วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รู้เรื่อง....โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya

|0 ความคิดเห็น
 รู้เรื่อง....โรคชิคุนกุนยา (Chikungunya)

คล้ายไข้เดงกีแต่ไม่ถึงช็อก
 

ลักษณะโรค

          โรคชิคุนกุนยา เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มีอาการคล้ายไข้เดงกี แต่ต่างกันที่ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากจนถึงมีการช็อก

สาเหตุ  

          เกิดจากเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya virus) ซึ่งเป็น RNA Virus จัดอยู่ใน genus alphavirus และ family Togaviridae มียุงลาย Aedes aegypti, Ae. albopictus เป็นพาหะนำโรค

วิธีการติดต่อ     

          ติดต่อกันได้โดยมียุงลาย Aedes aegypti เป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ  เมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดผู้ป่วยที่อยู่ในระยะไข้สูง ซึ่งเป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือด เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระเพาะยุง และเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลาย เมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสชิคุนกุนยาไปกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้คนนั้นเกิดอาการของโรคได้

ระยะฟักตัว 
   
          โดยทั่วไปประมาณ 1-12 วัน แต่ที่พบบ่อยประมาณ 2-3 วัน

ระยะติดต่อ    
 
          ระยะไข้สูงประมาณวันที่ 2-4 เป็นระยะที่มีไวรัสอยู่ในกระแสเลือดมาก

อาการและอาการแสดง     

          ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายและอาจมีอาการคันร่วมด้วย พบตาแดง (conjunctival injection) แต่ไม่ค่อยพบจุดเลือดออกในตาขาว ส่วนใหญ่แล้วในเด็กจะมีอาการไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ ในผู้ใหญ่อาการที่เด่นชัดคืออาการปวดข้อ ซึ่งอาจพบข้ออักเสบได้ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อเล็กๆ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาการปวดข้อจะพบได้หลายๆ ข้อเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อยๆ (migratory polyarthritis) อาการจะรุนแรงมากจนบางครั้งขยับข้อไม่ได้ อาการจะหายภายใน 1-12 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อเกิดขึ้นได้อีกภายใน 2-3 สัปดาห์ต่อมา และบางรายอาการปวดข้อจะอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี ไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงถึงช็อก ซึ่งแตกต่างจากโรคไข้เลือดออก อาจพบ tourniquet test ให้ผลบวก และจุดเลือดออก (petichiae) บริเวณผิวหนังได้

ความแตกต่างระหว่างDF/DHF กับการติดเชื้อ chikungunya

          1. ใน chikungunya  มีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างฉับพลันกว่าใน DF/DHF คนไข้จึงมาโรงพยาบาลเร็วกว่า

          2. ระยะของไข้สั้นกว่าในเดงกี ผู้ป่วยที่มีระยะไข้สั้นเพียง 2 วัน พบใน chikungunya ได้บ่อยกว่าใน DF/DHF โดยส่วนใหญ่ไข้ลงใน 4 วัน

          3. ถึงแม้จะพบจุดเลือดได้ที่ผิวหนัง และการทดสอบทูนิเกต์ให้ผลบวกได้ แต่ส่วนใหญ่จะพบจำนวนทั้งที่เกิดเองและจากทดสอบน้อยกว่าใน DF/DHF

          4. ไม่พบ convalescent petechial rash ที่มีลักษณะวงขาวๆใน chikungunya

          5. พบผื่นได้แบบ maculopapular rash และ conjunctival infection ใน chikungunya ได้บ่อยกว่าในเดงกี

          6. พบ  myalgia / arthralgia ใน chikungunya ได้บ่อยกว่าในเดงกี

          7. ใน chikungunya เนื่องจากไข้สูงฉับพลัน พบการชักร่วมกับไข้สูงได้ถึง 15% ซึ่งสูงกว่าในเดงกีถึง 3 เท่า

ระบาดวิทยาของโรค      

          การติดเชื้อ Chikungunya virus เดิมมีรกรากอยู่ในทวีปอาฟริกา ในประเทศไทยมีการตรวจพบครั้งแรกพร้อมกับที่มีไข้เลือดออกระบาดและเป็นครั้งแรกในทวีปเอเชีย เมื่อ พ.ศ. 2501 โดย Prof.W McD Hamnon แยกเชื้อชิคุนกุนยา ได้จากผู้ป่วยโรงพยาบาลเด็ก กรุงเทพมหานคร

          ในทวีปอาฟริกามีหลายประเทศพบเชื้อชิคุนกุนยา  มีการแพร่เชื้อ 2 วงจรคือ primate cycle (rural type) (คน-ยุง-ลิง)  ซึ่งมี Cercopithicus monkeys หรือ Barboon เป็น amplifyer host และอาจทำให้มีผู้ป่วยจากเชื้อนี้ประปราย หรืออาจมีการระบาดเล็กๆ (miniepidemics) ได้เป็นครั้งคราว เมื่อมีผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันเข้าไปในพื้นที่ที่มีเชื้อนี้อยู่ และคนอาจนำมาสู่ชุมชนเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มียุงลายชุกชุมมาก ทำให้เกิด urban cycle (คน-ยุง) จากคนไปคน โดยยุง Aedes aegypti และ Mansonia aficanus เป็นพาหะ

          ในทวีปเอเซีย การแพร่เชื้อต่างจากในอาฟริกา การเกิดโรคเป็น urban cycle จากคนไปคน โดยมี Ae. aegypti เป็นพาหะที่สำคัญ ระบาดวิทยาของโรคมีรูปแบบคล้ายคลึงกับโรคติดเชื้อที่นำโดย Ae. aegypti อื่นๆ ซึ่งอุบัติการของโรคเป็นไปตามการแพร่กระจายและความชุกชุมของยุงลาย หลังจากที่ตรวจพบครั้งแรกในประเทศไทย ก็มีรายงานจากประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย ได้แก่ เขมร เวียตนาม พม่า ศรีลังกา อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์

          โรคนี้จะพบมากในฤดูฝน เมื่อประชากรยุงเพิ่มขึ้นและมีการติดเชื้อในยุงลายมากขึ้น พบโรคนี้ได้ในทุกกลุ่มอายุ ซึ่งต่างจากไข้เลือดออกและหัดเยอรมันที่ส่วนมากพบในผู้อายุน้อยกว่า 15 ปี ในประเทศไทยพบมีการระบาดของโรคชิคุนกุนยา 6 ครั้ง ในปี พ.ศ. 2531 ที่จังหวัดสุรินทร์  พ.ศ. 2534 ที่จังหวัดขอนแก่นและปราจีนบุรี  ในปี พ.ศ. 2536 มีการระบาด 3 ครั้งที่จังหวัดเลย นครศรีธรรมราช และหนองคาย

การรักษา

          ไม่มีการรักษาที่จำเพาะเจาะจง (specific treatment) การรักษาเป็นการรักษาแบบประคับประคอง (supportive treatment) เช่นให้ยาลดอาการไข้ ปวดข้อ และการพักผ่อน



ปล่อยไว้อาจอันตรายถึงชีวิต!!

|0 ความคิดเห็น
ปล่อยไว้อาจอันตรายถึงชีวิต!!

 
          ใครทีมักจะปวดท้องบ่อยๆ แต่ไม่ว่าปวดท้องเพราะอะไรอาจเป็นสัญญาณอันตรายโดยไม่รู้ตัว ถ้าปล่อยไว้เห็นทีจะไม่ดีแน่ ลองมาดูวิธีการเช็คโรคจากอาการปวดท้องเป็นเกร็ดความรู้กันสักหน่อยดีกว่า

          การเช็คอาการปวดท้องโดยทั่วไป แพทย์จะพิจารณาจากตำแหน่งของอวัยวะและลักษณะของอาการปวดเพื่อประกอบการวินิจฉัย เช่น ปวดแบบเป็นๆ หายๆ ปวดหลังรับประทานอาหาร หรือหิวก็ปวด อิ่มก็ปวด เหล่านี้จะเป็นแนวทางช่วยให้ทราบอาการปวดท้องได้ "ตรงจุด" มากขึ้น

          หากปวดท้องด้านขวาตอนบน ความเจ็บปวดในบริเวณด้านขวาตอนบนของช่องท้องมันเกิด จากโรคตับและถุงน้ำดี หรือในบางครั้งโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นบริเวณส่วนท้องน้อยก็เป็นได้ แต่ถ้าปวดท้องบริเวณแอ่งกระเพาะอาหาร คือ บริเวณที่อยู่ใต้ซี่โครงลงมา การเจ็บปวดบริเวณนี้มักเกิดจากการแสบกระเพาะอาหารและอาหารไม่ย่อย โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบอาจเกิดขึ้นในบริเวณนี้ได้ เช่นเดียวกัน แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร นั่นอาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ

          แต่ถ้าหากปวดท้องด้านขวาตอนล่างอาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน หรืออาการอักเสบของลำไส้ ปวดท้องด้านซ้ายตอนบน อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าหากปวดท้องส่วนกลางส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุที่มาจากโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้อาการปวดท้องที่บริเวณนี้อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งมักเริ่มที่บริเวณนี้ก่อนเสมอ แล้วจึงเลื่อนมาเป็นบริเวณท้องน้อย

          ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง อาการปวดที่เป็นลักษณะปวดและคลายสลับกัน พร้อมกับอาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงตันหรือที่เรียกกันว่าไส้ตันเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis)

          เท่าที่กล่าวมาเป็นแค่ปราการป้องกันให้ตระหนักว่าอาการปวดท้องอาจเป็นสัญญาณอันตรายของโรคร้ายได้ คำแนะนำดังกล่าวช่วยให้ตรวจดูอาการปวดท้องเบื้องต้นได้ว่าน่าจะเกิดจากอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฟันธงได้เลยว่าป่วยเป็นโรคอะไร

          ทางที่ดีต้องไปพบแพทย์เพื่อวิจัยฉัยอย่างละเอียด หากเกิดอาการปวดท้องขึ้นมาก็ให้บอกอาการปวดกับแพทย์ให้ตรงจุด ที่สำคัญอย่าไปหาซื้อยามารับประทานเองเชียว เพราะหากรักษาผิดจุดขึ้นมาอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

แนะพ่อแม่สังเกต-ตรวจสอบอาการลูกเป็นประจำ

|0 ความคิดเห็น
แนะพ่อแม่สังเกต-ตรวจสอบอาการลูกเป็นประจำ

 
       เนื่องจากหู คอ จมูก เป็นช่องทางที่ผู้มาเยือนอย่างไวรัส เชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม สามารถเดินทางผ่านเข้ามาได้โดยตรง โดยเฉพาะเด็กที่ไม่สามารถบอกอาการต่างๆ ได้ดีนัก ดังนั้น ผู้ปกครองจึงควรเป็นฝ่ายช่างสังเกตเพื่อนำอาการไปบอกเล่าให้แพทย์ฟัง เพื่อที่แพทย์จะได้วินิจฉัยและทำการรักษาได้อย่างถูกต้องทันการ
      
       ทั้งนี้ โรคหู คอ จมูกที่พบบ่อยในเด็ก มีดังนี้
      
       1. โรคของคอ : คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ
      
       อาการที่ตรวจบพบ ถ้าเด็กโตจะสามารถบอกได้ว่าเจ็บคอ แต่เด็กเล็กมักจะรับประทานนมได้น้อยลง น้ำลายไหล เพราะกลืนจะรู้สึกเจ็บ ถ้าเป็นมากจะมีไข้ มีแผลในปาก มีกลิ่นปาก อาจคลำพบก้อนเล็กๆ ที่บริเวณด้านข้างของลำคอ เนื่องจากมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอโตและอักเสบ
      
       ดังนั้น พ่อแม่หรือคนเลี้ยงต้องช่างสังเกต ถ้าเด็กได้รับการรักษาในระยะ 1 - 2 วันแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรพาไปพบแพทย์อีกครั้ง
      
       2. โรคของจมูก : จมูกอักเสบจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย จากการก่อภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ หรือมีสิ่งแปลกปลอมในจมูก
      
       อาการที่พบ คือ มีน้ำมูกไหล หายใจไม่สะดวก แน่นจมูก เลือดกำเดาไหล จมูกมีกลิ่นเหม็น นอนกรน
      
       น้ำมูกไหล อาการร่วมด้วยคือ หายใจไม่สะดวกเพราะแน่นจมูก กวนโยเย ขยี้จมูก ลักษณะของน้ำมูกอาจใส หรือข้น เหลืองหรือเขียว เยื่อจมูกบวมแดงหรือบวมซีด เนื่องจากน้ำมูกไหลจึงต้องเช็คจมูกบ่อยๆ จนรอบๆ จมูกเป็นแผล เด็กต้องหายใจทางปาก อาการเหล่านี้ ถ้าพบในช่วงดึกที่ยังไม่สามารถพบแพทย์ได้ ให้ช่วยเด็กไปก่อนโดยการให้เด็กนอนหัวสูง หรืออุ้มเด็กซบกับไหล่ อย่าให้พัดลมหรือลมจากเครื่องปรับอากาศเป่าตรงมาที่ตัวเด็ก เพราะจะยิ่งทำให้แน่นจมูกมากขึ้น ใส่เสื้อให้อุ่น อย่าให้อุณหภูมิในห้องเย็นเกินไป
      
       เลือดกำเดาไหล ถ้าเลือดกำลังออกจากจมูก ให้บีบจมูกด้านนอกส่วนปลายจมูก (ซึ่งจะตรงกับตำแหน่งที่เลือดออกจากด้านในจมูก) นั่งโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย ถ้ามีเลือดไหลลงคอด้วยให้บ้วนใส่ภาชนะไว้ เพื่อจะได้ทราบปริมาณเลือดคร่าวๆ ว่ามากน้อยเพียงใด เอาผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งวางบริเวณหน้าผาก เพื่อให้เส้นเลือดหดตัว ถ้าสาเหตุที่ทำให้เลือดออกอยู่ในจมูกจะมีเลือดออกไม่มาก และจะหยุดได้เองหากปฏิบัติตามวิธีห้ามเลือดดังกล่าว
      
       จมูกมีกลิ่นเหม็น อาจมีสาเหตุมาจากไซนัสอักเสบ ถ้าจมูกมีน้ำมูกข้นและเหม็นข้างเดียว มักมีสาเหตุมาจากสิ่งแปลกปลอมในจมูก ซึ่งเด็กอาจตั้งใจใส่เข้าไปหรือเพียงแค่สูดดมแต่เผอิญสิ่งนั้นหลุดเข้าจมูก เด็กจะไม่บอกเพราะกลัวโดนดุ คนเลี้ยงต้องสังเกตและพาไปพบแพทย์
      
       นอนกรน มักมีสาเหตุมาจากต่ออะดินอยซึ่งอยู่ด้านหลังจมูกโต ทำให้ทางผ่านของลมหายใจแคบ ทำให้เกิดเสียงกรน ต่ออะดินอยด์โตนำไปสู่การมีจมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ฯลฯ
      
       จมูกอักเสบจากสารก่อภูมิแพ้ เด็กอาจจะมีอาการจาม น้ำมูกใส แน่นจมูก อาจคันจมูก คันตา คันคอ คันหูร่วมด้วย เหล่านี้เกิดจากเด็กได้รับสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งอาจเป็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เช่น ตุ๊กตาขนปุย นุ่น ผ้าห่ม พรม ไรฝุ่น ขนของสัตว์เลี้ยง
      
       3. โรคของหู : หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นนอกอักเสบ ขี้หูอุด สิ่งแปลกปลอมในหูชั้นนอก ฯลฯ
       
       อาการที่ตรวจพบ คือ ปวดหู หูอื้อ เด็กบางคนจะบอกว่ามีเสียงใหญ่ๆ ในหู เวลากลางคืนมีเสียงกึกกักในหู อาจกดเจ็บบริเวณหน้าหู จับที่ใบหูแล้วเจ็บ มีน้ำสีขุ่นๆ หรือหนองไหลจากหู หรือมีแก้วหูทะลุ
      
       หูชั้นกลางอักเสบ เด็กมักมีประวัติว่ามีน้ำมูกหรือเจ็บคอ หรือมีอาการของหวัดมา 2 - 3 วันจึงมีอาการปวดหู เนื่องจากหูชั้นกลางมีท่อต่อกับด้านหลังจมูก เรียกว่าท่อยูสเตเชี่ยน ทำหน้าที่ปรับความดันอากาศภายในหูชั้นกลางให้เท่ากับความดันอากาศภายนอก โดยอาศัยการเปิดปิดของท่อยูสเตเชี่ยน เมื่อเด็กมีด้านหลังจมูกอักเสบ ทำให้ท่อยูสเตเชี่ยนไม่สามารถเปิดปิดได้ตามปกติ เป็นผลให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบ ทำให้เด็กปวดหู หูอื้อ ให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์ มิฉะนั้นจะเกิดเป็นหนองในหูชั้นกลาง และดันให้แก้วหูทะลุได้
      
       ขี้หูอุดตัน การมีขี้หูอุดตันช่องหูจะทำให้เกิดการปวดหูได้ โดยเฉพาะหลังการไปว่ายน้ำ หรืออาบน้ำแล้วน้ำเข้าหู เพราะน้ำจะทำให้ขี้หูพองตัวไปดันช่องหู ทำให้มีอาการปวดหู กรณีนี้อย่าพยายามแคะหูเอง เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อช่องหู ควรให้แพทย์ทำให้ดีกว่า
      
       สิ่งแปลกปลอมภายในหู เด็กมักไม่บอกว่าเอาอะไรใส่หูเพราะเกรงโดนดุ บางครั้งเพื่อนอาจเอื้อเฟื้อใส่ให้ ในกรณีเช่นนี้หากเอาออกเองไม่ได้ ก็ควรไปพบแพทย์
      
       สำหรับผู้ปกครอง การดมหู จมูก ปากของลูกบ่อยๆ จะช่วยให้ทราบว่าลูกมีอาการอักเสบหรือไม่ เพราะกลิ่นของอวัยวะปกติจะแตกต่างจากกลิ่นยามอักเสบ มีหนอง และรักษาได้ไม่ยากหากพามาพบแพทย์ในเวลาอันสมควร
      

รู้จัก…โรคตาแดงในเด็กเล็กหรือยัง?

|0 ความคิดเห็น

รู้จัก…โรคตาแดงในเด็กเล็กหรือยัง?

มีขี้ตาตอนเช้า แสบตา มีตุ่มขึ้น พาลูกพบแพทย์ด่วน!!
บรรดาโรคติดเชื้อ หรือที่เข้าใจกันอย่างง่ายว่า “โรคติดต่อ”นั้น นอกเหนือจากโรคหวัด ที่ขึ้นชื่อเป็นเบอร์หนึ่งพบได้บ่อยแล้ว อีกหนึ่งโรคที่ต้องทำความรู้จัก ระวังไว้ก่อนก็คือ “โรคตาแดง” ที่ส่วนมากพบได้ในช่วงหน้าฝนค่ะ แล้วตาแดงที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็กมีสาเหตุ มาจากอะไร มีวิธีป้องกัน และรักษาอย่างไรนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ…
ตาแดงเพราะอะไร
โรคตาแดงในเด็กแรกเกิดมักจะพบในช่วง 1 เดือนแรกคลอด ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการติดเชื้อหรือไม่ก็ได้ สิ่งที่คุณแม่จะต้องระวังเมื่อพบตาแดงในเด็กแรกคลอด คือการติดเชื้อแบคทีเรีย คลาไมเดีย (Chlamydia) หรือเชื้อไวรัสก็ได้ ซึ่งเด็กแรกเกิดอาจได้รับเชื้อขณะที่ผ่านช่องคลอดของ แม่ในกระบวนการคลอด
หากเด็กแรกเกิดเป็นตาแดงแล้ว นอกจากอาจรุนแรงจนทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นได้ แล้ว เชื้อโรคอาจแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆ เช่น สมอง หัวใจ และอาจทำให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้ การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกและให้การรักษาอย่างรวดเร็ว จึงมีความสำคัญมาก
เชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคตาแดงที่พบได้บ่อย คือ
เชื้อแบคทีเรียหนองใน จะทำให้เกิดอาการตาแดงตั้งแต่เด็กอายุ 3 – 5 วัน เชื้อชนิดนี้มีความรุนแรงจนทำให้ตาบอดได้ในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนใหญ่มักพบทั้งสองตา มีขี้ตาที่เป็นหนองจำนวนมาก อาจมีแผลที่กระจกตาหรือแผลลุกลามจนกระจกตาทะลุ และมีการติดเชื้อเข้าไปในลูกตา
เชื้อคลาไมเดีย มักพบในเด็กอายุ 5 – 14 วัน ทำให้เกิดตาแดง เปลือกตาบวม มีขี้ตาเหนียวแต่ไม่มากนัก หากไม่ได้รับการรักษาเชื้อชนิดนี้จะทำให้เกิดแผลเป็นที่เปลือกตา เยื่อบุตาและกระจกตาได้
เชื้อไวรัสเริม มักพบใน 2 สัปดาห์แรกหลังคลอด เชื้อชนิดนี้ทำให้เกิดตาแดง เป็นแผลที่กระจกตา อาจเห็นตุ่มน้ำรอบๆ เปลือกตา ถ้าไม่รักษาอาจกลายเป็นแผลเป็นฝ้าขาวที่กระจกตา และเชื้ออาจลุกลามไปที่สมองทำให้เกิดความพิการหรือเสียชีวิตได้
อาการแบบไหนเรียกว่าตาแดง
หากลูกเป็นโรคตาแดง ดวงตาของลูกจะมีขี้ตามาก โดยเฉพาะ ในช่วงเช้าๆ น้ำตาไหล เจ็บตา เคืองหรือแสบตา เกิดตุ่มเล็กๆ ขึ้นบริเวณดวงตา และอาจมีเลือดออกใต้เยื่อบุตา ทำให้ตาดูแดงจัด นอกจากนี้เด็กที่เป็นโรคตาแดงมักมีอาการไข้หวัดนำมาก่อน เช่น เจ็บคอ มีไข้ เพราะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน
ถ้าเป็นในเด็กเล็กต่ำกว่าขวบ ก็จะมีอาการเช่นเดียวกับเด็กโต แต่เด็กเล็กไม่สามารถบอกอาการเองได้ ดังนั้น คุณแม่จึงต้องสังเกตดวงตาของลูกน้อยอยู่ตลอดว่า เด็กมีตาขาวสีแดง ตาดูฉ่ำๆ ขยี้ตาหรือกะพริบตาบ่อยกว่าปกติ มีขี้ตาติดที่หัวตาหรือที่เปลือกตาโดยเฉพาะช่วงตื่นนอน ร้องไห้งอแงกว่าปกติหรือไม่
ดูแลลูกน้อยเมื่อเป็นตาแดง
เมื่อคุณแม่รู้ว่าลูกน้อยเป็นตาแดง ก็ควรพาลูกไปพบคุณหมอ ไม่ควรซื้อยาทาหรือยาหยอดตาเอง ซึ่งคุณหมอจะให้ยาหยอดตามาหยอด ซึ่งอาการตาแดงของลูกจะดีขึ้นและหายภายใน 2 – 4 สัปดาห์
แต่ในเด็กที่ยังเล็กมาก การหยอดยาอาจทำได้ลำบาก คุณหมออาจให้ยาป้ายตาเพียงอย่างเดียว ซึ่งวิธีการหยอดตาหรือป้ายตานั้น ให้คุณแม่ดึงเปลือกตาล่างลงมาพร้อมกับให้ลูกเหลือบตา มองขึ้นด้านบน ก็จะมีช่องพอที่จะให้คุณแม่หยอดยาหรือป้ายยาลูกได้ถนัดขึ้น ในเด็กเล็กอาจต้องมีคนช่วยจับศีรษะ หรือหาของเล่นมาล่อ
ให้ลูกเหลือกตาขึ้นด้านบนกันลูกดิ้น แต่ถ้ามีอาการไม่สบายตาหรือตาบวมมาก คุณแม่ก็สามารถใช้น้ำแข็งประคบบริเวณรอบดวงตาให้ลูกได้ และถ้ามีขี้ตามาก ควรทำความสะอาดเปลือกตาหรือขอบตาด้วยสำลีชุบน้ำสะอาด
ป้องกันตาแดงให้ลูกน้อย
โรคตาแดงเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากทั้งขี้ตาและน้ำตา ในเด็กเล็กจะได้รับเชื้อหรือแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายถ้าไม่ระมัดระวังไปสัมผัสเชื้อโรคและขยี้ตาของตัวเอง ดังนั้น คุณแม่ต้องพยายามอย่าให้ลูกขยี้ตา ล้างหรือเช็ดมือให้ลูกบ่อยๆ รวมถึงก่อนและหลังเช็ดหรือหยอดตาให้ลูก คุณแม่ต้องล้างมือให้สะอาดเสมอ เวลาเช็ดตาให้ลูกควรใช้สำลีเช็ดจากหัวตาไปยังหางตาและเปลี่ยนก้อนใหม่ เมื่อต้องเช็ดซ้ำหรือเช็ดอีกข้าง

ลูก ๆ ทราบไหม พ่อแม่ที่แก่เฒ่ารับประทานอะไรกัน

|0 ความคิดเห็น
ในงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากมูลนิธิสถาบันวิจับและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) เผยว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุไทย 88.5% ยังได้รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ โดย 60.6% เน้นทานอาหารรสชาติจืด และส่วนมากไม่รับประทานอาหารขยะ
ปัจจุบัน ด้วยหน้าที่การงานที่รัดตัว หรือเหตุอันใดก็ยากที่จะบอกได้ แต่ลูกๆ หลายคนเริ่มไม่ทราบเสียแล้วว่า พ่อแม่ที่เริ่มเข้าสู่วัยชราของตนนั้น ต้องการรับประทานอาหารประเภทใด
พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ ผู้จัดการมูลนิธิสถาบันวิจับและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) กล่าวว่าจากรายงายสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยได้รวบรวมผลสำรวจข้อมูลด้านการบริโภคอาหารในกลุ่มผู้สูงอายุ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปีล่าสุด ในด้านโภชนาการของผู้สูงอายุ พบว่าในการรับประทานอาหารมื้อหลักครบ 3 มื้อ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ร้อยละ 88.5 รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ รองลงมาวันละ 2 มื้อร้อยละ 7.4 วันละ 1 มื้อ ร้อยละ 0.1 และรับประทานเกินวันละ 3 มื้อ ร้อยละ 4 โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 60.6 เลือกรับประทานอาหารรสชาติจืด รองลงมาเป็นรสชาติเผ็ดและเค็มร้อยละ 14.3 และ 10.9 ตามลำดับ ขณะที่รสชาติหวานและรสชาติอื่นๆ อย่างละร้อยละ 7.1 เท่ากัน ส่วนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ผู้สูงอายุเกินครึ่ง หรือ ร้อยละ 64.9 รับประทานชอบอาหารระหว่างมื้อ ร้อยละ 42.2 รับประทานเพราะอยาก และเพราะหิวร้อยละ 38.6
พญ.ลัดดา กล่าวต่อว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่รับประทานอาหารที่เป็นความต้องการของร่างกาย ได้แก่ กลุ่มผักและผลไม้ร้อยละ 61.3 กลุ่มเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ร้อยละ 29.9 กลุ่มแร่ธาตุ วิตามิน ร้อยละ 6.2 ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เลือกรับประทานน้อยที่สุดร้อยละ 3.8 ส่วนการรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อสุขภาพ ร้อยละ 96.6 ไม่รับประทานอาหารจานด่วนทางตะวันตก ร้อยละ 55.4 ไม่ดื่มเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มรสหวาน ร้อยละ 80.9 ไม่รับประทาน ขนมทานเล่นหรือขนมกรุบกรอบ ขณะที่ร้อยละ 19.7 หลีกเลี่ยงไม่รับประทาน อาหารที่มีไขมันสูง
พญ.ลัดดา กล่าวว่า การรับประทานอาหารของผู้สูงอายุมีความสำคัญต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก ควรรับประทานอาหารที่ให้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ควรลดปริมาณอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลที่ให้พลังงานสูง เนื่องจากในการประกอบกิจกรรมในชีวิตประจำวันลดลง การใช้พลังงานและการเผาผลาญอาหารจึงลดลงตาม เน้นรับประทานพืชผักผลไม้ที่มีใยอาหาร เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคมะเร็งบางชนิด และควรรับประทานเนื้อปลาแทนเนื้อสัตว์ติดมันซึ่งจะย่อยได้ง่ายกว่า
“หากผู้สูงอายุได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือได้มากเกินไป มีผลซ้ำเติมอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งมีแนวโน้มจะเสื่อมอยู่แล้วให้เสื่อมยิ่งขึ้น การส่งเสริมสุขภาพในผู้สูงอายุ จึงต้องคำนึงถึงความต้องการสารอาหาร โดยเน้นความสมดุลความพอเหมาะพอดี และความหลากหลายของอาหาร” พญ.ลัดดากล่าว
และว่านอกจากนี้การออกกำลังกายการผ่อนคลายทางกาย และจิต และการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษก็เป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับพื้นฐานการมีสุขภาพดีของผู้สูงอายุ และดื่มน้ำประมาณวันละ 6 – 8 แก้ว เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหาร และการขับถ่ายของเสีย ซึ่งส่วนมากผู้สูงอายุมักมีปัญหาดื่มน้ำไม่เพียงพอ
ลูกกตัญญูทุกท่านอ่านแล้ว ปฏิบัติตามด่วน
ในงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากมูลนิธิสถาบันวิจับและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) เผยว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุไทย 88.5% ยังได้รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ โดย 60.6% เน้นทานอาหารรสชาติจืด และส่วนมากไม่รับประทานอาหารขยะ
ปัจจุบัน ด้วยหน้าที่การงานที่รัดตัว หรือเหตุอันใดก็ยากที่จะบอกได้ แต่ลูกๆ หลายคนเริ่มไม่ทราบเสียแล้วว่า พ่อแม่ที่เริ่มเข้าสู่วัยชราของตนนั้น ต้องการรับประทานอาหารประเภทใด
พญ.ลัดดา ดำริการเลิศ ผู้จัดการมูลนิธิสถาบันวิจับและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) กล่าวว่าจากรายงายสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยได้รวบรวมผลสำรวจข้อมูลด้านการบริโภคอาหารในกลุ่มผู้สูงอายุ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปีล่าสุด ในด้านโภชนาการของผู้สูงอายุ พบว่าในการรับประทานอาหารมื้อหลักครบ 3 มื้อ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ร้อยละ 88.5 รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ รองลงมาวันละ 2 มื้อร้อยละ 7.4 วันละ 1 มื้อ ร้อยละ 0.1 และรับประทานเกินวันละ 3 มื้อ ร้อยละ 4 โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 60.6 เลือกรับประทานอาหารรสชาติจืด รองลงมาเป็นรสชาติเผ็ดและเค็มร้อยละ 14.3 และ 10.9 ตามลำดับ ขณะที่รสชาติหวานและรสชาติอื่นๆ อย่างละร้อยละ 7.1 เท่ากัน ส่วนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ผู้สูงอายุเกินครึ่ง หรือ ร้อยละ 64.9 รับประทานชอบอาหารระหว่างมื้อ ร้อยละ 42.2 รับประทานเพราะอยาก และเพราะหิวร้อยละ 38.6
พญ.ลัดดา กล่าวต่อว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่รับประทานอาหารที่เป็นความต้องการของร่างกาย ได้แก่ กลุ่มผักและผลไม้ร้อยละ 61.3 กลุ่มเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ร้อยละ 29.9 กลุ่มแร่ธาตุ วิตามิน ร้อยละ 6.2 ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เลือกรับประทานน้อยที่สุดร้อยละ 3.8 ส่วนการรับประทานอาหารที่เสี่ยงต่อสุขภาพ ร้อยละ 96.6 ไม่รับประทานอาหารจานด่วนทางตะวันตก ร้อยละ 55.4 ไม่ดื่มเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มรสหวาน ร้อยละ 80.9 ไม่รับประทาน ขนมทานเล่นหรือขนมกรุบกรอบ ขณะที่ร้อยละ 19.7 หลีกเลี่ยงไม่รับประทาน อาหารที่มีไขมันสูง
พญ.ลัดดา กล่าวว่า การรับประทานอาหารของผู้สูงอายุมีความสำคัญต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก ควรรับประทานอาหารที่ให้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ควรลดปริมาณอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลที่ให้พลังงานสูง เนื่องจากในการประกอบกิจกรรมในชีวิตประจำวันลดลง การใช้พลังงานและการเผาผลาญอาหารจึงลดลงตาม เน้นรับประทานพืชผักผลไม้ที่มีใยอาหาร เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคมะเร็งบางชนิด และควรรับประทานเนื้อปลาแทนเนื้อสัตว์ติดมันซึ่งจะย่อยได้ง่ายกว่า
“หากผู้สูงอายุได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือได้มากเกินไป มีผลซ้ำเติมอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งมีแนวโน้มจะเสื่อมอยู่แล้วให้เสื่อมยิ่งขึ้น การส่งเสริมสุขภาพในผู้สูงอายุ จึงต้องคำนึงถึงความต้องการสารอาหาร โดยเน้นความสมดุลความพอเหมาะพอดี และความหลากหลายของอาหาร” พญ.ลัดดากล่าว
และว่านอกจากนี้การออกกำลังกายการผ่อนคลายทางกาย และจิต และการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษก็เป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับพื้นฐานการมีสุขภาพดีของผู้สูงอายุ และดื่มน้ำประมาณวันละ 6 – 8 แก้ว เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหาร และการขับถ่ายของเสีย ซึ่งส่วนมากผู้สูงอายุมักมีปัญหาดื่มน้ำไม่เพียงพอ
ลูกกตัญญูทุกท่านอ่านแล้ว ปฏิบัติตามด่วน

ท่อน้ำและสายไฟ ซ่อนก็สวย โชว์ก็ดี

|0 ความคิดเห็น
ท่อน้ำและสายไฟ ซ่อนก็สวย โชว์ก็ดี

การที่บ้านหลังหนึ่งจะก่อร่างสร้างผนัง พื้น และหลังคาจนแล้วเสร็จ จำเป็นจะต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง งานพื้นผิว หรืองานระบบทั้งไฟฟ้าและประปา ซึ่งเปรียบเหมือนเส้นเลือดที่คอยหล่อเลี้ยงให้บ้านหลังนั้นสมบูรณ์ที่สุด
บางครั้งเราอาจเห็นว่างานระบบเหล่านี้ได้รับการซ่อนจนไม่เห็นร่องรอย หรือบางครั้งก็ดึงลอยออกมาจากโครงสร้าง หากคุณยังไม่แน่ใจว่าควรจะซ่อนหรือจะโชว์ดี คอลัมน์ “สถาปัตยกรรม” ฉบับนี้ มีข้อควรรู้เล็กๆน้อยๆแต่เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับงานระบบต่างๆ เมื่ออ่านบทความนี้แล้ว อาจช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ

1. ซ่อนงานระบบเพื่อ...
เหตุผลหลักคือเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม อีกทั้งยังเป็นเรื่องของความพึงพอใจตามแนวคิดของเจ้าของบ้านและผู้ออกแบบด้วย บางคนอาจไม่ชอบเห็นท่อร้อยสายไฟมาเดินที่ผนัง หรือเห็นทางท่อทั้งหมดเมื่อเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ฉะนั้น ทั้งสายไฟ ท่อน้ำประปา ท่อน้ำทิ้ง และท่อแอร์จึงต้องซ่อนไว้ในผนัง พื้น และฝ้าเพดาน

2. ท่อพีวีซีเป็นเชื้อเพลิงได้
แม้ว่าท่อพีวีซีจะเป็นฉนวนไฟฟ้าไปในตัว สามารถดัดงอได้บ้าง สะดวกในการเดินท่อ ตัดต่อได้ง่าย ราคาถูก แต่ข้อเสียของท่อชนิดนี้คือ หากเกิดไฟฟ้าลัดวงจร สายไฟไหม้ก็จะพาให้ท่อพีวีซีไหม้ตามไปด้วย สำหรับท่อที่ฝังในผนังนั้น แม้จะทำให้ร้อยสายใหม่ได้ยาก แต่ผนังก็จะช่วยเป็นฉนวนกันไฟได้อีกชั้นหนึ่ง หรือถ้าเกิดการลัดวงจรในท่อที่ไม่ฝังในผนัง ท่อพีวีซีอาจเป็นเชื้อต้นเพลิงได้ แต่กรณีแบบนี้มีน้อยมาก ถ้าทดสอบระบบเรียบร้อย โอกาสลัดวงจรก็คงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

3. รู้จักท่อพีอี
ท่อพีอีเป็นผลิตภัณฑ์จากเม็ดพลาสติกพอลิเอทีลีน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งไว้ใช้เดินสายไฟเหมือนกับ
ท่อพีวีซี แต่มีความต่างกันที่ท่อพีอีสามารถดัดงอตัวได้มากกว่า ติดไฟยาก สามารถฝังดินได้ ต้านทานกรดด่าง ไม่เป็นสนิม ไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมี แต่ราคาแพงกว่า ซึ่งถ้าเทียบกับโอกาสการเกิดเพลิงไหม้แล้วคุ้มค่ากว่าการใช้ท่อเหล็ก

4. ท่อเหล็ก ทนแบบดิบๆ (P)
ท่อเหล็กชุบแกลแวไนซ์มีลักษณะเหมือนกับท่อประปาแต่บางกว่า ข้อดีคือเป็นวัสดุไม่ติดไฟ ทนต่อแรง
กระแทก ไม่เกิดการคดโค้งเสียรูปในภายหลัง ทาสีได้ดี ไม่หลุดล่อน ให้ความรู้สึกดิบๆสไตล์ลอฟต์ แต่ราคาก็แพงกว่าท่อพีวีซีและท่อพีอีมาก ท่อเหล็กเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า การดัดงอตัดต่อและดึงสายจะยากกว่า ถ้าตัดแต่งตะไบปากท่อไม่ดี อาจมีสายไฟถูกปลายท่อบาดและเป็นสาเหตุให้เกิดกระแสไฟฟ้ารั่วได้

5. ฝังไว้ ไม่ให้เหลือ (S)
แม้ไม่ใช่ความลับ แต่เมื่อคิดจะซ่อน เราก็ควรรู้ว่าจะซ่อนมิดไหม ความหนาของผนังทั่วไปรวมปูนฉาบอยู่ที่
ประมาณ 10 เซนติเมตร (ความหนาปูนฉาบข้างละประมาณ 1.5 เซนติเมตร) แบบนี้จะซ่อนท่อขนาดเล็กได้ ถ้าคิดจะซ่อนบนฝ้าเพดานก็ควรเผื่อระยะจากฝ้าขึ้นไปถึงคานหรือพื้นด้านบนให้เพียงพอ เป็นสายไฟอาจไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเป็นท่อน้ำทิ้งจะต้องมีเรื่องของขนาดท่อที่ใหญ่กว่าและความลาดเอียงของท่อด้วย ควรปรึกษาสถาปนิกหรือผู้รู้ก่อนการก่อสร้าง

6. ตรงไหน ฝังไม่ได้ (P)
แน่นอนว่าผนังที่สามารถซ่อนสายไฟฟ้าได้ต้องเป็นผนังทึบอย่างผนังก่ออิฐฉาบปูน หรือผนังเบาสำหรับการตกแต่ง แต่ก็ยังคงมีตำแหน่งที่ไม่แนะนำให้เจาะผนังเพื่อซ่อนสายไฟเป็นระยะทางยาว เช่น ตามแนวเสา เสาเอ็น คาน คานเอ็น ยิ่งหากเกิดปัญหารั่วซึม น้ำอาจส่งผลเสียต่อโครงสร้างได้ ทางที่ดีควรมีการออกแบบตั้งแต่ต้นว่าจะเดินท่ออย่างไร เพื่อไม่ให้ผ่านส่วนโครงสร้างของบ้าน

7. ยังมีที่อื่นให้ซ่อน (S)
นอกจากในผนังก่ออิฐที่สามารถซ่อนท่อร้อยสายไฟได้แล้ว ยังมีที่อื่นที่สามารถซ่อนงานเหล่านี้ไว้ได้ เช่นบริเวณรอยต่อของพื้นสำเร็จรูปซึ่งจะมีช่องว่างอยู่ แต่เราต้องออกแบบตำแหน่งที่ปลายสายจะออกมาและมาเชื่อมกับดวงโคมที่ต้องการ หรือโครงสร้างเหล็กที่เป็นเสาหรือคาน I – Beam จะมีช่องว่างภายในเสาอยู่ ช่องว่างเหล่านี้สามารถซ่อนท่อร้อยสายไฟได้ แต่ต้องทำแผ่นเหล็กมาปิดเพื่อความเรียบร้อยอีกชั้นหนึ่ง

8. ใช้อะไรเจาะผนัง (S)
ดูเหมือนเป็นคำถามง่ายๆแต่ผมเชื่อว่าหลายคนไม่ทราบ อุปกรณ์ในการเจาะทำร่องเพื่อให้ท่อร้อยสายไฟสามารถฝังตัวลงไปได้ เรียกว่า “เครื่องเจียร” ขนาดต่างๆ หรือที่ช่างเรียกว่า “ลูกหมู” เป็นอุปกรณ์เดียวกับที่เราใช้ขัดผนังเพื่อลอกสีเก่าออก หรือขัดงานไม้เพื่อความมันเงา เราสามารถเลือกใบเจียรเป็นแบบอื่นๆได้ตามแต่ลักษณะของงาน

9. ซ่อนแล้วป้องกันด้วย (S)
ที่จริงแล้วผนังเกือบทุกประเภทสามารถซ่อนงานระบบได้ ไม่ว่าจะเป็นผนังก่ออิฐฉาบปูนเรียบทาสี ผนังบุวอลล์เปเปอร์ ผนังกรุหินหรือกระเบื้อง หรือแม้แต่กรุไม้ทับ แต่เมื่อเราใช้งานจริง ท่อที่อยู่ภายในผนังอาจมีการสั่นสะเทือนเนื่องจากแรงดันของน้ำ เราจึงควรป้องกันด้วยการปูตะแกรงลวดกรงไก่ทับลงไปก่อนที่จะฉาบปิดผิว เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้รอยต่อและป้องกันการแตกลายงาของผิวปูนฉาบ

10. ทดสอบ ก่อนฉาบปิด
ไม่ว่าจะเป็นงานท่อร้อยสายไฟ ท่อน้ำเสีย หรือท่อน้ำประปา เมื่อวางระบบฝังเข้าไปในผนังเรียบร้อยแล้ว ต้องทดสอบระบบก่อนการฉาบปิดหรือบุวัสดุปิดผิว หากเป็นระบบไฟฟ้าต้องทดสอบการใช้งานว่าเป็นปกติและมีกระแสไฟรั่วหรือไม่ ส่วนงานประปาต้องขังน้ำให้อยู่ภายในท่อเพื่อทดสอบการรั่วซึมนานประมาณหนึ่งวัน

11. ซ่อนไว้ แต่ซ่อมสะดวก
แม้ว่าเราจะซ่อนงานเหล่านี้อยู่ในผนังหรือบนฝ้าเพดาน ก็ต้องเว้นช่องให้สามารถเปิด-ปิดได้เพื่อ
การซ่อมบำรุง เช่น งานระบบที่อยู่บนฝ้าเพดานต้องทำช่องเปิด – ปิดที่สามารถปีนขึ้นไปเพื่อตรวจและซ่อมแซมงานระบบที่อยู่บนฝ้าได้ โดยตำแหน่งของช่องเปิดนั้นอาจพิจารณาให้อยู่ในที่ลับตาคนสักหน่อย เช่น ห้องน้ำ หรือห้องเก็บของ

12. ท่อน้ำทิ้งบนฝ้า ต้องดูความลาดเอียง (S)
การเดินท่อน้ำทิ้งนั้นต่างจากท่อน้ำดี เพราะต้องการเรื่องของแรงโน้มถ่วงและความลาดเอียดของท่อซึ่งต่าง
จากท่อน้ำดีที่ใช้แรงดันจากปั๊มน้ำโดยตรง ฉะนั้นควรคิดถึงระยะที่ท่อน้ำทิ้งจะต่อเข้ากับสุขภัณฑ์ต่างๆให้ดีก่อน ว่ามีระยะห่างจากตำแหน่งรวบท่อเพียงใด ยิ่งไกลมากความลาดเอียงก็จะยิ่งมาก ก็แปลว่าต้องใช้พื้นที่ใต้ฝ้าสำหรับซ่อนท่อมาก จนห้องเราอาจมีฝ้าเตี้ยไม่สมส่วน โดยเฉพาะบ้านพักอาศัยนั้นไม่นิยมเจาะคานเพื่อเว้นไว้ให้เดินท่อน้ำทิ้ง แต่จะใช้การเดินลอดใต้คานแทน

13. เดินท่อใต้ดิน ต้องใช้ท่อพีอี
การเดินท่อประปาในส่วนที่อยู่บนดิน อาจใช้ท่อพีวีซีหรือท่อเหล็กชุบสังกะสีก็ได้ แต่สำหรับท่อที่อยู่นอกอาคาร โดยเฉพาะอยู่ใต้ดินใต้อาคาร ควรใช้ท่อพีอีซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการบิดงอโค้งได้ และไม่เสี่ยงต่อการเป็นสนิม กรณีเดินผ่านเสาตอม่อหรือคานคอดิน สำหรับท่อธรรมดาจะมีข้อต่อมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการรั่วซึม ที่สำคัญเมื่อมีการทรุดตัวของอาคาร หากเป็นท่อพีวีซีหรือท่อเหล็กชุบสังกะสีจะเกิดการแตกร้าวได้ แต่ถ้าเป็นท่อพีอีจะมีความยืดหยุ่นกว่า แม้ราคาจะสูง แต่ก็คุ้มค่า เพราะการตรวจสอบและซ่อมแซมท่อใต้ดินเป็นสิ่งยากลำบาก

14. จะโชว์ควรเป็นระเบียบ (P)
หากคิดจะโชว์งานระบบ ไม่ว่าจะเป็นท่อร้อยสายไฟ ท่อน้ำ หรือท่อแอร์ ต้องมีการจัดระเบียบ วางระยะห่าง
ของท่อให้เท่ากัน ทั้งระยะของตัวยึดที่ห่างเท่ากัน ระยะตำแหน่งของดวงโคมที่เท่ากัน หรือเดินท่อให้มีทิศทางที่เป็นระเบียบ มีองศาที่แน่นอน หรืออยู่แนวเดียวกับเส้นเซาะร่องที่ผนัง

15. โชว์เพื่อการแก้ปัญหา (P)
บางครั้งการโชว์งานระบบก็เป็นการแก้ปัญหาเพื่อให้ห้องที่มีขนาดเล็กและเพดานเตี้ยรู้สึกอยู่สบายขึ้น โดยการรื้อฝ้าเพดานออกเพื่อเพิ่มความสูงของห้อง อาจทาสีขาวทับทั้งท้องพื้นชั้นบนและงานท่อของระบบต่างๆทั้งหมด ก็ช่วยให้ห้องดูโล่งและเป็นระเบียบขึ้น

16. ห้องบางห้อง ก็ไม่เหมาะที่จะโชว์ท่อ
บางครั้งงานระบบ เช่น ท่อแอร์ จะมีการสั่นสะเทือนเล็กน้อย รวมไปถึงเสียงดังและฝุ่นละออง อาจไม่เหมาะนักหากจะโชว์ท่อในห้องที่ต้องการความสะอาดมากๆ เช่น ห้องที่มีเด็กทารก หรือห้องรับประทานอาหาร การปิดเพดานให้เรียบร้อยในห้องเหล่านี้น่าจะดีที่สุด

17. สิ่งที่โชว์ ต้องควรค่า (P)
เมื่อคิดจะโชว์งานระบบไม่ว่าจะเป็นท่อร้อยสายไฟ ท่อประปา ท่อน้ำทิ้ง หรือท่อแอร์ เราควรแน่ใจว่ายอมรับได้และเข้าใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพราะสไตล์ของบ้านก็จะไม่ใช่แบบเรียบหรู แต่จะเป็นความสวยงามแบบดิบๆ และ หากมีส่วนใดที่เราต้องมองเห็นอย่างใกล้ชิด เช่น ท่อน้ำประปาพาดผ่านส่วนรับแขกที่เราตั้งใจโชว์ให้เห็นเหมือนงานศิลปะ ท่อเหล่านั้นก็ควรได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เหมาะสมและสวยงาม เข้ากับรูปแบบของห้องหรือพื้นที่นั้นๆ

18. ใช้งานแบบผสมผสาน (P)
ไม่ว่าจะเป็นท่ออะไรเมื่อเกิดการลัดวงจรหรือชำรุด มักจะต้องรื้อสายเดินท่อใหม่ บางครั้งอาจใช้งานผสมกัน เช่น ถ้าต้องการเดินท่อฝังในผนัง อาจเลือกใช้ท่อพีวีซีผสมกับท่อเหล็กในส่วนที่เดินท่อภายนอก และเลือกใช้ท่อพีอีในส่วนที่ต้องเดินท่อโค้งงอหรือเดินท่อเพื่อกันน้ำหรือภายนอกอาคาร

19. อย่าลืม Junction Box (P)
ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายไฟในท่อที่ฝังในผนังหรือเดินลอยภายนอก จำเป็นที่จะต้องมี Junction Box ใน
ตำแหน่งที่เป็นจุดตัดของวงจร ทั้งเพื่อการเชื่อมต่อสายไฟอย่างปลอดภัย ไม่ต้องดัดงอท่อแล้ว ในการซ่อมบำรุงก็ง่ายด้วย เพราะเราสามารถดึงสายไฟที่ชำรุดออกมาได้จากตำแหน่งนี้

20. ท่อระบายน้ำพีวีซีที่ระเบียง ต้องระวัง (S)
ระเบียงภายนอกที่ฝนสามารถสาดเข้ามาได้จำเป็นจะต้องมีทางระบายน้ำออก หากไม่ได้คิดไว้ตั้งแต่แรก สุดท้ายก็จะพบกับการเจาะรูแล้วนำท่อพีวีซีตัดเฉียงมาเสียบเพื่อระบายน้ำ แต่ถ้าจะให้ดูเรียบร้อยสวยงามกว่านี้ ก็ควรเจาะรูที่พื้นและติดตั้งตะแกรงกรองเศษขยะ และเดินท่อทะลุพื้นและรวบเดินมายังตำแหน่งที่เหมาะสม น้ำที่ออกมาก็จะไม่กระจายด้วย

9 ไอเดียเล็กๆ...เรื่อง(ใหญ่)ของห้องน้ำ

|0 ความคิดเห็น
9 ไอเดียเล็กๆ...เรื่อง(ใหญ่)ของห้องน้ำ


ห้องน้ำเมื่อมีการใช้งานจริงแล้ว มักมีเรื่องกระจุกกระจิกเพิ่มเข้ามาทีละอย่างสองอย่าง แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ก็ทำให้การใช้งานไม่สะดวก ดูเกะกะไม่เป็นที่เป็นทาง จนอาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุได้ ลองดูทั้ง 9 ไอเดียดังต่อไปนี้ว่าตรงกับห้องน้ำของคุณบ้างไหม

“เครื่องชั่งน้ำหนัก เอาไว้ไหนดี”
เครื่องชั่งน้ำหนักนี่ละ ถ้าวางเกะๆกะๆในห้องน้ำจะดูเหมือนเป็นส่วนเกินของห้องไปเลย ที่ทางที่เหมาะๆควรจะเป็นพื้นที่เรียบและแห้ง เช่น บริเวณใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า หรือถ้าบ้านไหนไม่มีเคาน์เตอร์ ลองหาโต๊ะเตี้ยๆที่มีขนาดกว้างพอเหมาะไว้วางของกระจุกกระจิก ส่วนข้างใต้โต๊ะก็สอดเจ้าเครื่องนี้เก็บเข้าไป เท่านี้ห้องน้ำของคุณก็เคลียร์แล้ว

“ตะกร้าผ้า…เกะกะจริงๆ”
ตะกร้าผ้าไม่จำเป็นต้องไปนอนนิ่งอยู่ในห้องน้ำ เลือกทำตู้บิลท์อินสำหรับเก็บผ้าเตรียมซักไว้หน้าห้องน้ำจะคุ้มกว่าต้องก้มเก็บและเลื่อนตะกร้าไปมาทุกวัน ตู้ที่ว่านี้ออกแบบให้มีลิ้นชักกว้างเป็นพิเศษ สูงประมาณ 40 เซนติเมตร และลึก 50 – 60 เซนติเมตร อาจแยกเป็นชั้นตามจำนวนสมาชิกในบ้าน หรือแยกเป็นชั้นผ้าสีกับผ้าขาวก็ได้ ถ้าด้านบนยังเหลือพื้นที่ ก็ทำเป็นตู้สูงเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเพิ่มได้อีกนะ ไอเดียนี้ทั้งดูสวยสบายตาและใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ

“แย่แล้ว…จะเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดไว้ไหนดีล่ะ”
ถึงอย่างไรห้องน้ำก็หนีไม่พ้นต้องพึ่งอุปกรณ์ทำความสะอาด ทั้งแปรงขัดพื้น แปรงขัดชักโครก น้ำยาล้างห้องน้ำ และไม้ถูพื้น ห้องน้ำสวยๆต้องมาหมดท่าก็เพราะอุปกรณ์ทุกอย่างมามะรุมมะตุ้มวางบ้างตากบ้างอยู่ในนี้ ฉะนั้น ถ้าจะให้เวิร์คสุดๆ ควรออกแบบให้มีตู้หรือห้องเก็บอุปกรณ์พวกนี้ไว้บ้างในห้องน้ำตั้งแต่เริ่มสร้าง แต่ถ้าห้องน้ำเล็กเสียจนไม่มีที่อีกแล้ว การติดชั้นวางตะแกรงโปร่งในส่วนเปียก หรือหาที่แขวนสวยๆ ประมาณตากไปโชว์ไป แห้งแล้วค่อยเก็บ ก็โอเคอยู่นะคะ


“ลืม...ติดปลั๊กมีฝาครอบในห้องน้ำ”
ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้เครื่องเป่าผมหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องน้ำ อย่าลืมติดปลั๊กไฟแบบมีฝาครอบและต้องเดินสายดินด้วยทุกครั้ง โดยติดตั้งให้สูงพ้นจากอ่างล้างหน้าขึ้นมาประมาณ 30 เซนติเมตร หรือติดบนผนังด้านข้างอ่างแทนก็ยิ่งดี อ้อ...เดี๋ยวนี้ปลั๊กไฟก็มีดีไซน์สวยๆเยอะเลย ลองเลือกรูปแบบที่ชอบและเข้ากับห้องดูค่ะ

“อากาศไม่ระบาย ติดพัดลมดูดเพิ่มดีไหม”
ห้องน้ำที่ดีควรมีช่องแสงและหน้าต่างระบายอากาศอย่างเพียงพอ เพื่อให้ส่วนเปียกแห้งเร็วขึ้น ไม่ก่อปัญหาเรื่องกลิ่นอับและเชื้อรา แต่หากห้องน้ำที่บ้านอยู่ในมุมอับทึบ มีช่องแสงน้อย และไม่มีที่ระบายอากาศ ควรติดพัดลมดูดอากาศ 1 – 2 ตำแหน่ง คือเหนือส่วนชักโครก และเหนือส่วนอาบน้ำ ช่วยให้อากาศถ่ายเทดีขึ้น ส่วนจะเลือกแบบติดผนังหรือฝ้าเพดานก็แล้วแต่พื้นที่ ถ้าติดบนฝ้า ควรเผื่อพื้นที่เหนือเพดานไว้อย่างน้อยประมาณ 20 เซนติเมตร

“แย่แล้ว...ยาสีฟันหมดพอดี”
ของใช้ประจำวัน เช่น ยาสีฟัน ทิชชู่ สบู่ และแชมพู ควรมีเก็บตุนไว้บ้าง เผื่อกรณีหมดกะทันหัน โดยหาที่เก็บแห้งๆหยิบได้สะดวก เช่น พื้นที่ภายในตู้เคาน์เตอร์ หรือออกแบบชั้นวางเพิ่มเติม ด้วยการยึดแผ่นไม้หรือตะแกรงเหล็กเข้ากับผนัง แค่นี้ก็หมดปัญหา

“พลาด...แต่งหน้าในห้องน้ำภายใต้แสงสลัว”
ถ้าเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าคือส่วนแต่งตัวของสาวๆ ต้องระวังเรื่องแสงไฟให้ดี เพราะแสงที่สลัวๆจะดูหลอกตา แต่งหน้าทีไรเข้มเป็นงิ้วทุกที หลีกเลี่ยงการใช้หลอดไฟออกสีส้มๆประเภทวอร์มไวท์โดยเด็ดขาด แนะให้ใช้หลอดไฟแสงสีขาว เช่น คูลไวท์หรือเดย์ไลต์ ติดรอบๆกระจกเงา หรือจะซ่อนไฟให้แสงเรืองไม่แยงตา ก็ช่วยให้มองเห็นสีของเครื่องสำอางชัดเจน หรือถ้าเป็นไฟดาวน์ไลต์บนฝ้าเพดาน เลือกติดให้ตำแหน่งโคมไฟเบี่ยงไปทางด้านหลัง เพื่อลดแสงตรงๆที่ทำให้เกิดเงาบนใบหน้า

“ตากผ้าขนหนู...ยังไงก็ไม่แห้ง”
ผ้าขนหนูเปียกหมาดๆ ตากในห้องน้ำที่ชื้นและอับ ยังไงก็ไม่แห้งแน่นอน การแก้ปัญหาต้องเริ่มตั้งแต่การทำห้องน้ำ โดยควรแบ่งโซนเปียก-แห้งให้ชัดเจน ส่วนที่ต่อเนื่องกับภายนอกก็ออกแบบเป็นระเบียงเอ๊าต์ดอร์สำหรับตากผ้า กั้นด้วยบานเลื่อนกระจกฝ้าหรือบานเกล็ดไม้ ก่อนเข้าสู่ส่วนอาบน้ำ ถ้าห้องน้ำมีพื้นที่น้อย หาราวแขวนสเตนเลสกว้างๆสัก 90 เซนติเมตร ยึดเข้ากับผนังส่วนแห้งแทน รับรองผ้าแห้งหายห่วง

“ใช้น้ำอุ่นหลายจุด เปลี่ยนเป็นเครื่องทำน้ำร้อนดีกว่า”
หน้าตาของเครื่องทำน้ำร้อนก็คล้ายๆเครื่องทำน้ำอุ่นนั่นแหละ แต่ราคาจะแพงกว่าหน่อยและมีกำลังวัตต์มากกว่า เหมาะสำหรับบ้านที่ใช้งานน้ำอุ่นในหลายจุด โดยควรติดตั้งตัวเครื่องและเบรกเกอร์ในที่แห้ง เช่น ผนังด้านหลังชาวเวอร์ หรือซ่อนในตู้เคาน์เตอร์อ่างล้างมือ แล้วต่อเฉพาะท่อน้ำร้อนให้ใกล้กับก๊อกน้ำให้มากที่สุด (ควรเป็นก๊อกน้ำผสมที่ทนแรงดัน) ที่สำคัญอย่าลืมเดินสายดินต่อเข้ากับแท่งเหล็กทองแดงยาว 1.50 เมตร แล้วตอกลงดิน เพื่อป้องกันไฟรั่วระหว่างใช้งาน




เมื่ออยากเลี้ยงปลาในสวน

|0 ความคิดเห็น

 เมื่ออยากเลี้ยงปลาในสวน


“น้ำ” มีส่วนในการสร้างบรรยากาศร่มรื่นเย็นสบาย เสียงน้ำไหลรินเบา ๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ผ่อนคลาย เมื่อนึกถึงน้ำสิ่งที่มักอยู่คู่กันเสมอคือ “ปลา” ซึ่งช่วยสร้างความเพลิดเพลินใจเมื่อมองเห็นฝูงปลาแหวกว่ายไปมาในสายน้ำ การเลี้ยงปลาจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่มักเป็นตัวเลือกในลำดับต้น ๆ คู่กับการออกแบบสวนเสมอ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับบ่อเลี้ยงปลา ตลอดจนวิธีเลี้ยงปลาที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี มีความสวยงาม

ก่อนจะเริ่มเลี้ยงปลา

ตำแหน่งบ่อเลี้ยงปลาที่ดี ไม่ควรอยู่ในบริเวณที่รับน้ำฝน โดยเฉพาะน้ำที่ไหลผ่านหลังคา เนื่องจากจะเป็นการนำเชื้อโรคและสารต่าง ๆ มาสู่บ่อ ส่งผลให้ปลาป่วยได้ ควรได้รับแสงแดดในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าอยู่ในที่ที่รับแสงแดดมากเกินไปจะทำให้ตะไคร่น้ำเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และน้ำในบ่อมีสีเขียว หากบ่ออยู่ในที่โล่งควรใช้ตาข่ายพรางแสงประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ และควรอยู่ในบริเวณที่มีแนวกันลมและแสงแดด เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกะทันหัน

ตำแหน่งของบ่อควรอยู่ในบริเวณที่สามารถนั่งเล่นดูปลาและให้อาหารปลาได้สะดวก เพื่อจะได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับปลา ไม่อยู่ในบริเวณที่มีเสียงดังอึกทึก เนื่องจากทำให้ปลาตกใจได้ ควรห่างไกลบริเวณที่มีการใช้สารเคมีหรือได้รับมลพิษ เช่น ใกล้ถนน อู่ซ่อมรถ หรือสารกำจัดศัตรูพืชต่าง ๆ


รูปแบบของบ่อเลี้ยงปลา

รูปแบบของบ่อเลี้ยงปลาโดยทั่วไปอาจแบ่งได้เป็น 2 แบบ แบบแรกคือ บ่อดิน เป็นบ่อขุดที่ดูเป็น ธรรมชาติ มีความลึกประมาณ 1-2 เมตร ระดับน้ำควรต่ำกว่าขอบบ่อประมาณ 20-30 เซนติเมตร และทำผนังให้มีความเรียบเพื่อลดการเสียดสีระหว่างผิวปลากับบ่อ ข้อดีของบ่อดินคือเป็นบ่อที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ปลาสามารถกินพืชน้ำและได้รับธาตุอาหารในธรรมชาติได้เต็มที่ อุณหภูมิของน้ำในบ่อค่อนข้างคงที่ แต่มีข้อเสียคือ ทำความสะอาดค่อนข้างยาก มีการปนเปื้อนจากสารต่าง ๆ เช่น สารกำจัดศัตรูพืช ปุ๋ยเคมี จึงอาจเกิดโรคกับปลาได้ง่าย

แบบที่สองคือ บ่อปูน เหมาะสำหรับผู้ที่คิดจะเลี้ยงปลาสวยงาม เพราะทำความสะอาดง่าย แต่ขั้นตอนการเตรียมบ่อปูนค่อนข้างยุ่งยาก และมีเรื่องการทำบ่อกรองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยสัดส่วนของบ่อต่อบ่อกรองคือ 3 : 1 หรือมีขนาด 30 เปอร์เซ็นต์ ของบ่อเลี้ยงปลา ก้นบ่อกรองควรลึกกว่าก้นบ่อเลี้ยงปลา 20 เซนติเมตร หากบ่อเลี้ยงปลามีขนาดเล็กเพียง 15-18 ตารางเมตร อาจใช้วิธีติดตั้งเครื่องกรองสำเร็จรูปแทน

ปลาในสวน

ปลาแต่ละชนิดมีธรรมชาติในการอยู่อาศัยแตกต่างกันออกไป อาจพิจารณาความเหมาะสมของปลากับบ่อแบบต่าง ๆ สำหรับบ่อปูน ควรเลี้ยงปลาที่ดูสวยงาม เช่น ปลาคาร์ป ปลาสอด ปลางหางนกยูง ปลาทอง ส่วนบ่อดินเหมาะสำหรับปลาที่ชอบสภาพธรรมชาติจำพวกปลาแรด ปลาช่อน ปลาหมอ ปลาเข็ม ปลาชะโด ปลา กระดี่ ซึ่งปลาเหล่านี้อาจมีสีสันไม่ค่อยสวยงาม แต่ก็ให้ความเพลิดเพลินได้เหมือนกัน.

เคล็ดลับการทำความสะอาดกระจก

|0 ความคิดเห็น
เคล็ดลับการทำความสะอาดกระจก


ไม่ว่าจะเป็นกระจกใส กระจกเงา หรือกระจกอะไรก็แล้วแต่ เมื่อนานวันเข้าก็เป็นฝ้ามีฝุ่นมีคราบเกาะ วันนี้มีวิธีทำให้กระจกที่บ้านคุณกลับมาใสเหมือนเดิม

จะทำความสะอาดกระจกที่บ้าน แต่น้ำยาเช็ดกระจกเจ้ากรรมดันหมด อย่าเพิ่งล้มเลิกความตั้งใจ เพราะไม่ต้องใช้น้ำยาก็ได้ วันนี้มีเคล็ดลับทำความสะอาดโดยใช้สิ่งอื่น ซึ่งจะทำให้กระจกที่บ้านกลับมาเงางามใสแจ๋ว โดยไม่ต้องพึ่งคาร์แคร์ ไม่แพ้น้ำยาเช็ดกระจกเลยทีเดียว

วิธีแรก ถ้าน้ำยาเช็ดกระจกหมด ให้ลองเอาน้ำยาล้างจานมาผสมน้ำ แล้วใช้ฉีดพ่นต่างน้ำยาเช็ดกระจก ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เช็ดให้ขึ้นเงา กระจกก็จะกลับมาใสเงางาม หรือจะลองใช้ำเกลือผสมกับน้ำ คนให้ละลาย ใช้ล้างสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนจากกระจกได้ง่ายเช่นกัน
นำยาสีฟันมาบีบใส่ไว้บนกระจกแล้วหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดยาสีฟันที่บีบทิ้งไว้บนกระจก โดยถูให้ทั่ว ๆ กระจก แล้วใช้ผ้าเช็ดอีกครั้ง กระจกเงาที่หมอง จะดูเงางาม เป็นประกายทันที

ถ้ากระจกเงาเป็นฝ้า ใช้แป้งฝุ่นหอม ทาให้ทั่วหน้ากระจก แล้วใช้กระดาษอะไรก็ได้ที่บางและนุ่มสะอาดถูให้ทั่ว รับรองว่ากระจกเงาของคุณจะสดใสกว่าเดิม วิธีนี้ใช้กับกระจกธรรมดาก็ได้.

ไอเดียใหม่ช่วยเปลี่ยนประตูบ้านไปจากเดิม

|0 ความคิดเห็น
ไอเดียใหม่ช่วยเปลี่ยนประตูบ้านไปจากเดิม


เปลี่ยนภาพประตูบ้านที่เราคุ้นเคย จากประตูไม้บานทึบขนาดมาตรฐานมาเป็นประตูหน้าตาหลากหลายแบบ เพื่อให้เข้ากับสไตล์และความชื่นชอบของเจ้าของบ้าน ประตูแบบไหนเหมาะกับบ้านคุณ ลองไปดูไอเดียที่เรานำมาฝากกัน

1. .บานไม้กึ่งทึบกึ่งโปร่ง
    ตีไม้ระแนงขนาด 1 x 1 นิ้ว เว้นระยะห่างประมาณ 1 นิ้ว ให้เป็นตารางในกรอบบานประตู เพื่อให้หน้าบานไม่ทึบ อากาศถ่ายเทดี สามารถมองลอดออกไปอีกด้านหนึ่งได้ เหมาะสำหรับใช้แบ่งสัดส่วนแบบชั่วคราว
ในกรณีที่ไม่ต้องการให้ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไหลออกไป แนะนำให้กรุกระจกแบบใสหรือขุ่นทับหน้าบานอีกชั้นหนึ่ง
แฟ้มภาพนิตยสาร room
2. ประตูขยายขนาดได้
    ด้วยไอเดียนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องเหนื่อยเวลาต้องการเปิดประตูบานใหญ่ที่มีหน้าบานกว้างๆอีกต่อไปแล้ว เพียงทำบานประตูหน้ากว้าง 80 เซนติเมตร คู่กับบานเสริมกว้าง 30 เซนติเมตร เมื่อเปิดรวมกันจะมีพื้นที่กว้าง 1 เมตร ใช้เปิดในกรณีที่ต้องการขนของชิ้นใหญ่ผ่านเข้า-ออกบ้าน เพียงเปิดประตูทั้งคู่ออกพร้อมกัน คุณก็จะมีพื้นที่สำหรับใช้ขนของที่กว้างและสะดวกมากขึ้น

◑ แฟ้มภาพนิตยสาร room


3. ประตูเลื่อนสองทาง
   ไอเดียนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
โดยไม่ต้องทำประตูหลายๆบานให้ เปลืองงบ เพียงทำบานเลื่อนแบบสไลซ์ให้สามารถเปิด-ปิดใช้งานในพื้นที่ห้องแต่งตัวและห้องน้ำได้ในบานเดียวอย่างคุ้มค่า แนะนำให้ใช้ไอเดียนี้กับห้องที่อยู่ติดกันและเหมาะกับห้องของคนโสด


4.ประตูแบบตู้เย็น
    ดัดแปลงประตูบ้านให้สามารถเปิดเฉพาะด้านบน เพื่อรับลมเย็นๆ ช่วยให้อากาศถ่ายเท และมองเห็นแขกผู้มาเยือนได้
โดยแบ่งบานประตูออกเป็น 2 ส่วน บานด้านบนยาว 60 เซนติเมตร ส่วนด้านล่างยาว 140 เซนติเมตร ติดบานพับแยกส่วนกัน ทำกลอนล็อกระหว่างบานประตูด้านบนและด้านล่างเข้าด้วยกัน เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกเมื่อต้องการเปิดใช้ประตูแบบเต็มบาน

◐◑ สถานที่ ซีนารี่รีสอร์ต


5.ประตูมีช่อง
   บานประตูเรียบๆอาจดูน่าเบื่อ ลองสร้างลวดลายแปลกตาลงบนบานประตูด้วยการเจาะช่องวงกลมหลายๆวงที่หน้าบาน ตกแต่งด้วยกระจกเงาตัดให้พอดีกับช่องวงกลมแต่ละวง แล้วทำแป้นหมุนให้สามารถหมุนแผ่นกระจกขึ้นลงได้ กระจกเงาจะช่วยสะท้อนภาพและสีสันสวยๆให้ปรากฏบนหน้าบานประตูดูเก๋และแปลกตาไปอีกแบบ ไอเดียนี้เหมาะกับบานไม้จริงทั้งแผ่น ไม่เหมาะกับบานประตูกรุไม้อัด

◐◑แฟ้มภาพนิตยสาร room



6.ประตูกรุช่องแสง
จากประตูไม้ฝาปะกนแบบไทยๆเรียบๆธรรมดา เราสามารถเพิ่มช่องแสงขนาด 15 ? 20 เซนติเมตร ที่หน้าบานไม้แล้วกรุกระจกสีลงไป ช่วยให้ห้องดูเด่นด้วยแสงสีให้ความรู้สึกแบบบ้านย้อนยุคที่ทันสมัย เพิ่มรายละเอียดแบบไทยด้วยมือจับห่วงทองเหลือง
แฟ้มภาพนิตยสาร room



7.บานตู้สแตนเลส
   ประตูสแตนเลสแบบนี้เหมาะกับห้องครัวเป็นอย่างยิ่ง นอกจากเข้ากับเครื่องใช้ในครัวแล้วยังมีความทนทานเช็ดทำความสะอาดง่าย เพื่อความปลอดภัยจึงควรลบขอบมุมให้ดี แต่ถ้ากลัวราคาสั่งทำจะสูงเกินไป เราสามารถกรุแผ่นฟอร์เมกาลายสแตนเลสลงบนประตูไม้อัดแทนได้ ขอดีของการใช้แผ่นฟอร์เมกาคือมีราคาถูก ทั้งยังมีพื้นผิวโลหะต่างๆ และลวดลายให้เลือกมากมาย เช่น พื้นผิวที่มีรูเล็กๆ หรือลายปัดขนแมว ฯลฯ ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้ได้ตามใจชอบ
แฟ้มภาพนิตยสาร room



8.บานใสๆ
ไอเดียนี้เหมาะกับบ้านที่ต้องการความโปร่งโล่ง แต่ก็ยังต้องการแบ่งสัดส่วนเพื่อกั้นเสียงและความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่ให้กระจายออกไป เราจึงขอแนะนำให้กั้นพื้นที่ด้วยประตูบานเฟี้ยมกระจกใสนิรภัยหนา 10 มิลลิเมตร เพื่อกั้นเสียงและรองรับแรงกดทับของหน้าบาน ยึดบานกระจกแต่ละบานด้วยเฟรมทั้งด้านล่างและบน แผ่นกระจกเปลือยเปล่านี้ช่วยให้บ้านโปร่งสบายตาและมีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว
แฟ้มภาพนิตยสาร room




9.ประตูจีนแบบประยุกต์
   เปลี่ยนกระดาษสาที่เคยกรุหลังประตูไม้จีนฉลุลายโปร่งๆแบบโบราณ มาเป็นการติดแผ่นกระจกฝ้าหนา 3 มิลลิเมตรแทน ทั้งนี้ก็เพื่อกันฝนและบังสายตาจากภายนอก เสร็จแล้วตีคิ้วไม้ทับให้แข็งแรง แต่ถ้าต้องการให้เหมือนประตูติดกระดาษสาหรือผ้าโบราณจริงๆก็ทำได้เช่นกัน เพียงแค่ติดฟิล์มกระจกลายสวยๆทับลงไปเท่านี้ก็ได้ประตูในแบบที่ต้องการแล้ว เนื่องจากประตูเป็นไม้แกะสลักจึงไม่ทนแดดและฝน ดังนั้นเราจึงควรติดตั้งบานประตูให้เปิดเข้าหาตัวบ้าน แล้วยกวงกบและหน้าบานให้สูงกว่าระดับพื้นภายนอกด้วย

◐◑ สถานที่ บ้านคุณวิชัย อิ่มสุขสม


10.ประตูแบบเข้ามุม
ซ่อนประตูบานเลื่อนในผนังทั้งสองด้าน แล้วกรุกระจกฝ้าเพื่อทำเป็นหน้าบานประตู เมื่อเลื่อนมาชนกันจะเกิดพื้นที่ห้องมุมฉาก ใช้เป็นพื้นที่แต่งตัวชั่วคราว เหมาะอย่างยิ่งกับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด ส่วนกลอนล็อกอาจใช้กลอนสลักยึดกับพื้นก็ได้ดูสะดวกไปอีกแบบ
แฟ้มภาพนิตยสาร room



11.กรุบานกระจกด้วยสติ๊กเกอร์ลายกราฟิก
ติดสติ๊กเกอร์ลายกราฟิกแบบกึ่งทึบกึ่งโปร่งลายเก๋ๆบนหน้าบานกระจกใส เพื่อบดบังมุมมองจากภายนอกช่วยให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ขั้นตอนการติดสติ๊กเกอร์ทำไม่ยาก เริ่มจากวัดขนาดประตูให้เรียบร้อยแล้วสั่งพิมพ์สติ๊กเกอร์ตามขนาดที่ต้องการ การติดสติ๊กเกอร์มีเคล็ดลับง่ายๆ แค่ฉีดน้ำให้ทั่วบานกระจกแล้วติดสติ๊กเกอร์ลงไป เราสามารถเลื่อนหรือปรับตำแหน่งสติ๊กเกอร์ได้ตามความพอใจ เมื่อลงตัวแล้วจึงค่อยๆใช้ไมบรรทัดรีดน้ำและไล่ฟองอากาศออก ทิ้งให้แห้ง เท่านี้แผ่นสติ๊กเกอร์ก็เรียบสวยไม่มีฟองอากาศ
แฟ้มภาพนิตยสาร room





12.ผนังหลอก
กรุแผ่นสังกะสีบนประตูบานเลื่อนให้ดูกลมกลืนกับผนังปูนซีเมนต์ขัดมัน เมื่อเปิดออกจะพบกับห้องด้านในที่มีลักษณะคล้ายห้องลับซ่อนอยู่หลังผนัง นอกจากนี้ยังสามารถติดแม่เหล็กเพื่อยึดกระดาษโน้ตไว้บนบานประตูสังกะสีเหมือนหน้าบานตู้เย็นได้ด้วยเช่นกัน

◐◑ สถานที่ บ้าน Mr. Pieter Compernol และ Mrs. Stephanie

10 ไอเดียแต่งผนังเก๋ด้วยตัวเอง

|0 ความคิดเห็น
10 ไอเดียแต่งผนังเก๋ด้วยตัวเอง

ใครเบื่อผนังห้องโล่งๆในบ้าน เรามีไอเดียเติมแต่งสร้างมิติและสีสันให้สดใสด้วยวัสดุที่หาได้ไม่ยากในบ้าน พร้อมทั้งสามารถทำได้เองง่ายๆมาฝาก


ไอเดียที่ 1

 นำเอาผ้าลายสวยๆ หรือกระดาษโปสเตอร์ลายสวยๆมาขึงบนเฟรมไม้แล้วแขวนประดับตกแต่ง แทนภาพวาด ก็ทำให้ผนังดูสวยไม่หยอก Tip ผ้าลายสวยๆหากไม่ยาก ก็ม่านผ้า หรือลายเสื้อเก่าๆ ที่บ้าน แต่ถ้าอยากหาซื้อผืนใหญ่ๆลองไปเลือกที่ย่านพาหุรัด


ไอเดียที่ 2

ลองสร้างเรื่องราวบนผนังด้วยสติกเกอร์ ที่เราสามารถติดและปรับเปลี่ยนได้ง่ายๆ และเปลี่ยนได้บ่อยเมื่อคุณเบื่อ Tip ใครที่มีฝีมือหน่อยจะลองลอกภาพที่ชอบลงบนสติกเกอร์แล้วตัดเองได้ไม่ยาก แต่ใครที่ใจร้อนก็ลองหาซื้อลายที่มีขายสำเร็จซึ่งก็มีมากจนเลือกไม่ไหว


ไอเดียที่ 3

นำกระดาษสี หรือกระดาษลายห่อของขวัญสวยๆนำมาตัดให้มีขนาดเท่าๆกันติดสลับลายและสีบนผนังก็ทำให้ผนังจึดๆดูสดใสขึ้นได้มาก Tip นอกจากกระดาษ จะนำไอเดียนี้กับการติดวอลล์เปเปอร์สลับลายก็ดูเก๋ไม่เบา



ไอเดียที่ 4

จานชามสวยๆ อย่าเก็บไว้แต่ในตู้ นำมาแขวนประดับตกแต่งผนัง จัดเรียงดีก็ดูสวยสะดุดตา Tip นอกจากจานชามสวยๆแล้ว กรอบรูปหรืองานตกแต่งสวยๆก็ใช่ตกแต่งผนังได้เหมือนกัน



ไอเดียที่ 5

วอล์เปเปอร์หรือภาพลายสวยๆ เรานำมาใส่กรอบไม้สวยๆมาจัดวางตกแต่ง ให้ผนังเป็นลายกราฟฟิกเท่ๆได้ไม่ยาก Tip ไอเดียนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผนัง ลองนำไปตกแต่งฝ้าเพดานห้องก็ดูเก๋ดี



ไอเดียที่ 6

นำภาพสัตว์หรือตัวการ์ตูนที่ชอบมาตกแต่งผนังให้ดูสนุกสนาน แต่จะให้เก๋ต้องติดโดยเล่นไปกับชั้นวางของ หรืองานตกแต่งต่างๆเพื่อสร้างเรื่องราวให้สนุกสนาน Tip เลือกสติกเกอร์ลายสวยๆมาติด หรือจะตัดภาพโปสเตอร์มาติดก็ไม่ว่ากัน


ไอเดียที่ 7

ไอเดียนี้เหมาะกับห้องที่ไม่มีหน้าต่าง แต่ต้องการวิวสวยๆเข้าในห้อง ที่คุณทำง่ายๆด้วยการเลือกวิวที่อยากเห็นจากลายวอล์เปเปอร์ติดตกแต่ง บนผนังหรือทำบานหน้าต่างหลอกแล้วติดภาพวิวหลอกสายตาให้เห็นวิวสดชื่นได้ทุกวัน Tip หากไม่มีลายวอล์เปเปอร์วิวที่ชอบ คุณสามารถหาภาพวิวที่ชอบจากภาพในเว็ปไซด์ต่างๆหรือถ่ายภาพแล้วนำไปพิมพ์อิงค์เจ็ตบนสติกเกอร์เพื่อติดผนัง


ไอเดียที่ 8

กรอบรูปไม่ได้มีไว้ใส่รูปภาพแบนๆอย่างเดียว คุณสามารถนำไอเดียนี้ไปใช้เพิ่มมิติของห้องได้ด้วยการใส่ของตกแต่งหรือของสะสมลงไปในกรอบรูป และด้วยการจัดวางองค์ประกอบให้สะดุดตาผนังมันก็กลายเป็นงานศิลปะตกแต่งผนังชิ้นใหญ่ได้ด้วย Tip เทคนิคการจัดวางให้ดูดี คือต้องจัดวางกรอบเหล่านั้นให้เป็นกลุ่มก้อน ส่วนรูปภาพหรืองานตกแต่งชิ้นเล็กๆเบาเราสามารถติดผนังด้วย ดินน้ำมันติดรูป หรือเทปสองหน้าของ 3M ที่ติดและลอกออกได้โดยผนังไม่เป็นรอย


ไอเดียที่ 9

เพิ่มพื้นที่งานบนผนังสำหรับวางของตกแต่ง หรือมองดูสวยๆได้ด้วย การจัดวางเรียงชั้นวางของ หรือกรอบไม้ต่างๆ ซ้อนไปมาให้เป็นลวดลายต่างๆ ก็เป็นอีกไอเดียที่ไม่เลว Tip แนะนำให้เลือกใช้รูปทรงที่ดูคล้ายๆกันเพื่อให้ดูกลมกลืน สวยงาม


ไอเดียที่ 10

ลืมวอล์เปเปอร์ไปได้เลยเพราะหน้าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารสวยๆก็สามารถใช้แทนวอล์เปเปอร์ได้ แค่นำมาติดไปบนผนังทีละแผ่นด้วยกาวติดวอล์เปเปอร์ อาศัยเวลาหน่อยแต่รับรองสวยแน่นอน Tip เคล็ดลับความสวยอยู่ที่การเลือกโทนสี หรือภาพที่เป็นเรื่องราวที่ดูเข้ากัน เพื่อให้ไม่ดูรกตาจนเกินไป