็นสำคัญ
(3) ไดนามิก-คอนทราสต์ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงความดังอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงของชิ้นดนตรีได้ต่อเนื่องละเอียดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ก้าวกระโดด ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการสี เป่า และร้อง ลักษณะการบรรเลงของนักดนตรีที่กระทำต่อเครื่องดนตรีบางประเภทนั้นสามารถให้ได้ทั้งไดนามิก-คอนทราสต์และไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ (4)
(4)ไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของระดับความดังอย่างรวดเร็ว หรือสัญญาณเสียงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นลักษณะของการเปลี่ยนระดับความดังจาก 0 เดซิเบลขึ้นไปจนถึงจุดพีคสุดของสัญญาณอย่างรวดเร็วมาก ๆ ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการตี ทุบ หรือเคาะที่นักดนตรีกระทำต่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ เครื่องเสียงที่ดีนั้นต้องสามารถตอบสนองสัญญาณในลักษณะดังกล่าวที่ให้สปีดรวดเร็วสมจริง
(5) หัวเสียง (Impact) หมายถึง สัญญาณเสียงแรกที่เครื่องดนตรีถูกกระทำ เครื่องเสียงที่มีคุณภาพดีจะต้องให้หัวเสียงที่ประกอบด้วยความชัดเจนและความเร็ว ในส่วนของความชัดเจนนั้นก็คือต้องให้ตัวเสียงที่มีความเข้ม มีมวลอิ่ม และมีขนาดที่สมจริง เช่น หัวเสียงที่เกิดจากการเคาะเหล็กสามเหลี่ยมจะให้ตัวเสียงที่มีขนาดเล็กกว่าหัวเสียงที่เกิดจากการย่ำกระเดื่องกลอง ส่วนความเร็วของหัวเสียงนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางของความถื่มาถึงหูของเรา เช่น เสียงย่ำกลอง ซึ่งอยู่ในย่านเสียงทุ้มจะเดินทางมาถึงหูของเราช้ากว่าเสียงเคาะเหล็กสามเหลี่ยมซึ่งอยู่ในย่านเสียงสูง เหล่านี้ เป็นต้น
(6) ความกว้างของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากซ้ายสุดของเวทีเสียงไปจนถึงชิ้นที่อยู่ขวาสุดของเวทีเสียง เพลง ๆ เดียวกันจากแผ่นซีดีแผ่นเดียวกันก็อาจจะให้ความกว้างของเวทีเสียงต่างกันได้เมื่อฟังจากชุดเครื่องเสียงต่างกัน เครื่องเสียงที่ให้เวทีเสียงกว้างมาก ๆ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะคุณภาพของเวทีเสียง (2) ย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับความลึก (7) ด้วย การแยกลำโพงทั้งสองข้างให้ถ่างออกจากกันจะเป็นการเพิ่มระยะความกว้างให้กับเวทีเสียง แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างถูกแยกห่างกันมากเกินไปจะทำให้ความเข้มข้น ( 8 ) ของชิ้นดนตรีบริเวณกลาง ๆ เวทีเสียงเจือจางลง
(7) ความลึกของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากระนาบของแถวชิ้นดนตรีที่อยู่ด้านหน้าลงไปถึงด้านหลัง เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นต้องสามารถให้ความลึกของชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ ที่แผ่กว้าง ไม่ใช่หุบเข้าหาตรงกลางเวที การดึงลำโพงทั้งสองข้างให้เข้าใกล้ชิดกันจะทำให้ความลึกของเวทีเสียงชัดเจนขึ้น แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างวางชิดกันเกินไป ชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ จะเบียดกระจุกกันอยู่บริเวณกลางเวที ไม่แผ่กระจายออก
( 8 ) ความเข้มข้น กับ ความบอบบาง หมายถึง ความหนาแน่น หรือความเจือจางของมวลเนื้อเสียงของชิ้นดนตรี พิจารณาที่อิมเมจ หรือตัวเสียง (1) ที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นความรู้สึกว่าชิ้นดนตรีเหล่านั้นคงอยู่ในอากาศด้วยความชัดเจนมากน้อยเพียงใด ถ้ามากขนาอที่รู้สึกจะเหมือนกับ "มองเห็น" ชิ้นดนตรีนั้น ๆ ลอยอยู่ในอากาศได้ชัดเจนก็บอกได้ว่าชิ้นดนตรีนั้นมีเนื้อเสียงที่เข้มข้น แต่ตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกแต่เพียงเลา ๆ เหมือนกับว่าเสียงชิ้นดนตรีนั้นลอยอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บอกได้ไม่ชัดเจนนัก ก็คือชิ้นดนตรี นั้นให้เสียงที่มีมวลเนื้อบอบบางนั่นเอง
(9) ความเป็นสามมิติ หมายถึง ภาพลักษณ์ของเวทีเสียงที่เกิดจากการจัดเรียงของชิ้นดนตรีขึ้นเป็นเวทีเสียงที่ประกอบไปด้วยความกว้าง แคบ ความตื้น-ลึก และความต่ำ-สูง ความเป็นสามมิติของเวทีเสียงนี้จะเกิดขึ้นได้ ตัวเสียงหรืออิมเมจ (1) ของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นก็ต้องมีรูปทรงที่ให้ความรู้สึกเป็นสามมิติด้วยเช่นกัน คุณสมบัติข้อนี้นอกจากจะต้องอาศัยประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงที่ดีแล้วนั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องอาศัยความละเอียดพิถีพิถันในการปรับแต่งตำแหน่งการจัดวางลำโพงและสภาพอะคูสติกภายในห้องฟังที่เหมาะสมอีกด้วย
(10) ขนาดของชิ้นดนตรี หมายถึง การประกอบกันของเสียงหลักและฮาร์มอนิกของเสียงนั้น ถ้ามีความสมบูรณ์เพียงพอก็จะเกิดเป็นขนาดของเสียงที่แตกต่างกันออกไปตามคลื่นเสียงหลักธรรมชาติของชิ้นดนตรีนั้น ๆ เช่น เสียงเปียโนจะให้ขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับเสียงอะคูสติกเบส แม้ว่าจะเล่นโน้ตตัวเดียวกันก็ตาม และในเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกันก็จะให้ขนาดเสียงของตัวโน้ตแต่ละตัวที่ไม่เท่ากันด้วย เช่น เสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือขวาจะให้ขนาดเสียงที่เล็กกว่าเสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือซ้าย ความแตกต่างอันนี้จะเกิดจากระดับเสียงที่สูง-ต่ำไปตามออกเตปของตัวโน้ต เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถแยกแยะคุณสมบัติดังกล่าวของเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณสมบัติข้อนี้เรียกว่าเป็น "รายละเอียดเบื้องลึก" หรือ Inner Detail ของเสียงส่วนหนึ่ง
(11) ความใส (Transparency) หมายถึง ลักษณะที่ทำให้สามารถ "มองเห็น" หรือรับรู้รายละเอียดของเสียงบนเวทีเสียงทั้งหมดตั้งแต่ระนาบต้นจนลึกลงไปถึงระนาบหลัง ๆ สิ่งนี้จะตรงข้ามกับ "ความขุ่นมัว" ซึ่งจะทำให้การรับรู้รายละเอียดดังกล่าวไม่ชัดเจนเปรียบเหมือนการมองเข้าไปในที่มีหมอกปกคลุมนั่นเอง

การเลือกครอสโอเวอร์ในรถยนต์

|0 ความคิดเห็น
ครอสโอเวอร์ ในที่นี้ เราหมายถึง " แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ " ที่เป็นอุปกรณ์ตัดแบ่งช่วงความถี่เสียง ซึ่งต้องมีการป้อนแรงดันไฟเข้าไปในวงจร แตกต่างจาก พาสซีฟ ครอสโอเวอร์ ที่มีอยู่ในชุดลำโพง ทำงานคนละส่วนแต่มีหน้าที่ทำงานคล้ายๆกัน มีคุณลักษณะที่เป็นข้อสังเกตดังนี้
พาสซีฟ ครอสโอเวอร์ เป็นวงจรที่มีราคาไม่แพงนัก และง่ายในการติดตั้ง โดยปกติมันถูกออกแบบเพื่อให้ใช้เฉพาะความถี่ ถ้าคุณต้องการความรวดเร็วในการปรับแต่ง พาสซีฟ ครอสโอเวอร์อาจเป็นทางเลือกที่ดีในเรื่องนี้ แต่มันก็ยังมีความยึดหยุ่นน้อยและไม่สามารถทำการปรับแต่งน้ำเสียงอย่างละเมียดได้เหมือนกับ " แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ "
แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ ต้องมีสายแรงดันไฟ และสายต่อลงกราวด์ แต่สามารถช่วยให้คุณควบคุมน้ำเสียงดนตรีได้ดีกว่ากันมาก แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ ช่วยให้เพาเวอร์แอมป์ของคุณคัดทิ้งความถี่ที่ไม่ต้องการได้ก่อน ที่แอมป์จะต้องขยายมันให้เปลืองแรง เป็นวิธีที่เพาเวอร์แอมป์จะสามารถรวบรวมกำลังไปจ่ายให้แต่เพียง ความถี่ที่คุณต้องการได้ยินมันเท่านั้น โดยไม่ต้องไปใส่ใจกับความถี่ที่คุณไม่ต้องการมัน
ถ้าคุณวางแผนเอาไว้ว่าจะมีการขยายระบบในอนาคต มันก็ต้องมีการเตรียมการเรื่อง ครอสโอเวอร์เอาไว้ด้วย เพราะในเพาเวอร์แอมป์บางเครื่องอาจไม่มีครอสโอเวอร์ติดตั้งเอาไ ว้ด้วย หรือถึงมีก็อาจไม่เหมาะสมกับระบบที่เราจะขยายมันในอนาคต
ครอสโอเวอร์ทำอะไรให้คุณได้บ้าง ?
ครอสโอเวอร์เป็นอุปกรณ์ที่จำกัดขอบเขตของความถี่ที่จะถูกส่งไปย ังลำโพง ความคิดเกี่ยวกับครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ค ที่เปรียบเหมือนตำรวจจราจร ที่ให้เสียงสูงผ่านไปยัง ทวีตเตอร์ เสียงกลางผ่านไปยัง มิดวูฟเฟอร์ และเสียงต่ำผ่านไปยัง ซับวูฟเฟอร์
ถ้าปราศจากครอสโอเวอร์แล้วคลื่นเสียงก็มีลักษณะเหมือนการจราจรที่ติดขัด มิดเรนท์ และ ซับวูฟเฟอร์จะพ้องเสียงไปในความถี่เดียวกัน และซับวูฟเฟอร์ในระบบก็จะพยายามส่งเสียงในย่านเสียงตัวโน๊ตสูงๆ ที่มันไม่สามารถทำได้ ก่อให้เกิดอาการ " สุมรวมกันอย่างรุนแรง " ( Fatal pile-up ) และทำลายเสียงแหลมด้วยลักษณะการแปรเปลี่ยนปัจจัยของโน๊ตเสียงเบ ส ซึ่งกระตุกต่อเนื่องในเปลายทางที่ผิดพลาด
ด้วยว่าเหตุเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณจึงต้องค้นหาครอสโอเวอร์ในรูปแบบที่เหมาะสมกับลำโพงแต่ละตัว ถ้าเป็นการใช้ในลำโพงวางหิ้งในระบบเครื่องเสียงบ้านแบบ สองทาง 1 คู่ มันจะใช้ครอสโอเวอร์แบบ 2 ทาง ซึ่งในลักษณะของครอสโอเวอร์แบบนี้ ตัวกรองความถี่สูงผ่านจะขวางกั้นเสียงต่ำไว้ และผ่านเฉพาะย่านความถี่สูงไปให้กับทวีตเตอร์ ในขณะเดียวกันตัวกรองความถี่ต่ำผ่านจะขวางกั้นเสียงสูง และผ่านเฉพาะย่านความถี่ต่ำไปยังวูฟเฟอร์
ทำไมต้องใช้แบบแอคทีฟ ?
ขั้นตอนการใช้งานของพาสซีฟ ครอสโอเวอร์จะต่อในช่วงสัญญาณหลังผ่านเพาเวอร์แอมป์ โดยทั่วไปจะใช้คาปาซิเตอร์หรือคอยส์ที่มีค่าเหมาะสมวางไว้ในระหว่างทางของสายลำโพง ดังนั้นมันจึงปรุงแต่งเฉพาะเสียงที่ผ่านการขยายกำลังแล้วเท่านั ้น การใช้พาสซีฟ ครอสโอเวอร์ จะต้องมีกำลังเสียงพอเพียง จุดตัดครอสโอเวอร์จะแปรเปลี่ยนไปตามอิมพีแดนซ์ของลำโพง เพราะความถี่จะถูกกำหนดโดยปฎิกริยาของโหลดลำโพง เมื่อคุณเปลี่ยนลำโพงจาก 4 โอห์มไปเป็น 8 โอห์มจุดตัดความถี่จะเปลี่ยนไปครึ่งหนึ่ง เช่น 100 Hz ก็จะเปลี่ยน 50 Hz

ในทางกลับกัน แอคทีฟครอสโอเวอร์จะมีการกระทำโดยตรงกับสัญญาณเสียงก่อนที่จะถูกป้อนเข้าเพาเวอร์แอมป์ ดังนั้นมันจึงไม่มีผลกระทบจากอิมพีแดนซ์ของลำโพง และทำให้ระบบเสียงนั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก การติดตั้งในระดับสัญญาณปรีแอมป์ ทำให้เพาเวอร์แอมป์ได้รับสัญญาณที่เข้มข้นเพื่อการขับขยายที่เต็มพละกำลังในช่วงความถี่นั้นๆ เพื่อผ่านต่อไปยังชุดลำโพง
ข้อด้อยของมันมีแค่เพียงเรื่องของความต้องการไฟ +12 โวลท์ , กราวด์ และสายควบคุมการ เปิด/ปิด อีเล็คโทรนิคครอสโอเวอร์ อาจมีส่วนใรการเพิ่มเสียงรบกวนให้กับระบบ แต่ด้วยงานติดตั้งคุณภาพสูงๆในปัจจุบันไม่น่าเกิดปัญหานี้ (นอกจากงานติดตั้งห่วยๆ ) แต่ข้อได้เปรียบของอิเล็คทรอนิคครอสโอเวอร์นั่นคือ การให้ความสะอาดชัดของเสียงแม้ว่าจะเปิดฟังความดังของระบบเสียง ในระดับแข่งขัน