วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีช่วยคนถูกไฟดูดอย่างปลอดภัย

|0 ความคิดเห็น
วิธีช่วยคนถูกไฟดูดอย่างปลอดภัย


เข้าช่วงฤดูฝน บ้านไหนมีปัญหาหลังคารั่วน้ำซึมเข้าตัวบ้านต้องระวัง หากน้ำฝนไหลลงถูกสายไฟที่มีรอยรั่วหรือเต้าเสียบปลั๊ กอาจเป็นอันตราย ทำให้คนในบ้านถูกกระแสไฟฟ้าดูดเมื่อไปสัมผัสจนเจ็บตั ว หมดสติหรืออาจเสียชีวิตได้

อุบัติเหตุใกล้ตัวอย่างนี้ ‘มุมสุขภาพ’ มีวิธีช่วยเหลือผู้ที่ถูกไฟฟ้าช็อตอย่างปลอดภัยทั้งค นช่วยและคนถูกไฟฟ้าดูดมาแนะนำกัน

เริ่มจากคนที่จะเข้าไปช่วยต้องตั้งสติให้ดี และรีบตัดวงจรไฟฟ้าทันที จากนั้นสำรวจตัวเองก่อนว่าผิวหนังของคนช่วยอยู่ในสภา พเปียกชื้นหรือไม่ เพราะสภาพเนื้อตัวที่ไม่แห้งถือเป็นตัวนำไฟฟ้า คนช่วยก็อาจถูกไฟฟ้าดูดได้เช่นกัน ถ้าหากเป็นเช่นนี้ เห็นควรให้ขอความช่วยเหลือจากคนอีกจะดีกว่า

เมื่อตัดวงจรไฟฟ้าแล้ว ให้มองดูรอบๆ คนถูกไฟฟ้าช็อต หากพบสายไฟพาดตัวอยู่ให้หาวัสดุที่ไม่นำกระแสไฟฟ้า อย่าง ไม้ เขี่ยสายไฟให้พ้นตัว แล้วจึงเคลื่อนผู้บาดเจ็บออกจากบริเวณนั้น ทั้งนี้หากผู้บาดเจ็บถูกไฟฟ้าช็อตร่วมกับอุบัติเหตุพ ลัดตกจากที่สูง ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเคลื่อนย้าย เพราะอาจทำให้พิการได้ในภายหลัง

ทันทีที่นำตัวผู้ป่วยมายังบริเวณที่ปลอดภัย เบื้องต้นให้ตรวจดูว่าหัวใจหยุดเต้นหรือไม่ โดยใช้นิ้วมือคลำชีพจรบริเวณคอ หากหยุดหายใจต้องรีบนวดหัวใจหรือปั๊มหัวใจ สลับกับการผายปอด กระทั่งผู้ป่วยมีสัญญาณชีพกลับมาให้นำตัวส่งโรงพยาบา ลให้เร็วที่สุด หรือเมื่อเริ่มพบเหตุการณ์ในตอนต้นให้รีบโทรศัพท์แจ้ งเหตุด่วนขอความช่วย เหลือทันที

และเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ข้างต้นเกิดขึ้น ควรหมั่นตรวจเครื่องใช้ไฟฟ้า สายไฟ ปลั๊กไฟ ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ชำรุดเสียหาย ถ้าจะให้ดีติดตั้งอุปกรณ์ตัดไฟฟ้าอัตโนมัติสำหรับตัด กระแสไฟฟ้าเมื่อเกิดการ รั่วไหลทันที แต่อุปกรณ์ตัวนี้ก็ต้องหมั่นเช็คสภาพด้วย.

ออกกำลังกายอย่างไร ไม่ให้เหนื่อยเร็ว

|0 ความคิดเห็น
ออกกำลังกายอย่างไร ไม่ให้เหนื่อยเร็ว


ออกกำลังกายอย่างไร ไม่ให้เหนื่อยเร็ว (Woman's story)


มี เคล็ดลับดี ๆ มาบอกสาว ๆ ที่ชอบออกกำลังกายกันค่ะ.. ว่าทำอย่างไรนะ ไม่ให้เหนื่อยง่ายในขณะที่ออกกำลังกาย ตัวการสำคัญคือกระจก กระจกที่ติดอยู่รอบห้องออกกำลังกายตามสถานที่ออกกำลั งกายต่าง ๆ ที่ติดไว้เพื่อให้เรามองลักษณะท่าทางการออกกำลังกายข องเรา เจ้ากระจกนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเหนื่อยเร็วขึ้นค่ ะ

จากการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ จากประเทศแคนาดา พบว่า การออกกำลังกายหน้ากระจก โดยการปั่นจักรยานอยู่กับที่ จะเหนื่อยเร็วกว่าผู้ที่ปั่นจักรยาน โดยไม่ได้ส่องกระจกค่ะ

รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ ที่ไม่อยากจะเหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกาย ลองออกกำลังกายในที่ ๆ ไม่มีกระจกดูสิคะ แล้วจะทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น..




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

6 วิธีนอนอย่างปลอดภัยในโรงแรม

|0 ความคิดเห็น
6 วิธีนอนอย่างปลอดภัยในโรงแรม



6 วิธีนอนอย่างปลอดภัยในโรงแรม (Momypedia)

หลายคนคงจะได้ทราบข่าวเกี่ยวกับโรงแรมในจังหวัดเชียง ใหม่กันมาบ้างแล้วว่ามี นักท่องเที่ยวเสียชีวิตที่โรงแรมแห่งนั้นหลายคน จนถูกขนานนามว่าเป็น "โรงแรมอาถรรพ์" แต่ไม่นานนี้ก็มีข่าวใหม่ออกมาว่าแท้จริงแล้วสาเหตุก ารเสียชีวิตนั้น เกิดจากการได้รับสารพิษที่มีอยู่ในโรงแรมนั่นเอง

สาร พิษที่ตรวจพบคือ chloypyrifos ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งในยาฆ่าแมลงที่ทางโรงแรมใช้ฉีดพ ่นเตียงนอนเพื่อกำจัดไร ฝุ่นหรือแมลงบนที่นอน แต่จากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตก็ไม่พบสารพิษใด ๆ ดังนั้นข้อกล่าวอ้างนี้เรายังคงต้องติดตามต่อไปค่ะ แต่นั่นก็ยังทำให้หลาย ๆ คนกังวลอยู่ไม่น้อยหากต้องไปพักตามโรงแรมอื่น ๆ "แล้วโรงแรมที่เราไปพักล่ะ ปลอดภัยจริงหรือเปล่า"

การจะตรวจสอบสารพิษหรือสารเคมีด้วยตัวเองคงเป็นเรื่อ งยากค่ะ แต่เราสามารถป้องกันหรือดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้นเมื ่อต้องไปเข้าพักตาม โรงแรมต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสารเคมีที่มีอยู่ในห้องพักของเราค่ะ

1. ตรวจสอบข้อมูลของโรงแรมก่อนเข้าพัก : จริง ๆ แล้วมีการรีวิวโรงแรมหรือที่พักต่าง ๆ ในอินเตอร์เนตให้เราได้เข้าไปอ่านเยอะมาก รวมทั้งความคิดเห็นของผู้ที่ไปใช้บริการมาแล้วจริง ๆ และภาพถ่ายมุมต่าง ๆ ของโรงแรม ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกโรงแรม โดยควรจะเลือกโรมแรมหรือห้องพักที่มีหน้าต่างภายในห้ องสามารถเปิดระบายอากาศ ได้ มีพัดลมระบายอากาศ หรือเป็นห้องพักที่มีการห้ามสูบบุหรี่ภายในห้อง ก็จะทำให้เรามั่นใจในเรื่องอากาศที่ถ่ายเท หมุนเวียนตลอดเวลา

2. รู้อาการแพ้ของตัวเอง : ข้อนี้สำคัญค่ะ เพราะเราอาจจะมีอาการแพ้สารเคมีไม่ เหมือนกัน เช่น บางคนแพ้สเปรย์ปรับอากาศ บางคนแพ้น้ำยาเช็ดทำความสะอาดพื้น หรือบางคนแพ้ไรฝุ่นจากหมอนหรือที่นอน ดังนั้นเพื่อความสบายใจและปลอดภัย ควรสอบถามเจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนว่ามีการใช้สารเคมีดั งกล่าวในห้องพักบ้างไหม ใช้มากแค่ไหน หรือหากต้องการพักที่โรงแรมนั้นจริง ๆ ก็สามารถขอเป็นกรณีพิเศษได้ค่ะว่าไม่ให้สารเคมีดังกล ่าวมในห้องที่จะพัก โรงแรมส่วนใหญ่จะยินดีให้บริการอยู่แล้วค่ะ

3. พกพายาส่วนตัว : บอก ตรง ๆ ว่าบางครั้งเราก็ไม่สามารถเลี่ยงสารเคมีได้ อาจจะเพราะความไม่รู้ ไม่ตรวจสอบ หรือไม่ระวังตัว ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรพกพายาแก้แพ้ของตัวเองไปด้วย เช่น บางคนจะมีอาการจาม มีน้ำมูกเหมือนเป็นหวัดเมื่อสูดกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศ เข้าไป ก็ควรจะพกยาแก้แพ้ไปด้วย เพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้

4. สำรวจทุกซอกมุม : อาจจะทำตัวเหมือนนักสืบคอยจ้องจับผิดไปหน่อย แต่เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยในการเข้าพักค่ะ เมื่อเข้าห้องพักแล้ว ให้ลองเดินสำรวจห้องก่อนทั้งในห้องน้ำ ในตู้เสื้อผ้า ใต้โต๊ะ มุมห้อง ซอกเตียง เพราะเป็นไปได้ว่าในจุดเหล่านั้นจะมีสิ่งสกปรกที่ก่อ ให้เกิดอาการแพ้ได้ และหากเจอซอกมุมที่มีฝุ่น มีแมลงที่อาจทำให้เราแพ้ ก็สามารถให้ทางโรงแรมจัดเจ้าหน้าที่มาทำความสะอาดอีก ครั้งก่อนเข้าพัก หรือหากมีห้องพักอื่นว่างก็สามารถเปลี่ยนห้องได้ค่ะ

5. ปัด ๆ จัด ๆ ก่อนนอน :อย่า คิดว่าเมื่อเดินเข้าห้องพักแล้วเห็นเตียงจัดไว้สวย ๆ จะดีเสมอไปค่ะ (ต่อให้เป็นโรงแรม 5 ดาวก็เถอะ) เพราะเป็นไปได้เช่นกันว่าบนเตียงนอนหรือแม้แต่ในผ้าห ่ม ผ้าปูเตียงเองอาจจะมีไรฝุ่น สิ่งสกปรก หรือแมลงตัวเล็ก ๆ เล็ดลอดเข้ามาแบบคาดไม่ถึง ก่อนขึ้นไปนั่งไปนอนบนเตียงให้ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ๆ ปัดที่นอนก่อน อย่ากลัวว่าจะไม่มีผ้าผืนเล็กไว้เช็ดหน้าเช็ดผมค่ะ ขอใหม่จากทางโรงแรมได้ค่ะ

6. อาบน้ำอาบท่า อย่ามัวแต่นอนกลิ้ง :แน่ นอนค่ะว่าหลาย ๆ โรงแรมมีเตียงนอนที่นอนสบายกว่าเตียงที่บ้าน แอร์ก็เย็น บรรยากาศก็ดี แต่ก็อย่าเผลอนอนกลิ้งอยู่เป็นวัน ๆ จนไม่ทำอะไรนะคะ เมื่อตื่นแล้วก็ควรจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด เพื่อกำลังฝุ่นไร หรือสารเคมีที่อาจจะมีอยู่บนที่นอนให้หลุดออกจากผิวห นังของเราค่ะ


6 วิธีข้างต้นนี้ บางคนมองว่ายุ่งยาก ลำบาก หรือแม้แต่กลัวว่าทางโรงแรมจะไม่ยินยอมให้บริการดังก ล่าว เพราะคิดว่าเรื่องมาก แต่อย่างหนึ่งที่อยากบอกให้ทราบไว้ค่ะว่าในแง่มุมของ การบริการนั้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบริการที่จะทำให้ลูกค ้าอย่างเราปลอดภัยและ ประทับจนไปบอกต่อ ซึ่งจะสร้างชื่อเสียงให้กับทางโรงแรมได้เช่นกัน และในแง่ของผู้บริโภคสินค้าและบริการอย่างเรา กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคก็มีมารองรับในเรื่องสินค้าแ ละบริการที่ปลอดภัยอยู่ แล้ว

คงไม่มี ใครอยากจะเข้าไปพักแบบเสี่ยงว่าจะได้รับอันตรายจากสา รเคมีหรือสิ่งที่ก่อให้ เกิดอาการแพ้หรอก จริงไหมคะ... ครั้งต่อไปที่ต้องไปพักในโรงแรม อย่าลืมลองนำไปทำกับดูนะคะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

อาหารก่อมะเร็ง ภัยร้ายในความอร่อย

|0 ความคิดเห็น
อาหารก่อมะเร็ง ภัยร้ายในความอร่อย



อาหารที่ปรุงด้วยความร้อนสูง
สารก่อมะเร็งที่พบในอาหารประเภทปิ้ง ย่าง และรมควันนั้น มีชื่อว่าสารพีเอเอช (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon - PAH) ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของไขมันในเนื้อสัตว์ ที่หยดลงไปโดนถ่านไฟ จนทำให้เกิดเป็นควันที่มีพิษเป็นสารก่อมะเร็งและลอยก ลับขึ้นมาจับที่เนื้อ สัตว์บนเตา หากรับประทานเข้าไปในปริมาณมากก็จะเกิดการสะสมในร่าง กาย จนเป็น สาเหตุของโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหารได้

- ทั้งนี้ ควรนำเนื้อสัตว์มาหั่นส่วนที่เป็นไขมันออกเสียก่อน
- จากนั้น จึงนำไปต้มหรืออบให้สุกพอประมาณ แล้วจึงนำไปปิ้งหรือย่าง
- โดยนำกระดาษฟอยล์มารองหรือห่อหุ้มเนื้อเอาไว้ เพื่อช่วยลดปริมาณไขมันที่อาจหยดลงไปในเตา พร้อมกับใช้ไฟเพียงอ่อน ๆ หรือเลือกใช้เตาไฟฟ้าไร้ควันซึ่งจะควบคุมระดับความร้ อนได้ดีกว่าการใช้เตา ถ่าน
- จากนั้นก็ควรตัดส่วนที่ไหม้เกรียมออกก่อนนำมารับประท าน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้

นอกจากนี้ สำนักงานอาหารแห่งประเทศสวีเดนยังทำการวิจัยพบว่า อาหารที่ถูกทอดหรืออบด้วยความร้อนสูง เช่น มันฝรั่งทอด ขนมปังกรอบและบิสกิตนั้นมีสารอะคริลาไมด์ (Acrylamide) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งประกอบอยู่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่ทอดในน้ำมันที่ถูกใช้ปรุงอ าหารเกินสองครั้งนั้นพบ ว่า มีสารก่อมะเร็งที่เกิดจากการแตกตัวของน้ำมันที่เสื่อ มสภาพ ซึ่งหากบริโภคติดต่อกันก็อาจเข้าไปสะสมในร่างกายและเ พิ่มความเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ขณะที่ผู้ปรุงอาหารซึ่งสูดดมไอของน้ำมันเข้าไปก็มีคว ามเสี่ยงต่อการเป็นโรค มะเร็งปอดเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อาหารไขมันสูง
ไขมันที่พบมากในสัตว์เนื้อสีแดง เช่น เนื้อวัว หรือเนื้อหมูนั้นเป็นไขมันอิ่มตัว ที่ยังพบมากในไข่แดง นม และผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย ชีส และโยเกิร์ต เป็นต้น รวมถึงน้ำมันที่ได้จากพืชบางชนิด เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันแปรรูป เช่น มาการีน เนยขาว ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายผลิตคลอเรสเตอรอลมากขึ้น จนเป็นสาเหตุของภาวะหลอดเลือดตีบแล้ว ไขมันประเภทนี้ยังมีส่วนเชื่อมโยงต่อการก่อตัวของมะเ ร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่ออาหารประเภทนี้ถูกนำไปปรุงในอุณหภูมิที ่ร้อนจัดก็จะก่อให้เกิด สารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่าเอชซีเอ (Heterocyclic Amine - HCA)
อาหารแปรรูป และอาหารปรุงแต่ง
โดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อเค็ม กุนเชียง ไส้กรอก เบคอน มักจะมี "ดินประสิว" ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า "โปตัสเซียมไนเตรต" เป็นส่วนประกอบในอาหาร เพราะสารดังกล่าวนี้จะช่วยคงสภาพให้เนื้อสัตว์มีสีแด งดูน่ารับประทานได้ นานกว่าปกติ และมีคุณสมบัติเป็นสารกันบูดเช่นเดียวกับสารกันบูดปร ะเภทไนไตรต์ และโซเดียมไนเตรต ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที ่มักเกิดในอาหารที่ได้ รับการบรรจุอยู่ในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น อาหารกระป๋อง

แม้จะมีประโยชน์ในการช่วยถนอมอาหาร แต่สารเหล่านี้ก็จัดเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งหากร่างกายได้รับอาหารที่มีสารกันบูดเหล่านี้ติด ต่อกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในกรณีอาหารที่ได้รับการใส่สารกันบูดในปริมา ณเกินกำหนดด้วยนั้น ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหา ร หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเม็ดเลือดขาวมากขึ้นตามไปด้วย
อาหารปนเปื้อนสารเคมีที่เป็นอันตราย
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ได้รับการแต่งสี กลิ่น รส ที่อาจเป็นอันตราย เช่น การใช้สีที่ไม่ใช่สีผสมอาหาร อย่างสีย้อมผ้า หรือแม้กระทั่งการใช้สีผสมอาหารในปริมาณที่มากเกินไป รวมถึงอาหารที่อาจปนเปื้อนสารฆ่าแมลงและสารเคมีแปลกป ลอมอื่น ๆ ซึ่งจะสังเกตได้จากลักษณะของอาหารที่ผิดจากธรรมชาติไ ปมาก เช่น มีสีฉูดฉาดจัดจ้านผิดปกติ หรือพืชผักผลไม้ที่ไม่มีร่องรอยการกัดกินจากแมลงเลย เป็นต้น
อาหารที่มีเกลือโซเดียมสูง
แม้ว่าสารโซเดียมคลอไรด์ หรือที่เรารู้จักกันดีในรูปแบบของเกลือที่นิยมนำมาปร ะกอบอาหารนั้นจะให้ ไอโอดีน ซึ่งช่วยป้องกันโรคคอพอก ได้ก็ตาม แต่การบริโภคอาหารที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบในปริมาณส ูงเกินไป ซึ่งรวมถึงอาหารหมักดองด้วยเกลือ และอาหารที่ใส่ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมต) ก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร และหลอดอาหารได้ เพราะเมื่อร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินไป ก็จะส่งผลให้ปริมาณเกลือโพแทสเซียมลดลง ซึ่งจะทำให้ ภูมิต้านทานในร่างกายลดลงตามไปด้วย
อาหารที่มีเชื้อรา
เชื้อราที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารชนิดที่เป็นอันตรายต่อ สุขภาพมากที่สุดคือ เชื้อราที่ผลิตสารอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในอาหารที่เป็นผลผลิตทางการเกษต ร เช่น เมล็ดธัญพืช อย่างถั่ว หรือข้าวโพด รวมถึงพริกแห้ง หอม กระเทียม และอาหารจำพวกนมและขนมปัง ที่ถูกเก็บไว้นานจนเกินไป โดยเฉพาะในที่ที่อากาศร้อนและมีความชื้นสูง หากรับประทานเข้าไปจะก่อให้เกิดการสะสมของสารอะฟลาท็ อกซินที่ตับ และอาจพัฒนาเป็นมะเร็งตับในที่สุด
เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
สารเอทานอล ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เมื่อถูกย่อยสลายในร่างกายแล้ว จะกลายเป็นสารที่มีชื่อว่า อะเซทแอลดีไฮด์ ซึ่งมีผลทำให้เซลล์ในร่างกายอ่อนแอลง สำหรับผู้สูบบุหรี่เป็นประจำก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งช่องปาก มะเร็งตับ และมะเร็งกระเพาะอาหารมากขึ้นตามไปด้วย

นอกจากหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อ การเป็นมะเร็งแล้ว ก็ควรที่จะดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้เกิดความสมดุ ลในแบบองค์รวม ควบคู่กันไปด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีวิตามินเอและวิตามินอีสูง หมั่นออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดเพื่อป้องกันมะเร็งผิวหนัง และให้ความสำคัญกับตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้คำว่า "มะเร็ง" ก็จะห่างไกลจากชีวิตคุณแน่นอน



ที่มา ... โรงพยาบาลบำรุงราษฏร์

ใครที่ชอบ "นอนคุดคู้" ระวังปัญหาสุขภาพ!

|0 ความคิดเห็น

เครื่องเป่ามือทำป่วยหวัด อาหารเป็นพิษ

|0 ความคิดเห็น
เครื่องเป่ามือทำป่วยหวัด อาหารเป็นพิษ

หลายคนอาจเซ็งกับกระดาษทิชชูที่ติดมือติดไม้หลังการล ้างมือ แต่รู้หรือไม่ว่า กระดาษเหล่านั้นยังมีดีกว่า เครื่องเป่ามือมากเป็นไหน ๆ

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวสต์มินสเตอร์ ในประเทศอังกฤษ เผยว่า 95% ของลมที่ออกมาจากเครื่องเป่ามือคือเชื้อโรค ซึ่งอาจทำให้คุณเป็นหวัดและอาหารเป็นพิษ นอกจากนี้ระหว่างที่เครื่องกำลังทำ ให้มือแห้งสนิท เชื้อโรคก็อาจพุ่งพรวดไปกว่า 600%

คราวหน้าให้ลองหันมาใช้กระดาษเช็ดมือแทน เพราะจะช่วยลดเชื้อโรคได้มากกว่า 50%





ที่มา : สวยด้วยแพทย์
__________________

เรื่องคนนอนดึก

|0 ความคิดเห็น
เรื่องคนนอนดึก

เราควรพักผ่อนเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายเราต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่ส ึกหรอ ขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด ถ้ากินมื้อหนักตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนพุงพุ้ยแน่นอน ไขมันเผาผลาญไม่หมดมันเลยสะสมอ่ะ แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนงานมาทำ หรือติดงานอะไรก็ตาม ควรปฏิบัติดังนี้

1. งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยากลำไส้ต้องทำงานหนัก

2. หากเราอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียดยิ่งเคี้ยวละเ อียด ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระลำไส้

3. ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้งหรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้ เหมียนกัล

4. เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้อง / ฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า

5. ที่จริงมื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า

6. ควรเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะเพิ่มภาระให้ระบบภายในร่างกายร่างกายเราต้องควา มร้อนเพราะช่วยในการ ย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายเราต้องพยายามปรับอุณหภูมิให้อุ่นเหมา ะสมก่อน แล้ว จึงนำไปใช้ การดื่มน้ำอัดลมก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพิ่มกรดให้ร่างกาย แถมมีน้ำตาลที่สะสมตามร่างกายอีก




ที่มา : Ladytip.com

เคล็ดลับง่ายๆ เผยดวงตาที่สดใส

|0 ความคิดเห็น
เคล็ดลับง่ายๆ เผยดวงตาที่สดใส

ดวงตาไม่เพียงเป็นหน้าต่างของดวงใจ แต่ยังสะท้อนความใส่ใจดูแลผิวของคุณได้อย่างชัดเจนที ่สุด ลองปรับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณเล็กๆ น้อยๆ ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ เพื่อลดปัญหากวนใจและเผยดวงตาที่สดใสกันค่ะ

รอยบวม
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารรสเค็ม ซึ่งทำให้เกิดการสะสมน้ำในร่างกายโดยเฉพาะรอบดวงตา
- นอนหนุนหมอนสูง ลดการคั่งของน้ำรอบดวงตา
- บรรเทาอาการบวม หรือแช่ครีมบำรุงรอบดวงตาไว้ในตู้เย็น อีกวิธีที่สะดวกและได้ผล เลือกใช้มาส์กที่มีประสิทธิภาพมอบความเย็นดุจน้ำแข็ง
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อบางเบา เพราะการใช้ครีมบำรุงเนื้อหนักหรือมากเกินไปก่อนนอนอ าจทำให้ตาบวมเมื่อคุณตื่นในตอนเช้าได้
- เลือกใช้เครื่องสำอางที่อ่อนโยนต่อผิวและล้างเครื่อง สำอางให้หมดจดก่อนนอน
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้แพ้เช่นฝุ่นละออง เกสรดอกไม้และควันบุหรี่ สัมผัสผิวรอบดวงตาอย่างเบามือ

รอยคล้ำรอบดวงตา
- พักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าอดนอนถ้าไม่จำเป็น
- ระหว่างใช้คอมพิวเตอร์อย่าลืมพักสายตาทุก15นาที ทอดสายตาไปไกลๆ หรือมองไปยังต้นไม้สีเขียวชุ่มชื่นตา
- ใช้คอนซีลเลอร์ที่มีสีอ่อนกว่ารองพื้นสองเฉด แตะเบาๆด้วยปลายนิ้ว อย่าลืมล้างออกให้หมดจด
- หลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้ครีมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ

มีริ้วรอยและหย่อนคล้อย
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตาอย่างรุนแรง
- ไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากเกินไป
- สวมแว่นกันแดดในช่วงที่แสงแดดจัดเสมอ
- อ่านหนังสือในที่แสงสว่างพอเพียงหรือสวมแว่นถ้าสายตา สั้น เพราะการขมวดคิ้วหรือหรี่ตาบ่อยๆทำให้เกิดริ้วรอยก่อ นวัย
- เลือกใช้อายครีมที่มีส่วนผสมต่อต้านอนุมูลอิสระที่คอ ยทำลายคอลลาเจนและเสริมการไหลเวียนภายในผิว เพื่อผิวอ่อนเยาว์
- ทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตาอย่างแผ่วเบา โดยใช้สำลีเช็ดจากหางตาย้อนสู่หัวตา และระวังอย่าเผลอลงน้ำหนักมือจนรั้งผิว

ผิวรอบดวงตาโรยราดูอ่อนล้า
- ชโลมใบหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนภายในผ ิว เรียกความสดใส
- งดสูบบุหรี่ เพราะจากการทดสอบกับฝาแฝดแสดงให้เห็นว่าการสูบบุหรี่ ทำให้ผิวบางลงและดูแก่กว่าคนที่ไม่ได้สูบถึง 40เปอร์เซ็นต์
- ใช้มาส์กที่มีส่วนผสมของวิตามินบี 5 ช่วยปลอบประโลมและฟื้นฟูชีวิตชีวาผิว
- ใช้ครีมบำรุงสูตรเร่งรัดในตอนกลางคืน เพราะยามที่คุณหลับ ผิวจะอุ่นขึ้นและซึมซับส่วนผสมทรงประสิทธิ ภาพได้ง่ายขึ้น

ถ้าใช้ครีมทาหน้าทำเป็นครีมทาตา... ได้มั้ย

|0 ความคิดเห็น
ถ้าใช้ครีมทาหน้าทำเป็นครีมทาตา... ได้มั้ย



ถ้าใช้ครีมทาหน้าทำเป็นครีมทาตา... ได้มั้ย (Lisa)

สาว ๆ เคยสงสัยกันหรือไม่คะว่า ครีมบำรุงผิว หรือ โลชั่น ที่ใช้สำหรับทาใบหน้านั้น สามารถนำมาใช้ทาผิวบริเวณรอบดวงตาได้หรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบมาฝากคุณสาว ๆ ที่กำลังสงสัยในเรื่องนี้กันค่ะ

ถาม : ฉันใช้ครีมทาหน้าทำเป็นครีมทาตาได้มั้ยคะ?

ตอบ : ได้ แน่นอน...ตราบใดที่ครีมทาหน้าของคุณนั้นเป็นแบบที่ไม ่มีส่วนผสมของน้ำหอม และผิวรอบดวงตาของคุณไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ต้องดูแลเป ็นพิเศษ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำให้ทำอย่างนั้นเฉพาะ ยามฉุกเฉิน ที่ไม่สามารถหาครีมทาตาได้ในขณะนั้น

ส่วนเวลาปกติก็ควรใช้ครีมที่ทำขึ้นมาสำหรับผิวรอบดวง ตาโดยเฉพาะจะดีกว่า เพราะจะให้ความชุ่มชื้นได้มากกว่า แถมยังไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองกับผิวบอบบางรอบด วงตาด้วย






ขอขอบคุณข้อมูลจาก

9 วิธีหลับง่ายนอนสบาย

|0 ความคิดเห็น
9 วิธีหลับง่ายนอนสบาย


9 วิธีหลับง่ายนอนสบาย
(MODERNMOM)
เรารู้กันดีว่าการนอนหลับคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด แต่ที่ยากกว่านั้นก็คือ หลายคนนอนยังไงก็นอนไม่หลับ ถ้าใครไม่เคยเป็นก็คงไม่รู้รสชาติของความทรมาน หากเทคนิคมากมายที่เคยใช้ไม่สามารถทำให้คุณนอนหลับได ้ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดู รับรองว่าจะทำให้หลับสนิทได้ง่ายขึ้น
1.ฝึกเข้านอนให้ตรงเวลา ร่างกายของเราถูกสร้างมาให้ทำงานสอดคล้องกับความเป็น ไปในธรรมชาติ นั่นแหมายความว่า เราควรพยายามนอนและตื่นเป็นเวลาเดิมทุกวันทุกเช้า ไม่ว่าเมื่อคืนจะนอนกี่ทุ่ม การชดเชยเวลานอนที่เสียไปด้วยการนอนตื่นสายในวันสุดส ัปดาห์จะทำให้ตื่นยาก เมื่อถึงเช้าวันที่ต้องไปทำงาน

2.อาบน้ำอุ่นก่อนนอน เป็นการช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดในร่างกายหมุนเวียนได้ดี และช่วยให้เรานอนหลับสบายขึ้น

3.ผ่อนลมหายใจ โดยเริ่มจากหายใจเข้าทางจมูก นับ 1-5 ในใจ จากนั้นปล่อยลมหายใจออกทางปากช้า ๆ ในระหว่างนั้น นับ 1-10 ในใจจะรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลงทันที ขณะเดียวกันควรปล่อยวางเรื่องเครียดไปพร้อม ๆ กันด้วย

4.ดื่มนมอุ่น ๆ สัก 1 แก้ว กรดอะมิโนในนมมีส่วนช่วยในการทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อน คลายและนอนหลับได้สบายขึ้น

5.จิบน้ำผึ้งสักครึ่งช้อนชา เพียง 5 นาทีหลังจากที่ดื่มน้ำผึ้งจะเข้าไปมีส่วนกระตุ้นให้ส มองหลั่งสารซีโรโทนิน ซึ่งส่งผลให้เรารู้สึกผ่อนคลาย และช่วยทำให้คุณง่วงได้

6.ทำมือให้อุ่น การทำมือให้อุ่นจะสามารถลดความตึงเครียดลงได้ก่อนนอน อาจจะแช่มือในน้ำอุ่นสักครู่ ก็มีส่วนช่วยทำให้คุณนอนหลับได้ง่าย และสบายขึ้น

7.ออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างหนัก 4 ชั่วโมงก่อนนอน อาจทำให้นอนยากขึ้น แต่หากทำก่อนหน้านั้นสัก 6 ชั่วโมง จะช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นเมื่อถึงเวลานอน และหลับได้ลึกอีกด้วย

8.เลือกเสียงเพลงขับกล่อม บรรยากาศที่ดีช่วยให้เราเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก ลองเลือกเพลงบรรเลงเบา ๆ ที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจให้ดูสงบมาฟัง อาจจะช่วยเร่งให้การนอนได้เร็วและลึกขึ้น ควรตั้งเวลาปิดเพลงด้วยก็ดี เพราะขณะนอนหลับควรเป็นเวลาที่เงียบจะดีที่สุด

9.สร้างบรรยากาศในการนอน อุณหภูมิภายในห้องควรอยู่ที่ระดับเย็นสบาย ห้องนอนควรมืดสนิท โดยใช้ผ้าม่านเนื้อหนา เพื่อสร้างบรรยากาศในการนอน ความมืดสนิทจะช่วยให้หลับง่ายและเร็วขึ้น


4 เรื่องต้องห้ามยามเข้านอน
ไม่เปิดวิทยุหรือโทรทัศน์ทิ้งไว้ เพราะแทนที่คุณจะได้นอนหลับอย่างเป็นสุข ก็อาจจะฟังวิทยุหรือดูโทรทัศน์เพลินจนลืมความง่วง และนอนหลับได้ยากขึ้น

ควรหลีกเลี่ยงชากาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ก่อน นอนอย่างเด็กขาด เพราะจะทำให้ประสาทแข็งและนอนหลับได้ยากขึ้น

อย่าแบกงานขึ้นไปบนเตียง เพราะมันจะคอยหลอกคุณให้คิดวนเวียนอยู่กับเรื่องงานแ ละตาสว่างจนเลยเวลานอน

อย่าจับจ้องกับเวลาว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยไปดึกแค่ไหน การจดจ่อกับนาฬิกายิ่งทำให้คุณกระวนกระวายนอนหลับได้ ยากขึ้น





ขอขอบคุณข้อมูลจาก

6 นิสัยเสียที่ำขโมยเวลานอนของคุณ

|0 ความคิดเห็น
6 นิสัยเสียที่ำขโมยเวลานอนของคุณ



6 นิสัยเสียที่ำขโมยเวลานอนของคุณ


"สิ่งที่ไม่ควรทำเวลานอน: 6 นิสัยเสียที่ำขโมยเวลานอนของคุณ", เรื่องนี้เขียนโดยรศ.ดร.จอยซ์ วาลส์เลเบนจากวิทยาลัยแพทย์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค สหรัฐฯ, ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
...
(1). ดู TV หรือใช้คอมพิวเตอร์บนเตียง

(2). อ่าน หนังสือบนเตียง
อ.วาลส์เลเบนกล่าวว่า หนังสือมีฤทธิ์ไปทางกระตุ้นให้ตื่นตัวมากกว่าขับกล่อ มให้หลับ ทว่า... โลกเราก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด
...
ผู้ เขียนเชื่อว่า ยังมีหนังสืออีกมากมายที่มีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ เช่น ตำราเรียนเล่มหนาๆ 400 หน้าขึ้นไป, เล่มหนักๆ มักจะออกฤทธิ์ได้ดีกว่าเล่มเบาๆ ฯลฯ,
ให้ถือหนังสือ ทำใจเสแสร้งว่า อยากจะอ่านสักพัก พลิกไปหน้าโน้นหน้านี้ช้าๆ... แบบนี้อาจทำให้ง่วงได้
...
ถ้า ยังไม่หลับอีก... ให้ลองอัดเสียงอาจารย์ (บางท่าน) ไปเปิดก่อนนอน... นึกถึงภาพห้องเลคเชอร์ (ห้องเรียน) หลังอาหารตอนบ่ายๆ แล้วเพื่อนๆ ค่อยๆ หลับไปทีละคน แบบนี้น่าจะช่วยให้หลับได้
...

(3). ทำงานใน ห้องนอน
การทำงานมีฤทธิ์กระตุ้นให้ตื่นตัว... ถ้าทำงานในห้องนอนจะทำให้นอนหลับในห้องเดียวกันได้ยา กขึ้น
...
แต่ ถ้าจำเป็นต้องทำทุกอย่างในห้องเดียว ควรจัดบรรยากาศให้ต่างกัน โดยปิดไฟหลัก เปิดเฉพาะไฟหรี่ ทำให้ห้องมืดๆ สลัวๆ ก่อนนอน 30 นาที เพื่อให้นาฬิกาชีวิตปรับสภาพเข้าสู่เวลานอน
...

(4). มื้อใหญ่ ตอนดึก ใส่เครื่องเทศ
การ กินอาหารมื้อใหญ่ตอนดึก หรือใส่เครื่องเทศจะเพิ่มเสี่ยงอาการโรคกรดไหลย้อน (GERD) ทำให้ร้อนแสบหน้าอก เรอเปรี้ยว แน่นหน้าอก หรือแน่นท้องได้
...
วิธี ที่ดี คือ กินมื้อเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน กินให้น้อยหน่อย, ถ้าเป็นไปได้... อาหารมื้อสุดท้ายควรกินก่อนเวลานอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
...

(5). ไม่ดื่ม หนัก
แอลกอฮอล์ อาจทำให้ง่วงนอนในตอนแรก ทว่า... ส่วนใหญ่จะทำให้คนเราหลับลึกได้น้อยลง กรนมากขึ้น ผลคือ ทำให้ตื่นตอนดึกได้ง่าย เช่น ต้องลุกไปปัสสาวะ ฯลฯ ทำให้คุณภาพการนอนลดลง
...

(6). นอนดึก
การนอนดึกทำให้คุณภาพการนอนตกลงในคนส่วนใหญ่ (ยกเว้นประเภท "นกฮูก" หรือมีธรรมชาตินอนดึก-ตื่นสาย)
...


อ.วาลส์ เลเบนแนะนำว่า คนเรานอนชดเชยการขาดนอนได้ โดยเข้านอนให้เร็วขึ้น ตื่นให้ตรงเวลา, ถ้าทำแบบนี้ในวันหยุดจะให้ผลดีกับนาฬิกาชีวิตมากกว่า การนอนดึก-ตื่นสาย
...

กินกล้วยต้านโรค

|0 ความคิดเห็น

กินขนมหวาน ทำให้เป็นสิวได้หรือไม่?

|0 ความคิดเห็น
กินขนมหวาน ทำให้เป็นสิวได้หรือไม่?


กินขนมหวาน ทำให้เป็นสิวได้หรือไม่? (หมอชาวบ้าน)

มี รายงานว่าไม่พบสิวในคนบางกลุ่มซึ่งกินอาหารที่มีน้ำต าลต่ำ จึงมีการตั้งทฤษฎีการได้รับน้ำตาลน้อยว่า เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลน้อยระดับอินซูลินในเลือดจะ ต่ำ และภาวะน้ำตาลน้อยยับยั้งการผลิตแอนโดรเจน

ส่วน อาหารที่มีน้ำตาลสูงทำให้มีอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งภาวะนี้นำไปสู่การมี insulin-like growth factor 1 (IGF-1) ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งพบว่า IGF-1 ทำให้ผิวหนังแบ่งตัวเร็วและหนาตัวขึ้น จึงทำให้เกิดก้อนไขมันอุดตันในรูขุมขนและเกิดสิวตามม า นอกจากนั้น IGF-1 และอินซูลิน ยังกระตุ้นการผลิตแอนโดรเจน ที่ทราบกันดีว่าเป็นตัวเพิ่มการผลิตไขมัน

มีการศึกษาทำในผู้ชายอายุ 15-25 ปีที่เป็นสิวจำนวน 43 ราย แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ให้กินอาหารตามปกติ กลุ่มที่ 2 ให้กินอาหารที่ให้น้ำตาลต่ำ เป็นเวลาต่อเนื่องกันนาน 12 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มที่ได้อาหารที่ให้น้ำตาลต่ำผู้ป่วยมีน้ำหน ักลดลง และปริมาณสิวลดลงโดยการนับจำนวนสิวทั้งหมด ปัจจุบันจึงเชื่อว่าการกินขนมหวานที่มีน้ำตาลสูงน่าจ ะกระตุ้นให้สิวกำเริบ ได้จริง

ดื่มนมมาก ๆ ทำให้สิวเห่อจริงหรือไม่ ?

คำถามที่ว่าดื่มนมมาก ๆ ทำให้สิวเห่อเป็นที่ถกเถียงกันมานาน เมื่อไม่นานมานี้มีงานวิจัย 2 ฉบับที่ชี้ว่านมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นสิว

ฉบับแรกทำการศึกษา แบบย้อนหลังในผู้หญิง 47,355 คน โดยให้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับอาหารและการเป็นสิวในวัย รุ่น และพบความสัมพันธ์ระหว่างนมต่อการเป็นสิวของวัยรุ่นห ญิงกลุ่มนี้ จึงมีการศึกษาต่อมาในกลุ่มลูกชายวัยรุ่นของผู้หญิงกล ุ่มที่ตอบแบบสอบถามนี้ ซึ่งการศึกษาครั้งหลังก็พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างก ารดื่มนมและการเป็นสิว จริง

มีรายงานว่า นมมีส่วนเพิ่มระดับของ IGF-1 ดังนั้นบทบาทของ IGF-1 กรณีนี้จึงอาจเกี่ยวข้องกับสิว เช่นเดียวกับกรณีของอาหารที่ให้น้ำตาลสูง นอกจากนั้น ใน น้ำนมวัวยังมีฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดสิวอุดตัน เช่น เอสโทรเจน โพรเจสเทอโรน และแอนโดรเจน รวมถึงสารไอโอดีนในน้ำนมก็ทำให้สิวกำเริบได้ การดื่มนมและกินผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนย มาก ๆ จึงอาจกระตุ้นให้สิวเห่อได้

กินช็อกโกแลตทำให้เป็นสิวไหม?

เนื่องจากมักมีการปรุงรสช็อกโกแลตให้หวานและมันด้วยน ้ำตาล นม และผลิตภัณฑ์จากนม การกินช็อกโกแลตมาก ๆ จึงอาจทำให้สิวเห่อได้จริง ส่วนขนมเค้กที่มักมีรสหวานและมีส่วนผสมของน้ำตาล แป้ง นม และผลิตภัณฑ์จากนม ก็ทำให้สิวเห่อได้ นอกจากนั้น ยังต้องระวังว่าการกินอาหารหวาน ๆ และขนมหวานมากเกินไป ล้วนก่อให้เกิดโรคอ้วนซึ่งทำให้เกิดโรคผิวหนังจากควา มอ้วนตามมาหลายอย่าง

คนอ้วนอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน เห็นเป็นผื่นแดงนูนมีสะเก็ดสีเงิน มักเป็นตามข้อศอก หัวเข่า แนวไรผม

ผิวเป็นผื่นดำ ที่ต้นคอ รักแร้ และใต้ราวนม

มีติ่งเนื้อ พบบ่อยที่คอ รักแร้ การเกิดติ่งเนื้อนี้สัมพันธ์กับโรคเบาหวานและโรคอ้วน

โรคเชื้อราที่ซอกพับ (เช่น ขาหนีบ) ที่ชาวบ้านเรียกว่าสังคัง เห็นเป็นผื่นแดง คัน มีขุยและมีขอบนูน

ติดเชื้อยีสต์ (เช่น ที่ขาหนีบและใต้ราวนม) เห็นเป็นผื่นแดง มักมีจุดเล็ก ๆ กระจายอยู่รอบผื่น

ติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น ที่ขาหนีบ รักแร้) โดยเห็นเป็นผื่นแดง

บาง โรคมีผลเสียในด้านความงามคือ ผิวแตกลาย มักพบที่ท้อง สะโพก ต้นแขนและต้นขา พบว่าคนอ้วนอาจมีขนดก ตุ่มขนคุดที่ตามต้นแขนต้นขา และคนอ้วนยังมีกลิ่นตัวได้บ่อย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก