วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

5 เคล็ดลับสมุนไพรไทยคลายร้อน

|0 ความคิดเห็น
5 เคล็ดลับสมุนไพรไทยคลายร้อน 
อากาศร้อนๆ เช่นนี้ หลายคนอาจกำลังหาวิธีผ่อนคลายความร้อนกันสารพัดรูปแบบ บ้างหลบร้อนด้วยการไปเที่ยวทะเล หรือ ทาแป้งเย็นหลังอาบน้ำก็ยิ่งดี แต่ถ้ายังไม่มีวิธีที่ถูกใจ เรามี 5 สมุนไพรไทยคลายร้อนมาฝากกันค่ะ 
     1. ผักและผลไม้ไทยรสขมหรือเย็น ตามหลักของการแพทย์แผนไทยบอกไว้ว่า ฤดูร้อน ธาตุไฟจะมาก ถ้าเราจะดับร้อนด้วยอาหาร ก็ต้องรับประทานอาหารที่มีรสขมหรือรสเย็น ไม่ว่าจะเป็นพืชผักหรือผลไม้ก็ได้ นำมาปรุงเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม รสขมจะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร และช่วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะความร้อนได้ด้วย 
     2. ใครๆ ที่โปรดปรานน้ำพริกเป็นพิเศษ ก็อยากจะแนะนำว่า อย่าให้รสเผ็ดจัดมากนัก เพราะอาจร้อนยิ่งขึ้นได้ แต่หากชอบน้ำพริกจริงๆ ก็ต้องรับประทานแกล้มกับผัก ไม่ว่าจะเป็นแตงกวา แตงโมอ่อน ตำลึง ยอดแคลวก ส่วนคนที่นิยมรับประทานใบบัวบกสดๆ ให้นำมาคั้นเป็นเครื่องดื่มก็ยิ่งดี 
     3. ขนมจำพวกลอยแก้วต่างๆ เช่น กระท้อนลอยแก้ว ว่านหางจระเข้ลอยแก้ว นอกจากรสชาติอร่อยแบบไทยๆ แล้วยังชื่นใจ ช่วยคลายร้อนได้อย่างมาก สำหรับชาวชีวจิต เราแนะให้ใช้น้ำตาลทรายมาปรุง และระวังอย่าให้หวานมาก 
     4. ดับกระหายด้วยน้ำดื่ม อาจจะนำดอกมะลิหอมๆ มาลอยในน้ำดื่มก็ได้ หรือหยดด้วยน้ำยาอุทัยยิ่งดี เพราะนอกจากจะมีกลิ่นหอมชื่นใจ ในน้ำยาอุทัยที่ดื่มๆ กันนั้น ยังมีสมุนไพรไทยชื่อว่า ฝาง ที่มีสรรพคุณบำรุงโลหิต ทำให้เลือดเย็น แก้ท้องร่วง ธาตุพิการ แก้กระหายน้ำได้ดี
           นอกจากนี้ ยังมีชะเอมเทศ และอบเชยเทศ มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ขับลมเบื้องต่ำ แก้เสมหะเป็นพิเศษ แต่งกลิ่น แก้คันระคายคอ และมีเกสรทั้งห้าที่ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน ทำให้เจริญอาหาร 
     5. แก้ร้อนในด้วยฟ้าทะลายโจร หรือมะแว้ง ในส่วนของฟ้าทะลายโจรมีวิธีกินง่ายๆ โดยเอาใบมาล้างให้สะอาดใส่แก้วแล้วเทน้ำ ร้อนลงไปจิบน้ำอุ่น หรือรับประทานแบบแคปซูลก็ได้จะขมน้อยกว่า แต่ถ้ามีแผลในปากร่วมด้วย ควรใช้เสลดพังพอนตัวเมีย คั้นเอาแต่น้ำ และ ใช้ทา ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

สมุนไพรคลายร้อน

|0 ความคิดเห็น
สมุนไพรคลายร้อน

    ในช่วงหน้าร้อนเป็น ช่วงเปลี่ยนอากาศจากหนาวมาเป็นร้อน ร่างกายคนเราอาจไม่สามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้ จึงเกิดภาวะเสียสมดุล และมักจะมีอาการป่วยขึ้นมาได้ บางคนอาจเกิดอาการภาวะขาดน้ำและเกลือแร่จากการเสียเหงื่อในปริมาณมาก และ/หรือจากการทำงานกลางแจ้ง ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียได้ หน้าร้อนธาตุไฟจะมาก โบราณเรียก "ธาตุไฟกำเริบ" คนสมัยก่อนจึงปรับปรุงการใช้ชีวิตในหน้าร้อนไม่ให้ร้อน โดยภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือภูมิปัญญาพื้นบ้านนี่เอง สามารถประยุกต์ใช้ดูแลตัวเองตามหลักธรรมชาติ โดยเริ่มตั้งแต่อาหารการกิน
    ถ้าเราจะดับร้อนก็ต้องเน้นรับประทานอาหารที่มีรสจืด รสขม และรสเย็น จะเป็นพืช ผักหรือผลไม้ก็ได้ นำมาปรุงเป็นอาหารหรือขนม โดยเฉพาะพืชตระกูลแตงทั้งหลาย ถือว่ามีบทบาทมากที่สุด เช่นแตงกวา แตงโม ฟัก แฟง มะระ หรือรากบัว ใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น อาหารประเภทแกงจืด อาจเป็นแกงจืดฟักเขียว แกงจืดตำลึง แกงจืดมะระยัดไส้ ผักบุ้ง ผักกระเฉด เป็นต้น ถือว่าเหมาะกับบรรยากาศในช่วงนี้มากทีเดียว  จึงแนะนำวิธีการดูแลสุขภาพในหน้าร้อนแบบไทยที่ปลอดภัยและประหยัด ตามหลักทฤษฎีการแพทย์แผนไทย โดยยึดหลักความสมดุลทั้ง 4 ธาตุในร่างกาย คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
 --- สมุนไพรที่สามารถปรับธาตุทั้ง 4 ให้สมดุลในหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึงนี้ ได้แก่
1.ฟ้าทะลายโจร สามารถแก้อาการอักเสบร้อนในได้ วิธีกินง่ายๆ โดยเคี้ยวใบสดสัก 3-4ใบแล้วอมไว้ค่อยๆ กลืน หรือเอาใบสดมาล้างให้สะอาดใส่แก้วแล้วเทน้ำร้อนลงไปจิบน้ำอุ่น หรือรับประทานแบบแคปซูลก็ได้สำหรับผู้ที่ไม่ชอบรสขม
2.มะแว้ง สรรพคุณใกล้เคียงฟ้าทะลายโจร ทานผลมะแว้งแกล้มกับน้ำพริก ใบสดหรือทั้งต้นนำมาหั่นตากแห้ง แล้วชงน้ำอุ่นจิบเรื่อยๆ นอกจากคลายร้อนแล้ว ยังสามารถลดน้ำตาลได้ดี เหมาะกับผู้ที่เป็นเบาหวาน
3.ฝาง (รสขมฝาดเย็น) สรรพคุณบำรุงโลหิต ทำให้โลหิตเย็น แก้ร้อนใน แก้ธาตุพิการ แก้ไข้ แก้เสมหะ บำรุงโลหิต  แก้ท้องร่วง ธาตุพิการ แก้กระหายน้ำได้ดี มีผสมในน้ำยาอุทัย ใช้ผสมน้ำดื่มตอนอากาศร้อน
4.ชะเอมเทศ และอบเชยเทศ มีรสหวาน สรรพคุณบำรุงหัวใจ ขับลมเบื้องต่ำ แก้เสมหะเป็นพิเศษ แต่งกลิ่น แก้คันระคายคอ
5. เกสรทั้งห้า มะลิ พิกุล บุนนาค สารภี บัวหลวง ที่ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ชูกำลัง บำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน ทำให้เจริญอาหาร รวมถึงดอกไม้ต่างๆ ล้วนมีสรรพคุณดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ทั้งสิ้น เช่นดอกเก๊กฮวย ดอกแค ดอกคำฝอย
6.จันทน์ขาว (รสขมหวาน) สรรพคุณ บำรุงประสาท แก้ตับปอด และดีพิการ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
7.จันทน์แดง (รสขมเย็น) สรรพคุณ แก้ไข้เพื่อดีพิการ ทำให้ชื่นใจ ดับพิษไข้  ร้อนใน
8.สมอไทย (รสฝาด เปรี้ยว) สรรพคุณ ขม แก้ไข้เสมหะ ระบายท้อง แก้ลมป่วง แก้พิษร้อนใน คุมธาตุ
   สำหรับหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง คงไม่มีอะไรดีไปกว่าเครื่องดื่มปรุงจากสมุนไพรช่วยดับกระหายที่มีคุณค่ามาดับร้อน ผ่อนกระหาย ซึ่งการดื่มน้ำสะอาด เย็นชื่นใจก็ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ น้ำสมุนไพรเป็นเครื่องดื่มที่ได้จากพืชหลายชนิด เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ นำมาแปรรูปให้เหมาะสมตามฤดูกาล
    น้ำสมุนไพรมีรสชาติอร่อยตามธรรมชาติ ให้คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายโดยตรงตามชนิดของสมุนไพรที่นำมาทำน้ำสมุนไพร เสริมระบบการย่อยอาหาร ช่วยให้เจริญอาหาร ให้พลังงาน ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายกระชุ่มกระชวย และอุดมไปด้วยวิตามินเกลือแร่ ยังช่วยบำรุงเส้นผม ช่วยควบคุมไขมันส่วนที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสารอาหารในน้ำสมุนไพรช่วยควบคุมระบบการทำงานของร่างกายทำให้สารอาหารชนิดอื่นๆ ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่
               นอกจากจะมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการป่วยไข้ทางกายแล้ว ความสดชื่นที่ได้จากกลิ่น และรูปรสของพืชผลเมืองร้อน ยังช่วยกล่อมเกลาอารมณ์และจิตใจได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อนเหงื่อออกมาก การดื่มน้ำสมุนไพรก็จะช่วยให้จิตใจชุ่มชื่น รู้สึกสบาย เพราะน้ำสมุนไพรบางชนิดสามารถช่วยผ่อนคลายความร้อน ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เช่น น้ำมะขาม ช่วยลดอาการกระหายน้ำ น้ำสมุนไพรบางชนิดช่วยบำรุงหัวใจเป็นยาเย็น เช่น น้ำใบเตย น้ำใบบัวบก น้ำสมุนไพรบางชนิด มีคุณสมบัติช่วยย่อย ทำให้ธาตุปกติและฟอกเลือด เช่น น้ำมะเขือเทศ ดังนั้น น้ำสมุนไพรจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยบำรุงปกป้องรักษาสภาวะร่างกายให้เกิดสมดุล ทำให้สุขภาพดี
   น้ำสมุนไพรมีประโยชน์แตกต่างกัน เช่น
 1.มะตูมสุก รสหวานเย็น สรรพคุณแก้ลม แก้เสมหะ แก้มูกเลือด บำรุงไฟธาตุ แก้กระหายน้ำ ขับลม รสฝาด แก้ปวดศีรษะ ตาลาย เจริญอาหาร ลดความดันโลหิตสูง

2.กระเจี๊ยบแดง ช่วยแก้กระหายน้ำและทำให้สดชื่นแล้ว น้ำกระเจี๊ยบยังช่วยขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ช่วยย่อยอาหาร และเป็นยาระบายอ่อนๆ แถมยังช่วยลดไข้และแก้ไอได้อีกด้วย
3.ดอกเก็กฮวย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้สดชื่น ลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะอากาศร้อน
4..ใบว่านหางจระเข้ ช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แถมยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดีและท้องไม่ผูก น้ำดื่มสมุนไพรชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนนอนดึกและอ่อนเพลีย
5.น้ำรากบัว เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้ ได้มาจากรากบัวต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเพื่อดับกระหาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณแก้ท้องร่วง แก้ร้อนใน ลดไข้ ขับเสมหะ บำรุงกำลัง ช่วยให้เจริญอาหาร
6.น้ำว่านกาบหอย ทำมาจากใบว่านกาบหอย ใช้ดื่มเพื่อแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และยังแก้ฟกช้ำภายในได้ด้วย
7.น้ำใบบัวบก เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันดี ช่วงที่อากาศร้อนแบบนี้ เกือบทุกคนจะนึกถึงน้ำใบบัวบก น้ำสมุนไพรนี้ได้มาจากใบบัวบกสด มีสรรพคุณแก้เจ็บคอ กระหายน้ำ แก้ช้ำใน โรคปากเปื่อย ปวดศีรษะข้างเดียว ทำให้สดชื่น และยังช่วยลดความดันโลหิตสูง
8.น้ำใบเตย เพิ่มความสดชื่น ช่วยในการบำรุงหัวใจ ลดอาการกระหายน้ำ
9.มะนาวผสมน้ำผึ้ง เป็นยาแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้ท้องอืด ช่วยขับลม แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน บำรุงธาตุ แก้เลือดออกตามไรฟัน และถ่ายพยาธิ

-วิธีการดื่มที่ดี : ควรดื่มแบบจิบช้าๆ และควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและทางยา มากกว่าปล่อยทิ้งไว้นานแล้วดื่ม
-วิธีการทำน้ำสมุนไพร : ใช้สมุนไพรนำมาต้มให้เดือดและเคี่ยวจนมีสีของสมุนไพรออกมาใส่เกลือเล็กน้อยเพื่อเสริมเกลือแร่ หรือใส่น้ำตาลกรวดปรุงรสตามความพอใจ
   นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีรสขม เพราะตามตำราโบราณรสขมช่วยดับพิษร้อนได้จึงแนะนำให้ทานผักมาก ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น น้ำมะระ ใบบัวบก หรือจับเลี้ยง ในส่วนของอาหารที่มีรสขม เช่น ยอดมะระสด หรือแกงขี้เหล็กปลาย่าง รับประทานมื้อเย็นจะช่วยให้หลับสบาย และช่วยให้ระบบขับถ่ายสะดวกขึ้น
              ยิ่งอากาศร้อน คุณยิ่งต้องใส่ใจเรื่องของการรับประทานอาหารมากขึ้นนะครับ เพราะการเลือกรับประทานอาหารในช่วงอากาศร้อนอย่างนี้ ยังช่วยให้คุณ.. ไม่ต้องเสี่ยงต่อโรคท้องร่วงและโรคอาหารเป็นพิษ
*ที่สำคัญคือ อย่าปล่อยให้จิตใจเราร้อนตามอากาศรอบกายก็แล้วกัน รักษาใจให้เย็นไว้
ข้อมูลโดย. อาจารย์นิพันธ์พงศ์  พานิช กรรมการผู้จัดการ ศูนย์ความงามโอเรียนทอลบิวตี้

น้ำมันรำข้าว และ จมูกข้าว

|0 ความคิดเห็น
ไวทอลสตาร์ น้ํามันรําข้าว (Vital Star)




ข้าวขาวที่เรานิยมบริโภคเป็นอาหารหลัก ประจำวัน เป็นข้าวที่ผ่านการขัดสี เอาเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว หรือที่เรียกว่า รำข้าวและจมูกข้าว ซึ่งส่วนนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ออกไปหมดอย่างน่าเสียดาย

ดังนั้นในปัจจุบันนี้ จึงเห็นว่ามีการสกัดรำข้าวและจมูกข้าว มาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งการสกัดนี้ต้องทำด้วยกระบวนการพิเศษภายใน 24 ชั่วโมงหลังการสี เพื่อให้ได้น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว ที่ให้ประโยชน์กับสุขภาพร่างกาย ได้อย่างครบถ้วน

โดยกรรมวิธีสกัดนี้จะไม่มีการใส่ัวัตถุกัน เสีย เนื่องจากมีวิตามิน อี ธรรมชาติในรูปของ โทไคไตรอีนอล (Tocotrienol) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระฤทธิ์แรงอยู่ในปริมาณสูง และไม่มีการเติมสารเคมี หรือ แต่งสี

ส่วนสำคัญคือ สารแกมม่า-โอไรซานอล (Gamma-Oryzanol) ซึ่งพบเฉพาะใน”ข้าว” เท่านั้น และมีงานวิจัยกว่า 60 ปี ว่าสามารถช่วยดูแลสุขภาพครอบคลุมโรคเสื่อมทุกชนิด

โรคเสื่อม…ภัยร้ายใกล้ตัวคุณ

โรคเสื่อม คือ โรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากอนุมูลอิสระ เช่น

- โรคมะเร็ง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์

- หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

- ความดันโลหิตสูง

- คอเลสเตอรอลในเลือดสูง เส้นเลือดตีบ

- โรคเก๊าท์ โรคข้อเสื่อม รูมาตอยด์

- อาการวัยทอง นกเขาไม่ขัน

- ไมเกรน อาการเครียด นอนไม่หลับ

- ผิวหนังไม่กระชับ แห้งเ่ยว ตกสะเก็ด

- ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ

- สิวอักเสบ เป็นฝ้า-กระ จุดด่างดำ

- ปวดเมื่อย ไทรอยด์

- ท้องผูก

- ภูมิแพ้ ไซนัส

รายงานจากการประชุมใหญ่ทางวิชาการ ซึ่งสนับสนุนโดยสมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) กล่าวรายงานผลของน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว ว่าสามารถลดคอเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL) ที่ก่อให้เกิดอันตรายได้ถึง 30% โดยไม่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดลง จึงช่วยป้องกันการเกิดหัวใจวายได้

เรื่องการลดคอเลสเตอรอลในเลือด ผมมีผลการตรวจร่างกาย ยืนยันครับ ว่าก่อนทาน กับหลังทาน จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

ผลจากการทานต่อเนื่องมา 1 ปี เป็นแบบนี้ครับ

ก่อนทาน ไขมันดี (HDL) 61 หลังทาน ค่าเพิ่มขึ้นเป็น 69

ก่อนทาน ไขมันอันตราย 124 หลังทาน ลดเหลือ 84.6

ก่อนทาน ไขมันไตรกลีเวอร์ไรด์ 230 หลังทาน ลดเหลือ 132


จริงๆแล้ว การวิจัยเรื่องนี้ มีมากว่า 60 ปีแล้วครับ เอกสารเรื่องนี้ ก็มีมากมายครับ

ผม มีข้อมูลเชิงลึกอีกปึกใหญ่เลยครับ เพราะในตอนแรก ผมก็สงสัยเหลือเกินว่า ทำไมมันครอบคลุมได้หลายโรคจัง แต่พอมาทำความเข้าใจจริงๆ ก็รู้เลยว่า มันเข้าไปดูแลเรื่องโรคเสื่อม ในร่างกายเราครับ

ปัจจุบันน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวที่ผลิตใน ประเทศไทย มีเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้น ที่ได้รับการรับรองจากสาธารณสุขประเทศญี่ปุ่น คือ Vital Star ซึ่งจัดจำหน่ายโดย บริษัท
เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด

ประเทศที่สามารถผลิตน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวได้ ในปัจจุบันมีเพียง 4 ประเทศในโลก คือ ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย และ สหรัฐอเมริกา

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว Vital Star ผลิตโดยบริษัท ที่มีกำลังการผลิต และคุณภาพเป็นอันดับ 1 ในเอเซีย จึงมั่นใจได้ในคุณภาพ

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว Vital Star บรรจุอยู่ในลักษณะแคปซูล จำนวน 60 เม็ด ต่อ 1 ขวด สามารถรับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย เนื่องจาก เป็นผลิตผลจากข้าว 100%

ตัวอย่างผู้ใช้นำมันรำข้าวและจมูกข้าว
Aimstar ดูแลสุขภาพ

คุณขวัญฤดี แก้วอนันต์ (กทม.) – พยาบาลวิชาชีพ

- มีปัญหาเรื่องปวดประจำเดือน จะทรมานมากเวลามีประจำเดือน หลังได้รับคำแนะนำให้ทานน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว
aimstar Vital Star วันละ 4 แคปซูล อาการปวดประจำเดือนก็หายไป จนปัจจุบันไม่มีอาการปวดประจำเดือนให้ทรมานอีกเลย

เรือเอก พัดขจร (สัตบ) – โรคเก๊าท์

- ปวดเข่ามาก เมื่อเดินเร็วหรือวิ่ง รับประทานน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว Vital Star 1 เดือน ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน ไม่พบอาการปวดอีก

คุณจำนงค์ (ชลบุรี) – เป็นโรคอัมพฤกษ์ซีกขวามา 1ปี

- น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว
aimstar Vital Star ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน 2 เดือน สามารถลุกขึ้นเดินได้เกือบปกติ

คุณอารี ปาณิกบุตร – อายุ 80 ปี เป็นมะเร็งที่ไตและปอด ตัดปอดด้านขวาไป 1 ซีก

- ต้องทานยาเคมีวันละ 4 เม้ด ราคาเม็ดละ 2,000 บาท มีอาการแพ้ยาทรมานมาก น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว Vital Star วันละ 9 แคปซูล ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน 2 เดือน อาการดีขึ้น จนแพทย์ลดยาเคมี

คุณนฤมล (เพชรบุรี) – มะเร็งเต้านมขั้นที่ 4

- มะเร็งขั้นรุนแรง และลามไปที่กระดูกสันหลัง รับประทานน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว Vital Star วันละ 9 แปคซูล ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน 5 สัปดาห์ เซลล์มะเร็งลดขนาดลง จากนั้นอีก 9 เดือน ตรวจไม่พบเซลล์มะเร็ง

ส่วนอัมพฤต ผมได้มีโอกาสรู้จักกับคุณจำนงค์ ซึ่งอยู่จังหวัด ชลบุรี ท่านเป็นอัมพฤกษ์ ซีกขวามา 1 ปี หลังจากรับประทานน้ำมันรำข้าว ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน ตอนนี้สามารถลุกขึ้นเดินได้ปกติครับ

ส่วนในกรณีโรคหัวใจ คุณจิรัฏฐ์ พัฒนพลวีรกุล ท่านเป็นโรคหัวใจมา 7 ปี ผ่าตัดทำบอลลูนไปแล้ว 2 ครั้ง(4เส้น) มีอาการหอบ เหนื่อย ท่านรับประทานน้ำมันรำข้าว 2 เดือน อาการดีขึ้น มีแรง และตอนนี้หมอก็ลดยาลง ปัจจุบันทานน้ำมันรำข้าวต่อเนื่องมา 2 ปี ร่างกายแข็งแรง

น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว Aimstar Vital Star เห็นผลทันทีตั้งแต่วันแรกที่รับประทาน ถึงแม้คุณจะเป็นคนที่มีสุขภาพดีอยู่แล้ว น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว Vital Star มีวิตามิน บี คอมเพล็กซ์สามารถช่วยในเรื่องของระบบประสาท ลดความเครียด ทำให้หลับลึกขึ้น หลับง่ายขึ้น ตื่นขึ้นมาจะรู้สึกสดชื่น

7 ข้อสดใสเปิดโลกกว้าง สร้าง EQ ให้แข็งแรง

|0 ความคิดเห็น
วิธีการบริหาร EQ ให้แข็งแรงง่ายๆ ดังนี้ค่ะ

1.ต้องรับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกตนเองมากกว่าการที่จะต้องคอยกล่าวโทษคนอื่น หรือ สถานการณ์ บางครั้งการที่หมกมุ่นอยู่กับความเครียด มุ่งมั่นความสำเร็จมากเกินไปก็อาจทำให้ละเลยการใส่ใจอารมณ์ของตนเอง

2.ควรแยกแยะระหว่างความคิดและความรู้สึกของตนเองให้ได้ ไม่จำเป็นต้องตอบสนองความรู้สึกนั้นทุกครั้ง แต่การคิดอย่างมีเหตุผลจะสามารถช่วยควบคุมการตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกได้

3.รู้จักใช้ความรู้สึกเพื่อช่วยในการตัดสินใจบ้างในบางครั้ง แต่ควรจะควบคู่ไปกับการใช้สติด้วยค่ะ

4.รู้จักที่จะนับถือความรู้สึกของผู้อื่น แม้จะเป็นคนที่เก่งน้อยกว่าแต่อาจจะมีประสบการณ์ที่ดีกว่าก็ได้นะจ๊ะ ^^

5.ควรควบคุมจิตใจไม่ให้โกรธหรือแสดงออกทางอารมณ์มากเกินไป การฝึกบ่อยๆ จะช่วยให้ควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

6.หาเรื่องบวกในอารมณ์ลบ เช่น หาเหตุผลในเวลาที่รู้สึกไม่สบายใจ เครียด ท้อแท้ เพื่อฝึกให้เป็นคนที่มีเหตุผลมากขึ้น จิตใจจะเข้มแข็งมากขึ้นสามารถต่อสู้ในเหตุการณ์ครั้งต่อไปได้ค่ะ

7.อย่าทำตัวเป็นคนที่ชอบแนะนำ สั่งสอน อบรม วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นตลอดเวลา ควรรับฟังความคิดเห็น ประสบการณ์จากคนอื่นจะช่วยให้เป็นคนที่รู้จักยืดหยุ่นมากขึ้น หมั่นฝึกบ่อยๆ ก็จะเสริมสร้างให้ EQ เข้มแข็งตลอดไป ^^

5 วิธีง่ายๆ ออกกำลังกายในที่ทำงาน

|0 ความคิดเห็น
สำหรับคนที่คิดว่า งานที่ต้องนั่งโต๊ะทั้งวันนั้นสบายแต่ไม่สนุก...มาลองวิธีนั่งสบาย
แถมยังสนุกกับ 5 วิธีออกกำลังกายง่าย ๆ ดูไหมค่ะ นอกจากแก้เบื่อแล้วยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย
จะชวนคนข้าง ๆ มาร่วมด้วยก็ไม่ว่ากัน


เริ่มต้นเหยียดหลังตั้งตรง ย้ำว่าต้องตรงจริง ๆ
การนั่งหลังตรงอาจฟังเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่ามันคือจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพดี
และจะทำให้คุณไม่ต้องเผชิญ กับโรคปวดหลังเมื่ออายุมาก


บริหารคอ
โดยเอียงไปทางซ้าย-ขวา หน้า-หลัง หยุดนิ่งในแต่ละจังหวะประมาณ 10 วินาที


บริหาร แขนและข้อมือ
ยื่นแขนหนึ่งข้างออกไป โดยใช้มืออีกข้างช่วยจับ และเหยียดให้สุดแขน
ทำค้างประมาณ 10 วินาที ทำสลับกันไปทั้งสองข้าง


บริหาร นิ้วมือ
ตั้งฝ่ามือขึ้น แล้วกำจากนั้นเหยียดนิ้วโป้งขึ้นแล้วยกอีก 4 นิ้ว แล้วเหยียดปล่อย ทำซ้ำประมาณ 5 ครั้ง
สลับกันไปทั้งสองข้าง จากนั้น กำแล้วค่อยๆ คลี่ออกทีละนิ้ว เหยียดนิ้วให้ตึงนะ
แล้วก้อสลับกับพับนิ้วลงมาเพื่อกำทีละนิ้ว..แล้วก้อ สลับกำและคลี่ ประมาณ 5 ครั้ง


บริหารช่วงอกและแขน
หามุมเหมาะๆ ยืนหันหน้าเข้าหากำแพง ห่างประมาณ 1 ฟุต ยกแขนขึ้นให้ข้อศอกอยู่ระดับเดียวกับหัวไหล่
จากนั้นทิ้งน้ำหนักไปที่กำแพงค้างไว้ประมาณ 10 วินาที

คนแบบไหนต้องการวิตามินซี ?

|0 ความคิดเห็น

16 ความรู้สู่ผิวสวย

|0 ความคิดเห็น

16 ความรู้สู่ผิวสวย

1.กลูตาไธโอน (Glutathione)ประกอบด้วย Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน เมื่อร่างกายได้รับ Tyrosinase ในปริมาณที่เหมาะสมจะควบคุมการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวหน้าสวยขาวใส ไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่น ผิวใต้วงแขน ผิวบริเวณ Bikin สีผิวริมผีปากและผิวบริเวณหัวนม จะขาวอมชมพูขึ้น และยังช่วยลดเลือนริ้วรอย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นสาร Detoxification เปลี่ยนสารพิษให้อยู่ในรูปที่ไม่เป็นพิษ เพื่อถ่ายทิ้งเร่งประสิทธิภาพการทำงานของวิตามิน C และ E และทำให้อยู่ในรูปที่ดูซึมได้เร็วขึ้นได้ใน ปลา เนื้อ Asparagus อะโวคาโด วอลนัท

2.ไฮโดรไลซ์ คอลลาเจนจากปลาทะเล (Hydrolized Marine Collagen)เป็นโปรตีนจากปลาทะเล ที่ผ่านกระบวนการไฮโดรไลเซท ด้วยเอนไซม์ โดยทำให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลง จึงได้คอลลาเจนในรูปแบบพิเศษ ซึ่งจะมีขนาดเฉลี่ยประมาณ 1,000-5,000 ตัน จึงมีประสิทธิภาพสูงในกี่ดูดซึมสู่ชั้นผิวได้ทันที ซึ่งต่างจากคอลลาเจนโดยทั่วไปที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่อยู่ที่ 130,000 ดาลตัน ทำให้ดูดซึมสู่ชั้นผิวได้ยาก
ประโยชน์ที่จะได้รับ
- เสริมสร้างซ่อมแซมคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวแข็งแรง มีความยืดหยุ่น
- ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น จึงทำให้ผิวพรรณกระชับ เนียนใส เปล่งปลั่ง
- ช่วยเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำของชั้นผิว ส่งผลให้ผิวเต่งตึง ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน
- บำรุงรากผม และเล็บให้แข็งแรง

3.สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)องค์ประกอบหลักของสารสกัดจากเมล็ดองุ่น คือ OPC (Oilgmeric Proantocyannidins) ซึ่งสารสุขภาพที่อยู่ตามธรรมชาติ โดยจัดอยู่ในกลุ่มสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีความสูง
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของโปรตีนคอลลาเจน และอีลาสติน บำรุงผิวพรรณ ความยืดหยุ่น เรียบลื่น เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเอ็นยึดข้อต่อ และกระดูกอ่อน
- ป้องกันและรักษาโรคหัวใจ โดยยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นเลือด
- เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเส้นโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ผิวสดใส มีเลือดฝาด
- บรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน และการหมดประจำเดือน

4.โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10)เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย เป็นเสมือนแหล่งกำเนิดพลังงานให้กับเซลล์ล้านๆ เซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเซลล์ที่มีความต้องการพลังงานสูง เช่น สมอง หัวใจ ตับ
- มีฤทธิ์ต่อต้านการ oxidation ที่เข้มแข็ง ช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจน (Oxygen) ให้แก่เซลล์เยื่อต่างๆ
- เป็นตัวร่วม (Co-factor) ในขบวนการหายใจระดับเซลล์ ทำให้มีพลังงานในรูปของ ATP (Adenosine Tri Phosphate) มากขึ้น
- มีบทบาทสำคัญในการทำลายสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ที่กล้ามเนื้อหัวใจ
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการหายใจแบบใช้ Oxygen ทำให้กล้ามเนื้อของนักกีฬาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ลดอาการล้าของกล้ามเนื้อจากสภาพที่มีกรดแลคติกในกล้ามเนื้อมากขึ้น
-เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อโรคได้ดีขึ้น

5.สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (Pycnogenol)- มีสารสำคัญคือ Pycnogenol และ OPC(Oilgmeric Proantocyannidins) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
-ลดปริมาณการสร้างเม็ดสี (Melanin) ที่ผิดปกติ อันเป็นสาเหตุของการเกิดฝ้า โดยช่วยให้ความเข้มของรอยหมองคล้ำค่อยๆ ลดลง คืนความยืดหยุ่น เนียนสวย อย่างเป็นธรรมชาติ
- เพิ่มความเข้มแรงและความยืดหยุ่นของโปรตีนคอลลาเจน และอีลาสติน บำรุงผิวพรรณ เพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเอ็นยึดข้อต่อ และกระดูกอ่อน

6.สารสกัดจากมะเขือเทศ (Lycopene)- เป็นสารสกัดจากมะเขือเทศ มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความผิดปกติและความเสื่อมของเซลล์

7.สารสกัดจากถั่วเหลือง (Isoflavons)ไอโซฟลาโวนส์ เป็นสารที่พบในพืชตะกูลถั่วชนิดต่างๆ พบมากในทั่วเหลือง
- มีลักษณะโครงสร้างคล้ายคลึงฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ทำให้ผิวพรรณสดใส มีน้ำมีนวล
- ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่มีสาเหตุจากฮอร์โมนต่างๆ เช่น มะเร็งเต้านมและต่อมลูกหมาก
- ช่วยลดอาการร้อนวูบวาบเนื่องจากการหมดรอบเดือน

8.กรดอัลฟา-ไลโปอิก (Alfa Lipoic)-เป็นสารอาหารประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายวิตามิน โดยทำหน้าที่เป็น Coenzyme ในขบวนการเผาผลาญน้ำตาล และสารอาหารอื่นๆ ให้เป็นพลังงาน จึงมีผลช่วยให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเป็นไปได้ดีขึ้น
-เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แรง ช่วยปกป้องเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกายจากการเผาผลาญน้ำตาลเป็นพลังงาน

9.เบต้า-แคโรทีน (Beta-Carotene)
- พบมากในหัวแครอทหรือหัวผักกาดแดง
- มีคุณสมบัติต้านปฎิกิริยา Oxidation ซึ่งจะมีผลทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่เสื่อมสภาพและกลายเป็นเซลล์มะเร็ง
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอความแก่จากการที่เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร
- ช่วยป้องกันผิวที่อาจเกิดอันตรายจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตที่มากับแสงแดดได้ จึงทำให้ผิวพรรณมีสุขภาพดี ไม่มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย
- กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

10.บิลเบอร์รี่ (Bilberry)- มีสารสำคัญคือ Anthocyanoside ซึ่งสามารถต้านปฎิกิริยา Oxidation ได้ดี ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ และการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ได้ดี โดยเฉพาะเซลล์ที่ผนังหลอดเลือด
- ทำให้ระบบประสาทตาและการมองเห็นดีขึ้น
- สาร Glucoquinine ในบิลเบอร์รี่ จะทำให้อินซูลิน ทำงานเผาผลาญน้ำตาลในเลือดขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- มีสาร Tanin ช่วยให้การฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว

11.ซีลีเนียม (Selenium)- เป็นสารป้องกันการเกิด Oxidation ชั้นเลิศ โดยกระตุ้นร่างกายให้สร้างเอ็นไซม์ กลูต้าไธโอน เปอร์อ๊อกซิเดส
- ลดการเสื่อมของเซลล์ จึงมีผลในการช่วยชะลอความแก่ หรือกระแก่ที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้
- ลดการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

12.ฮอร์สเทล (Horsetail)
- มีสารสำคัญคือ ซิลินคอน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีนคอลลาเจน
- ทำให้เซลล์ผิวหนังกระชับและแข็งแรงขึ้น
- เพิ่มความแข็งแรงของเส้นผม และเล็บ
- มีฤทธิ์ในการฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
- ช่วงเร่งให้ผมขึ้นมาใหม่ ช่วยให้ความแข็งแรงแก่เส้นผม เพิ่มความยืดหยุ่นของเส้นผม และยังทำให้เส้นผมที่แห้งกร้านกลับมีชีวิตชีวา

13.ชาเขียว (Green Tea)
- มีสารสำคัญคือ EGCG ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดการตึงเครียดจากการงานหนัก
- ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล
- ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับภูมิต้านของร่างกาย
- มีคลอโรฟิลล์ที่ช่วยขับสารพิษต่างๆ จากร่างกาย ลดการเกิดมะเร็งจากสารพิษ
- ช่วยลดการอักเสบและติดเชื้อ และลดกลิ่นปากได้

14.ซิงค์ (Zinc)- ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างเอนไซม์ Super Oxide Dismutase ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ
- ช่วยลดการอักเสบและการเกิดสิว พร้อมช่วยสมานผิวและลบเลือนริ้วรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวให้หายเร็วขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เพื่อใช้ในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียไป

15.วิตามินซี (Vitamin C)- เป็นวิตามินที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ป้องกันการเสื่อมของเซลล์
- ช่วยให้ผิวพรรณยืดหยุ่น กระชับ บำรุงรักษาเหงือก ฟัน และกระดูกให้แข็งแรง
- ลดอันตรายจากโลหะหนัก และสารพิษต่างๆ ที่ร่างกายได้รับจากสิ่งแวดล้อม
- ทำให้สุขภาพหลอดเลือดแข็งแรงขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
- สร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรีย ลดอัตราการติดเชื้อหวัด

16.วิตามินอี (Vitamin E)- เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดีเลิศ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ผิว
- ลดการเกิด ไลโปฟุสซิน ที่ทำให้เกิดกระแก่ที่ผิวหนังได้
- ช่วงเร่งให้ขบวนการสมานแผลในร่างกายเร็วขึ้น ลดการเกิดเนื่อเยื่อแผลเป็น ทำให้ร่างกายสร้างระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น ทนทานต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้มาก
- มีผลในด้านการลดระดับโคเลสเตอรอล

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

|0 ความคิดเห็น

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและ กระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2551 11:11 น. http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603

เผย 5 เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ

|0 ความคิดเห็น

เผย 5 เคล็ด(ไม่)ลับ เลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ

ปัจจุบัน การบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพในชีวิตประจำวัน เช่น บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน โดยเลือกผักและผลไม้ที่มีสีต่างๆกัน ทำให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารแลพไฟโตเคมิคัลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออก ซิแดนท์ เช่น ไลโคฟีนในมะเขือเทศ แคโรทีนอยด์ในแครอท และคลอโรฟิลด์ในผักใบเขียว สารออกซิแดนท์เป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัยและการเกิดโรคภัยต่างๆ ความนิยมบริโภคถั่วเหลือง แหล่งโปรตีนจากพืชซึ่งปลอดภัยมากกว่าโปรตีนจากสัตว์ และการบริโภคน้ำมันพืชมีกรดไขมันจำเป็น พบมากในน้ำมันมะกอก รำข้าว ทานตะวัน และน้ำมันงา โดยเฉพาะการได้รับวิตามินอีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันน้ำมันพืชเข้ามามีบทบาทต่อผู้รักสุขภาพอย่างขาดไม่ได้

เคล็ดไม่ลับ 5 วิธีการเลือกอาหารเพื่อสุขภาพตามช่วงอายุ
การ รู้จักเลือกรับประทานอาหารไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องสุขภาพเท่านั้น หากยังเอื้อต่อความสวยความงามอีกด้วย ความจริงการเลือกอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ สุขภาพดีได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุมีความแตกต่างกันในด้านพัฒนาการของร่างกายและลักษณะการ ดำเนินชีวิต วันนี้จึงขอเสนอเรื่องราวของอาหารที่เกี่ยวข้องกับช่วงอายุทั้ง 4 ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่คุณจะลองทำตาม
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 2 ช่วงอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปเป็นช่วงที่ร่างกายมีการพัฒนาและเติบโตเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน และเป็นวัยที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งมีการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมากเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งเผาผลาญและใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ควรเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม โดยเลือกรับประทานจำพวกเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ รวมถึงข้าวและแป้งมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยผักผลไม้เป็นอันดับสอง ส่วนนมและอาหารทดแทนแคลเซียมต่างๆ เช่น เต้าหู้ ปลาเล็กปลาน้อย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม ตามมาเป็นอันดับสาม และให้ความสำคัญของไขมันเป็นอันดับสุดท้าย ปลาเป็นอาหารสมองที่ช่วยรักษาผนังเซลล์ประสาทในสมองให้แข็งแรง ไม่หลงลืมอะไรง่ายๆ ผักสีเขียวอย่างผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักคะน้า ถั่วฝักยาว ช่วยบำรุงสายตา สร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ผักผลไม้สีเหลืองอย่างกล้วยหอมก็ถือเป็นผลไม้คลายเครียดชนิดหนึ่ง
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 อายุขึ้นเลข 3 หลายคนเริ่มตกใจกลัว แต่การรู้จักเลือกรับประทานจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถเดาอายุคุณจากรูปร่าง หน้าตาได้เลย ในช่วงเริ่มวัยผู้ใหญ่ความต้องการพลังงานยังคงอยู่ เพราะเป็นช่วงชีวิตของการทำงาน แต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในเรื่องของไขมันและโคเลสเตอรอลที่จะส่งผลกระทบ กับรูปร่างหน้าตาภายนอกที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตด้วย เพราะการรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เนยแข็ง กะทิ เนยเทียม เป็นต้น จะสร้างปัญหาให้หลอดเลือดและหัวใจ แต่คุณสามารถเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยลดไขมันและโคเลสเตอรอล เช่น ปลาทะเล ช่วยลดความดันโลหิต พวกถั่วเมล็ดแห้งอย่างถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ และมีโปรตีนสูงเพื่อให้พลังงานแทนสัตว์ใหญ่ได้อีก อาหารจำพวกข้าว ธัญพืชไม่ขัดสี อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท มีใยอาหารสูง ช่วยให้อิ่มท้องนานและส่งผลดีต่อระบบลำไส้
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4 วัยทองถูกเรียกแทนวัย 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากสภาพร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้หญิง ส่วนผู้ชายวัยนี้ก็จะเริ่มมีโรคต่างๆที่ไม่เคยออกอาการ ซึ่งเรียกกันว่าเป็น “วิถีทางธรรมชาติ” แต่ ทั้งนี้การชะลอวัยหรือป้องกันโรคต่างๆที่มากับวัยไม่ได้ยุ่งยากเกินกว่าที่ เราจะทำได้ สำหรับช่วงวัยนี้ความต้องการพลังงานจะลดลง แต่ความต้องการแคลเซียมและวิตามินต่างๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะได้รับจากผักผลไม้ที่มีกากใยอาหารสูง แล้วยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีจากอาหารที่หารับประทานได้ง่าย เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ แคนตาลูป ส่วนอาหารที่มีวิตามินอี ได้แก่ น้ำมันพืช เนยถั่ว ถั่วลิสง อัลมอนด์ นอกจากนี้ควรรับประทานเต้าหู้ โปรตีนไขมันต่ำ ซึ่งให้แคลเซียมมากกว่าเนื้อสัตว์อย่างอื่น แต่ไม่ควรลืมหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวเร่งความแก่ให้เร็วขึ้น เช่น อาหารไขมันสูงประเภททอดกรอบหรือผัดน้ำมันมากๆ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มกาเฟอีนทั้งหลาย
วัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 การก้าวเข้าสู่ช่วงวัย 50 เป็นต้นไปนั้นไม่ได้ส่งผลต่อร่างกายอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจด้วย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับวัยนี้คุณควรเข้าใจการทำงานของร่างกายที่มี ประสิทธิภาพลดลง โดยเฉพาะระบบการย่อยการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารบางอย่าง ช่วงนี้คุณอาจไม่รู้สึกกระหายน้ำเท่าไหร่ แต่ควรดื่มน้ำให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว เพื่อป้องกันการขาดน้ำโดยไม่รู้ตัว ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงและพยายามเลือกชนิดไม่ขัดสี เน้นอาหารจำพวกปลาเพื่อไม่ให้ขาดโปรตีน ที่สำคัญคือเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่าย
วัย นี้จะพบปัญหากระดูกเปราะ กระดูกพรุนอย่างชัดเจน ดังนั้น ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ อาหารแคลเซียมสูงอยู่ในนม โยเกิร์ตชนิดครีม เนยแข็ง หรือแม้แต่ปลาตัวเล็กตัวน้อย พวกผักใบเขียวก็มี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบรอกโคลี จะช่วยลดปัญหาเรื่องกระดูกให้รุนแรงน้อยลง การแก้ไขภาวะขาดน้ำอาจให้ดื่มน้ำสมุนไพร เช่น กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย น้ำใบเตย นอกเหนือจากน้ำเปล่า เพราะช่วยบรรเทาโรคบางอย่างและให้ประโยชน์กว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มี กาเฟอีน

สิ่ง สำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใดควรดูแลเรื่องการกินอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือไม่ก็ตาม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะดูแลตัวเองเมื่อพบว่าตัวเองมีโรคหรือมีปัญหาสุขภาพแล้ว เท่านั้น นอกจากนี้การเพิ่มกิจกรรมเคลื่อนไหวระหว่างวันให้มาก ทำบ่อยๆจนติดเป็นนิสัย จะช่วยให้สุขภาพดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประโยชน์ด้านระบบการไหลเวียนเลือด ควบคุมน้ำหนักตัว และลดความเครียดของร่างกายได้




ที่มา: หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

10 อาหารเพื่อสุขภาพที่ควรมีติดตู้เย็นไว้

|0 ความคิดเห็น

10 อาหารเพื่อสุขภาพที่ควรมีติดตู้เย็นไว้

อาหารถือเป็นปัจจัยสี่ที่มีความสำคัญกับ ชีวิตเรา ยิ่งปัจจุบันคนทั่วโลกหันมาใส่ใจกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น การเลือกทานอาหารที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกายจึงกลายเป็นกระแสที่หลายๆ คนทำ โดยเฉพาะในหมู่สาวๆ ที่ต้องดูแลรูปร่างไม่ให้มีไขมันส่วนเกิน ว่าแต่อาหารสุขภาพชนิดใดที่สาวๆ ควรมีติดตู้เย็นบ้างเรามีคำตอบมาให้คุณค่ะ

“น้ำ” ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ สาวคนไหนอยากสุขภาพดี อย่าลืมดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนะคะ
“ผัก” เหมาะ มากในยุคเศรษฐกิจพอเพียง ยิ่งถ้าคุณปลูกพืชผักสวนครัวไว้ทานเอง จะได้ทานผักที่สดและปลอดภัยจากสารพิษ แถมประหยัดด้วย คุณประโยชน์ของผักนั้น ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารมากมาย อาทิ วิตามิน เกลือแร่ เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี “ใยพืช” (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำใส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้
“ไข่ไก่” หากคุณกำลังหาอาหารไว้ติดตู้เย็นสักชนิดที่ทั้งราคาถูกและมีคุณค่าทางอาหาร เราขอแนะนำ “ไข่ไก่” เพราะมีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ, บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก, สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิดๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก
“นม” ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็นนะคะ เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัวค่ะ เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง
“เนื้อปลา” สาวๆ ยุคใหม่หลายคนมองข้ามการทานเนื้อสัตว์ไปเพราะกลัวอ้วน แต่เราว่าคุณจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่หลังจากที่ทราบคุณประโยชน์ของ “เนื้อปลา” เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
“ผลไม้รสเปรี้ยว” ต้องย้ำไว้ก่อนค่ะว่าเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีททำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย
“โยเกิร์ต” เป็นผลิตภัณฑ์จากนมยอดฮิตที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ โดยใน “โยเกิร์ต” มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี 2, บี3,บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนนะคะว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้นๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุดค่ะ
“แอปเปิ้ล” แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น อ้อ ถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือกค่ะ เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัมทีเดียว
“ถั่ว” ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ค่ะ ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคุณค่ะ ที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ใครที่อยากทานอาหารสุขภาพราคาประหยัดต้องไม่พลาดถั่วค่ะ
“ธัญพืช” มื้อเช้าที่เร่งรีบ ถ้าคุณไม่มีเวลาในการเข้าครัวเพื่อทำกับข้าว การมี “ธัญพืช” จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์
ขอบคุณนิตยสาร Spicy

การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี และไม่อ้วน!

|0 ความคิดเห็น

การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี และไม่อ้วน!

การควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้อ้วน โดยการอดอาหารไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องมากนัก เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนแอ ภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคลดลง และไม่มีผลดีต่อร่างกายในระยะยาว

คำแนะนำง่ายๆ ในการควบคุมน้ำหนัก มีหลักการดังนี้
รับประทานไขมันให้น้อยลง ประมาณน้อยกว่า 40-50 กรัมต่อวัน ซึ่งจะทำให้แคลอรี่ลดลง เป็นการลดน้ำหนักที่ดี และลดผลข้างเคียงต่อทางเดินอาหารที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมไขมัน
ลดปริมาณแคลอรี่ต่อวัน ให้เหลือ 600 แคลอรี่ ร่วมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมทีละน้อยๆ และง่ายๆเป็นสิ่งสำคัญกว่า
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ วันละ 3 มื้อ โดยรับประทานเป็นมื้อเล็กๆ พร้อมบันทึกน้ำหนักเป็นเวลา เปรียบเทียบไว้เตือนใจตนเอง
หลักการเรียนรู้การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีนั้น ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5

หมวดโดยเรียงจากกลุ่มที่ควรรับประทานให้น้อยสุด ไปมากสุด ดังนี้
หมวดไขมัน ของหวานและเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ เป็น กลุ่มอาหารที่ให้พลังงานและไขมันสูง ที่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม และมีสารอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายน้อย จึงควรจำกัดอาหารประเภทนี้ให้น้อยที่สุด
หมวดเนื้อสัตว์ ถั่วต่างๆ เป็นแหล่งของโปรตีน วิตามินเอ บี1 บี 6 บี12 วิตามินดี วิตามินเค ธาตุเหล็ก ไนอะซิน สังกะสี และฟอสฟอรับ ที่เสริมสร้างส่วนที่สึกหรอและการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยจำกัดในปริมาณที่ต่ำ และเลือกที่มีไขมันต่ำ
หมวดผัก เป็นแหล่งของวิตามินและเกลือแร่
หมวดผลไม้ เป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ บี6 วิตามินซี กรดโฟลิค โพแตสเซียม เส้นใยอาหาร ในแต่ละวันเราควรเลือกรับประทานผักผลไม้ ให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วน โดยเลือกผลไม้ที่มีสีเหลือง หรือสีส้มจัด ซึ่งเป็นแหล่งอาหารวันละ 1 อย่าง ผักใบเขียวจัดวันละ 1 อย่าง เลือกผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น ส้ม มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป ส่วนที่เหลือ จะเลือกผักผลไม้ ชนิดใดก็ได้
หมวดข้าว แป้ง และเมล็ดธัญพืช เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่มีเส้นใยอาหาร เป็นหมวดที่ต้องรับประทานมากที่สุด เพราะเป็นแหล่งให้พลังงานแก่ชีวิตประจำวัน

กินตามธาตุจากทฤษฎีการแพทย์แผนไทย

|0 ความคิดเห็น

กินตามธาตุจากทฤษฎีการแพทย์แผนไทย

 
แนวคิดกินตามธาตุมาจากทฤษฎีการแพทย์แผนไทยที่เชื่อว่าคนเราเกิดมาในร่างกาย ที่ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ แต่จะมีเพียง 1 ธาตุที่แสดงลักษณะเด่นประจำตัว เรียกว่า “ธาตุเจ้าเรือน” ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ ธาตุเจ้าเรือนเกิดที่เป็นไปตามวันเดือนปีเกิด และธาตุเจ้าเรือนปัจจุบันที่สังเกตจากบุคลิกลักษณะ อุปนิสัย กับปัญหาสุขภาพกายกับใจของแต่ละคน หากธาตุทั้ง 4 ในร่างกายมีความสมดุล จะไม่เจ็บป่วยบ่อย แต่หากขาดความสมดุล ก็มักจะเจ็บป่วยได้ง่าย และเพื่อป้องกันปัญหาโรคภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ เราจึงควรปรับพฤติกรรมการกินโดยใช้รสชาติต่างๆ ของอาหารประจำธาตุ ถ้าพิจารณาในแต่ละธาตุจะพบว่ามีการกินที่แตกต่างกัน เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพที่ไม่เหมือนกัน
  • ธาตุดิน มักจะเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน อาการปวดตามข้อ โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคเกี่ยวกับระบบน้ำย่อย ควรกินอาหารรสฝาดเพื่อช่วยสมานปิดธาตุ (แต่ไม่ควรกินมากเกินไป เพราะจะทำให้ฝืดคอ ท้องอืด และท้องผูก) อาหารรสหวาน เพราะมีสรรพคุณซึมซาบตามเนื้อ ทำให้ชุ่มชื่นบำรุงกำลัง (ไม่ควรกินมากเกินเพราะจะทำให้ง่วงนอน และเกียจคร้าน) อาหารรสมันเพื่อแก้เส้นเอ็นพิการ ปวดเสียว ขัดยอก และกระตุก และอาหารรสเค็ม เพราะมีสรรพคุณซึมซาบไปตามเนื้อ ช่วยการดูดซึมอาหาร ป้องกันการเสื่อมของเส้นเอ็น และกระดูก นอกจากนี้ ควรกินอาหารประเภทแป้งขาวให้น้อย เพราะร่างกายจะเผาผลาญได้ไม่หมด และควรออกกำลังเป็นประจำ
  • ธาตุน้ำ มักมีปัญหาเสมหะเป็นพิษ จึงควรกินอาหารรสเปรี้ยวเพื่อกัดฟอกเสมหะ ส่วนปัญหาสุขภาพอื่นๆ เหมือนธาตุดิน (เนื่องจากเป็นธาตุที่เอื้อกัน) เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระบบทางเดินหายใจ และโรคอ้วน ในกรณีที่ธาตุน้ำมากจะมีเสมหะและน้ำมูกคล้ายจะเป็นหวัด เพราะร่างกายต้องการขับน้ำออกมา ในช่วงอายุแรกเกิดถึง 16 ปี มักจะมีอาการเป็นหวัด คัดจมูก ตาแฉะ ในฤดูหนาวจะเจ็บป่วยง่ายเพราะธาตุน้ำกำเริบ จึงควรกินอาหารประเภทแป้งขาวให้น้อยเช่นกัน
  • ธาตุลม ปัญหาด้านสุขภาพของคนธาตุเจ้าเรือนนี้ คือนอนไม่ค่อยหลับ ปวดท้อง จุกเสียด ระบบภายในมีความเป็นกรดมาก และระบบย่อยอาหารไม่ดี เนื่องจากลักษณะนิสัยที่กินไม่ตรงเวลา บางรายอาจมีปัญหาโรคข้อและกระดูก ควรกินอาหารรสเผ็ดร้อนเพื่อแก้ลมจุกเสียด และช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น แต่ไม่ควรกินมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียได้ ในช่วงอายุ 32 ปีขึ้นไป มักจะมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลมง่าย ในฤดูฝนจะเจ็บป่วยง่ายเพราะธาตุลมกำเริบ ควรกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ให้น้อย เพราะระบบการย่อยไม่แข็งแรง
  • ธาตุไฟ ปัญหาสุขภาพคือ เครียดง่าย โรคกระเพาะอาหาร ผิวหนังแพ้ง่าย ท้องเสียบ่อย ร้อนใน เป็นฝี และมีแผลในปาก ในช่วงอายุ 16-32 ปี มักจะหงุดหงิดง่าย และอารมณ์เสียบ่อย ในฤดูร้อนจะเจ็บป่วยบ่อย อาจเป็นไข้ตัวร้อนได้ง่าย เพราะธาตุไฟกำเริบ ควรกินอาหารรสขมแก้โลหิตเป็นพิษ (หากกินมากไปจะทำให้อ่อนเพลีย) และอาหารรสเย็นเพื่อแก้ไข้ ร้อนใน ไข้พิษ และดับพิษร้อน และควรกินอาหารจำพวกไขมันให้น้อย แม้ว่าร่างกายจะเผาผลาญเนื้อสัตว์ได้ดี แต่หากกินไขมันที่ย่อยยาก จะทำให้มีความร้อนในร่างกายมากเกินไปจนป่วยไข้ได้
ตามหาธาตุเจ้าเรือน
การตรวจสอบธาตุที่ง่าย และไม่สับสนที่สุด เพียงดูจากเดือนเกิดเท่านั้น คุณขนิษฐา ปานรักษา หน่วยงานแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลสมุทรสาคร ผู้ให้คำปรึกษาด้านการกินตามธาตุแนะวิธีการตรวจสอบธาตุเจ้าเรือนว่า

“วิธีง่ายๆ ในการตรวจสอบธาตุเจ้าเรือนคือ ให้เดือนเกิด บางคนอาจเห็นว่าลักษณะรูปร่าง นิสัย หรือปัญหาสุขภาพไม่ตรง นั่นเพราะบางครั้งธาตุในตัวเราเปลี่ยนไปตามอายุ ฤดูกาล และสถานที่อยู่ปัจจุบัน จึงทำให้มีบางธาตุที่มีลักษณะเด่นขึ้นมามากกว่าธาตุเจ้าเรือนเกิด ซึ่งการยึดตามเดือนเกิดก็สามารถทำนายได้ว่าในอนาคตเราจะป่วยเป็นโรคอะไร หากไม่ดูแลตัวเองอย่างดี หรือไม่กินอาหารตามธาตุเจ้าเรือนเกิด”
“ธาตุดิน คือผู้ที่เกิดในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ธาตุน้ำ คือผู้ที่เกิดเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน ธาตุลม คือผู้ที่เกิดเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ธาตุไฟ คือผู้ที่เกิดเดือนมกราคม กุมภาพันธุ์ และมีนาคม”
การเอาชนะตัวเองของสาวธาตุน้ำ
วันแรก (อีกครั้ง) วันนี้ตั้งใจจะตื่นเช้ากว่าเดิม เพื่อให้ชีพจรชีวิตช้าลง และมีเวลาเตรียมอาหารมื้อแรกตามแบบธาตุน้ำ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเมื่อคืนนอนดึกมาก ได้แต่ใช้ชีวิตเร่งรีบเหมือนเดิมโชคดีที่หุงข้าวกล้องไว้ตั้งแต่เมื่อคืน (อุ่นตอนเช้าไม่เสียเวลา และข้าวยังนิ่มอร่อยยิ่งขึ้น) จึงได้นำมากินที่ทำงาน พอมาถึงร้านอาหารของที่ทำงานก็ต้องผิดหวังเพราะวันนี้ไม่มีอาหารสำหรับคน ธาตุน้ำเลย จึงต้องขยับมาสั่งอาหารร้านใกล้ๆ เป็นยำปลาสลิดทอด และเครื่องดื่มเป็นน้ำส้ม มื้อเที่ยงเป็นข้าวคลุกกะปิ และของหวานเป็นกระท้อนลอยแก้ว ส่วนมื้อเย็นเป็นปลาทับทิมทอดกับยำมะม่วง
วันแรกของ การกินอาหารตามธาตุน้ำ เริ่มขึ้นอย่างไม่สวยงามนัก ฉันจึงได้เรียนรู้ว่าการเริ่มต้นที่จะทำสิ่งดีๆ นั้นยาก แต่ถ้ามัวแต่คิดว่าจะเริ่มเมื่อไร ก็อาจล้มเหลวไม่เลิกรา แม้ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้ อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้เริ่มไปแล้วไม่ใช่หรือ
วันที่สอง ฉันพยายามหาวิธีที่สามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งโชคดีที่คุณขนิษฐา ปานรักษา ผู้ให้คำปรึกษาด้านการกินตามธาตุ บอกเคล็ดลับว่า “ควรกินให้ครบทั้ง 4 ธาตุ เพราะร่างกายเราประกอบไปด้วยดิน น้ำ ลม และไฟ แต่ต้องกินอาหารตามธาตุเจ้าเรือนเกิดของตัวเองมากที่สุด เช่น ถ้ามีธาตุเจ้าเรือนเกิดเป็นธาตุน้ำ ก็ต้องกินอาหารรสเปรี้ยวให้มากกว่าอาหารรสชาติอื่น
“วิธีกินให้ง่ายที่สุดคือดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำสมุนไพรตามธาตุเป็นประจำ เพราะเครื่องดื่มหากินง่ายกว่าอาหาร การดื่มน้ำสมุนไพรก็จะมีสรรพคุณที่ช่วยปรับธาตุได้ หรือถ้าหาไม่ได้ก็กินผักผลไม้ตามฤดูกาลของธาตุเจ้าเรือนเกิด ซึ่งก็หากินได้ง่ายเช่นกัน”
ได้ข้อสรุปดังนั้น วันที่สองในการกินตามธาตุน้ำของฉันจึงปรับมาดื่มน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร และกินผักผลไม้แบบชาวธาตุน้ำมากขึ้น โดยผ่อนปรนเรื่องการกินอาหารอื่นมากขึ้น
มื้อแรก หลังอาหารฉันดื่มน้ำกระเจี๊ยบ มื้อกลางวันดื่มน้ำมะนาว ของว่างเป็นมะม่วงเปรี้ยวน้ำปลาหวาน  และมื้อเย็นมีผักจิ้มเป็นยอดมะกอกและผลไม้เป็นสตอเบอรี่กับเสาวรสหลัง อาหาร แต่สงสัยว่าจะดื่มน้ำผลไม้ และกินผักผลไม้รสเปรี้ยวมากเกินไป ฉันจึงมีอาการท้องเสีย และแล้วก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่งในการกินตามธาตุคือ ต้องไม่กินมากเกินไป แม้ว่าควรกินอาหารประจำธาตุของตัวเองมากที่สุดก็ตาม
วันที่สาม ฉันตื่นเช้ากว่าทุกวัน แวะตลาดก่อนไปทำงานเพื่อหาซื้ออาหารสำเร็จรูปที่ตรงกับธาตุของตัวเอง เพราะที่ตลาดมีอาหารให้เลือกอย่างหลากหลาย และไม่ต้องการหวังพึ่งร้านอาหารที่ทำงานเพียงอย่างเดียว แม้จะไม่ตึงเครียดกับกรอบการกินเหมือนวันแรก แต่ถ้าเลือกได้ ฉันก็ต้องการกินอาหารให้ตรงตามธาตุมากที่สุด ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี
มื้อแรก ฉันกินปลาสำลีนึ่งกระเทียมโทนที่ซื้อมาจากตลาด มื้อเที่ยงเป็นแกงส้มกุ้งที่ซื้อมาพร้อมกับอาหารมื้อเช้า และมื้อเย็น ฉันตั้งใจจะทำอาหารเมนูง่ายๆ กินเองเป็นปลาผัดเปรี้ยวหวานใส่สับปะรด จึงแวะตลาดก่อนกลับบ้านเพื่อซื้ออาหารสด ได้แก่ ปลากะพงสด (ให้แม่ค้าแล่เนื้อเป็นชิ้นเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น) สับปะรด (ปลอกเปลือกและผ่าเป็นชิ้น) แตงกวา มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ต้นหอม และพริกชี้ฟ้า
พอถึงบ้านฉันก็ลงมือทำเมนูนี้ทันที เริ่มขั้นตอนแรกด้วยการตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชให้เพียงพอสำหรับการทอดปลา นำปลากะพงที่หั่นเป็นชิ้นเรียบร้อยแล้วมาทอดจนเหลืองกรอบแล้วพักไว้ให้ สะเด็ดน้ำมัน จากนั้นเทน้ำมันออกให้เหลือพอสำหรับผัดใส่กระเทียมเจียวพอใกล้เหลืองใส่หอม หัวใหญ่ผัดพอสุกทั่ว ตามด้วยแตงกวา สับปะรด และมะเขือเทศผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเล็กน้อย ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศ น้ำปลา น้ำส้มสายชู และน้ำตาล แล้วจึงใส่เนื้อปลาที่ทอดไว้ลงไปผัดเบาๆ ระวังอย่าให้เนื้อปลาเละ ใส่ต้นหอม พริกชี้ฟ้า และโรยพริกไทย ก็ได้เมนูง่ายๆ ที่อร่อยดังใจแล้ว
หลังจากกินอาหารตามธาตุน้ำมา 3 วัน ฉันสังเกตุดูสุขภาพของตัวเองก็พบว่ามีอาการระคายคอและมีเสมหะน้อยลง แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจน แต่ฉันก็เชื่อว่าหากปฏิบัติตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น
ท้ายที่สุด ฉันก็ค้นพบวิธีการกินตามธาตุในเวลาเร่งรีบ นั่นคือ ดื่มน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร และกินผลไม้ที่หาซื้อง่ายเป็นหลัก (เมื่อเราคุ้นชินกับเครื่องดื่ม ผัก และผลไม้ประจำธาตุแล้วจะสามารถปรับใช้กับการกินอาหารอื่นๆ ได้ เพียงเลือกอาหารที่มีส่วนประกอบของผักผลไม้บางอย่าง ก็ทำให้การกินตามธาตุได้ผลแล้ว) กินอาหารให้ครบทั้ง 4 ธาตุ โดยกินอาหารตามธาตุของตัวเองให้มากที่สุด และตื่นเช้าเพื่อให้มีเวลาในการเตรียมอาหารก่อนไปทำงานมากขึ้น
เพียงเท่านี้ ชีวิตที่เร่งรีบ ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการกินตามธาตุเพื่อได้สุขภาพที่ดีตลอดไป

6 วิธีสร้างนิสัย กินอาหาร กากใย บรรเทาท้องผูก สำหรับสุขภาพ

|0 ความคิดเห็น

6 วิธีสร้างนิสัย กินอาหาร กากใย บรรเทาท้องผูก สำหรับสุขภาพ

 
นอกจากอาหารที่ มีกากใยสูงจะช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายให้เป็นปกติแล้ว หากเรากินกากใยน้อยเกินไปก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก ริดสีดวงทวาร และความผิดปกติอื่นๆ ในลำไส้ได้เช่นกัน
เรามี 6 วิธีง่ายๆ เพื่อช่วยสร้างนิสัยในการกินกากใยอาหารให้ได้มาก มาแนะนำกันค่ะ
1.สร้าง นิสัยการกินประจำบ้าน โดยเน้นกินข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ไม่ได้ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีท ซึ่งจะมีกากใยอาหารมากกว่าขนมปังขาวถึง 3 เท่า รวมถึงมองหาร้านอาหารสุขภาพที่มีข้าวกล้องสำหรับมื้ออื่นๆ นอกบ้านด้วย
2.กิน ผักและผลไม้ให้มากๆ ควรล้างผลไม้ให้สะอาดและถ้าเป็นไปได้ ควรเลี่ยงผลไม้ชนิดที่รับประทานได้ทั้งเปลือก เช่น แอ๊ปเปิ้ล ฝรั่งและองุ่น
3.พยายาม กินผักที่กินทั้งต้นและก้านให้มากขึ้น เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ถ้ารู้ว่าก้านนั้นแข็ง ให้ปอกเปลือกออกบ้าง แล้วฝานหรือหั่นให้เล็กลง นอกจากนั้น อย่าลืมหัดกินผักดิบ โดยกินร่วมกับน้ำพริกใส่สลัด หรือกินเป็นของขบเคี้ยวเล่นก็อร่อยและได้ประโยชน์
4.กินผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้นั้น คั้นสดหนึ่งผลนั้นมีกากใยอาหารมากกว่าน้ำส้มคั้นถึง 6 เท่า
5.เติมถั่วชนิดต่างๆ ลงในอาหาร เช่น ใส่ถั่วลันเตา ถั่วแขกในอาหารผัก แกงต่างๆ หรือสลัด
6.เลือกกินขนมที่ทำจากผลไม้ เช่น ถั่วเขียวหรือถั่วแดงต้ม ฟักทองหรือเผือกต้ม

สารอาหารเสริม อาหารเพื่อสุขภาพ

|0 ความคิดเห็น

สารอาหารเสริม อาหารเพื่อสุขภาพ


 
10 ข้อต่อไปนี้ จะเป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับตัวต้าน หรือ อาหารเสริม อาหารเพื่อสุขภาพ ที่จะช่วยชะลอความแก่ หรือชะลออายุของคุณได้คะ สำหรับคุณผู้หยิงทุกท่าน อย่ารอช้านะคะ ยังงัยเราก็ต้องดูแลร่างกายด้วยการบำรุง แล้วก็กินอาหารเสริม อาหารเพื่อสุขภาพให้เพียงพอกับร่างกายด้วยคะ
ส่วนประกอบสำคัญ
1.เป็นโปรตีนที่มีสาร สำคัญ คือ “ไอโซฟลาโวน”ซึ่งช่วย-ต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันอาการแก่ก่อนวัย
-ป้องกันการเกิดมะเร็ง ยับยั้งการสร้างเส้นเลือดไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง
-ช่วยปรับระดับฮอร์โมนให้สมดุล สามารลดอาการต่างๆ ของวัยทอง
-ลดอัตราเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน และลดระดับไขมันในเลือด

2.ไฮโดรไลต์ คอลลาเจน-เสริมสร้างความแข็งแรง และเพิ่มความยืดหยุ่นแก่โครงสร้างผิวชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวกระชับ ลดริ้วรอย
-ลดอาการอักเสบข้องข้อ และเอ็นได้ รวมถึงลดอาการของข้ออักเสบ และข้ออักเสบจากรูมาตอยด์
-สามารช่วยลดน้ำหนักได้

3. ไฟโตสเตอรอล -มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ
-ต่อต้านการเกิดมะเร็ง
-ลดระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด ช่วยเพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือด
-ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว ป้องกันผิวจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด จึงช่วยลดอาการแก่ก่อนวัย

4. สังกะสี
-ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
-รักษาสิว
-ลดอาการอักเสบจากโรคข้ออักเสบ เช่นรูมาตอยด์
-ช่วยเพิ่มความรู้สึกทางเพศในผู้ชาย รวมถึงรักษาและป้องกันการเป็นหมันในผู้ชาย
-ป้องกันมะเร็ง

5. ซิตรัส ไบโอฟลาวานอยด์ (สารสกัดจากส้ม)วิตามินซี-มีฤทธิ์เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ
-ป้องกันการเกิดมะเร็ง
-ลดอาการแก่ก่อนวัย
-ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์

6.สารสกัดจากกระดูกอ่อนปลาฉลาม ให้สารสกัดสำคัญ ดังนี้ 6.1.มิวโคโพลีแซคคาไรด์ ช่วยยับยั้งการสร้างเส้นเลือดให้ของมะเร็ง , เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และสามารถลดอาการอักเสบของผิวหนังให้ผู้ป่วยโรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน
6.2.กลูโคซามีน , คอลลาเจน และ คอนโดอิทินซัลเฟต ซึ่งสามารถ ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน แก่ผิวและทำให้ผิวพรรณยืดหยุ่น และกระชับ

7. ไลโคปิน (สารสกัดจากมะเขือเทศ)-มีฤทธิ์เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่า วิตามินอีถึง 100 เท่า
-ป้องกันและลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
-ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ทำให้ผิวพรรณสดใส
-ป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์

8. วิตามิน อี -มีฤทธิ์เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการกลาย พันธุ์ของเซลล์อันเป็นสาเหตุของการการเกิดมะเร็ง-เสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ กับร่างกาย
-ป้องกันการเกิดโรคสมองเสื่อม
-เสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิว

9. โคเอ็นไซม์คิว 10-มีฤทธิ์เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ถึงระดับดีเอ็นเอจึงช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง
-ช่วยชะลอความแก่
-ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด

10. ซีลีเนียม-ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร, มะเร็งตับ และมะเร็งปอด เป็นต้น
-เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
-ปกป้องผิว และชะลอความแก่ เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัย มีน้ำมีนวล และลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

ที่มา ; http://lifeth.com/

10 ข้อช่วยชะลออายุได้

|0 ความคิดเห็น

10 ข้อช่วยชะลออายุได้

 

    • กินคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ถูกดัดแปลง ขณะนี้อาหารเกือบทุกอย่างที่วางขายในท้องตลาด มักถูกดัดแปลงปรุงแต่งใหม่ เพื่อหลอกล่อผู้บริโภคว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่า แต่แท้จริงกลับเป็นผลเสียต่อร่างกาย คาร์โบไฮเดรตมักถูกดัดแปลง หรือแฝงในรูปต่าง ๆ เช่น ข้าวที่ถูกสีจนขาว น้ำตาลทรายขาว ขนมหวาน ลูกกวาด น้ำอัดลม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต้องพยายามหลีกเลี่ยง ควรบริโภคแต่คาร์โบไฮเดรตธรรมชาติที่ไม่ถูกดัดแปลง และมีคุณค่าสูง ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ผลไม้สด ถั่ว ผัก และเมล็ดพืช
    • ต้องกินโปรตีนให้เหมาะสม โปรตีนมีอยู่ในเมล็ดพืช ผัก มันฝรั่ง ถั่ว นมพร่องไขมัน และอาหารทะเล บางคนเข้าใจผิดว่าเนื้อวัวมีโปรตีนสูง แท้จริงแล้วไม่ถูกต้องนัก การที่เนื้อวัวให้พลังงานสูง เพราะมีโปรตีนมาก แต่ร่างกายย่อมต้องการโปรตีนให้ได้สัดส่วนกับอาหารอื่น ถ้ากินมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนเป็นไขมันสะสมไว้ และไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมาใช้ได้อีก
    • ควรหลีกเลี่ยงไขมัน ยามเมื่ออายุมากขึ้นไขมันเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง เพราะก่อให้เกิดโรคหลายอย่าง นั่นคือ ควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ น้ำมัน เนย มายองเนส กรดไขมันที่จำเป็น ซึ่งเป็นกรดที่สำคัญที่สุดสำหรับร่างกายนั้น พบในเมล็ดพืชทุกชนิด ผลไม้เปลือกแข็ง และข้าว การเก็บรักษาอาหารประเภทนี้ต้องใส่ภาชนะปิด เพราะแสง ความร้อน และอากาศสามารถทำลายกรดไขมันที่จำเป็นได้
    • กินวิตามินที่ได้จากพืช และสัตว์ วิตามินธรรมชาติมีคุณภาพสูงกว่าวิตามินสังเคราะห์ ยิ่งถ้าเราถูกกระทบจากความเครียดมาก ร่างกายยิ่งต้องการวิตามิน และเกลือแร่ทดแทนมากกว่าคนปกติ
    • ควรเน้นผัก และผลไม้สด อาหารในแต่ละวันควรเป็นผักสด และผลไม้ประมาณ 70% อีก 30% ควรเป็นอาหารประเภทอื่น ๆ เพราะจะเป็นการเพิ่มพลังตับสูงให้แก่ร่างกาย จะเห็นได้จากนักกีฬาชั้นนำระดับโลกต่างหันมาบำรุงร่างกายด้วยผัก และธัญพืชกันมากขึ้น
    • หลีกเลี่ยงอาหารปรุงแต่ง ได้แก่ อาหารหวานจัด อาหารสำเร็จรูป อาหารที่มีสารเคมีเป็นส่วนผสม และโซเดียมซึ่งมีอยู่ในเกลือ ผงชูรส ผงฟู และสารผสมอาหารต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ไม่มีคุณค่าแต่กลับมีโทษต่อร่างกาย
    • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะร่างกายเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% แต่ละวันเราสูญเสียน้ำไป 6-8% ของจำนวนน้ำทั้งหมด น้ำจะเป็นตัวพาสารอาหารไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ควรดื่มน้ำสะอาดก่อนหรือหลังอาหารอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำย่อยทำงานเต็มที่ และเมื่อตื่นนอนในตอนเช้า ควรดื่มน้ำ 3-5 แก้ว งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เนื่องจากน้ำอัดลม และน้ำเกลือแร่ไม่มีคุณค่าอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
    • กินอาหารแต่ละมื้อให้เหมาะสม ไม่ควรกินอาหารจนแน่นอึดอัด ควรกินแค่เกือบอิ่ม มื้อเช้าควรได้อาหารที่ให้พลัง เพราะต้องทำงานทั้งวัน มื้อกลางวันไม่ควรทานมากจนแน่นท้อง เพราะอาจทำให้ง่วงนอนในตอนบ่าย ส่วนมื้อเย็นควรเป็นอาหารที่เบาท้องเพราะใกล้เข้านอน ในขณะที่เรานอนหลับ ควรให้กระเพาะ และสำไส้ได้พักผ่อนบ้าง
    • กินอาหารตามฤดูกาล และที่มีอยู่ในท้องถิ่น พืช ผัก ผลไม้ ตามฤดูกาลจะทำให้ร่างกายมีความสมดุลกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดี อาหารที่ผิดฤดู หรือที่เข้ามาจากต่างประเทศ อาจเคลือบสารเคมีหรืออาบรังสีบางอย่างเอาไว้ ซึ่งทำให้ร่างกายไม่มีภูมิต้านทานได้ในฤดูร้อน ควรลดอาหารหนัก และในฤดูหนาวควรกินอาหารที่ให้พลังงาน และความอบอุ่น หลายคนชอบกินอาหารฝรั่ง ซึ่งส่วนมากเป็นอาหารที่มีไขมันสูงเกินความต้องการของคนในประเทศ ซึ่งเป็นเมืองร้อน แต่เหมาะกับต่างประเทศที่เป็นเมืองหนาว
    •  
    กินให้เหมาะสมกับการใช้พลังงานในแต่ละวัน หากทำงานนั่งโต๊ะในออฟฟิศ ซึ่งมีเครื่องปรับอากาศทั้งวัน ไม่ควรรับประทานอาหารแต่ละมื้อมากเท่ากับกรรมกรที่ทำงานใช้แรงงานกลางแดด โดย : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ

10 วิธีดูแลสมอง

|0 ความคิดเห็น
 10 วิธีดูแลสมอง


                    เทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นก้าวหน้าไปไกลมาก วิวัฒนาการใหม่ๆ เข้ามามีส่วนช่วยให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น แต่การที่คนเราสะดวกสบายมากขึ้น ก็ทำให้ใช้สมองน้อยลงและพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น แต่สมองนั้นเหมือนมีดที่ยิ่งลับยิ่งคม ยิ่งไม่ได้ใช้ยิ่งทื่อ สุขภาพกายฉบับนี้จึงมีวิธีดูแลสมองของเราให้พัฒนาอยู่ตลอดเวลามาฝากกัน
                    1. กินเพื่อสมองดี
                    หลายคนคงจะเคยได้ยินคำว่า "กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น" ทั้งๆ ที่รู้ แค่คนส่วนใหญ่ก็มักจะละเลยอาหารเช้า เพราะความเร่งรีบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การกินอาหารเข้านั้นจะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากอดอาหารมาตลอดคืน หากใครที่กินอาหารเช้าเป็นประจำก็จะทำให้ความจำดีขึ้น อย่างไรก็ตามควรเลือกกินอาหารที่ดี และงดอาหารขยะอย่างเด็ดขาด
                    2. คิดเพื่อสมองดี
                    ลอง สังเกตว่าวันไหนที่เราตื่นขึ้นตอนเช้า แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ดี วันนั้นเราจะรู้สึกดีไปตลอดวัน แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อๆ หรือเจอเรื่องแย่ๆ แต่เช้า ความรู้สึกนี้ก็จะคิดตัวไปตลอดทั้งวัน ทำอะไรก็จะติดขัดไปหมด ดังนั้นหากอยากให้มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้น และทำให้สมองรู้สึกปลอดโปร่งคิดอะไรออก ก็ต้องคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ส่วนเรื่องร้ายๆ ก็ลืมมันซะ
                    3. พักผ่อนหันหาอากาศบริสุทธิ์
                    การ พักผ่อนหย่อนใจหลังจากทำงานหนัก ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เพราะสมองจะได้พักผ่อนจากเรื่องสำคัญมากๆ และเรื่องราวความเครียดต่างๆ ที่ต้องเจออยู่เป็นประจำ ในหนึ่งปี อาจจะมี 2-3 วัน ที่คุณควรเลือก ที่จะเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อหาที่พักตากอากาศแบบสบายๆ เงียบสงบ ให้สมองได้พักผ่อน รวมทั้งหาอากาศที่ปราศจากมลพิษ เพื่อเติมพลังให้สมอง
                    4. เรียนรู้สิ่งใหม่
                    การ พัฒนาสมองให้ได้ผลดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ พยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา จะได้พัฒนาสมอง เช่น เทคโนโลยีใหม่ๆ เรื่องราวการแพทย์ใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารอร่อยๆ ที่คุณไม่เคยลอง ก็ถือว่าเป็นการทำให้สมองได้พัฒนาเช่นกัน การเล่นเกมส์ปริศนาอักษรไขว้ หรือสแครบเบิล ก็สามารถที่จะทำให้ความจำดีขึ้นได้ถึง 40% (จากผลการทดลองของอาสาสมัครในรายการบีบีซี ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2549)
                    5. เขียนหนังสือด้วยมือที่ไม่ถนัด
                    การ เขียนถือเป็นการพัฒนาสมองได้เหมือนกัน เพราะสมองซีกซ้ายของเรานั้นเป็นส่วนบังคับการเขียน หากใครที่ถนัดมือไหนอยู่ ก็ให้หัดลองใช้มืออีกข้างเขียนหนังสือ หรือวาดภาพ เพื่อให้สมองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เพิ่มเติม และยังมีส่วนช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นด้วย
                    6. ยิ้มไว้โลกจะแตกก็ยิ้มไว้
                    เวลา ที่เราทำอะไรก็ตาม หากเรายิ้มคนรอบข้างก็จะได้รับทราบถึงความรู้สึกดีๆ ของเรา แต่ควรจะยิ้มจากภายใน ไม่ต้องฝืน เพราะแววตาของรอยยิ้มนั้นหลอกกันไม่ได้ หากคุณรู้จักที่จะยิ้ม ก็จะทำให้สมองมีแต่เรื่องดีๆ มีความสุข การยิ้มอย่างเป็นประจำและต่อเนื่องมีโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งเอ็นโดรฟินออกมา ซึ่งสารนี้จะไปออกฤทธิ์ให้ม่านตาขยายและทำให้ตาเป็นประกาย
                    7. หายใจช่วยให้สมองใส
                    การ หายใจอย่างถูกวิธี มีส่วนช่วยพัฒนาสมองให้ได้ผลดีมากทีเดียว เพราะสมองของเรานั้นใช้ออกซิเจนมากถึง 20-25% ของทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากเรารู้จักหายใจ เข้า-ออก ช้าๆ ลึกๆ เพียงแค่วันละ 15 นาที ก็จะทำให้สมองได้รับพลังงานอย่างเต็มเปี่ยม
                    8. เข้านอนแต่หัวค่ำ
                    ภาย ในร่ายกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ ดังนั้นหากเราเข้านอนในช่วงเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่ายกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่
                    9. นั่งสมาธิ จิตมีพลัง
                    การ นั่งสมาธิ จะส่งผลให้สมองเข้าสู่ช่วงที่เป็นคลื่น Theta (ธีค้า หรือการที่สมองได้เข้าสู่การเข้าสมาธิแบบลึก) ทำให้สมองได้ผ่อนคลายสุดๆ และเกิด Mental Imagery (ภาพจินตนาการที่สมองสร้างขึ้น) ส่งผลให้สมองเกิดความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการที่ดีออกมา ทำให้สามารถแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างสร้างสรรค์
                    10. เสริมวิตามิน กินไขมันดี
                    กิน ไขมันดี หรือที่เราเรียก โอเมก้า 3 เพื่อเข้าไปทดแทนส่วนของสมองที่เป็นในไขมันที่สึกหรอไป นอกจากนี้ยังมีวิตามินบำรุงสมองอื่นๆ อีก เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย วิตามินบี1 บี6 บี12 น้ำมันพริมโรสที่ช่วยให้เซลล์ชุ่มน้ำและวิตามินซีที่ทำให้กระปรี้กระเปร่

อาหาร 9 ชนิดในชีวิตประจำวัน ที่ช่วยเพิ่มความจำให้กับสมอง

|0 ความคิดเห็น
อาหาร 9 ชนิดในชีวิตประจำวัน ที่ช่วยเพิ่มความจำให้กับสมอง
 

1.น้ำสลัดที่เหมือนน้ำมัน
เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี และอุดมไปด้วยวิตามินอี ช่วยปกป้องเซลล์ประสาท และปกป้องในส่วนของเซลล์ประสาทที่เริ่มจะตาย รวมทั้งโรคอัลไซเมอร์

2.ปลา
ปลาต่างทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ปลาแซลมอน,ปลาทูน่า,ปลาทู หรือปลาอื่นๆ ถือว่าอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 และมี DHA ซึ่ง DHAมีส่วนสำคัญมากสำหรับการทำงานปกติของเซลล์ประสาท และจะทำให้เส้นเลือดไม่อุดตันอีกด้วย

3.ผักใบเขียว
ผักคะน้าผัก,ผักขม, และบร็อกโคลี่ เป็นถือแหล่งที่ดีของวิตามินอีและโฟเลต แม้ว่ายังไม่ชัดเจนในเรื่องที่โฟเลตป้องกันสมองได้หรือเปล่านั้น แต่มันอาจจะช่วยโดยการลดระดับของกรดอะมิโน homocysteine ในเลือดที่จะทำให้เสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ เพราะหากมี homocysteine มาก

นั้นอาจทำให้เซลล์ปราสาทตาย และกรดโฟลิกก็ยังช่วยในการลดระดับ homocysteine อีกด้วย

4.อะโวคาโด
เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระวิตามินอี ซึ่งจากการวิจัยพบว่า อาหารที่เต็มไปด้วยวิตามินอี ซึ่งรวมไปถึง อะโวคาโด จะสามารถช่วยต้านอนุมูลอิสระได้และลดความเสี่ยงในการเป็นอัลไซเมอร์

5.เมล็ดทานตะวัน
เมล็ดพันธุ์พืชรวมทั้งเมล็ดทานตะวัน ถือเป็นแหล่งรวมที่ดีของวิตามิน อี และถ้าหากนำเมล็ดคั่วทานตะวัน มาปรับโรยบนสลัดนั่นจะเป็นส่วนที่ช่วยในการบำรุงสมองของคุณ

6.ถั่วลิสง และ เนย ถั่วลิสง
แม้ทั้งสองสิ่งนี้จะทำให้มีความเสี่ยงในการอ้วนสูง แต่ทว่าทั้ง ในถั่วลิสงไขมันและเนยถั่วลิสงมักจะเป็นไขมันที่นำมาซึ่งการมีสุขภาพดี นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยวิตามินอี โดยทั้งสองที่กล่าวมานี้อาจช่วยให้หัวใจและสมองแข็งแรงและทำงานได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นยังมีทางเลือกที่ดีอื่นอีก เช่น อัลมอนด์ และ ฮาเซลนัทส์

7.ไวน์แดง
จากผลการวิจัย ผู้ที่ดื่มจำนวนไวน์แดงปานกลางและและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น ๆ อาจมีความเสี่ยงที่ลดลงสำหรับโรคอัลไซเมอร์ แต่สำหรับจำพวกคนขี้เมาแล้วนี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมในการพัฒนาของพวกเขา

8.เบอร์รี่
การวิจัยล่าสุดนำเสนอในที่ประชุมแห่งชาติของสมาคมเคมีอเมริกันในบอสตันพบว่าบลูเบอร์รี่, สตรอเบอร์รี่และผลเบอร์รี่ ช่วยถนอมอายุสมอง เสมือนทำหน้าที่เป็นแม่บ้านที่คอยเก็บกวาดนั่นเอง

9.เมล็ดธัญพืช
อุดมไปด้วยไฟเบอร์ และถือเป็นอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน จากการวิจัยจากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก ซิตี้ แสดงให้เห็นว่าอาหารนี้ช่วยลดความเสี่ยง และความบกพร่องในกระบวนการคิด ซึ่งมันเป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ นอกจากนั้น เมล็ดธัญพืช จะลดการอักเสบในเรื่อง
ความเครียด รวมทั้ง ปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือดเช่นความดันโลหิตสูงซึ่งทั้งหมดนี้อาจมีผลต่อสมอง และ โรคหัวใจ
บทความจาก : ShopAt7-อาหารและสุขภาพ

          เรื่องที่นำมาให้อ่านกันในวันนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนักหมากล้อมอย่างเราๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบรับประทานอาหารหรือขนมต่างๆเป็นชีวิตจิตใจกันครับ หรือแม้แต่ผู้ที่ต้องทำงานก็คงใช้สมองในการทำงานหนัก จึงจะนำบทความที่เกี่ยวกับอาหารที่จะช่วยให้สมองเรามีความจำที่ดีมาแนะนำกันครับ

5 ภาวะเสี่ยงที่ต้องระวังของแม่ท้อง

|0 ความคิดเห็น

5 ภาวะเสี่ยงที่ต้องระวังของแม่ท้อง


ตั้งครรภ์

5 ภาวะเสี่ยงที่ต้องระวังของแม่ท้อง
(Mother & Care)

          คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป, ตั้งครรภ์เมื่ออายุยังน้อย, มีโรคประจำตัว, หรือตั้งครรภ์แฝด ถูกจัดให้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะพบภาวะแทรกซ้อน ความผิดปกติไม่พึงปรารถนา มีข้อจำกัดบางอย่างที่พึงระวังขณะตั้งครรภ์ และสิ่งที่ควรปฏิบัติก็คือ การดูแลสุขภาพครรภ์ภายใต้การดูแลของคุณหมออย่างใกล้ชิด

          ฉบับนี้เรามีโอกาสรู้จักกับ พญ.ปิยพันธ์ ปุญญธนะศักดิ์ชัย ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากเจตนิน ผู้รู้ที่จะมาบอกข้อมูล รายละเอียดต่างๆ ถึงมูลเหตุภาวะความเสี่ยงที่เกิดขึ้น พร้อมแนวทางการปฏิบัติขณะตั้งครรภ์ให้ฟังด้วยค่ะ

1. ครรภ์เป็นพิษ

          อาการของภาวะครรภ์เป็นพิษนั้น จะเริ่มแสดงอาการจากน้อยไปมาก ซึ่งในภาวะที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการบวม, ปวดศีรษะ, จุก แน่นหน้าอก, หรือตาพร่ามัวได้ โดยเฉพาะในรายที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด อาจเกิดภาวะชัก อาการตับวายได้

          สำหรับภาวะนี้ คุณแม่จะไม่สามารถทราบถึงอาการ ว่าตัวเองอยู่ในภาวะครรภ์ เป็นพิษหรือไม่หรอกค่ะ คุณหมอที่ดูแลครรภ์ เท่านั้น ที่รู้ถึงความผิดปกติ (ช่วงเริ่มต้น) จากการตรวจเช็กร่างกาย ด้วยวิธีการต่อไปนี้

          ค่าความดันโลหิต ซึ่งค่าเฉลี่ยมาตรฐาน คือบน 140 ล่าง 90 ถ้าค่าความดันโลหิตเกิน ค่ามากกว่านี้ถือว่า มีค่าความดันโลหิตสูงก็เข้าข่ายอาการครรภ์เป็นพิษ

          ตรวจปัสสาวะของคุณแม่ จะพบว่ามีโปรตีนไข่ขาวในปัสสาวะ ที่บ่งบอกลักษณะการทำงานของไตที่ผิดปกติ พบได้ในกลุ่มที่มีโรคเบาหวาน

การปฏิบัติตัว

          ด้วยระบบปัญหาเส้นเลือดของแม่ จึงทำให้เลือดที่ส่งไปยังรกเพื่อเลี้ยงลูกไม่เพียงพอ เด็กจึงมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว (ตัวเล็ก) ยิ่งคุณแม่ที่มีความดันโลหิตสูง อาจพบภาวะรกลอกก่อนกำหนด จำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์ และทำการคลอดก่อนกำหนด

          ดังนั้นแนะนำว่า ควรเฝ้าระวังกับเรื่องอาหาร เช่น เลี่ยงอาหารที่มันจัดหรือคุณแม่ที่ติดใจรสเค็ม รสจัด ก็ควรลด ๆ ลงบ้าง เพราะอาจส่งผลให้เกิดเกลือคั่งในร่างกาย ทำให้มีอาการบวมหรือความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าปกติ อีกข้อคือ ควรออกกำลังกายแบบเบา ๆ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของคุณแม่และลูกน้อย

2.ครรภ์ไข่ปลาอุก

          เมื่อมีการตรวจครรภ์ จะพบว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น แต่ด้วยฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่สูงกว่าปกติ ทำให้มีอาการแพ้ท้องมากกว่าปกติไปด้วย (สัญญาณเตือน) เมื่อเช็กขนาดมดลูกตามอายุครรภ์ จะพบว่า มีขนาดเกินความเป็นจริงจากอายุครรภ์ และเมื่อคุณหมอตรวจอัลตร้าซาวนด์ ก็จะพบว่า ที่โพรงมดลูกมีลักษณะเม็ดๆ เหมือนไข่ปลา กระจายอยู่ทั่วไปในโพรงมดลูก

          เรื่องนี้เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิสนธิ เกิดจากไข่และสเปิร์มค่ะ อธิบายง่าย ๆ ก็คือ แทนที่หลังการปฏิสนธิ จะเกิดการสร้างเซลล์ตัวเด็กอ่อนขึ้นมา ก็กลายเป็นเซลล์ที่แตกตัวผิดปกติ ไม่มีตัวอ่อนของเด็กเกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมป้องกันค่ะ

การปฏิบัติตัว

          เมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ก็ควรฝากครรภ์ทันที (ช่วง 1-2 เดือนแรก) จะเป็นวิธีที่ช่วยให้ค้นพบกับความผิดปกติครรภ์ไข่ปลาอุกได้รวดเร็ว และจากกระบวนสร้างเซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์เหล่านี้อาจมีโอกาสพัฒนาเป็นเซลล์มะเร็ง จึงจำเป็นต้องขูดออกและนำเซลล์ไปตรวจเช็กเรื่องมะเร็ง ถ้าไม่มีผลร้ายต่อร่างกาย ก็สามารถคุมกำเนิดและปล่อยให้ตั้งครรภ์ปกติ แต่ถ้ามีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งอาจต้องให้เคมีบำบัดต่อเนื่อง เพื่อทำลายเซลล์ผิดปกติออกจากโพรงมดลูกให้หมด

3.ภาวะรกเกาะต่ำ

          เมื่อเกิดการปฏิสนธิ ไข่ที่ถูกผสมจะเจริญเติบโต ซึ่งส่วนหนึ่งพัฒนาเป็นทารก อีกส่วนเป็นรก มีหน้าที่ลำเลียงอาหารจากแม่ไปสู่ลูก รกที่ว่าจะเติบโตโดยเกาะติดอยู่กับผนังมดลูกและค่อย ๆ ฝังลึกเข้าไปผนังมดลูก การที่รกเกาะต่ำ หมายถึงรกเกาะคลุมต่ำมาจากตำแหน่งปกติ โดยมีบางส่วนของรกปิดบริเวณปากมดลูก

          สิ่งที่เกิดจากภาวะนี้คือ มีเลือดออกตั้งแต่ระยะที่ตั้งครรภ์แรก ๆ จนกระทั่งใกล้คลอด ความรุนแรงของเลือดที่ออกแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่ออกเพียงกะปริบกะปรอย จากการแตกของเส้นเลือดฝอยบริเวณรกไปจนถึงออกเป็นน้ำก๊อก เพราะมีการแตกของ เส้นเลือดใหญ่ได้ ซึ่งทำให้เกิดภาวะตกเลือด และช็อกได้ คุณแม่ที่ตั้งครรภ์มีภาวะรกเกาะต่ำลงไม่สามารถคลอดแบบธรรมชาติได้ ต้องทำการผ่าคลอดเท่านั้น

การปฏิบัติตัว

          เนื่องจากไม่สามารถกำหนด ควบคุมไม่ให้เกิดปัญหาภาวะดังกล่าว ข้อควรปฏิบัติที่แนะนำกับการเผชิญปัญหาที่เกิดคือ งดการมีเพศสัมพันธ์, ไม่เคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำอะไรไว ๆ, ไม่ควรออกกำลังกาย และเดินให้น้อย เพื่อไม่ให้เกิดการกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว หรือเคลื่อนไหวเป็นเหตุให้เลือดออกค่ะ

4. เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์

          ถึงก่อนหน้านี้คุณแม่จะไม่เคยมีประวัติความเสี่ยง การเป็นโรคเบาหวานมาก่อน เมื่อตั้งครรภ์กลับเกิดขึ้นได้ ก็เพราะว่า ปกติแล้วร่างกายจะสามารถควบคุมกระบวนการเผาพลาญ (น้ำตาล) ที่กินเข้าไปได้เพียงพอ แต่เมื่อมีการตั้งครรภ์ปริมาณอาหารที่แม่กินมีมากเป็น 2 เท่า (เผื่อลูกด้วย) การทำงานของอินซูลินในตับอ่อน อาจรองรับทำงานได้ไม่ดีพอ โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื่องเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น

          เนื่องจากเป็นภาวะที่สามารถพบความผิดปกติได้แต่เนิ่น ๆ ภายใต้การดูแลของคุณหมอที่ดูแลครรภ์ (ตรวจจากปัสสาวะ) ซึงถ้าเป็นไม่มากก็จะสามารถหายได้เองเมื่อหลังคลอด ส่วนคุณแม่ที่มีระดับน้ำตาลมากเกินปกติ คุณหมอจะเจาะเลือดอีกครั้งเพื่อเช็กความแน่นอน ถ้าเป็นจริงก็ต้องควบคุมเรื่องอาหารเป็นหลัก แต่ถ้าไม่สามารถควบคุมได้ อาจต้องฉีดอินซูลินไปจนถึงช่วงคลอด

การปฏิบัติตัว


          เมื่อรู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว การปฏิบัติตัวอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดค่ะ โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีภาวะเบาหวานระหว่างการตั้งครรภ์นั้น ควรตรวจเช็กร่างกายหลังคลอดทุก ๆ ปี เพราะระบบการทำงานของอินซูลินในตับอ่อน ที่ไม่สมบูรณ์เป็นทุนเดิมของคุณ มีผลต่อความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานในอนาคตเมื่ออายุมากขึ้น

5. ความผิดปกติอื่น ๆ

          จากที่บอกมาสำหรับภาวะแทรกซ้อน ความผิดปกติ ทั้งที่มีปัจจัยให้เกิดหรือเกิดตามธรรมชาติเองก็ตาม ในระหว่างการตั้งครรภ์นั้น สิ่งสำคัญในการผ่านวิกฤติความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ก็คือการใส่ใจดูแลสุขภาพครรภ์ ปฏิบัติตัวภายใต้การดูแลของคุณหมอเป็นหลักค่ะ

          และที่อยากบอกต่อก็คือ นอกเหนือจากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ของแม่ท้องแล้ว คุณแม่ที่มุ่งมั่นตั้งใจกับการวางแผนจะมีลูก ก็ควรเตรียมความพร้อมตั้งครรภ์คุณภาพ ป้องกันภาวะความผิดปกติที่อาจเกิดกับคุณแม่และลูกน้อย ลดความเสี่ยง โอกาสที่จะเกิดขึ้นปัญหาด้วยเรื่องต่อไปนี้

กินวิตามิน

          หนึ่งในอุบัติการณ์ความผิดปกติที่พบได้ในทารกคือ กระดูกสันหลังและกะโหลกศีรษะปิดไม่สนิท และการวิจัยทางการแพทย์พบว่าคุณแม่ที่ได้รับวิตามินโฟลิก (หรือโฟเลต) มีโอกาสความเสี่ยงที่จะพบภาวะดังกล่าวได้น้อยกว่า คุณแม่ที่ไม่ได้รับวิตามินโฟลิก เพราะในบางครั้งในอาหารอาจมีวิตามินโฟลิกไม่มากพอ ต่อความต้องการของร่างกายแม่ท้องที่ควรได้รับ

การปฏิบัติตัว

          ก่อนตั้งครรภ์ ควรเตรียมพร้อมเริ่มกินวิตามินโฟลิกวันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 2-3 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงกับภาวะดังกล่าว สำหรับคุณแม่ที่มีความตั้งใจที่จะมีลูกน้อย

เจาะเลือด

          ก็เพื่อค้นหาความผิดปกติ หรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ เช่น โรคโลหิตจาง, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคเอดส์, ไวรัสตับอักเสบ, ซิฟิลิส โดยเฉพาะโรคธาลัสซีเมีย ที่ค่อนข้างพบได้บ่อย เป็นโรคติดต่อผ่านทางพันธุกรรม ที่สามารถติดต่อไปยังลูกได้

การปฏิบัติตัว

          เพื่อ ค้นหาความผิดปกติ หรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ เช่น โรคโลหิตจาง, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคเอดส์, ไวรัสตับอักเสบ, ซีฟิลิส โดยเฉพาะโรคธาลัสซีเมีย ที่ค่อนข้างพบได้บ่อยเป็นโรคติดต่อผ่านทางพันธุกรรม ที่สามารถติดต่อไปยังลูกได้ โดยเฉพาะเรื่องความเครียดกับแม่ท้อง แม้ว่าผลในเชิงวิชาการยังบอกไม่ได้ถึงระดับความเครียด ที่ส่งผลต่อคุณแม่ตั้งครรภ์อย่างเป็นรูปธรรม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่แม่ท้องพึงระวัง

          ฉะนั้นเมื่ออยู่ในภาวะเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ต้องรีบออกจากความเครียดให้เร็วที่สุด เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นตัวกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีนในร่างกาย มีผลต่อระบบการหมุนเวียนโลหิต ส่งผลให้ทารกที่คลอดออกมามีน้ำหนักตัวน้อย แต่อย่างไรแล้วคงไม่ส่งผลทางบวก

33 วิธีรักษาหุ่นให้เพรียวสวย

|0 ความคิดเห็น

33 วิธีรักษาหุ่นให้เพรียวสวย

ลดความอ้วน



          ใคร ๆ ก็อยากมีหุ่นเพรียวกระชับ แต่ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นได้ปุบปับเสียเมื่อไหร่ สาว ๆ หลายคนที่อยู่ระหว่างการดูแลรูปร่างแม้จะยังไม่เข้าที่ดี แต่ก็ไม่ต้องกลัวเรื่องการสวมใส่เสื้อผ้านะคะ เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมมีทิปดี ๆ มาฝากในการเลือกใส่เสื้อผ้าที่จะช่วยพรางหุ่นให้คุณดูเพรียวสวยได้ แถมยังนำเคล็ดลับเรื่องการควบคุมอาหารมาฝากด้วยค่ะ ชักจะอยากรู้กันแล้วใช่ไหมเอ่ย ถ้าอย่างนั้นอย่ารอช้า มาดูไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าค่ะ

1. พรางสะโพกใหญ่ด้วยกระโปรงทรงดินสอ

          สำหรับสาวที่มีสะโพกค่อนข้างใหญ่สามารถพรางให้ดูเล็กลงได้โดยการใส่กระโปรงทรงดินสอสีเข้มอย่าง สีดำหรือน้ำตาล ชายกระโปรงที่สอบเข้าจะทำให้ดูมีทรวดทรงสมส่วนมากขึ้น นอกจากนี้เลือกแมทช์กับท่อนบนที่มีสีอ่อน หรือสีสันสดใสแบบที่คุณชอบ จะเป็นการดึงสายตาให้ไปสนใจที่ท่อนบนของคุณแทนได้ค่ะ

ชุดชั้นใน


2.ซื้อบราตัวใหม่

          จากการสำรวจ สาว ๆ ราว 85% ยังสวมใส่บรากันไม่ถูกต้องนัก กล่าวคือใส่บราที่ทำให้ตำแหน่งของหน้าอกอยู่คล้อยเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ช่วงตัวดูสั้น ทึบตัน และอวบเกินจริง หากอยากสวมใส่บราที่เหมาะกับสรีระและทำให้รูปร่างดูดีขึ้นด้วย ควรเลือกบราที่ทำให้หน้าอกของคุณอยู่ในระดับที่เหมาะสม มีความห่างระหว่างหน้าอกและเอวที่พอเหมาะ ยิ่งช่วงห่างระหว่างอกและเอวมีมากเท่าไหร่ก็จะทำให้คุณมีช่วงตัวที่ดูยาวและเพรียวขึ้นเท่านั้น แทนที่จะซื้อบราไซส์เดิม ๆ เหมือนกับที่คุณเคยซื้อเมื่อคราวที่แล้ว เลือกซื้อบราตัวใหม่โดยให้พนักงานประจำร้านหรือผู้เชี่ยวชาญวัดขนาดและสัดส่วนที่เหมาะสมกับสรีระของคุณดูค่ะ

3.เสื้อคอวี
          ลองสังเกตูดูสิคะว่าสาวอวบทุกคน มักดูดีในเสื้อคอลึกอย่างเช่นคอวี คอเสื้อที่ลึกกว่าเสื้อผ้าทั่วไปทำให้คอดูยาวระหงขึ้น ช่วยให้รูปร่างดูสูงโปร่งขึ้นด้วย ทั้งนี้อย่าลืมดูแลและบำรุงผิวบริเวณช่วงคอและบ่า เพื่อจะได้สวมเสื้อคอวีได้อย่างมั่นใจด้วยนะคะ

4.ชุดชั้นในปรับสรีระ

ชุดชั้นในปรับสรีระเป็นตัวช่วยที่ดีอีกทางหนึ่งของสาว ๆ ค่ะ ใส่เอาไว้ด้านในเสื้อผ้า เก็บส่วนเกินของร่างกาย ทำให้รูปร่างของเราดูกระชับสมส่วน ลองหาซื้อไซส์ที่พอดีกับตัวของคุณ เลือกเนื้อผ้าที่กระชับแต่ระบายอากาศได้ดี อย่าซื้อแบบที่รัดแน่นหรือฟิตเกินไปนะคะ ลองนึกถึงภาพที่เนื้อส่วนเกินปลิ้นออกมาแล้วไม่น่าดูเอาเสียเลย จริงไหมคะ

5.จัดตู้เสื้อผ้าใหม่

          หากอยากจะมีเสื้อผ้าที่ใส่แล้วช่วยให้หุ่นดูเพรียวสวย ถึงเวลาต้องโละเสื้อผ้าที่คุณมีในตู้เสื้อผ้า อย่างรองเท้าหุ้มข้อ หรือกางเกงผ้าพลิ้วแนบเนื้ออย่างผ้าซาติน เพราะจะทำให้คุณดูตัน แล้วก็อวบ และหากคุณมีต้นแขนที่อวบ ก็อย่าลืมโละเสื้อแขนกุดออกจากตู้เสื้อผ้าไปด้วย รวมถึงเสื้อยืดตัวใหญ่หลวมโพรกที่ใส่สบายเสียจนลืมดูแลรูปร่าง เพราะยิ่งเสื้อผ้าตัวใหญ่ก็ยิ่งทำให้เราละเลยกับการดูแลรูปร่างได้มากขึ้นเท่านั้นค่ะ

6.คาดเข็มขัด

          หยิบเข็มขัดเส้นโปรดมาคาดเอว จะช่วยเน้นให้เห็นส่วนโค้งเว้นของร่างกายมากขึ้น ทำให้ดูผอมลงกว่าเดิม แล้วยังสวยมีสไตล์อีกด้วย

7.สวมเสื้อผ้าที่โชว์ผิว
          เลือกเสื้อผ้าที่ให้คุณสามารถโชว์พื้นที่บนร่างกายคุณได้บ้าง เช่น เว้าที่หัวไหล่หรือโชว์แขน การเปิดเผยพื้นที่บนร่างกายบางส่วนจะทำให้ตัวคุณดูโปร่งมากขึ้น เสื้อผ้าที่ปกปิดมากเกินไป จะทำให้ดูทึบตัน และน่าอึดอัดค่ะ

สุขภาพผิว

8.อวดขาสวยด้วยโลชั่นปรับสภาพผิว

          หากต้องการโชว์ขาสวย ๆ แต่ว่ายังกังวลกับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และผิวที่แห้งลาย ลองตัวช่วยแบบปัจจุบันทันด่วนอย่างโลชั่นปรับสภาพผิว ที่จะช่วยให้คุณมีเรียวขาที่เรียบเนียน และสีผิวที่สม่ำเสมอ บางยี่ห้อผสมกลิตเตอร์เล็ก ๆ ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นได้ด้วย แถมเดี๋ยวนี้ก็มีแบบสเปรย์ซึ่งใช้งานง่ายกว่ามาให้เลือกซื้อแล้วด้วยค่ะ

9.โพสต์ท่าสวยให้ถ่ายรูปให้ขึ้นกล้อง
          หากโอกาสไหนคุณต้องถ่ายรูปแบบเต็มตัว สิ่งที่ควรพึงระลึกเอาไว้ทุกครั้งคือ ทำตัวให้ดูสูงเพรียวเข้าไว้ เชิดหน้าเล็กน้อย เบนไหล่ข้างหนึ่งไปด้านหลัง 75 องศา ทิ้งน้ำหนักตัวที่ขาข้างหลัง จะช่วยทำให้รูปร่างดูเพรียวเและเป็นธรรมชาติ หากคุณกังวลเรื่องต้นแขนใหญ่ ลองยกมือขึ้นเท้าสะเอวงาม ๆ ท่านี้จะช่วยพรางให้ต้นแขนคุณดูเรียวขึ้นได้ค่ะ
แต่งหน้า

10.แต่งหน้าให้ดูมีมิติ
          การแต่งหน้าให้ดูมีมิติ หรือการไฮไลท์ เป็นการปรับรูปหน้าให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ เพื่อให้หน้าดูอิ่มเป็นธรรมชาติ ลองใช้สีออกมุก หรือมีชิมเมอร์แบบละเอียด ไฮไลท์ส่วนที่ควรจะนูนออกมาจากหน้า อย่างแก้มและรอยพับเปลือกตาค่ะ

11.เลือกใส่ยีนส์ให้เหมาะ
          เพื่อให้รูปร่างและบุคลิกภาพดูดี ลองสำรวจดูให้แน่ใจว่ายีนส์ตัวเก่งของคุณใส่แล้วเป้าไม่พองหรือย้อยจากตำแหน่งที่ควรจะเป็น ซึ่งนั่นแสดงว่าคุณใส่กางกางที่ไซส์ใหญ่เกินไป แต่หากบริเวณเป้าเป็นรอยจีบย่น นั่นก็แสดงว่ากางเกงคับไปแล้วค่ะ มองหากางเกงที่เนื้อผ้ายืดหยุ่นได้มากกว่าเดิม หรือเปลี่ยนไปใส่กางเกงที่ไซส์ใหญ่ขึ้น อย่าลังเลหรือรู้สึกผิดที่จะซื้อกางเกงตัวใหญ่ขึ้น เพราะสิ่งที่คุณต้องการคือบุคลิกภาพที่ดีและรูปร่างที่ดูสมส่วน เลือกยีนส์ที่ใส่สบายและดูดี ดีกว่ายึดติดกับไซส์เดิมที่ใส่แล้วฟิตนะคะ

12.หลีกเลี่ยงยีนส์เอวต่ำ
          หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงยีนส์ทรงเอวต่ำ แม้จะเป็นทรงที่กำลังฮิตอยู่ก็ตามที กางเกงเอวต่ำมักจะรัดบริเวณสะโพก จนบางครั้งทำให้ส่วนเกินรอบเอวปลิ้นออกมาไม่น่าดู เหมือนกันคัพเค้กที่บานฟูออกมานอกถ้วยเลยค่ะ เพราะฉะนั้นเลือกกางเกงที่เอวสูงขึ้นมาหน่อย แต่มั่นใจได้ว่าใส่แล้วดูดีกว่าเก่าแน่นอนค่ะ
นอนหลับ

13.พักผ่อนให้เพียงพอ

          ในวันหนึ่ง ๆ นั้นเราควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 7 ชั่วโมง มีผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยด้านเภสัชศาสต์แห่งชิคาโก้ว่า การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย และหงุดหงิดได้ง่ายแล้ว ยังเพิ่มความอยากอาหารด้วย ซึ่งนั่นหมายความว่าอาจทำให้คุณกินอาหารเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาเรื่องรูปร่างและน้ำหนักเกินนั่นเอง

14.ยืนให้บุคลิกดี
          การยืนหลังตรงนอกจากเป็นการปรับสรีระ และลดการทำงานหนักของกระดูกบริเวณหลังและคอแล้ว ยังทำให้รูปร่างของคุณเพรียวขึ้นด้วย เพื่อปรับบุคลิกให้กับท่ายืน ให้ยืนตัวตรงโดยให้ใบหู ไหล่ สะโพกและหัวเข่า อยู่ในระนาบเดียวกับตาตุ่ม และทิ้งน้ำหนักตัวลงที่เท้าทั้งสองข้าง เท่านี้คุณก็จะได้ท่ายืนที่ปรับสรีระและทำให้บุคลิกภาพดีด้วยค่ะ

15.เคี้ยวอาหารให้ละเอียด

          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ทานอาหารค่อนข้างเร็ว คราวนี้คงต้องทานให้ช้าลงแล้วล่ะค่ะ ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารในปากให้ละเอียด นอกจากทำให้กระเพาะอาหารไม่ต้องทำงานหนักเกินไปแล้ว ยังทำให้คุณอิ่มพอดี ๆ ด้วย การที่คุณรีบทานอาหารมากเกินไปทำให้บางครั้งบริโภคอาหารเกินพอดี แถมยังเกิดอาการจุกเสียดแน่นอีกด้วย

ดื่มน้ำ

16.ดื่มน้ำเยอะ ๆ
          น้ำนี่แหละค่ะ เครื่องดื่มที่เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่กำลังพยายามไดเอ็ตอยู่ ดีต่อสุขภาพแล้วก็ยังไม่มีเรื่องของแคลลอรี่ให้ต้องกังวลอีกด้วย หากใครติดนิสัยชอบทานน้ำหวาน น้ำอัดลมที่แม้จะเป็นแบบไดเอ็ต หรือน้ำผลไม้ซึ่งยังมีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ก็ตาม ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนมาเป็นการจิบน้ำเปล่าแทนดีกว่าค่ะ วิธีนี้จะช่วยให้คุณควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้นเยอะเลย

17.ทานผลไม้

          สาว ๆ หลายคนมักกังวลที่ต้องบังคับตัวเองให้ทานน้ำให้ได้อย่างน้อย 8 แก้ว เหมือนกับที่ตำราเพื่อสุขภาพหลาย ๆ เล่มบอกมา แต่ความจริงนั้นปริมาณน้ำที่เหมาะสมต่อร่างกายคนเรานั้นต่างกันออกไป การดื่มน้ำเยอะเกินไปก็เท่ากับว่าคุณสูญเสียแร่ธาตุและสารอาหารบางส่วนไปกับปัสสาวะด้วย หากคุณมีปัญหาดื่มน้ำเยอะแล้วต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ลองเปลี่ยนจากการดื่มน้ำ เป็นการทานผลไม้ที่มีส่วนประกอบของน้ำสูง อย่าง แตงโม แคนตาลูป กีวี่ ฯลฯ ดูก็ได้ค่ะ นอกจากร่างกายจะได้รับน้ำแล้ว ยังสดชื่นจากความหวานตามธรรมชาติของผลไม้อีกด้วย

18.ลดอาหารรสเค็ม

          อาหารที่มีรสเค็มหรือมีธาตุโซเดียมสูง ทำให้คุณมีอาการบวมน้ำได้ เนื่องจากร่างกายต้องทำการกักเก็บน้ำเพื่อขับโซเดียมออกมา เพราะฉะนั้นลดการทานอาหารที่มีรสชาติเค็มจัดเถอะนะคะ
อาหารเพื่อสุขภาพ

19.เลือกของทานเล่นที่มีประโยชน์

          ถ้าคุณยังไม่สามารถเลิกนิสัยการหยิบของทานเล่นเข้าปากระหว่างช่วงมื้ออาหารได้ ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนนิสัยดูทีละน้อย โดยเริ่มต้นจากการเปลี่ยนขนมขบเคี้ยวพวกนั้นมาเป็นของที่มีประโยชน์อย่างพวกถั่วต่าง ๆ ผลไม้อบแห้ง ลูกพรุน หรือว่าจะลองหาซื้อซีเรียลชนิดแท่งมาติดกระเป๋าไว้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลายสูตร แถมยังรสชาติอร่อยอีกต่างหาก เตรียมของพวกนี้ไว้ใกล้มือ แบบที่อยากกินจุบจิบเมื่อไรก็คว้ามาใส่ปากได้ อิ่มท้องเล็ก ๆ แล้วยังมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วยค่ะ

20.เลือกทานมื้อเย็นให้เหมาะสม

          หากวันไหนคุณเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปดินเนอร์แบบฝรั่ง ซึ่งมักเป็นอาหารที่มีแคลอรี่สูง ถ้าเป็นไปใด้ขอให้ทางร้านแยกซอสออกจากอาหาร หากอาหารจานนั้นเป็นแบบที่ต้องราดซอสลงไปท่วม พยายามหลีกเลี่ยงขนมปังสำหรับทานคู่กับอาหาร และเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีรสหวานค่ะ ที่สำคัญทานแต่พออิ่มนะคะ 

21.งดมื้อค่ำ

          กระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกายจะค่อย ๆ ชะลอการทำงานลงตามช่วงเวลาของวันด้วย ยิ่งเย็นการเผาผลาญอาหารยิ่งต่ำ เพราะฉะนั้นควรบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่สูงในช่วงกลางวัน  ลดปริมาณแคลอรี่และงดของหวานในช่วงมื้อเย็น รวมทั้งงดทานมื้อดึกด้วยค่ะ
ออกกำลังกาย

22.เปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกาย

          คุณสามารถใช้เวลาเพียง 45 นาที ในการปั่นจักยาน หรือวิ่งบนลู่ โดยค่อย ๆ เพิ่มระดับความเร็วขึ้นทุก ๆ 5 นาที ซึ่งให้ผลได้เท่ากับการที่คุณออกกำลังกายเบา ๆ ร่วมชั่วโมง เพียงแค่คุณเปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกายก็จะทำให้สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม หรือเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นในเวลาที่เท่ากันได้ค่ะ

23.ออกกำลังกายแบบที่เหมาะกับตัวคุณ

          อย่างไรก็ตามการออกกำลังกายก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลรูปร่าง จริงอยู่ว่าคุณอาจไม่สามารถออกกำลังกายแบบที่ตำราดูแลรูปร่างแนะนำเอาไว้ แต่อย่างน้อยคุณก็สามารถเลือกรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะกับตัวคุณเองได้ หากคุณตื่นเช้าอาจจะออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งรอบ ๆ บริเวณบ้าน หากเวลาไม่พออาจเปลี่ยนเป็นการทำโยคะหรือพิลาทีสในยามเย็นแทน หรือหาวิธีออกกำลังกายเบา ๆ ในช่วงวันอย่างการเดินขึ้นบันไดแทนขึ้นลิฟท์ก็ได้ค่ะ

24.ทานมื้อย่อยให้บ่อยขึ้น

          สำหรับคนที่ทานอาหาร 3 มื้อหลักแล้วย่อยเร็ว หิวง่าย อันมีสาเหตุจากระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำระหว่างวัน ทำให้เกิดอาการโหย และอาจทำให้ทานอาหารมากเกินความต้องการของร่างกายในมื้อถัดไป เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเช่นนี้ คุณสามารถเพิ่มมื้อย่อย ๆ ระหว่างวันได้ แทนที่จะกิน 3 มื้อใหญ่ คุณอาจเปลี่ยนเป็น 5 มื้อย่อยในหนึ่งวันแทน โดยอย่าลืมควบคุมปริมาณแคลอรี่โดยรวมของอาหารทุกมื้อในวันนั้นด้วยนะคะ การเปลี่ยนเป็นทานอาหารมื้อเล็กแต่บ่อยขึ้น จะช่วยควบคุมไม่ให้คุณหิวโหยจนกินไม่เลือกในมื้อหลักได้ค่ะ

25.บริหารต้นขา
          ท่ากายบริหารที่ช่วยกระชับต้นขาและน่องได้ดี คือท่านอนตะแคงแล้วยกขาขึ้นลง และท่ายืนแยกปลายเท้าแบบนักบัลเลต์ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อต้นขาและน่องเกร็ง ทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น กายบริหารท่านี้ให้ได้ 3 เซ็ท เซ็ทละ 10-15 ครั้ง โดยทำให้ได้ 3 วันต่อสัปดาห์ นอกจากขาของคุณจะเพรียวกระชับสวยแล้วยังช่วยกระชับสะโพกอีกด้วยค่ะ
โยคะ ท่าหมาก้ม

ท่า downward dog

โยคะ ท่าพระจันทร์เสี้ยว

ท่า crescent moon


26.ออกกำลังกายเพื่อกระชับช่วงลำตัว

          ท่าออกกำลังกายเพื่อกระชับช่วงลำตัวที่ทำได้ไม่ยาก คือการทำโยคะท่าหมาก้ม หรือท่าสุนัขแลลง (downward dog) ซึ่งจะช่วยขจัดความเมื่อยล้า ทำให้กระดูกสันหลังคลายตัว คลายกล้ามเนื้อน่อง เข่า อาการแข็งตึงที่ส้นเท้า และบรรเทาอาการตึงหัวไหล่ และอีกหนึ่งท่าคือท่าพระจันทร์เสี้ยว (crescent twist, crescent moon) ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับหลังและสะโพกค่ะ ทั้งผ่อนคลายและเสริมความแข็งแรงกระชับช่วงตัวให้แบบนี้แล้ว อย่าลืมนำไปฝึกฝนกันดูนะคะ

27.อย่าให้มือว่างหากไปปาร์ตี้

          หากต้องไปปาร์ตี้ซึ่งมีอาหารมากมายให้คุณเลือกทานได้ตามสบาย พยายามหาสิ่งของเช่นแก้วน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำพั้นซ์ น้ำผลไม้หรือว่าไวน์ก็ตาม ถือติดมือเอาไว้ เพื่อที่มือจะได้ไม่ว่างจนไปหยิบอะไรทานจนมากเกินไปค่ะ

28.ทานเหลือไม่ต้องห่อกลับ

          หากไปทานอาหารนอกบ้านแล้วเหลือ สาว ๆ มักจะเสียดายและสั่งพนักงานให้นำใส่ห่อเพื่อเอากลับบ้าน ซึ่งสาว ๆ บางคนก็อดใจไม่ได้ที่จะแกะมากินอีกครั้งเมื่อกลับถึงบ้าน แต่รู้ไหมคะว่า นี่เท่ากับเป็นการทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีที่คุณไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้เช่นนี้ ก็ตัดปัญหาด้วยการกินให้จบไปที่ร้านเลยค่ะ แม้จะทานเหลือก็ตัดใจไม่ห่อกลับบ้านดีกว่านะคะ

อาหารเพื่อสุขภาพ

29.ทานผักผลไม้สด

          หลังจากเติมกระเพาะอาหารไปกับอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยความร้อนไปเสียบ่อยแล้ว ลองหันมาทานผักผลไม้สดดูบ้างดีกว่าค่ะ นอกจากจะช่วยกระตุ้นการย่อยและการดูดซึมอาหารให้ดีขึ้นแล้ว ยังได้วิตามินและเกลือแร่มากกว่าผักผลไม้ที่ผ่านการปรุงมาแล้วอีกด้วย

30.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มฟองฟู่

          เครื่องดื่มฟองฟู่ทั้งหลายเกิดจากการทำปฏิกิริยาของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดเข้าไปทำปฏิกิริยากับน้ำ เมื่อทานเข้าไปทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหารกลายเป็นอาการท้องอืดตามมา ซึ่งสาว ๆ บางคนก็จะรู้สึกว่าท้องบวมพองขึ้น พลอยให้ไม่มั่นใจในรูปร่างตามไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเป็นกังวลกับเรื่องจุกจิกแบบนี้ก็หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีฟองฟู่ดีกว่าค่ะ
ลูกอม

31.หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดก๊าซ

          หากวันไหนสาว ๆ อยากจะมั่นใจว่ามีท้องที่เรียบสวย การเลือกทานอาหารก็มีส่วนช่วยได้เช่นกันค่ะ เช่นนั้นแล้ว คุณสาว ๆ ควรเลือกทานอาหารที่จะไม่ทำให้ท้องของคุณดูพองป่องขึ้นมา โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่มีซอร์บิทอล ซึ่งเป็นสารให้รสหวานที่สกัดจากผลไม้ เช่น พีช แอปเปิ้ล พรุน ฯลฯ แล้วนำมาแต่งเติมรสชาติของอาหารโดยเฉพาะในลูกอมและหมากฝรั่ง เพราะร่างกายเราใช้เวลาค่อนข้างนานในการดูดซึมสารตัวนี้ นั่นหมายถึงจะเกิดก๊าซขึ้นระหว่างกระบวนการย่อยนี้มากตามไปด้วย

          หากต้องการความหวานให้เลือกความหวานที่ได้จากน้ำตาลแทนจะดีกว่าค่ะ รวมถึงเลี่ยงอาหารที่มีแป้งมาก อย่างมันฝรั่ง ข้าว ข้าวโพด ขนมปัง ซึ่งแป้งเหล่านี้จะทำให้เกิดก๊าซมากระหว่างกระบวนการย่อยที่ลำไส้เล็ก เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากมีหน้าท้องที่แบนราบอย่างมั่นใจ ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารทั้งสองตัวนี้นะคะ

32.งดกาแฟ

          เปลี่ยนจากการดื่มกาแฟเป็นจิบชาเขียวร้อน ๆ แทนดีกว่าค่ะ สารในชาเขียวจะช่วยลดระดับฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเปลี่ยนแป้งไปเป็นไขมันสะสมในร่างกาย อันส่งผลโดยตรงต่อน้ำหนักตัว เมื่อฮอร์โมนอินซูลินลดลง การเปลี่ยนแป้งไปเป็นไขมันสะสมก็น้อยลงด้วย ขณะเดียวกันชาเขียวก็ยังให้สารคาเฟอีนที่จะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้เช่นเดียวกับกาแฟถ้วยโปรดของคุณด้วยค่ะ

33.เพิ่มโปรตีนให้กับมื้อเช้า

          อาหารที่มีโปรตีนสูงได้รับการวิจัยแล้วว่า ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนัก เพราะโปรตีนจะเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้ร่างกาย โดยไม่สร้างชั้นไขมันเพิ่มเติม เพราะฉะนั้นอย่าลืมเติมโปรตีนเข้าไปในอาหารมื้อเช้าที่สำคัญของคุณด้วยนะคะ โปรตีนสำหรับมื้อเช้าที่ทานได้ง่าย ๆ ได้แก่ผลิตภัณฑ์จากนม อย่างเช่นโยเกิร์ต ลองโยเกิร์ตแบบไขมัน 0% แล้วโรยด้วยถั่วและผลไม้ต่าง ๆ นอกจากอิ่มท้องแล้วยังได้ประโยชน์แน่นอนค่ะ

          โอ้โห เห็นไหมคะ วีธีที่จะช่วยให้คุณสาว ๆ มีรูปร่างเพรียวสมส่วม ทั้งการเลือกเสื้อผ้าช่วยพรางหุ่น และการเลือกทานอาหารซึ่งจะเป็นการดูแลรูปร่างคุณในระยะยาว มีอยู่มากมายเลยทีเดียว ถ้าทำตามได้หมดทุกข้อ รับรองว่าสาว ๆ จะมีรูปร่างที่เพรียวสวยสมส่วนขึ้นได้แน่นอนค่ะ ลองนำไปใช้กันดูนะคะเราเป็นเอาใจช่วยให้สาว ๆ ทุกคนสวยมั่นใจได้อย่างที่ต้องการค่ะ