วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Bye Bye ปัญหาผิวรอบดวงตา

|0 ความคิดเห็น
Bye Bye ปัญหาผิวรอบดวงตา

Eyes Contact หรือการสื่อสารด้วยสายตาเป็นสิ่งสำคัญในการสื่อความหมายไม่แพ้คำพูดใดๆ คนที่ดวงตาสวยสดใส เต็มไปด้วยความมั่นใจจึงดูมีชีวิตชีวา น่าค้นหา แต่หากใครไม่มั่นใจกับปัญหาผิวรอบดวงตาจนต้องหลบซ่อนเสน่ห์อยู่เสมอล่ะก็ มาบอกลาปัญหาเดิมๆ แล้วเรียกดวงตาสวยใสกลับคืนมากันเถอะค่ะ

ถึงหมีแพนด้าจะน่ารัก แต่รอยหมองคล้ำรอบดวงตาคงไม่น่าปรารถนาสำหรับสาวๆ แน่นอน ไม่ใช่แค่นอนดึกเท่านั้นนะคะที่ทำให้แพนด้ามาเยี่ยมเยียนดวงตาของเรา แต่ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง กรรมพันธุ์ และความเหนื่อยล้าจากการใช้สายตานานๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ที่เกี่ยวกับโพรงจมูก เช่น แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ ไซนัส มักจะทำให้ดวงตาหมองคล้ำได้ง่าย เพราะผิวรอบดวงตามีความหนาเทียบเท่าได้กับกระดาษแผ่นบางๆ หนึ่งแผ่นเท่านั้น เมื่อเราไอ จาม หายใจติดขัดจะทำให้หลอดเลือดแดงขยายตัว เราจึงมองเห็นสีของเลือดดำที่คั่งอยู่ใต้ผิวได้ชัดเจนขึ้น หากอดนอนหรือเครียดสะสม เลือดก็ยิ่งไหลเวียนไม่สะดวกและทำให้ดูหมองคล้ำกว่าเดิมได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ Whitening จึงแก้ปัญหาได้ที่ปลายเหตุเท่านั้น ทางแก้ที่แท้จริงต้องมาจากภายในอย่างวิธีดีๆ เหล่านี้ค่ะ
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คือวิธีที่เห็นผลที่สุดวิธีหนึ่งในการรักษาภูมิแพ้ หากไม่อยากไอ จาม ให้ต้องขยี้ตากันบ่อยๆ ก็ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้โลหิตไหลเวียนดี เสริมภูมิต้านทานของร่างกาย แถมยังช่วยให้หลับง่ายขึ้นอีกด้วยนะคะ
ทานวิตามินให้มากขึ้น เช่น วิตามิน C ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เช่น ฝรั่ง ส้ม มะขาม บรอคโคลี่ คะน้า และวิตามิน A ที่มีส่วนช่วยบำรุงสายตา มีมากในมะเขือเทศ มะละกอ ใบตำลึง ฯลฯ
Milky Mask เอนตัวลงนอนอย่างผ่อนคลายโดยยกปลายเท้าให้สูงกว่าศีรษะ ใช้แผ่นคอตตอนชุบนมสดรสจืดเย็นๆ แล้วแปะลงบนดวงตาทิ้งไว้ 10 นาที ความเย็นจะช่วยให้หลอดเลือดหดตัวลง และนมยังช่วยบำรุงผิวรอบดวงตาให้เนียนนุ่มน่าสัมผัสไปพร้อมกัน
Tea & Spoon Treatment ในเวลาว่างควรนำถุงชาอุ่นๆ มาประคบบริเวณเปลือกตาสลับกับช้อนชาที่แช่ในตู้เย็น วิธีการนี้จะทำให้เลือดบริเวณรอบดวงตามีการไหลเวียนดี สามารถนำสารอาหารมาเลี้ยงเซลล์ผิวได้มากขึ้น ผิวรอบดวงตาจึงแข็งแรง กระจ่างใส

         แม้จะเป็นอวัยวะเล็กๆ แต่ดวงตาก็ต้องทำงานหนักไม่แพ้ส่วนไหนในร่างกาย โดยเฉลี่ยแล้วในแต่ละวันคนเรากระพริบตาถึง 10,000 ครั้งเลยทีเดียว นี่ยังไม่นับการใช้สายตาในการจ้องมองสิ่งต่างๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมง มลพิษรอบตัว และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ นะคะ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้ง และมีริ้วรอยรอบดวงตามาเยือนเร็วกว่าที่คิด เพราะผิวบริเวณรอบดวงตามีไขมันมาหล่อเลี้ยงน้อยมาก แต่ก็มีวีธีป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนี้ค่ะ
สวมแว่นกันแดด แสงแดดช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและตกดินมีประโยชน์กับดวงตา แต่รังสียูวีช่วง 10.00-16.00 น. กลับเพิ่มความเสี่ยงโรคตาเช่น ต้อกระจก ต้อเนื้อ และยังทำให้ผิวขาดความชุ่มชื่น เกิดริ้วรอยได้ง่าย จึงควรสวมแว่นกันแดดที่กันได้ทั้งรังสียูวีเอและรังสียูวีบี ไม่ควรเลือกแว่นเพียงเพราะสวยงามหรือราคาถูก เพราะสีเข้มๆ ของแว่นกลับจะทำให้รูม่านตาขยายใหญ่ขึ้น รับรังสียูวีได้มากกว่าเดิมเสียอีก
ดื่มน้ำให้เพียงพอ ข้อนี้ขาดไม่ได้เลยนะคะ ถ้าดื่มน้ำไม่เพียงพอแล้ว ต่อให้ใช้อายครีมดีแค่ไหนก็คงเห็นประสิทธิภาพได้น้อยนิด ไม่คุ้มกับที่เสียเงินแพงๆ แน่ค่ะ
ทานอาหารที่มีวิตามิน E สูง เพื่อผิวที่เนียนนุ่ม ชุ่มชื่นขึ้น และกระตุ้นให้ระบบเมลาบอลิซึ่มของผิวเป็นไปอย่างปกติ ลองเปลี่ยนจากของทานเล่นประเภทมันฝรั่งทอดกรอบมาเป็นถั่วชนิดต่างๆ อาทิ อัลมอนด์ มะม่วงหิมพานต์ พิสตาชิโอ ฯลฯ ทั้งอร่อยและช่วยบำรุงผิวสวยได้ดีทีเดียว
Pack Sheet เรียกความชุ่มชื่น นอกเหนือจากการใช้ Eye Cream ปกติ ควรเพิ่มการดูแลเป็นพิเศษด้วย Pack Sheet Eyes โดยแปะที่ดวงตาทิ้งไว้ก่อนนอน สารสกัด Olive Leaf ที่มี Coenzyme Q10 ตามธรรมชาติ จะคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวและเก็บกักความชุ่มชื่นไว้ตลอดคืน เมื่อตื่นนอนตอนเช้าจะสัมผัสได้ถึงผิวรอบดวงตาที่เรียบเนียน สดใส มีน้ำมีนวล พร้อมยิ้มรับกับวันใหม่ ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งค่ะ

ปัญหาตาบวมเกิดได้จากสองสาเหตุหลักๆ คือ 1.กรรมพันธุ์ และ 2.อาการบวมน้ำจากฮอร์โมน อากาศเปลี่ยนแปลง ภูมิแพ้ การดื่มแอลกอฮอล์ การทานอาหารเค็มจัด หรือจากการร้องไห้ เป็นต้น ดวงตาบวมตุ่ยหรือถุงใต้ตาห้อยย้อยนั้นทำให้ดูอิดโรย ชีวิตไม่แจ่มใสเอาเสียเลย จึงควรออกกำลังกายเป็นประจำให้สดชื่นทั้งร่างกายและจิตใจ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดเกลือในอาหารลงบ้าง รวมถึงนวดรอบดวงตาเป็นประจำ ถึงแม้ตาบวมที่เกิดจากกรรมพันธุ์จะแก้ไขได้ยาก แต่หากนวดเป็นประจำสม่ำเสมอก็จะช่วยป้องกันและลดอาการบวมน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อไขมันในเลือดสูง

|0 ความคิดเห็น

เมื่อไขมันในเลือดสูง

)
เมื่อไขมันในเลือดสูง ระดับของไขมันในเลือดจะสูงเมื่อบริโภคอาหารเกินความต้องการของร่างกาย เพราะอาหารทุกชนิดคือ แป้ง เนื้อสัตว์ หรือไขมัน เมื่อบริโภคเกินความต้องการ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมไว้ทันที ตัวท่านเองนี่แหละ ที่จะมีส่วนทำให้ไขมันในเลือดลดลงได้ โดยที่จะต้องมีความตั้งใจ และมุ่งมั่นว่าต้องทำให้ได้ ถ้าท่านเป็นคนรับประทานจุ ก็ต้องรู้จักประมาณตนเอง อาหารที่รับประทานควรมีคุณค่าทางโภชนาการ อาหารที่ควรงดได้แก่ อาหารที่ไขมันมาก พวกเครื่องในต่างๆ ไข่แดง สัตว์ที่มีกระดอง พวกที่รสหวานจัด น้ำอัดลม ขนมหวาน ถ้าท่านมีงานสังสรรค์บ่อย รับประทานอาหารตามภัตตาคาร ซึ่งมักจะเป็นอาหารที่มีไขมันสูง ท่านต้องพยายามหลีกเลี่ยง
ไขมันในเลือดที่สำคัญ ได้แก่ โคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์ และฟอสโฟไลปิด ซึ่งไขมันเหล่านี้มีหน้าที่แตกต่างกัน
  1. โคเลสเตอรอล ถึงแม้จะไม่สามารถให้พลังงานแก่ร่างกายได้ แต่ก็นำมาสร้างน้ำดี เพื่อใช้สำหรับย่อยไขมัน สร้างฮอร์โมนบางชนิด และเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์
  2. ไตรกลีเซอร์ไรด์ เป็นไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย และเป็นรูปแบบไขมันที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานเมื่อจำเป็น
  3. ฟอสโฟไลปิด ส่วนมากจะเป็นเลซิธิน ซึ่งเป็นสารประกอบของผนังเซลล์ และช่วยในการทำให้ไขมันแตกออกกลายเป็นหยดเล็กๆ และถูกย่อยได้ง่ายขึ้น
ไขมันในเลือด
  1. อาหารสุขภาพจะต้องประกอบไปด้วยอาหาร 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ผักผลไม้ และนม ไขมันเป็นอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำหนักที่เท่ากัน ไขมันที่เรารับประทานมีอยุ่ 3 รูปแบบคือ โคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์ และฟอสโฟไลปิด
  2. กรดไขมันเป็นการเรียงตัวของธาตุคาร์บ่อน โดยที่ปลายด้านหนึ่งเป็นเมธิลกรุ้ป อีกด้านหนึ่งเป็นคาร์บอกซิลกรุ้ป ความยาวของคาร์บอนอะตอมมีได้หลายตัว หากมีความยาวน้อยกว่า 6 เรียก "กรดไขมันสายสั้น" หากมีคาร์บอนอะตอมมากกว่า 12 เรียกว่า "กรดไขมันสายยาว" กรดไขมันเป็นอาหารของกล้ามเนื้อ หัวใจ อวัยวะภายในร่างกาย กรดไขมันส่วนที่เหลือใช้จะถูกสะสมในรูปไตรกลีเซอร์ไรด์ โดยใช้กรดไขมัน 3 ตัวรวมกับกลีเซอรอล ซึ่งจะสะสมเป็นไขมันในร่างกาย
  3. กรดไขมันอิ่มตัว หมายถึง กรดไขมันที่มีคาร์บอนอะตอมต่อกันด้วยพันธะเดี่ยวเท่านั้น การรับประทานอาหารไขมันชนิดอิ่มตัวจะทำให้ไขมันในเลือดสูง และเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดตีบ แหล่งอาหารของไขมันอิ่มตัวได้แก่ น้ำมันปาล์ม กะทิ เนย นม เนื้อแดง ช็อกโกแลต
  4. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เป็นกรดไขมันที่มีคาร์บอนอะตอมต่อกันด้วยพันธะคู่เพียงหนึ่งตำแหน่ง การรับประทานอาหารไขมันประเภทนี้ทดแทนไขมันอิ่มตัวจะช่วยลดระดับแอลดีแอลโคเลสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบ อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ได้แก่ น้ำมันอาโวกาโด, น้ำมันถั่วลิสง, น้ำมันมะกอก, น้ำมันคาโนลา
  5. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน หมายถึง กรดไขมันที่มีคาร์บอนอะตอมต่อกันด้วยพันธะคู่อยู่หลายตำแหน่ง หากรับประทานแทนไขมันอิ่มตัวจะไม่เพิ่มระดับไขมันในร่างกาย อาหารที่มีไขมันชนิดนี้คือ น้ำมันพืชทั้งหลาย เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง
  6. กรดไขมันจำเป็น เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารที่เรารับประทาน
  7. กรดไขมันชนิดทรานส์ เป็นไขมันที่เตรียมจากการนำน้ำมันพืช เช่น น้ำมันข้าวโพด ไปทำให้ร้อน เพื่อทำให้น้ำมันมีอายุใช้งานได้นานขึ้น และทำให้น้ำมันข้นขึ้นจนเป็นของแข็ง การรับประทานน้ำมันชนิดนี้มากจะทำให้ไขมันแอลดีแอลโคเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
  8. กรดไขมันชนิดโอเมกา-3 และกรดไขมันชนิดโอเมกา-6 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองต้องได้รับจากสารอาหาร กรดไขมันชนิดโอเมกา-3 จะมีพันธะคู่ที่ตำแหน่งคาร์บอนอะตอมที่ 3 นับจากกลุ่มเมธิล พบมากในอาหารจำพวกปลา และน้ำมันพืช เช่น ปลาแซลมอน, ปลาฮาลิบัด, ปลาซาร์ดีน, ปลาอัลบาคอร์, ปลาเทร้า, ปลาเฮอร์ริ่ง, น้ำมันลูกวอลนัท, น้ำมันเมล็ดปอ และน้ำมันคาโนลา กรดไขมันชนิดโอเมกา-6 เป็นกรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองต้องได้รับจากสารอาหาร มีพันธะคู่ที่ตำแหน่งคาร์บอนอะตอมที่ 6 นับจากกลุ่มเมธิล พบมากในอาหารจำพวกปลา และน้ำมันพืช เช่น น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันเมล็ดฝ้าย

การเลือกบริโภคไขมัน
  1. การเลือกบริโภคไขมันมีความสำคัญมาก เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเกิดโรคหัวใจจากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ท่านควรเลือกบริโภคไขมันจากพืช ยกเว้นกะทิและน้ำมันปาล์ม ที่ท่านไม่ควรบริโภค หากท่านมีไขมันในเลือดสูง ท่านควรละเว้นการบริโภคไขมันจากสัตว์ แต่ยกเว้นไขมันจากปลา ที่ท่านสามารถบริโภคได้
  2. ไขมันที่ท่านควรเลือกบริโภคคือไขมันชนิดไม่อิ่มตัว เห็นได้จากไม่เป็นไขเวลาใส่ไว้ในตู้เย็น
  3. เลือกบริโภคอาหารที่ถูกต้อง โดยรับประทานผักใบเขียว ผลไม้สีแดง และสีส้มเป็นประจำ เช่น ผักตำลึง มะละกอสุก
  4. รับประทานไขมันอิ่มตัว พวกเนย เนยเทียม แต่น้อย
  5. ใช้ไขมันไม่อิ่มตัวปรุงอาหาร เช่น น้ำมันถั่วเหลือง
  6. รับประทานเมล็ดธัญญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่ว เป็นต้น
วิธีป้องกันโคเลสเตอรอลสูง
  1. กินโคเลสเตอรอลไม่เกินวันละ ๓๐๐ มิลลิกรัม ทำได้โดยลด หรือเลิกกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะเครื่องในสัตว์ สมองหมู หนังสัตว์ เช่น หนังไก่ หนังเป็ด หนังหมู ไข่แดง (ไข่ขาวไม่มีโคเลสเตอรอล) ไข่ปลา ปลาหมึก หอยนางรม เป็นต้น
  2. เลือกกินเฉพาะเนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน นมพร่องไขมัน
  3. ใช้น้ำมันพืชปรุงอาหาร
  4. ไม่ควรกินอาหารทอดเป็นประจำ เช่น กล้วยแขก ปาท่องโก๋ ไก่ทอด
  5. หลีกเลี่ยงแกงกะทิทั้งหลาย

โภชนบัญญัติ 9 ประการ
  1. กินอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย และหมั่นดูแลน้ำหนักตัว รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  2. กินข้าวเป็นอาหารหลัก สลับกับอาหารประเภทแป้งเป็นบางมื้อ
  3. กินพืชผักให้มาก และกินผลไม้ให้เป็นประจำ
  4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ
  5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย
  6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร
  7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสหวานจัด และเค็มจัด
  8. กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อนจากเชื้อรา พยาธิ สารเคมีที่เป็นพิษ
  9. งด หรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และที่สำคัญคือ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การตรวจไขมันในเลือด
  1. โคเลสเตอรอล เป็นส่วนสำคัญของไขมันความหนาแน่นต่ำ โคเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง และได้รับจากสารอาหารที่รับประทานเข้าไป โคเลสเตอรอลเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดแข็งตัว และตีบตัน สารโคเลสเตอรอลนี้จะมีมากในไขมันสัตว์ ระดับปกติในโลหิตไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร และถ้าพบว่าสูงมากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร ควรควบคุม และรักษา จากการศึกษาพบว่าถ้าลดระดับโคเลสเตอรอลลงได้ร้อยละ 1 จะทำให้โอกาสเกิดโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบลดลงถึงร้อยละ 2
  2. ไตรกลีเซอไรด์ ส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารที่รับประทานเข้าไป และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการสังเคราะห์ในร่างกายในคนอ้วนระดับไตรกลีเซอไรด์มักจะสูงได้บ่อยๆ ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าไขมันตัวนี้เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ถ้าพบว่ามีระดับสูงมาก หรือพบว่าสูงในคนที่มีโคเลสเตอรอลสูงอยู่แล้ว เชื่อว่าโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบเพิ่มขึ้นจึงควรรักษา
  3. เอชดีแอล เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง มีหน้าที่จับไขมันโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดออกไปทำลายที่ตับ ดังนั้นถ้าระดับเอชดีแอลสูง จะมีผลทำให้โอกาสเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ และโรคหลอดเลือดลดลง โดยเฉพาะถ้าระดับเอชดีแอลสูงเกิน 50 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร เอชดีแอลจะสูงจากการออกกำลังกาย และจากยาลดไขมันบางชนิด
  4. เมื่อท่านตรวจพบไขมันในเลือดสูง โดยระดับโคเลสเตอรอลสูงกว่า 200 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ หรืออุดตัน โรคนี้เป็นโรคที่เป็นกันมากขึ้น และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับหนึ่งในปัจจุบัน

อาหารที่เหมาะสมกับผู่ที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูง
  1. นมพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนย
  2. เนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน โดยแยกเอาไขมัน และหนังออกให้หมด ถั่วเมล็ดแห้ง
  3. ข้าวที่ไม่ขัดสีมาก
  4. ผักสดต่างๆ รวมทั้งกระเทียม ข้าวโพด ไม่น้อยกว่าวันละ 2 มื้อ
  5. ผลไม้ไม่หวานจัด
  6. ไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำ ประกอบอาหาร
  7. อาหารประเภทต้ม ต้มยำ แกงส้ม ยำ นึ่ง อบ ย่าง (ไม่มีกะทิเป็นส่วนประกอบ)
  8. ไขมันจากพืช เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันที่สกัดเป็นแหล่งของกรดไขมันที่จำเป็น ซึ่งจะช่วยลดโคเลสเตอรอลได้
อาหารที่ไม่ควรบริโภค
  1. อาหารที่มีไขมันแฝงอยู่มาก ได้แก่ อาหารทอด เช่น ไก่ทอด ไข่เจียว กล้วยแขก แกงกะทิ หลนต่างๆ ไส้กรอก กุนเชียง
  2. เนื้อสัตว์ติดมัน หนังเป็ด หนังไก่ ไข่แดง แฮม เบคอน หมูยอ อาหารทะเลบางชนิด เช่น ปลาหมึก หอยนางรม
  3. ขนมหวานที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล และกะทิหรือมะพร้าว เช่น กล้วยบวชชี ขนมหม้อแกง ข้าวเหนียวหน้าต่างๆ ข้าวโพดคลุกมะพร้าวน้ำตาล
  4. ขนมที่มีไขมันแฝงอยู่ เช่น ขนมขบเคี้ยว โดนัท เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม
  5. ไขมันที่ได้จากสัตว์ เช่น เนย มันหมู มันวัว มันไก่ เพราะอาหารเหล่านี้มีกรดไขมันอิ่มตัวควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง
  6. อาหารที่มีไขมันสูงแฝงอยู่มาก เช่น อาหารทอด อาหารที่มีกะทิ

MUGA scan

|0 ความคิดเห็น
MUGA scan ย่อมาจาก Multiple Gated Acquisition scan เป็นเทคนิกการสแกนหัวใจชนิดใหม่ที่ใช้ตรวจสมรรถภาพของหัวใจ โดยแสดงภาพเคลื่อนไหวของห้องหัวใจ


ทั้งความแรงและจังหวะการเต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจห้องล่างซ้ายและขวา จากการประมวลและแสดงผลที่มีประสทธิภาพดังกล่าว ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินสมรรถภาพการทำงานของหัวใจได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังพบว่าการตรวจด้วยเครื่อง MUGA scan มีความแม่นยำ และถูกต้องสูงกว่าการตรวจด้วยคลื่นสะท้อนหัวใจ หรือที่เรียกว่า echocardiogram

หลักการทำงานของเครื่องสแกนชนิดที่เรียกว่า MUGA scan มีดังต่อไปนี้ กล่าวคือ เริ่มด้วยการฉีดเม็ดเลือดแดงชนิดเรืองแสง เข้าไปในกระแสเลือดของผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจ โดยวิธีนำเม็ดเลือดแดงมาทำให้เรืองแสงด้วยการใช้สารกัมมันตรังสีชนิด Technetium 99 ซึ่งเป็นสารที่เรืองแสงได้ ทั้งนี้ Technetium 99 เป็นสารกัมมันตรังสีที่นำมาใช้ทางการแพทย์ อย่างปลอดภัย และไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

จากนั้นนำผู้ป่วยเข้ารับการตรวจในห้องสแกนด้วยกล้องชนิดแกมมา ซึ่งเป็นกล้องที่ออกแบบพิเศษ เพื่อใช้สแกนตรวจจับรังสีจากเม็ดเลือดแดงที่ติดฉลากสารกัมมันตรังสี Technetium 99 ความไวของกล้องชนิดแกมมา ทำให้สามารถตรวจจับรังสีได้แม้มีปริมาณเพียงเล็กน้อย จึงทำให้การตรวจชนิดนี้มีความไวมากเป็นพิเศษ ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ข้อมูลทางด้านรังสีเทคนิก เปรียบเทียบเท่ากับการได้รับรังสี จากการตรวจเอ็กซเรย์ปอดปกติหนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก



ต่อไปเม็ดเลือดแดงที่ติดฉลากไว้ด้วยสาร Technetium 99 เมื่อถูกฉีดเข้าไปในร่างกาย ก็จะไหลเวียนในกระแสเลือดและเข้าไปอยู่ในห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง ภาพที่ได้จากกล้องรังสีแกมมา เมื่อจัดตำแหน่งให้โฟกัสที่หัวใจ จึงบันทึกลักษณะของรูปร่างของห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง ได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ จากนั้นใช้เทคนิกทางด้านคอมพิวเตอร์ ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว บันทึกภาพเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบุผนังห้องหัวใจ จนในที่สุดปรากฎเป็นภาพการเคลื่อนไหว หรือภาพยนตร์แสดงความแรงและจังหวะเต้นของหัวใจ โดยเฉพาะหัวใจห้องล่างซ้าย (LV) และห้องล่างขวา (RV)



หัวใจ เป็นอวัยวะที่ประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง มีขนาดเท่ากำปั้น อยู่ในทรวงอกค่อนไปทางด้านซ้าย หัวใจมีหน้าที่สูบฉีดโลหิตให้ไหลเวียนไปตามหลอดเลือด โดยจะนำอ๊อกซิเจนและสารอาหารไปให้ส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย และรับเอาของเสียและคาร์บอนไดออกไซด์กลับมา ปกติหัวใจจะมีสี่ห้อง แบ่งเป็นสองซีก ได้แก่ ซีกซ้ายและซีกขวา หัวใจทั้งสองซีกไม่มีช่องติดต่อถึงกัน นอกจากในระยะทารกในครรภ์ หัวใจแต่ละซีกจะมีสองห้องเท่ากัน คือ ห้องบนและห้องล่าง ห้องบนและห้องล่างจะมีช่องติดต่อถึงกัน โดยมีลิ้นหัวใจคอยทำหน้าที่กำกับให้กระแสเลือดผ่านจากห้องบนสู่ห้องล่างได้ทิศทางเดียวเท่านั้น ย้อนกลับไม่ได้

หัวใจห้องบนขวารับเลือดดำ จากหลอดเลือดดำใหญ่ที่นำเลือดกลับจากอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมทั้งเลือดดำจากตัวหัวใจเองด้วย เลือดดำจากห้องบนขวาจะถูกส่งลงมาห้องล่างขวา และส่งต่อไปยังปอดทั้งสองข้าง เพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในเลือดดำกับออกซิเจนจากอากาศที่หายใจเข้าไปสู่ปอด เลือดที่ผ่านปอดแล้วจะเป็นเลือดที่มีออกซิเจนสูง จึงมีสีแดงเรียกว่า เลือดแดง เลือดแดงจะไหลกลับสู่หัวใจทางห้องบนซ้าย ลงสู่ห้องล่างซ้ายและส่งต่อออกไปทางหลอดเลือดแดงใหญ่ ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย



ภาพที่บันทึกจาก MUGA scan จึงบ่งบอกให้เห็นความสามารถในการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักและสำคัญที่สุดของระบบไหลเวียนโลหิต ในกรณีที่เกิดความผิดปกติ ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็สามารถตรวจวัดได้ด้วยความแม่นยำและถูกต้อง ช่วยในการวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว มากกว่าการตรวจด้วยคลื่นสะท้อนหัวใจ หรือที่เรียกว่า echocardiogram และที่สำคัญมีความแม่นยำสูงกว่าการตรวจด้วย echocardiogram มาก ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยยืนยันมากมายในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

ปัจจุบันในต่างประเทศ มีการนำ MUGA scan มาประยุกต์ใช้ในการติดตามสมรรถภาพของหัวใจ ในกรณีผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งบางชนิดเป็นที่ทราบกันดีว่ามีผลข้างเคียงต่อการ ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตของหัวใจ ดังเช่น ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับยาอะเดรียมัยซิน (adriamycin) ซึ่งพบว่าผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย ได้ผลดีจากฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งของยาอะเดรียมัยซิน แต่ต้องมาเสียชีวิตในที่สุดจากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หลังจากที่แพทย์ได้นำเทคนิก MUGA scan มาใช้ติดตามการประเมินสมรรถภาพของหัวใจ ในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าว ปรากฎว่า ช่วยให้ผลการรักษาโรคมะเร็งดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนหน้านี้มาก นับเป็นแนวทางในการรักษาที่ดูแลรักษาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดอีกอย่างหนึ่งในปัจจุบัน




ทั้งความแรงและจังหวะการเต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจห้องล่างซ้ายและขวา จากการประมวลและแสดงผลที่มีประสทธิภาพดังกล่าว ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินสมรรถภาพการทำงานของหัวใจได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังพบว่าการตรวจด้วยเครื่อง MUGA scan มีความแม่นยำ และถูกต้องสูงกว่าการตรวจด้วยคลื่นสะท้อนหัวใจ หรือที่เรียกว่า echocardiogram

หลักการทำงานของเครื่องสแกนชนิดที่เรียกว่า MUGA scan มีดังต่อไปนี้ กล่าวคือ เริ่มด้วยการฉีดเม็ดเลือดแดงชนิดเรืองแสง เข้าไปในกระแสเลือดของผู้ป่วยที่เข้ารับการตรวจ โดยวิธีนำเม็ดเลือดแดงมาทำให้เรืองแสงด้วยการใช้สารกัมมันตรังสีชนิด Technetium 99 ซึ่งเป็นสารที่เรืองแสงได้ ทั้งนี้ Technetium 99 เป็นสารกัมมันตรังสีที่นำมาใช้ทางการแพทย์ อย่างปลอดภัย และไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

จากนั้นนำผู้ป่วยเข้ารับการตรวจในห้องสแกนด้วยกล้องชนิดแกมมา ซึ่งเป็นกล้องที่ออกแบบพิเศษ เพื่อใช้สแกนตรวจจับรังสีจากเม็ดเลือดแดงที่ติดฉลากสารกัมมันตรังสี Technetium 99 ความไวของกล้องชนิดแกมมา ทำให้สามารถตรวจจับรังสีได้แม้มีปริมาณเพียงเล็กน้อย จึงทำให้การตรวจชนิดนี้มีความไวมากเป็นพิเศษ ปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับก็ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ข้อมูลทางด้านรังสีเทคนิก เปรียบเทียบเท่ากับการได้รับรังสี จากการตรวจเอ็กซเรย์ปอดปกติหนึ่งครั้งเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก



ต่อไปเม็ดเลือดแดงที่ติดฉลากไว้ด้วยสาร Technetium 99 เมื่อถูกฉีดเข้าไปในร่างกาย ก็จะไหลเวียนในกระแสเลือดและเข้าไปอยู่ในห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง ภาพที่ได้จากกล้องรังสีแกมมา เมื่อจัดตำแหน่งให้โฟกัสที่หัวใจ จึงบันทึกลักษณะของรูปร่างของห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง ได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ จากนั้นใช้เทคนิกทางด้านคอมพิวเตอร์ ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว บันทึกภาพเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบุผนังห้องหัวใจ จนในที่สุดปรากฎเป็นภาพการเคลื่อนไหว หรือภาพยนตร์แสดงความแรงและจังหวะเต้นของหัวใจ โดยเฉพาะหัวใจห้องล่างซ้าย (LV) และห้องล่างขวา (RV)



หัวใจ เป็นอวัยวะที่ประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง มีขนาดเท่ากำปั้น อยู่ในทรวงอกค่อนไปทางด้านซ้าย หัวใจมีหน้าที่สูบฉีดโลหิตให้ไหลเวียนไปตามหลอดเลือด โดยจะนำอ๊อกซิเจนและสารอาหารไปให้ส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย และรับเอาของเสียและคาร์บอนไดออกไซด์กลับมา ปกติหัวใจจะมีสี่ห้อง แบ่งเป็นสองซีก ได้แก่ ซีกซ้ายและซีกขวา หัวใจทั้งสองซีกไม่มีช่องติดต่อถึงกัน นอกจากในระยะทารกในครรภ์ หัวใจแต่ละซีกจะมีสองห้องเท่ากัน คือ ห้องบนและห้องล่าง ห้องบนและห้องล่างจะมีช่องติดต่อถึงกัน โดยมีลิ้นหัวใจคอยทำหน้าที่กำกับให้กระแสเลือดผ่านจากห้องบนสู่ห้องล่างได้ทิศทางเดียวเท่านั้น ย้อนกลับไม่ได้

หัวใจห้องบนขวารับเลือดดำ จากหลอดเลือดดำใหญ่ที่นำเลือดกลับจากอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมทั้งเลือดดำจากตัวหัวใจเองด้วย เลือดดำจากห้องบนขวาจะถูกส่งลงมาห้องล่างขวา และส่งต่อไปยังปอดทั้งสองข้าง เพื่อแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในเลือดดำกับออกซิเจนจากอากาศที่หายใจเข้าไปสู่ปอด เลือดที่ผ่านปอดแล้วจะเป็นเลือดที่มีออกซิเจนสูง จึงมีสีแดงเรียกว่า เลือดแดง เลือดแดงจะไหลกลับสู่หัวใจทางห้องบนซ้าย ลงสู่ห้องล่างซ้ายและส่งต่อออกไปทางหลอดเลือดแดงใหญ่ ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย



ภาพที่บันทึกจาก MUGA scan จึงบ่งบอกให้เห็นความสามารถในการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักและสำคัญที่สุดของระบบไหลเวียนโลหิต ในกรณีที่เกิดความผิดปกติ ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็สามารถตรวจวัดได้ด้วยความแม่นยำและถูกต้อง ช่วยในการวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว มากกว่าการตรวจด้วยคลื่นสะท้อนหัวใจ หรือที่เรียกว่า echocardiogram และที่สำคัญมีความแม่นยำสูงกว่าการตรวจด้วย echocardiogram มาก ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยยืนยันมากมายในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

ปัจจุบันในต่างประเทศ มีการนำ MUGA scan มาประยุกต์ใช้ในการติดตามสมรรถภาพของหัวใจ ในกรณีผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ซึ่งบางชนิดเป็นที่ทราบกันดีว่ามีผลข้างเคียงต่อการ ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตของหัวใจ ดังเช่น ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับยาอะเดรียมัยซิน (adriamycin) ซึ่งพบว่าผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย ได้ผลดีจากฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งของยาอะเดรียมัยซิน แต่ต้องมาเสียชีวิตในที่สุดจากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หลังจากที่แพทย์ได้นำเทคนิก MUGA scan มาใช้ติดตามการประเมินสมรรถภาพของหัวใจ ในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าว ปรากฎว่า ช่วยให้ผลการรักษาโรคมะเร็งดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนหน้านี้มาก นับเป็นแนวทางในการรักษาที่ดูแลรักษาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดอีกอย่างหนึ่งในปัจจุบัน

ก่อนเสริมจมูกต้องอ่าน!!!

|0 ความคิดเห็น
ก่อนเสริมจมูกต้องอ่าน!!!

การผ่าตัดเสริมจมูก (Augmentation Rhinoplasty)
เป็นการผ่าตัดที่นิยมทำกันมากอย่างหนึ่งในประเทศไทย สามารถทำแล้วได้ผลดี มีภาวะแทรกซ้อนน้อย ผ่าตัดแก้ไขได้ใหม่ถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อน
วิธีการผ่าตัด
วัสดุที่ใช้ส่วนใหญ่คือซิลิโคนชนิดแข็งสำหรับการแพทย์ (Medical Grade Silicone) นำมาเหลาให้เข้ากับรูปหน้าของแต่ละคน แผลผ่าตัดจะมองไม่เห็นจากภายนอก เนื่องจากแผลอยู่ด้านในโพรงจมูก ก่อนการผ่าตัดแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่ซึ่งอาจจะใช้ร่วมกับการให้ยานอนหลับ
หลังการผ่าตัดสามารถกลับบ้านได้เลย
โดยบริเวณสันจมูกจะมีพลาสเตอร์ปิดอยู่เพื่อลดอาการบวมและเคลื่อนของซิลิโคน ควรปิดเอาไว้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง แพทย์จะนัดมาดูอีกครั้งประมาณ 1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
หลังการผ่าตัด
ควรนอนหัวสูงและประคบบริเวณจมูกด้วยความเย็นอย่างน้อย 48-72 ชั่วโมง
จมูกและบริเวณข้างเคียงจะบวมมากที่สุดในวันรุ่งขึ้นหลังการผ่าตัดหลังจากนั้นจะค่อยๆยุบบวมลง
บริเวณที่อยู่ระหว่างหัวตาเป็นบริเวณที่บวมอยู่นานที่สุด
รอยช้ำที่เกิดจากการผ่าตัดจะหายไปภายในสองสัปดาห์
ไม่ควรแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกสองสัปดาห์หลังการผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดเสริมจมูก
1. การอักเสบติดเชื้อ
ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหลังการรักษาต้องเอาซิลิโคนออกก่อนแล้วค่อยมาทำใหม่โดยทิ้งระยะห่างประมาณสามเดือน
2. จมูกเอียง
ถ้าไม่สามารถดัดให้เข้าที่ได้ ก็จะต้องได้รับการแก้ไขโดยการผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง
3. จมูกทะลุ
อาจเกิดขึ้นหลังการอักเสบติดเชื้อหรือซิลิโคนที่ใส่ไว้มีขนาดใหญ่หรือสูงเกินไปหรือซิลิโคนเลื่อนลงมาดันผิวหนังบริเวณปลายจมูกจนบางและทะลุออกมา เมื่อเกิดการทะลุจะต้องเอาซิลิโคนออกก่อนแล้วทิ้งระยะเวลาประมาณสามเดือนจึงค่อยมาทำใหม่

ศัลยกรรม - ดึงหน้า,หน้าเด้ง

|0 ความคิดเห็น

ศัลยกรรม - ดึงหน้า,หน้าเด้ง

การดึงหน้า เป็นการแก้ปัญหาแก้มห้อยย้อย, คางย้อยและบริเวณคอเหี่ยวย่น ซึ่งมักจะพบในชาวต่างชาติ(ฝรั่ง)
ในคนไทยจะพบในคนอายุมากๆ เช่นมากกว่า 50-60 ปีขึ้นไปแต่ในคนที่อายุน้อยกว่าก็อาจพบได้ การห้อยย้อยของผิวหน้าจะแบ่งตามความรุนแรงคือเกรด 1=น้อย, 5=มากที่สุดในบางรายมีไขมันสะสมในบริเวณแก้มและใต้คางก็จะใช้วิธีดูดไขมันประกอบด้วยไปพร้อมๆกับการดึงหน้าได้ การดึงหน้าต้องใช้การระมัดระวังสูงเพราะมีเส้นประสาทบริเวณหน้าหลายเส้น ถ้าทำด้วยความระมัดระวังแล้วโอกาสจะเกิดปัญหากับเส้นประสาทจะน้อยมาก ปัญหาที่พบอาจไม่เกิดจากการผ่าตัดแต่เกิดจากสุขภาพคนไข้เพราะอายุมากสุขภาพทั่วไปไม่ดีหรือมีโรคหัวใจ ทำให้มีปัญหาในการให้ยาสลบหรือยานอนหลับ แพทย์จึงต้องไช้ความระมัดระวังมากกว่าการทำศัลยกรรมอื่นซึ่งผู้ป่วยมีอายุน้อยกว่าส่วนปัญหาอื่นๆที่มีรายงานได้แก่เลือดออก,เขียวช้ำ,ติดเชื้อ,แผลไม่สวย,ทำแล้วไม่ได้ผลตามต้องการ การดึงหน้า ใช้เวลาทำประมาณ 2-4 ชั่วโมง บาดแผลอยู่รอบหูซึ่งเมื่อหายแล้วจะไม่เห็นร่องรอย หรือเห็นได้น้อย(ถ้าไม่เป็นแผลปูดซึ่งเป็นเฉพาะราย) โดยทั่วไปการดึงหน้าจะไม่บวมมากนักบางรายไม่บวมเลยภายใน 5-7 วัน ก็จะดูเป็นปรกติ

ศัลยกรรม

|0 ความคิดเห็น

ศัลยกรรม


ในปัจจุบันร่างกายของเราอาจจัดได้ว่าสิ่งสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เป็นส่วนที่จะทำให้คุณมีความภาคภูมิใจ ในบางคนการประสบความสำเร็จในชีวิตมาจากการมีหน้าตาและรูปร่างที่ดูดี แม้แต่ในดาราฮอลลีวูดจำนวนมากก็ต้องเข้าทำการตกแต่ง เพิ่มเติมส่วนเหลือ ส่วนขาด หรือ ตัดแต่งส่วนที่เกินออกไป ในบางคนหน้าตาอาจทำให้ขาดความมั่นใจจนมิอาจนำความสำเร็จในชีวิตมาได้

การทำศัลยกรรมตกแต่งไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ปัจจุบันผู้คนจำนวนมากยอมรับและเปิดเผยว่าตนเองได้เคยเข้ารับการทำศัลยกรรมตกแต่งมาแล้ว การเปลี่ยนแปลงรูปโฉม นำความมั่นใจมาสู่ผู้คนจำนวนมาก ทำให้เขาเหล่านั้นก้าวสู่ความสำเร็จของชีวิตในด้านต่างๆมากมาย การเลือกแพทย์ที่มีความชำนาญและมีผลงานที่โดดเด่น เป็นหัวใจที่สำคัญของการตัดสินใจของท่าน งานศัลยกรรมตกแต่งเป็นงานประติมากรรมเฉพาะตัว จึงต้องอาศัยศัลยแพทย์ที่ทำงานด้วยคุณภาพมากกว่าปริมาณ
สิ่งที่ต้องรู้ ก่อนการทำ ศัลยกรรมตกแต่ง
ศัลยกรรม - เสริมจมูก
ศัลยกรรม - หน้า
ศัลยกรรม - คาง
ศัลยกรรม - ปาก

ศัลยกรรม-เสริมหน้าอก

|0 ความคิดเห็น

ศัลยกรรม-เสริมหน้าอก

เสริมทรวงอก, เสริมหน้าอก, เสริมนม


คำถามที่พบบ่อย เสริมหน้าอกที่ไหนดี? ผลข้างเคียงการทำหน้าอก? เสริมหน้าอกแพงไหม?


สิ่งที่ปรารถนาของสตรีนั้น นอกจากใบหน้าที่งดงามมีเสน่ห์แล้ว เรือนร่างที่ได้รูปสวยงามก็เป็นที่ใฝ่ฝันของสตรีเกือบทุกคน แม้แต่ผู้ใกล้ชิดก็ปรารถนาเช่นกัน ส่วนหนึ่งของเรือนร่างที่สวยงามชวนมองที่สุดได้แก่ทรวงอกที่งดงามได้รูป ไม่หย่อนคล้อย ขนาดเหมาะสมกับเรือนร่างของแต่ละคน

แต่ธรรมชาติก็ไม่ได้ให้ความงามแก่สตรีครบทุกส่วน บางรายจึงอาจมีทรวงอกที่ไม่เป็นที่พึงพอใจ ก่อให้เกิดปมด้อย ขาดความมั่นใจในตัวเอง ต่างกับผู้ ที่ธรรมชาติให้ความงามมาครบถ้วน เป็นที่ต้องตาต้องใจแก่เจ้าของและผู้พบเห็น ปัจจุบันเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์การแพทย์เจริญก้าวหน้าไปมาก สามารถตอบสนองความต้องการของมนุษยชาติได้มากมายรวมทั้งด้านความงามของสตรี ท่านที่มีปัญหาเรื่องความงามของเรือนร่าง เช่นทรวงอกไม่ต้องใจท่าน สามารถมารับการเสริมทรวงอก ด้วยวิธีการอันทันสมัย ปลอดภัยด้วยสารซึ่งพิสูจน์แล้วกว่า 20 ปี เพื่อความงามความมั่นใจและเสน่ห์แก่ท่านสุภาพสตรี ซึ่งมีความเป็นธรรมชวติมากที่สุดทั้งรูปทรงและความนิ่มนวล


ก่อนเสริมหน้าอก หลังเสริมหน้าอก
สารที่ใช้เสริมทรวงอกในปัจจุบันคือ Silicone ทำเป็นรูปเต้านมเทียมซึ่งมี 2 แบบได้แก่

1. แบบที่มีลักษณะคล้ายลูกโป่ง สามารถฉีดน้ำเข้าภายใน ให้มี ขนาดตามต้องการ

2. แบบถุงซิลิโคนเหลวไม่มีรูเปิด

ศัลย์แพทย์ แต่ละท่านอาจจะนิยมใช้เต้านมเทียม แบบใดแบบหนึ่ง แต่ชนิดที่มีปัญหาน้อยคือ แบบที่ 2 เพราะเป็นถุงตันไม่มีรู จึงไม่มีปัญหารั่วซึม ซึ่งอาจเกิดได้ในแบบฉีดน้ำ ทำให้ขนาดเต้านมเปลี่ยนแปลงในภายหลังได้ นอกจากนี้ในแบบฉีดน้ำยังอาจคลำพบปุ่มรอยต่อสำหรับฉีดน้ำด้วย รวมทั้งความนุ่มนิ่มเป็นธรรมชาติ ยังด้อยกว่าแบบที่ 2 ( ถุงซิลิโคน ) ็สำหรับช่องทางที่จะใส่เต้านมเทียมนั้นทำได้ 3 วิธี คือ

1. การผ่าตัดในราวนม วิธีนี้มักจะมีแผลเป็นเห็นได้ชัดเจนเนื่องจากตรงกับขอบยกทรง แผลเป็นอาจจะปูดดำ

2. การผ่าตัดรอบหัวนม วิธีนี้อาจมีแผลเป็นซึ่งขยายใหญ่ได้ ดูไม่สวยงาม และอาจมีอาการชาของหัวนมได้3. ผ่านทางรักแร้ บาดแผลจะซ่อนอยู่ทางใต้รักแร้ไปตามรอยพับของผิวหนัง จึงมักจะไม่เห็นแผลเป็น ในบางรายจะไม่มีใครทราบได้เลยว่าได้รับการเสริมทรวงอก เพราะไม่มีแผลเป็นให้เห็นและมีความเป็นธรรมชาติมาก

การเสริมทรวงอกทำได้รวดเร็ว เห็นผลทันใจ กรรมวิธีไม่ยุ่งยากและ ที่สำคัญ คือมีความปลอดภัย พักฟื้นไม่นาน เฉพาะวิธีที่ผ่านทางรักแร้นั้น สามารถให้นมบุตรได้ ไม่เป็นมะเร็งสำหรับผลเสียและภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้คือ เลือดออกภายใน ติดเชื้ออักเสบ รูปทรงไม่สวยงาม เต้านมแข็งตึง อาจชาหรือเจ็บปวดบริเวณ ใดบริเวณหนึ่ง แต่สิ่งเหล่านี้พบได้น้อยซึ่งขึ้นอยู่กับความชำนาญ+ ความสามารถของศัลยแพทย์ และความ

ร่วมมือของผู้รับบริการที่ปฎิบัติตามคำ แนะนำ

การเตรียมตัวเพื่อรับการเสริมทรวงอก

1. งดอาหารและน้ำอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนมารับบริการ

2. อาบน้ำสระผมชำระร่างกายให้สะอาด

3. งดใช้ยาบางชนิดที่อาจมีผลต่อการผ่าตัด เช่น ยาแก้ปวด,แอสไพรินฯ

4. หลีกเลี่ยงการผ่าตัดในช่วงมีประจำเดือน

5. ในรายที่มีโรคประจำตัวหรือแพ้ยาบางอย่างต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน

6. ทำใจให้สบายไม่วิตกกังวล เพราะวิธีการเสริมทรวงอกมีความปลอดภัย

การปฏิบัติตัวหลังการเสริมทรวงอก

1. อย่าให้บาดแผลถูกน้ำ 5 วัน (แพทย์จะปิดปลาสเตอร์กันน้ำให้)

2. นอนให้ลำตัวส่วนบนสูงประมาณ 30ํ- 40ํองศา

3. รับประทานอาหารได้ตามปกติ

4. ใส่ยกทรงหลวม ๆ หรือไม่ต้องใส่ก็ได้

5. ห้ามทายาฮีรูดอยหรือยาอื่น ๆ ที่แผล

6. ปกติแพทย์จะนัดมาเมื่อครบกำหนด 5 วัน และจะแนะนำวิธีดูแลและรักษาและปฏิบัติตัวในระยะยาวต่อไป

7. หลังจาก 5 วันไปแล้วควรนวดเต้านมตามคำแนะนำทุกวัน

8. ถ้ามีปัญหาโปรดโทรมาปรึกษาแพทย์

ศัลยกรรม ดูดไขมัน ลดความอ้วน

|0 ความคิดเห็น
ศัลยกรรม ดูดไขมัน ลดความอ้วนคำถามที่พบบ่อย ดูไขมันที่ไหนดี? ปัญหาการดูดไขมัน? ราคาการดูดไขมัน?
นอกจากใบหน้าที่สดใสงดงามแล้ว เรือนร่างที่ได้รูปเป็นสัดส่วน ย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกๆคนทั้งยังเป็นที่ ประทับใจเมื่อแรกพบ แต่มีผู้คนจำนวนมากที่มีรูปร่างไม่เป็นที่พึงพอใจแก่ตนเอง อันเนื่องมาจากไขมันได้สะสมอยู่ตามร่างกายบางส่วนเช่น หน้าท้อง, สะโพก,เอว,ต้นขาด้านนอก-ด้านในบริเวณใบหน้า เช่น แก้ม,ใต้คางและบริเวณอื่นๆเช่น แขน,ไหล่,หัวเข่า น่องฯ ไขมันเหล่านี้จะมีลักษณะค่อนข้างเป็นก้อนชัดเจนอยู่เฉพาะ ที่เป็นบริเวณดังที่ได้กล่าวแล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวกับการอ้วนแต่อย่างใด ในคนผอมก็มีไขมันส่วนเกินเช่นนี้ได้ เช่น รูปร่างช่วงบนเล็ก แต่ช่วงสะโพกใหญ่มาก แต่ในคนอ้วนก็พบว่ามีไขมันส่วนเกินเฉพาะที่ได้เช่นกัน ไขมันส่วนเกินเหล่านี้ไม่ตอบสนองต่อการลดน้ำหนัก หรือการออกกำลังกาย การอบ-นวดฯใดๆ วิธีการที่จะลด ไขมันส่วนเกินนี้ให้ได้ผลแน่นอนสามารถ ทำได้โดยการดูดไขมันเท่านั้น ( Lipo suction ) การดูดไขมันที่ทำกันบ่อยๆในสุภาพสตรีได้แก่บริเวณหน้าท้อง, สะโพก,ต้นขาด้านนอก-ด้านใน,หัวเข่าบางครั้งก็ทำร่วมกับการผ่าตัดอื่นๆเช่นการดูดแก้ม- คางพร้อมกับการดึงหน้าให้ตึงหรือการดูดไขมันหน้าท้องร่วมกับการตัดแต่งหน้าท้องให้ตึง็ผู้ที่เหมาะสมสำหรับการดูดไขมันได้แก่ผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ผิวหนังมีความยืดหยุ่นดี มีไขมันสะสมอยู่เป็นบริเวณที่ชัดเจน มีน้ำหนักร่างกายอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ส่วนใหญ่ของผู้มีปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินมักจะเป็นสุภาพสตรี ส่วนในสุภาพบุรุษไขมันมักจะสะสมบริเวณลำตัว แต่บางคนท้องใหญ่(ลงพุง)โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเหล้าไม่เหมาะ ที่จะดูดไขมันเพราะไขมันสะสมอยู่ภายในช่องท้อง(ที่ลำไส้) การดูดไขมันไม่ได้ผลดี ควรใช้วิธีควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ในผู้ที่อ้วนและมีไขมัน ส่วนเกินสามารถรับการดูดไขมันได้ตรงบริเวณที่ไขมันเกิน เพื่อปรับให้รูปร่างได้สัดส่วน แต่ไม่สามารถดูดเพื่อการลดความอ้วนทั้งตัวได้ อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ที่มารับการดูดไขมันอาจจะมีน้ำหนักลดอย่างมากไ ด้จากปฏิกิริยาของร่างกายการดูดไขมันไม่สามารถแก้ปัญหาผิวหนังเป็นปุ่มปม ( Cellulite - เซลลูลิท)ได้
การดูดไขมันมีอันตรายหรือไม่ ?
การดูดไขมันได้มีกำเนิดมาประมาณ 10 ปีเศษแล้วและเป็นที่นิยม พร่หลายกันอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก ปลอดภัยมากและเห็นผลเร็ว ทำเพียงครั้งเดียวก็เห็นผล อย่างไรก็ตามการทำผ่าตัดทุกชนิดย่อมมีการเสี่ยงบ้าง แต่การเสี่ยงนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการคัดเลือกผู้รับบริการที่เหมาะสม สุขภาพดี ศัลยแพทย์มีประสบการณ์และความชำนาญสูง อุปกรณ์พร้อมสมบูรณ์ และผู้รับบริการได้ทำตามคำแนะนำของแพทย อย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแพทย์ผู้มีความชำนาญอย่างมาก ผลของการดูดไขมันก็อาจจะมีที่ไม่พึงพอใจบ้าง เช่น ผิวหนังไม่เรียบ โดยเฉพาะผู้ที่ผิวหนังมีการยืดหยุ่นไม่ดี การเสียเลือด, ติดเชื้อ,ผิวหนังมีสีเขียวช้ำ,การชา,แผลเป็น,มีน้ำสะสมใต้ผิวหนัง ผลแทรกซ้อนบางอย่างแม้จะพบได้ยากมาก แต่ก็อาจอันตรายถึงชีวิตได้ เช่นการติดเชื้อและการเสียเลือดจำนวนมากจากการดูดไขมันมากเกินไป

ท่านจะพบว่าการดูดไขมันสามารถทำให้เรือนร่างของท่านได้สัดส่วนโดย ที่ท่านไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นไปได้
การดูดไขมันต่างจากการอบ,นวดหรือวิธีอื่นๆตรงที่เราสามารถเห็นไขมันออกมา จากร่างกายอย่างชัดเจน สามารถบอกจำนวน ( เป็น ซีซี,ลิตร ) ได้ขั้นตอนการทำ แพทย์จะให้ท่านปราศจากการรู้สึกเจ็บปวด โดยการให้ยานอนหลับหรือยาชาแก่ท่าน จากนั้นจะให้ยาห้ามเลือด/หดเส้นเลือด และยาละลายไขมัน เพื่อให้การดูดไขมันเสียเลือดน้อยที่สุด แพทย์จะดูดไขมันออกโดยการเปิดแผลเล็กๆ (ประมาณ 1 ซม.)ในบริเวณที่ซ้อนเร้นจากนั้นจะใช้ท่อขนาดเล็กใส่ลงไป ดูดไขมันส่วนเกินออกมาในปริมาณที่เหมาะสมที่จะทำให้ท่านมีรูปร่างที่ดีขึ้น
หลังการดูดไขมันส่วนใหญ่ผู้ที่รับบริการสามารถช่วยตัวเองได้ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการดูดไขมันในปริมาณที่ไม่มากนัก ในรายที่ดูดไขมันไปจำนวนมาก/หลายแห่งอาจจะต้องการพักผ่อนบ้าง ท่านควรที่จะปฎิบัติภารกิจประจำวันของท่านหรือออกกำลังกายได้ ถ้าท่านทำได้โดยไม่เจ็บปวดเพื่อลดผลแทรกซ้อน การป้องกันการบวมหลังผ่าตัด แพทย์จะรัดส่วนที่ได้รับการดูดไขมัน ด้วยยางยืดเช่นสเตย์รัดหน้าท้องหรือกางเกงยืด ยางยืดนี้ยังช่วยปรับผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันให้ราบเรียบได้รูป และลดการเจ็บปวด ท่านควรใส่สเตย์ไว้อย่างน้อย 6 สัปดาห์ หลังการดูดไขมันท่านอาจจะไม่ค่อยสะดวกสบายบ้าง ทั้งจากการดูดไขมันและสเตย์ที่ใส่ แต่ก็จะเป็นช่วงระยะไม่กี่วันเท่านั้น สำหรับบาดแผลที่แพทย์เย็บไหมไว้จะหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่แพทย์จะนัดตัดไหมประมาณ 7 วันในระยะแรกๆ ท่านไม่ควรให้บาดแผลถูกน้ำเป็นเวลาประมาณ 2 วัน หลังจากนั้นท่านสามารถอาบน้ำได้และซับบริเวณแผลให้แห้ง ท่านไม่ต้องร้อนใจที่จะเห็นผลของการดูดไขมัน แม้ว่าทันทีที่ดูดไขมันเสร็จ รูปร่างของท่านต้องดีขึ้นแน่นอน แต่หลังจากการทำย่อมต้องมีการบวมขึ้นบ้างท่านจึงจะเห็นผลเมื่อ 2-3 สัปดาห์ผ่านไป และจะเห็นผลสูงสุดเมื่อ 6 เดือนขึ้นไป
การเตรียมตัวก่อนการดูดไขมัน
1. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดก่อนมาพบแพทย์

2. งดอาหารอย่างน้อย 6 ชม. ถ้าท่านมารับบริการตอนบ่ายท่านอาจรับประทาน อาหารเช้าเบาๆเช่น ขนมปัง,โอวัลติน ควรงดอาหารนมและ/หรืออาหารที่ย่อยยาก
3. ไม่รับประทานยาที่อาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อนเช่นยาที่ทำให้เลือดหยุดได้ช้าลง ได้แก่แอสไพริน, บูรา,บวดหาย,ทัมใจ
4. ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว เช่นความดันโลหิตสูง,เบาหวาน,หอบหืด และ ผลของการรักษาก่อนรับการผ่าตัด
5. โปรดอย่านำของมีค่า,เครื่องประดับมาเพื่อความปลอดภัย
6. ควรหลีกเลี่ยงช่วงที่มีประจำเดือน
7. ควรติดต่อเพื่อนหรือญาติมารับเมื่อท่านต้องการจะกลับบ้าน

หลังการดูดไขมัน
1. รัดสเตย์ให้แน่นไว้เสมอและจัดอย่าให้มีรอยย่น บนสเตย์ท่านควรรัดสเตย์ไว้อย่าง น้อย 6 สัปดาห์
2. รับประทานยาตามแพทย์สั่ง รับประทานอาหารได้ตามความพอใจ ควรงดอาหาร นมทุกชนิด
3. วันที่สามสามารถอาบน้ำได้ แล้วซับแผลให้แห้ง ถ้าท่านคันตัวท่านสามารถใส่ แป้งได้เพื่อแก้คัน (ห้ามใส่ที่แผล)
4. แพทย์จะนัดตัดไหมเมื่อครบ 7 วัน ห้ามทายา ฮีรูดอยที่แผล แต่ใช้ถูนวดที่ฟกช้ำได้
5. ท่านสามารถทำงานได้-ออกกำลังกายได้ตามความสามารถ


ศัลยกรรม - ทำตาสองชั้น

|0 ความคิดเห็น

ศัลยกรรม - ทำตาสองชั้น


ข้อมูลที่ต้องรู้เกี่ยวกับการ ศัลยกรรมทำตาสองชั้น
ศัลยกรรมตกแต่งทำตาสองชั้น นิยมทำในผู้ มีตาชั้นเดียว,มีชั้นตาหลายชั้น,ชั้นตาไม่เท่ากันหรือหนังตาตกไม่มาก ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะมีตาเล็กกว่าทั่วไป อาจมองเห็น ภาพได้ไม่ชัดเจน ดูลักษณะเหมือนกับคนง่วงนอน หรือมีความทุกข์ การศัลยกรรมทำตาสองชั้น ทำให้ตามีขนาด โตขึ้นเห็นภาพได้ชัดเจนเสริมให้ดูมีเสน่ห์หน้าตา สดใส เกิดความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
การศัลยกรรมทำตาสองชั้น มีหลายวิธี ได้แก่ การผ่าตัด, การใช้เลเซอร์ หรือการทำชั้นจากด้านในของเปลือกตา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะความเหมาะสมของ ผู้รับการแก้ไขว่าเหมาะสมสำหรับวิธีใด ตาม วิจารณญานของแพทย์ศัลยกรรม


การเตรียมตัวเพื่อ ศัลยกรรมทำตาสองชั้น

1. งดอาหารและน้ำ 6 ชั่วโมง ก่อนมาพบแพทย์
2. หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางอย่างซึ่งอาจทำให้เลือด หยุดช้า เช่น แอสไพริน ทัมใจ บวดหาย
3. โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัวท่าน เช่นเบาหวาน,ความดันโลหิตสูง ยาที่แพ้ เช่น เพนนิซิลิน,ซัลฟาฯ
4. ไม่วิตกกังวลมากเกินไป แม้ว่า การศัลยกรรมทำตาสองชั้น เป็นงานละเอียดใช้เวลาพอสมควรแต่ปลอดภัยได้ผลดี
5. โปรดอย่านำของมีค่าติดตัวมา เพราะอาจเกิดการ สูญหายได้
6. โปรดโทรนัดล่วงหน้ากับสถานที่ที่ต้องการทำศัลยกรรมตาสองชั้นเพื่อความสะดวก
การปฎิบัติหลังผ่าตัด ศัลยกรรมทำตาสองชั้น
1. พักผ่อนมากๆ นอนหัวสูงประมาณ 30 ํ- 40 ํ
2. อาจประคบด้วยน้ำแข็งใน 48 ชั่วโมงแรก หลังผ่าตัด (โดยประคบ 15 นาทีเว้น 15 นาที ) หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นประคบด้วยน้ำอุ่น
3. ถ้าไม่มีแผลผ่าตัดให้ล้างหน้าได้ในวันรุ่งขึ้น ถ้ามีแผลไม่ควรให้บาดแผลถูกน้ำ 4 วันหรือจน กว่าจะตัดไหมสี่ถึงห้าวัน หลังการผ่าตัดทำตาสองชั้น
4. ไม่ควรแกะบาดแผลหรือเศษเลือดที่ติดแผลอยู่
5. หากมีอาการผิดปกติ เช่น ตาบวมเขียวช้ำ, เลือดออกไม่หยุด,ตามองไม่ชัด โปรดปรึกษา แพทย์ที่คลินิคนี้6. มาตามแพทย์นัด ปกติจะตัดไหมวันที่ 4-5หลังผ่าตัด,ก่อนมาควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด
7. ห้ามทายาอื่นๆที่แผลเด็ดขาด

อาการแทรกซ้อนที่อาจพบได้จากการ ศัลยกรรมทำตาสองชั้น
1. เลือดออกหรือ ซึม

2. ติดเชื้อ

3. ไม่สวยงามตามที่ต้องการ

4. มีแผลเป็น

ศัลยกรรม ดูดไขมัน ลดความอ้วน

|0 ความคิดเห็น
ศัลยกรรม ดูดไขมัน ลดความอ้วนคำถามที่พบบ่อย ดูไขมันที่ไหนดี? ปัญหาการดูดไขมัน? ราคาการดูดไขมัน?
นอกจากใบหน้าที่สดใสงดงามแล้ว เรือนร่างที่ได้รูปเป็นสัดส่วน ย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกๆคนทั้งยังเป็นที่ ประทับใจเมื่อแรกพบ แต่มีผู้คนจำนวนมากที่มีรูปร่างไม่เป็นที่พึงพอใจแก่ตนเอง อันเนื่องมาจากไขมันได้สะสมอยู่ตามร่างกายบางส่วนเช่น หน้าท้อง, สะโพก,เอว,ต้นขาด้านนอก-ด้านในบริเวณใบหน้า เช่น แก้ม,ใต้คางและบริเวณอื่นๆเช่น แขน,ไหล่,หัวเข่า น่องฯ ไขมันเหล่านี้จะมีลักษณะค่อนข้างเป็นก้อนชัดเจนอยู่เฉพาะ ที่เป็นบริเวณดังที่ได้กล่าวแล้ว ซึ่งไม่เกี่ยวกับการอ้วนแต่อย่างใด ในคนผอมก็มีไขมันส่วนเกินเช่นนี้ได้ เช่น รูปร่างช่วงบนเล็ก แต่ช่วงสะโพกใหญ่มาก แต่ในคนอ้วนก็พบว่ามีไขมันส่วนเกินเฉพาะที่ได้เช่นกัน ไขมันส่วนเกินเหล่านี้ไม่ตอบสนองต่อการลดน้ำหนัก หรือการออกกำลังกาย การอบ-นวดฯใดๆ วิธีการที่จะลด ไขมันส่วนเกินนี้ให้ได้ผลแน่นอนสามารถ ทำได้โดยการดูดไขมันเท่านั้น ( Lipo suction ) การดูดไขมันที่ทำกันบ่อยๆในสุภาพสตรีได้แก่บริเวณหน้าท้อง, สะโพก,ต้นขาด้านนอก-ด้านใน,หัวเข่าบางครั้งก็ทำร่วมกับการผ่าตัดอื่นๆเช่นการดูดแก้ม- คางพร้อมกับการดึงหน้าให้ตึงหรือการดูดไขมันหน้าท้องร่วมกับการตัดแต่งหน้าท้องให้ตึง็ผู้ที่เหมาะสมสำหรับการดูดไขมันได้แก่ผู้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์ ผิวหนังมีความยืดหยุ่นดี มีไขมันสะสมอยู่เป็นบริเวณที่ชัดเจน มีน้ำหนักร่างกายอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ส่วนใหญ่ของผู้มีปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินมักจะเป็นสุภาพสตรี ส่วนในสุภาพบุรุษไขมันมักจะสะสมบริเวณลำตัว แต่บางคนท้องใหญ่(ลงพุง)โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มเหล้าไม่เหมาะ ที่จะดูดไขมันเพราะไขมันสะสมอยู่ภายในช่องท้อง(ที่ลำไส้) การดูดไขมันไม่ได้ผลดี ควรใช้วิธีควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ในผู้ที่อ้วนและมีไขมัน ส่วนเกินสามารถรับการดูดไขมันได้ตรงบริเวณที่ไขมันเกิน เพื่อปรับให้รูปร่างได้สัดส่วน แต่ไม่สามารถดูดเพื่อการลดความอ้วนทั้งตัวได้ อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ที่มารับการดูดไขมันอาจจะมีน้ำหนักลดอย่างมากไ ด้จากปฏิกิริยาของร่างกายการดูดไขมันไม่สามารถแก้ปัญหาผิวหนังเป็นปุ่มปม ( Cellulite - เซลลูลิท)ได้
การดูดไขมันมีอันตรายหรือไม่ ?
การดูดไขมันได้มีกำเนิดมาประมาณ 10 ปีเศษแล้วและเป็นที่นิยม พร่หลายกันอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก ปลอดภัยมากและเห็นผลเร็ว ทำเพียงครั้งเดียวก็เห็นผล อย่างไรก็ตามการทำผ่าตัดทุกชนิดย่อมมีการเสี่ยงบ้าง แต่การเสี่ยงนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการคัดเลือกผู้รับบริการที่เหมาะสม สุขภาพดี ศัลยแพทย์มีประสบการณ์และความชำนาญสูง อุปกรณ์พร้อมสมบูรณ์ และผู้รับบริการได้ทำตามคำแนะนำของแพทย อย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแพทย์ผู้มีความชำนาญอย่างมาก ผลของการดูดไขมันก็อาจจะมีที่ไม่พึงพอใจบ้าง เช่น ผิวหนังไม่เรียบ โดยเฉพาะผู้ที่ผิวหนังมีการยืดหยุ่นไม่ดี การเสียเลือด, ติดเชื้อ,ผิวหนังมีสีเขียวช้ำ,การชา,แผลเป็น,มีน้ำสะสมใต้ผิวหนัง ผลแทรกซ้อนบางอย่างแม้จะพบได้ยากมาก แต่ก็อาจอันตรายถึงชีวิตได้ เช่นการติดเชื้อและการเสียเลือดจำนวนมากจากการดูดไขมันมากเกินไป

ท่านจะพบว่าการดูดไขมันสามารถทำให้เรือนร่างของท่านได้สัดส่วนโดย ที่ท่านไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นไปได้
การดูดไขมันต่างจากการอบ,นวดหรือวิธีอื่นๆตรงที่เราสามารถเห็นไขมันออกมา จากร่างกายอย่างชัดเจน สามารถบอกจำนวน ( เป็น ซีซี,ลิตร ) ได้ขั้นตอนการทำ แพทย์จะให้ท่านปราศจากการรู้สึกเจ็บปวด โดยการให้ยานอนหลับหรือยาชาแก่ท่าน จากนั้นจะให้ยาห้ามเลือด/หดเส้นเลือด และยาละลายไขมัน เพื่อให้การดูดไขมันเสียเลือดน้อยที่สุด แพทย์จะดูดไขมันออกโดยการเปิดแผลเล็กๆ (ประมาณ 1 ซม.)ในบริเวณที่ซ้อนเร้นจากนั้นจะใช้ท่อขนาดเล็กใส่ลงไป ดูดไขมันส่วนเกินออกมาในปริมาณที่เหมาะสมที่จะทำให้ท่านมีรูปร่างที่ดีขึ้น
หลังการดูดไขมันส่วนใหญ่ผู้ที่รับบริการสามารถช่วยตัวเองได้ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการดูดไขมันในปริมาณที่ไม่มากนัก ในรายที่ดูดไขมันไปจำนวนมาก/หลายแห่งอาจจะต้องการพักผ่อนบ้าง ท่านควรที่จะปฎิบัติภารกิจประจำวันของท่านหรือออกกำลังกายได้ ถ้าท่านทำได้โดยไม่เจ็บปวดเพื่อลดผลแทรกซ้อน การป้องกันการบวมหลังผ่าตัด แพทย์จะรัดส่วนที่ได้รับการดูดไขมัน ด้วยยางยืดเช่นสเตย์รัดหน้าท้องหรือกางเกงยืด ยางยืดนี้ยังช่วยปรับผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันให้ราบเรียบได้รูป และลดการเจ็บปวด ท่านควรใส่สเตย์ไว้อย่างน้อย 6 สัปดาห์ หลังการดูดไขมันท่านอาจจะไม่ค่อยสะดวกสบายบ้าง ทั้งจากการดูดไขมันและสเตย์ที่ใส่ แต่ก็จะเป็นช่วงระยะไม่กี่วันเท่านั้น สำหรับบาดแผลที่แพทย์เย็บไหมไว้จะหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่แพทย์จะนัดตัดไหมประมาณ 7 วันในระยะแรกๆ ท่านไม่ควรให้บาดแผลถูกน้ำเป็นเวลาประมาณ 2 วัน หลังจากนั้นท่านสามารถอาบน้ำได้และซับบริเวณแผลให้แห้ง ท่านไม่ต้องร้อนใจที่จะเห็นผลของการดูดไขมัน แม้ว่าทันทีที่ดูดไขมันเสร็จ รูปร่างของท่านต้องดีขึ้นแน่นอน แต่หลังจากการทำย่อมต้องมีการบวมขึ้นบ้างท่านจึงจะเห็นผลเมื่อ 2-3 สัปดาห์ผ่านไป และจะเห็นผลสูงสุดเมื่อ 6 เดือนขึ้นไป
การเตรียมตัวก่อนการดูดไขมัน
1. อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดก่อนมาพบแพทย์

2. งดอาหารอย่างน้อย 6 ชม. ถ้าท่านมารับบริการตอนบ่ายท่านอาจรับประทาน อาหารเช้าเบาๆเช่น ขนมปัง,โอวัลติน ควรงดอาหารนมและ/หรืออาหารที่ย่อยยาก
3. ไม่รับประทานยาที่อาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อนเช่นยาที่ทำให้เลือดหยุดได้ช้าลง ได้แก่แอสไพริน, บูรา,บวดหาย,ทัมใจ
4. ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว เช่นความดันโลหิตสูง,เบาหวาน,หอบหืด และ ผลของการรักษาก่อนรับการผ่าตัด
5. โปรดอย่านำของมีค่า,เครื่องประดับมาเพื่อความปลอดภัย
6. ควรหลีกเลี่ยงช่วงที่มีประจำเดือน
7. ควรติดต่อเพื่อนหรือญาติมารับเมื่อท่านต้องการจะกลับบ้าน

หลังการดูดไขมัน
1. รัดสเตย์ให้แน่นไว้เสมอและจัดอย่าให้มีรอยย่น บนสเตย์ท่านควรรัดสเตย์ไว้อย่าง น้อย 6 สัปดาห์
2. รับประทานยาตามแพทย์สั่ง รับประทานอาหารได้ตามความพอใจ ควรงดอาหาร นมทุกชนิด
3. วันที่สามสามารถอาบน้ำได้ แล้วซับแผลให้แห้ง ถ้าท่านคันตัวท่านสามารถใส่ แป้งได้เพื่อแก้คัน (ห้ามใส่ที่แผล)
4. แพทย์จะนัดตัดไหมเมื่อครบ 7 วัน ห้ามทายา ฮีรูดอยที่แผล แต่ใช้ถูนวดที่ฟกช้ำได้
5. ท่านสามารถทำงานได้-ออกกำลังกายได้ตามความสามารถ



ศัลยกรรม - เสริมจมูก

|0 ความคิดเห็น

ศัลยกรรม - เสริมจมูก

ข้อมูลการของการ ศัลยกรรม (surgery)หลายๆคน ที่สนใจทำศัลยกรรมความงาม มักทำตั้งคำถามว่า
ใครเคยศัลยกรรมทำจมูกบ้าง?
ปัญหาของการศัลยกรรมเสริมจมูก?
ศัลยกรรมเสริมจมูกที่ไหนดี?

Bloggerthaiได้รวบรวบประสบการณ์ของผู้ที่ทำศัลยกรรมความงามทุกประเภทและบทความดีๆ มาให้ผู้ที่กำลังที่ต้องการข้อมูลในการตัดสินใจ รวมไปถึงข้อมูลของสถานที่ในการทำ ข้อมูลราคาค่าใช้จ่ายในการทำ รวมไปถึงปัญหาต่างๆของการทำศัลยกรรมเสริมจมูก


การเตรียมตัว ศัลยกรรมการเสริมจมูก

ลักษณะการผ่าตัดการศัลยกรรมเสริมจมูกส่วนใหญ่จะเป็นแบบผู้ป่วยนอก(ไม่ต้องพักในสถานพยาบาล) โดยการใช้ยาชาเฉพาะที่รอบจมูก อาจจะมียากินหรือฉีดให้ง่วงนอนหรือหลับ แล้วแต่ความชอบของหมอ ข้อดีของการทำให้หลับจะด้วยการกินหรือฉีดยาหรือแม้แต่ดมยาสลบก็คือ การทำผ่าตัดจะเร็วขึ้นสะดวกขึ้น เพราะผู้ไม่ต้องห่วงว่าคนไข้จะเจ็บ แต่แน่นอน จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการดมยาสลบด้วย
ดังนั้นถ้าเป็นการฉีดชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยก็ไม่ต้องงดอาหารและน้ำก่อนทำ ถ้าเป็นการดมยาสลบก็ต้องงดน้ำและอาหารมาด้วย


วิธีการ ศัลยกรรมเสริมจมูก

เทคนิคการผ่าตัดการ ศัลยกรรมเสริมจมูก มีสองวิธีหลักคือ
1) ใช้เนื้อเยื่อตัวเอง
2) ใช้วัสดุสังเคราะห์
หมอจะต้องเตรียมวัสดุที่ใช้เสริม ถ้าเป็นเนื้อเยื่อตนเอง ก็ต้องเริ่มด้วยการผ่าตัดเพื่อให้ได้เนื้อเยื่อนั้นๆ แต่ถ้าเป็นวัสดุสังเคราะห์ ก็เพียงแกะห่อ ทั้งสองกรณี หมอจะต้องทำการปรับแต่งรูปร่างและขนาดให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคน แล้วจึงจะเริ่มต้นขบวนการเสริม แผลผ่าตัด มักจะอยู่ภายในรูจมูก ข้างใดข้างหนึ่งหรือสองข้าง แล้วแต่ความชอบของหมอ แล้วหมอก็จะเลาะเข้าบริเวณสันจมูก ทำโพรงไว้สำหรับใส่วัสดุที่จะมาเสริม หลังจากวางวัสดุที่ใช้เสริมแล้ว อาจจะมีการยึดวัสดุนั้นไว้กับที่ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ เย็บแผลปิดด้วยไหมละลาย เพื่อจะได้ไม่ต้องมาตัดไหมในภายหลัง สุดท้ายจะเป็นการปิดแผล แล้วปิดคลุมแผลด้วยวัสดุต่างๆเพื่อป้องกันการเลื่อนตำแหน่งของจมูกใหม่ เพื่อป้องกันการบวม
รายละเอียดหรือเทคนิควิธีการตรงนี้แหละครับที่หมอแต่ละคนจะแตกต่างกัน อันจะส่งผลให้จมูกที่ได้สวยไม่สวย มีปัญหาไม่มีปัญหา
ส่วนตัวผู้เขียนเองชอบใช้ Goretex ทั้งแบบแท่งและแบบแผ่น เพราะเป็นวัสดุที่ไม่มีปฏิกิริยาต่อร่างกาย (ใช้กับร่างกายคนเราในรูปแบบต่างๆมามากกว่า 50 ปี เช่น เส้นเลือดเทียม) ตัวมันมีรูพรุน เนื้อเยื่อรอบๆจึงสามารถแทรกเข้าไปได้ ผลคือไม่เกิดเห็นเป็นสันเป็นแท่งอย่างกรณีซิลิโคน และอยู่นิ่งไม่เลื่อนไปมาง่ายแบบซิลิโคน โอกาสเกิดการเลื่อนทะลุต่ำกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบแผ่น เมื่อใส่แล้วนิ่มเป็นธรรมชาติมาก แม้จะพยายามคลำหาก็มักจะไม่เจอ


หลังผ่าตัดการ ศัลยกรรมเสริมจมูก

การดูแลหลังผ่าตัดการศัลยกรรมเสริมจมูก นอกเหนือจากข้อปฏิบัติทั่วไปในการดูแลตนเองหลังผ่าตัดศัลยกรรมเสริมจมูก ขอแนะนำดังนี้ - นอนในท่าที่ศีรษะสูงอย่างน้อย 30 องศาจากพื้นราบ เพื่อลดการบวม- ห้ามสั่งน้ำมูก หลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้เกิดอาการไอหรือจาม- หลีกเลี่ยงการจับต้องหรือกระแทกจมูกโดยแรง- หลังทำใหม่ๆ อาจมีน้ำเหลืองหรือเลือดจางๆออกจากแผลซึ่งอยู่ในรูจมูก ให้ใช้ผ้าสะอาดหรือกระดาษซับได้ แต่อย่าขยี้- ระยะ 2-3 วันแรกอาจต้องกินอาหารอ่อน- ในรายที่มีผ้าพันหรือวัสดุคลุมจมูกไว้ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์ให้ดี เพราะแพทย์แต่ละคนมีวิธีการแตกต่างกันไป
เป็นที่คาดหมายได้ว่า หลังการศัลยกรรมเสริมจมูกใหม่ๆ จมูกต้องบวม(อาจบวมไปถึงแก้ม หนังตาได้) ต้องมีอาการชา ต้องมีอาการปวดบ้าง มากน้อยขึ้นกับ ตอนทำหมอรุนแรงขนาดไหน ตัวคนไข้เองมีความไวต่อเรื่องความเจ็บปวดเท่าใด แต่ทั้งหมดนี้ต้องน้อยลงเรื่อยๆ หรือไม่มากเกินปกติ ถ้ามีเลือดออกสดๆ หรือ เลือดออกมาก หรือ บวมและปวดมากขึ้นๆเรื่อยๆแทนที่จะน้อยลง หรือ จมูกมีสีแดงผิดปกติ ให้รีบปรึกษาแพทย์ด่วน! อย่ารอจนถึงวันนัด

ค่าใช้จ่ายการ ศัลยกรรมเสริมจมูก
ค่าใช้จ่ายในการ ศัลยกรรมเสริมจมูก ราวๆ 5,000 - 20,000 บาท โดยมีตัวแปรต่างๆเช่นเดียวกับการผ่าตัดอย่างอื่น โดยมีข้อปลีกย่อย ดังนี้ เนื่องจากการศัลยกรรมเสริมจมูกมักทำแบบไม่ดมยาสลบ(ไม่ใส่ท่อหายใจ) หมอบางคนฉีดแต่ยาชาเฉพาะที่ หมอบางคนอาจแค่ฉีดยาให้นอนหลับด้วยตนเอง แต่หมอบางคนอาจปรึกษาให้วิสัญญีแพทย์มาช่วยดูแลให้คุณหลับสบายไม่เจ็บปวดเลย คุณควรเลือกพิจารณาตามความชอบด้วย อย่างหลังแพงกว่าครับ ถ้าเป็นการใช้จมูกเทียม ค่าใช้จ่ายแปรตามชนิดวัสดุ ถูกที่สุดได้แก่ ซิลิโคน ซึ่งก็มีหลายเกรด ถ้าเป็นแบบทำมาสำเร็จรูป ราคาต่ออันแค่ 700 บาทไปถึง 8,000 บาท ถ้าเป็นแบบแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ซื้อมาตัดแบ่งเหลาเป็นรูปจมูกเอง ราคาต่ออันซึ่งใช้ได้ 6-15 คนประมาณ 1,800-7,000 บาท แต่ทั้งนี้ความแข็งของค่าเงินจะมีผลมาก เพราะเราต้องซื้อจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ศัลยแพทย์ตกแต่งที่ผู้เขียนรู้จัก ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ซิลิโคนจากบริษัทเดียวกัน หากใช้ Goretex ราคาก็จะแพงกว่าซิลิโคนราว 6,000-10,000 บาท ตามขนาดหรือเบอร์ของวัสดุ ถ้าเป็นการใช้เนื้อเยื่อของตัวเอง ต้องเสียค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำผ่าตัดย้ายเนื้อเยื่อและค่าโรงพยาบาล ฉะนั้น ค่าใช้จ่ายก็ไม่มีค่าจมูกเทียมแต่กลายเป็นสิ่งเหล่านี้แทน ขอให้ท่านที่กำลังคิดจะทำการเสริมจมูก พิจารณาให้ดี โดยเฉพาะในเรื่องราคา เพราะมันไม่ใช่ตัวตัดสินสิ่งที่คุณจะได้รับ บางทีคุณเห็นค่าทำแค่ 5,000-8,000 บาท ว่าถูก แต่จริงๆในละเอียดคุณต้องดูให้ดี ยกตัวอย่าง ถ้าหมอใช้ของดีมีมาตรฐาน ขายโดยบริษัทที่รัฐหรือประชาชนตรวจสอบได้ หมื่นบาทขึ้นก็ไม่แพงถ้าบวกฝีมือหมอดีด้วย แต่ถ้าใช้ของแบบไม่ได้มาตรฐาน แอบๆขายกัน 3,000 บาทก็ไม่คุ้ม เพราะปัญหาต่างๆจะถามหาไปตลอดชีวิตคุณเลย...

ผลลัพท์ของการ ศัลยกรรมเสริมจมูก

ผลของการศัลยกรรมเสริมจมูก ด้วยซิลิโคนในปัจจุบันสำหรับศัลยแพทย์ตกแต่ง คงมองเห็นไม่เหมือนกัน บ้างก็ว่าดี คือดีกว่าสมัยก่อนมาก ภาวะแทรกซ้อนน้อย บ้างก็ว่าไม่ดี คือมีผลเสียหรือภาวะแทรกซ้อนจากตัวซิลิโคนซึ่งเป็นวัตถุแปลกปลอมอยู่เกือบตลอดเวลาไม่มากก็น้อย ความเห็นของผู้เขียนคือ การใส่วัตถุแปลกปลอมอย่างไรเสียก็ต้องตามมาด้วยปัญหา ยิ่งปริมาณวัตถุแปลกปลอมมากก็มียิ่งปัญหามากมีปัญหาเร็วขึ้น (อย่างกรณีการศัลยกรรมเสริมเต้านม) ปัจจัยที่จะช่วยลดปัญหาได้ส่วนหนึ่งก็คือ การพัฒนาด้านเทคนิคการทำ เรื่องนี้จึงสัมพันธ์โดยตรงกับฝีมือศัลยแพทย์ ตัวศัลยแพทย์ที่ทำผ่าตัดเอง ต่างก็ต้องบอกว่าตนทำได้ดี ปัญหาน้อยมาก แต่ต่างก็รู้ดีว่า คนไข้ที่ศัลยแพทย์คนหนึ่งผ่าตัดไป เวลามีปัญหาอาจไปหาศัลยแพทย์คนอื่นได้ ทำให้ศัลยแพทย์คนที่ทำผ่าตัดไม่ได้รู้จริงๆว่า อัตราการเกิดปัญหามีมากน้อยเพียงใด จากประสบการณ์ของผู้เขียนก็พบเหตุการณ์แบบนี้อยู่ประจำ และได้เคยพบภาวะแทรกซ้อนจากซิลิโคนศัลยกรรมเสริมจมูกมาแล้วทุกชนิด รวมทั้งที่ทำมาโดยหมอที่ดังมาก ที่ว่าเก่งมาก


ปัญหาของการ ศัลยกรรมเสริมจมูก

การศัลยกรรมเสริมจมูกปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ การศัลยกรรมเสริมจมูกมีปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าที่คุณๆคิดครับ หากจะทำจริงต้องยอมรับแล้วว่า คุณอาจพบปัญหาต่างๆ อาจต้องถูกทำผ่าตัดซ้ำ ไม่ว่าจะทำโดยหมอฝีมือแน่แค่ไหน ปัญหาเฉพาะสำหรับการศัลยกรรมเสริมจมูกโดยซิลิโคน ได้แก่

1.การบิดเบี้ยว - พบบ่อยที่สุด คือตัวซิลิโคนเบี้ยวเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งของจมูก หากพบแต่แรก แสดงว่าวางเบี้ยวตั้งแต่ต้น หากเกิดภายหลัง เนื่องจากร่างกายพยายามบีบรัดไล่ซิลิโคนออกจากร่างกาย

2.การเลื่อนขึ้นลง - ตัวซิลิโคนเลื่อนที่ในแนวขึ้นไปทางหว่างคิ้วหรือลงมาที่ปลายจมูก เกิดขึ้นได้แม้จะเป็นเวลาหลายปีหลังทำ

3.กระดูกอ่อนปลายจมูกถูกดันโผล่ - เกิดจากปลายซิลิโคนที่วางทับอยู่บนกระดูกอ่อนปลายจมูกดันกระดูกอ่อนจนเลื่อนที่ โผล่ให้เห็นในโพรงจมูก

4.การทะลุ - เป็นความสำเร็จของร่างกายในการขับไล่ซิลิโคน โดยอาจจะทะลุออกทางปลายจมูก (ต่อเนื่องจากการเลื่อนลงในข้อ 2 นั่นเอง) หรือทะลุออกมาในโพรงจมูก (ต่อเนื่องจากข้อ 3 นั่นเอง)

5.การเห็นเป็นสันของแท่งซิลิโคน - เมื่อใส่ซิลิโคนเข้าไป เนื่องจากมันเป็นวัสดุแท่งที่ตัน ร่างกายพยายามขับไล่และตีกรอบมันไว้โดยการสร้างแผ่นพังพืด เมื่อไล่ไม่ได้แผ่นพังผืดก็มากขึ้นจนรัดแท่งซิลิโคนไว้ เราจึงเห็นเป็นสันสองข้างของจมูกตามความยาวซิลิโคน

6.การติดเชื้อ - ปัญหานี้เกิดได้แต่ไม่มาก จากการที่การแพทย์เจริญขึ้นมาก มียาดีๆ เทคนิคการปลอดเชื้อดีขึ้นมาก ถ้าเกิดขึ้นจะสังเกตพบว่าบริเวณผ่าตัดแดงบวม อาการปวดกลับมากขึ้น หรือมีน้ำขุ่นหรือหนองไหลออกจากแผลผ่าตัด

วิธีการทำศัลยกรรมตาสองชั้น ::

|0 ความคิดเห็น
:: วิธีการทำศัลยกรรมตาสองชั้น ::
ดีจ้า..เมื่อวาน ดู Tonight Show ของ คุณไตรภพ
แล้วมีประโยชน์มากเลย เลยเอามาให้เพื่อนๆดูกัน
รายการนี้มีสาระจริงๆนะ
แต่เรายังหาเวปของรายการนี้ไม่เจอเลย

เลยเอาภาพวิธีการทำตา 2 ชั้นจากที่อื่นมาให้ดูก่อน
ใครอยากสวย...ลองไปดูก่อนนะ

.
 ถ้าชอบก็โหวตนะคะ ^^
ต่อไปเป็นรูปดาราเกาหลีที่เปลี่ยนแปลงสวยมากๆ...ในคห.ข้างล่างเลยจ้า

.
อันนี้เป็นวิธีการแบบดึงหนังตาออกมาอะ
หวาดเสียวมากๆๆๆ


นี่เป็นสภาพตาก่อนจะทำศัลยกรรมค่ะ

เริ่มด้วยการกรีดตรงขอบตาบนก่อนค่ะ

แล้วทำการเปิดดูเนื้อข้างใน

จากนั้นก็ใช้คีมแยกออก แล้วดึงออกมา

และก็ค่อยๆ ตัด (คิดว่าเป็นส่วนของไขมันนะคะ) ออก

จากนั้นก็พยายามเอาขอบตาบนออกมาให้ได้มากที่สุดค่ะ

เมื่อได้ขอบตาแล้ว ก็ดึงเส้นเลือดออก ตกแต่งด้านในค่ะ
เพื่อดึงให้ขอบมันมีสองชั้นอ่ะค่ะ

อันนี้ก็จะเป็นการตกแต่งตรงบริเวณขอบตาค่ะ

จากนั้นก็เย็บแผลค่ะ
 
เมื่อสอยด้ายเสร็จก็จะเป็นแบบนี้

แล้วก็จะรัดปมด้ายค่ะ (เค้าเรียกอย่างนี้รึป่าว)

เมื่อกระบวนการเย็บเสร็จสิ้นก็จะเป็นแบบนี้อ่ะค่ะ

จากนั้นก็เอาด้ายออก และรอแผลหายสนิทก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ



อันนี้เป็นวิธีง่ายๆกว่านะ
คุณหมอจะใช้ เข็ม และ ไหม เย็บไปตรงเปลือกตาทั้งในและนอก
ไม่หวาดเสียวเท่าอันแรกจ้า ลองไปดูละกันนะ


หมอเขาจะใช้ไหมหรือด้ายของเขาอะ เย็บเข้าไปตรงเปลือกตา










อันนี้คือ ไหมละลายหรือไม่ก็ถอดไหมออกแล้ว แล้วมันก็จะเป็นรอยแบบนี้






พักฟื้นนิดหน่อยก็สวยแล้ว



อะนะ



ใครที่ดูแล้ว....รู้สึกอย่างไรบ้าง
สำหรับ จขกท. นะ เรารู้สึกว่า โชคดีที่เราไม่คิดจะทำ
55+ เมื่อวานดูรายการ ทูไนท์โชว์แล้ว เสียวมาก...น่ากลัวง่ะแบบเห็นเต็มๆ





ต่อไปเป็นความรู้เล็กน้อยนะ
การทำ ตา 2 ชั้น โดยส่วนใหญ่ผู้ที่จะเข้ารับการ ศัลยกรรม ทำ ตาสองชั้น จะเป็นคุณผู้หญิงที่มีเชื้อสายออกไป
ทางจีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ซึ่งจะมีตาชั้นเดียว ทำให้มองดูตาค่อนข้างเล็ก การใช้เครื่องสำอางพวกดินสอเขียนตา
ก็ไม่อาจช่วยทำให้ตาสวยขึ้นมาได้ดังใจต้องการ

ปัญหาที่ต้องแก้ไข
ผู้ตาชั้นเดียว มีความแตกต่างกับผู้มี ตา2ชั้น คือ ไม่มีเยื่อพังพืดขึงยึดจากส่วนของกล้ามเนื้อลืมตากับผิวหนัง
ทำให้เวลาลืมตาไม่สามารถดึงให้เป็น 2 ชั้น การแก้ไขโดยเลียนแบบธรรมชาติ ใช้ไหมขึงยึดผิวหนังกับส่วน
กล้ามเนื้อลืมตา นอกจากนี้ผู้มี ตาชั้นเดียว มักจะมี ไขมัน ในส่วนของหนังตาบน มากกว่า ทำให้หนังตาดูอูม
ซึ่งนอกจากทำชั้นแล้ว ต้องเอาไขมันออกด้วยในบางรายเพื่อให้มีความสวยงามของชั้น

เวลาที่ใช้ทำ
ประมาณ 30 นาที

ยาที่ใช้
ประมาณ 30 นาที

ระยะเวลาพักฟื้น
ไม่จำเป็น ทำทุกอย่างตามปกติได้ทันที หลังทำ

สถานที่ผ่าตัด
คลินิก

วิธีการผ่าตัด
ส่วนการผ่าตัดแพทย์จะวัด หนังตา อย่างละเอียด และทำเครื่องหมายบนเปลือกตาเพื่อเป็นการกะขนาดว่า
เส้นตาทั้ง 2 ข้างต้องเท่ากัน หลังจากนั้นจะวาดเส้นที่ต้องการ และฉีดยาชาที่เปลือกตาเป็นจุดเล็กๆ แพทย์จะ
ทำการผ่าตัดเปลือกตาทีละข้าง และสร้างรอยพับของตาให้เหมือนธรรมชาติมากที่สุด โดยการใช้เข็มขนาด
เล็ก เจาะเป็นจุดเล็กเท่ารูเข็ม ที่ตำแหน่งที่จะทำชั้น จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการทำชั้น โดยใช้ไหมชนิดไม่ละลาย
เพื่อให้มีชั้นตลอดไป เย็บผิวหนังให้ยึดติดกับกล้ามเนื้อที่ใช้ลืมตา (เลียนแบบธรรมชาติของผู้มี ตาสองชั้น)
ผ่านแผลที่เจาะเป็นจุด โดยจะไม่มีการทำลายหรือตัดชั้นอื่นๆของหนังตา นอกจากจุดที่ไหมที่ผ่านเพื่อทำ
ชั้นของหนังตาเท่านั้น เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย โดยมีการกระทบกระเทือนต่อเนื้อเยื่อน้อย และคนไข้
ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล การทำ ตา2ชั้น วิธีนี้ให้ผลถาวร

การเตรียมตัวก่อนทำ
ไม่ต้องอดอาหาร ควรรับประทานอาหารให้ไม่อิ่มเกินไป

การดูแลหลังทำ
เนื่องจากการทำ ตาสองชั้น วิธีนี้มีบาดแผลเพียงจุดเล็กๆจึงสามารถทำตัวตามปกติ
1.ระวังไม่ขยี้ตารุนแรง 3 สัปดาห์. ให้ ล้างหน้า, แต่งหน้าตามปกติ เหมือนไม่ได้ผ่าตัด
2.รับประทานอาหารได้ทุกอย่าง เหมือนไม่ได้ผ่าตัด
3.บางท่านจะมีขี้ตามากกว่าปกติ ไม่ต้องทำอะไร แล้วจะหายไปเองใน 1 สัปดาห์
4.บางท่านจะรู้สึกตึงหนังตาบนบ้าง แล้วจะหายไปเองใน 1 สัปดาห์



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1321043#ixzz1QmyrK4xu

การดึงหน้า

|0 ความคิดเห็น
การดึงหน้า

การผ่าตัดดึงหน้าและคอจะช่วยให้ไขมันส่วนเกินและผิวหนังที่ย้อย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและคิ้ว และคางด้านตรงและด้านข้างจะดีขึ้นชัดเจน อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถหยุดความแก่ชราลงได้ ในระยะยาวอาจจะต้องทำการผ่าตัดเพิ่มเติมได้ ส่วนรายละเอียดของการผ่าตัดจะแบ่งเป็น 4 ส่วนของใบหน้าและการผ่าตัดดึงหน้าอาจจะทำเป็นบางส่วนก็ได้ไม่จำเป็นต้องทั้ง 4 ส่วนพร้อมกัน ขึ้นกับว่าส่วนไหนมีการหย่อนยานมาก
1. ส่วนหน้าผากและคิ้ว การผ่าตัดมีจุดประสงค์ที่จะดึงบริเวณผิวหนังส่วนหน้าผากให้ตึงขึ้นไปด้านบนจะทำให้คิ้วกลับสู่สภาพที่ยังเยาว์วัย และลดรอยย่นตามขวางบริเวณหน้าผากและรอยย่นบริเวณหัวคิ้ว โดยการตัดกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่น ส่วนผิวหนังส่วนเกินจะตัดออกโดยซ่อนแผลไว้ในบริเวณที่มีผม
2. ส่วนรอบตาและโหนกแก้ม และแก้มข้างมุมปาก เรามักจะผ่าตัดหนังตาบนและหนังตาล่างไปพร้อมกัน โดยตัดหนังและไขมัส่วนเกินออกจากบริเวณรอบตา ส่วนรอยตีนกาทางด้านข้างของตาและโหนกแก้มก็จะผ่าตัดโดยดึงส่วนของผิวหนัง และกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังออกไปทางด้านข้าง โดยการผ่าตัดอยู่ บริเวณขมับในบริเวณที่มีผมเพื่อซ่อนรอยผ่าตัด ส่วนแก้มด้านข้างก็จะดึงออกไปบริเวณขมับเหนือใบหู ผิวหนังส่วนเกินก็จะตัดออกโดยมีแผลบริเวณร่องหน้าหู ซึ่งจะซ่อนรอยได้
3. คางส่วนกลางบริเวณใต้คาง ซึ่งมีไขมันย้อยอยู่ก็จะเอาออกได้โดย มีแผลเล็กๆ ใต้คาง และเย็บกระชับกล้ามเนื้อเพื่อไม่ให้มีสันย้อยใต้คาง นอกจากนี้ อาจใช้การดูดไขมันร่วมด้วยได้ ส่วนคางด้านข้างก็จะดึงออกให้ตึงโดยแผลอยู่ที่หลังใบหู ร่วมกับการดึงคอ
4. การดึงผิวหนังบริเวณคอ ก็จะมีรอยผ่าตัดบริเวณไรผมทางด้านหลังหู และด้านข้าง จะซ่อนรอยผ่าตัดไว้ได้ โดยจะตัดหนังส่วนเกินออก
การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้เวลานาน 3-6 ชั่วโมง ถ้าต้องทำทุกส่วนทั้ง 4 ส่วน ผู้ป่วยมักต้องใช้ยาช่วยให้หลับ หรือการดมยาสลบระหว่างผ่าตัด ร่วมกับการฉีดยาชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยจึงต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง และควรได้รับการตรวจร่างกายและเช็คเลือด รวมทั้งเอ็กซเรย์ปอดก่อนทำการผ่าตัด และต้องไม่มีปัญหาเรื่องเลือดหยุดยาก และควรหยุดทานยาที่ทำให้เกร็ดเลือดทำงานผิดปกติ ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องเลือดออกมากกว่าธรรมดา เช่น ยาแอสไพริน หรือยาแก้อักเสบอีกหลายชนิด คนไข้ที่สูบบุหรี่ก็ควรหยุดบุหรี่ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เพราะผลจากการสูบบุหรี่จะทำให้ผิวหนังช้ำง่าย และเส้นเลือดที่มาเลี้ยงผิวหนังมักจะไม่ดีเท่าคนปกติทำให้แผลหายช้า ถ้าเป็นเบาหวานหรือความดันสูงก็ต้องได้รับการควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก่อน นอกจากนี้ควรอดอาหารก่อนผ่าตัด 4-6 ชั่วโมง
การผ่าตัดไม่จำเป็นต้องโกนผมมักจะให้ผู้ป่วยสระผมและล้างหน้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัดจะมีใบหน้าบวมและมีรอยช้ำประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยสามารถล้างหน้า สระผม แปรงฟัน ได้ตามปกติ ในวันรุ่งขึ้นหลังการผ่าตัด และจะมีการตัดไหมประมาณ 5-7 วันหลังผ่าตัด โดยทั่วไปใบหน้าจะกลับสู่สภาพปกติระหว่าง 1-3 เดือน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวแพทย์จะนัดผู้ป่วยมาเช็คเป็นระยะๆ ในช่วงที่มีบวมของใบหน้า ส่วนต่างๆ ของใบหน้าอาจจะยังดูไม่เท่ากัน แต่ทุกอย่างจะกลับสู่ปกติเมื่อยุบบวมแล้ว โดยทั่วไปผู้ป่วยควรจะพักอยู่ภายในบ้านในสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด และอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 1-3 วันหลังการผ่าตัด
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มักจะเป็นผลจากการใช้ยาให้หลับหรือยาสลบ ในช่วงวันสองวันแรก อาจจะมีบริเวณใต้ผิวหนังซึ่งมีเลือดค้างอยู่ มักจะดีขึ้นเอง มีบางรายที่อาจต้องดูดออก อาจจะมีกล้ามเนื้อบางส่วนของใบหน้ายังทำงานไม่ได้ปกติ เช่น เวลายิ้ม หรือยักคิ้ว อาจจะไม่เท่ากัน มักจะดีขึ้นเองเมื่อเส้นประสาทและกล้ามเนื้อหายช้ำประมาณ 1-2 เดือน หลังผ่าตัด นอกจากนี้จะมีแผลเป็นบริเวณหลังหูอยู่นานหรือนูนได้ ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการทายาหรือฉีดยาเฉพาะที่ ส่วนในบริเวณผมอาจจะมีผมร่วงบริเวณผ่าตัดได้ แต่มักจะงอกขึ้นมาใหม่ในระยะ 2-3 เดือนหลังผ่าตัด

การฉีดเสริมสวย

|0 ความคิดเห็น
การฉีดเสริมสวย

ปัจจุบันการฉีดสารซิลิโคนเพื่อเสริมสวย กลับเริ่มมีการนำมาใช้อีกครั้งหนึ่ง โดยมีการประชาสัมพันธ์กันต่อๆมา ว่ามีดารานักแสดงนิยมไปฉีด ทำให้เกิดมีผู้หลงเชื่อตามไปรับการฉีดและมีปัญหาตามมาหลายราย สารซิลิโคนจำนวนมากเข้าสู่ร่างกาย เช่น เสริมจมูก, คาง, แก้ม, หน้าผาก นั้น เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะสารซิลิโคนแม้จะเป็นสารที่มีปฏิกริยาต่อร่างกายน้อย แต่ก็จะแทรกซึมปนอยู่ในเนื้อเยื่อของเรา อย่างแยกกันไม่ออก ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เช่นการอักเสบ จะไม่สามารถผ่าตัดเอาสารนี้ออกมาได้หมด และยังต้องตัดเอาเนื้อดีที่อยู่ใกล้เคียงออกมาพร้อมกันด้วย และการอักเสบเรื้อรังที่ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็อาจกลายเป็นเนื้อร้ายตามมาในภายหลังได้
ในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ห้ามนำสารนี้มาใช้ในการฉีดเสริมสวย ซึ่งแพทย์เราส่วนใหญ่จะทราบถึงอันตรายจากการฉีดนี้ ที่มีการทำกันในปัจจุบันมักจะไม่ใช่แพทย์เป็นผู้ทำ มักจะเป็นบุคลากรที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ดำเนินการลักลอบฉีดให้ บางแห่งมีบริการถึงบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายและพระราชบัญญัติการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ถ้ามีผู้มาชักชวนให้ท่านไปรับการฉีดเสริมสวย โปรดพิจารณาคำแนะนำนี้ก่อนตัดสินใจ
• การฉีดทำได้ง่ายมาก, สวยทันใจ ทำไมแพทย์ท่านอื่นๆไม่นำมาใช้บ้าง และทำไมไม่ทำกันโดยเปิดเผยเป็นกิจลักษณะ
• การที่ท่านเห็นว่ามีผู้ฉีดมามากแล้วไม่มีอันตราย ท่านแน่ใจหรือว่าตัวท่านเองเมื่อฉีดแล้วจะไม่เกิดอาการอักเสบหรือแทรกซ้อนดังที่กล่าวมาแล้ว และถ้าเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขได้อย่างไร
• ถ้าการฉีดนี้ดีจริง ไม่มีอันตรายแล้ว คงมีแพทย์อีกหลายท่านทำตามกันอีกมาก ไม่ปล่อยให้บุคคลที่ไม่ใช่แพทย์บางคนสามารถ ประกอบกิจกรรมที่มีคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์มาเข้าแถวรอฉีกกันมากมายเช่นที่เป็นอยู่ในบางแห่ง


การผ่าตัดเสริมหน้าอก, เสริมเต้านม

|0 ความคิดเห็น
การผ่าตัดเสริมหน้าอก, เสริมเต้านม

เป็นการผ่าตัดเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งการเพิ่มขนาดหน้าอกนี้ก็เพื่อ
- เพื่อให้รูปร่างดีขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการแก้ความรู้สึกส่วนตัวที่ว่าเต้านมของตัวเองมีขนาดเล็กเกินไป
- เพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมหลังจากมีบุตร หลังการให้นมบุตร หรือคลอดบุตรแล้ว เต้านมอาจจะมีความตึงน้อยลง
- เพื่อแก้ไขขนาดที่แตกต่างของเต้านมทั้งสองข้าง
- แก้ไขรูปทรงที่ผิดปกติ ซึ่งอาจจะเป็นแต่กำเนิดหรือเกิดจากการผ่าตัด

ใครควรเสริมหน้าอก (เพิ่มขนาดเต้านม)
ผู้ที่จะเพิ่มขนาดเต้านมต้องมีความต้องการที่จะให้รูปร่างดูดีขึ้น ผู้นั้นควรจะมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่ต้องไม่หวังมากเกินไปว่ารูปร่างจะดูสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ

มีความเสี่ยงแค่ไหนในการได้รับการเสริมเต้านม
การผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยงที่เกิดจากการทำผ่าตัดทั่วไป เช่น เลือดออก,เลือดคั่ง,ติดเชื้อ แต่มีอัตราการเกิดประมาณ 1-5 % ผลแทรกซ้อนจากการเสริมเต้านมอาจจะเกิด การรัดตัวของพังผืดที่อยู่รอบเต้านม ทำให้เกิดความรู้สึกแข็งผิดปกติของเต้านมข้างนั้นบางครั้งอาจจะมีความรู้สึกเสียว,ชา บริเวณหัวนมหรือบริเวณใกล้รอยผ่าตัด ซึ่งส่วนใหญ่จะดีขึ้นเป็นปกติได้ แต่บางคนก็อาจจะรู้สึกเช่นนั้นตลอดไป ผู้ที่ได้รับการเสริมเต้านมสามารถให้นมบุตรได้ถ้าต้องการ มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับการเสริมเต้านมบางรายมีอาการปวดตามข้อต่างๆ มีไข้,อ่อนเพลีย แต่จากการศึกษาโดยละเอียดไม่สามารถระบุความเกี่ยวพัน ระหว่างอาการเหล่านี้กับการเสริมเต้านมได้ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมไม่ได้เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้รับการเสริมเต้านม แต่การตรวจเต้านมด้วย เอ็กซเรย์ แมมโมแกรม ต้องใช้วิธีพิเศษ

ถุงเต้านมเทียมมีโอกาสแตกรั่วหรือไม่
ถุงเต้านมเทียมมีโอกาสแตกหรือรั่วได้ ไม่เกี่ยวกับการได้รับกระแทกอย่างรุนแรง ถ้าเป็นน้ำเกลือ เต้านมด้านนั้นจะยุบลงโดยรวดเร็ว น้ำเกลือที่รั่วออกมาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสโลหิตไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด ถ้าเป็นซิลิโคนเหลวจะเกิดได้ 2 กรณี อย่างแรกถ้าพังพืดที่หุ้มรอบถุงไม่แตก อาจจะไม่รู้เลยว่าเกิดการรั่วขึ้น ถ้าพังพืดที่หุ้มรอบฉีกขาดซิลิโคนเหลวจะออกมานอกถุงแล้ว อาจจะเกิดพังพืดหุ้มรอบซิลิโคนนั้นใหม่ เต้านมข้างนั้นจะมีรูปร่างที่เปลี่ยนไป และอาจจะรู้สึกแข็งมากขึ้น

วางแผนสำหรับการผ่าตัด
ถ้าท่านสนใจที่จะได้รับการผ่าตัดควรจะพบแพทย์ที่มีความชำนาญ เพื่อให้แพทย์ที่มีความชำนาญเพื่อให้แพทย์ตรวจร่างกายของท่าน และสภาพเต้านมของท่าน ท่านสามารถจะคุยซักถาม และบอกความต้องการของท่านต่อแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้บอกรายละเอียดของการทำผ่าตัดต่อท่าน
ระยะพักฟื้นจากการผ่าตัด ประมาณ 5-7 วัน
ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ 2-4 ชั่วโมง

หลังผ่าตัด
ท่านจะรู้สึกตึงปวดได้บ้างประมาณ 2-3 วัน หลังผ่าตัดรูปร่างของเต้านมจะดูเป็นธรรมชาติประมาณ 1-2 เดือนท่านอาจจะต้องนวดเต้านมที่เสริมตามคำแนะนำของแพทย์อีกประมาณ 3-6 เดือน


การผ่าตัดเสริมจมูก

|0 ความคิดเห็น
การผ่าตัดเสริมจมูก

การเสริมจมูกเป็นการทำศัลยกรรมตกแต่งที่มีการทำกันมากที่สุดอย่างหนึ่งในบ้านเรา อาจจะเนื่องจากเหตุผลบางประการคือ
1. ทำได้ง่าย ได้ผลดี และมีการแทรกซ้อนน้อย (ถ้าทำถูกวิธี)
2. ถ้ามีปัญหา ก็สามารถผ่าตัดแก้ไขได้ใหม่ ไม่ยุ่งยากมากนัก

วิธีการผ่าตัด
เกือบจะทั้งหมดใช้การเสริมด้วยสารซิลิโคน (medical grade silicone) ผ่านทางรอยผ่าตัดขนาดเล็กที่ด้านในของจมูก ซึ่งแผลผ่าตัดนี้จะมองไม่เห็น แพทย์จะเริ่มผ่าตัดโดยการออกแบบซิลิโคนให้เข้ากับรูปหน้า และโครงจมูกก่อน จากนั้นจึงเริ่มการเสริม โดยการฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณรอบจมูก บางรายอาจใช้ยานอนหลับร่วมด้วย โดยการฉีดหรือรับประทาน ในกรณีที่ผู้ป่วยตื่นเต้นหรือกลัวมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วใช้ยาชาเฉพาะที่ก็เพียงพอแล้ว หลังผ่าตัดก็สามารถกลับบ้านได้ทันที แพทย์ จะนัดมาดูอีกครั้ง ~ 7 วัน เพื่อตัดไหมและตรวจดูความเรียบร้อย

การดูแลหลังผ่าตัด
โดยทั่วไปแล้วมักไม่จำเป็นต้องมีการปิดแผลบริเวณจมูกเลย สามารถ เดินทางกลับบ้านโดยที่คนทั่วไป อาจไม่สังเกตเห็น ความผิดปกตินอกจากอาการบวม แต่แพทย์บางท่านอาจนิยมใช้ plaster ปิดบริเวณสันจมูก หรืออาจใช้เฝือกดามบริเวณสันจมูกด้วย แล้วแต่ความนิยมและประสบการณ์ของแพทย์แต่ละคน เมื่อกลับถึงบ้านให้ใช้ผ้าเย็นประคบโดยรอบจมูกประมาณ 1-2 วัน เพื่อไม่ให้มีเลือดออกจะได้มีอาการบวมน้อย จากนั้นวันที่ 3 และ 4 เมื่อมีการบวมเต็มที่แล้ว ให้เปลี่ยนมาประคบด้วยผ้าอุ่นเพื่อลดบวม

ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
พบได้น้อย ถ้าได้รับการผ่าตัดมาอย่างถูกต้องและมีการดูแลที่ดีพอ อย่างไรก็ดีอาการแทรกซ้อนเหล่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้คือ
1. จมูกที่เสริมไว้เอียง ถ้าตรวจพบในระยะแรกเช่น 1-2 สัปดาห์แรก แพทย์อาจช่วยดัดให้เข้าที่ได้ ถ้าเกิดภายหลัง อาจเกิดจากการชนหรือกระแทกบริเวณจมูก จะไม่สามารถดัดให้เข้าที่ได้ง่าย มักจะต้องทำผ่าตัดใหม่
2. จมูกอักเสบ เกิดขึ้นได้ ถ้ามีการติดเชื้อบริเวณที่ทำผ่าตัด หรือบางครั้งเกิดจากการอักเสบผิวหนังบริเวณใกล้เคียง เช่น เป็นสิวบริเวณจมูก บ่อยครั้งที่มักเกิดจากการเสริมจมูกที่โด่งเกินไป เกิดการแดงที่บริเวณปลายจมูก และ เกิดการอักเสบตามมา

การผ่าตัดตา 2 ชั้น

|0 ความคิดเห็น
การผ่าตัดตา 2 ชั้น

การผ่าตัดบริเวณเปลือกตาบนที่เรียกว่าการทำตา 2 ชั้นนั้นสามารถแบ่งกลุ่มการผ่าตัดออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1 ) การผ่าตัดในผู้ที่มีตาชั้นเดียวหรือมี 2 ชั้นอยู่แล้ว แต่ขนาดของชั้นค่อนข้างเล็กหรือที่เรียกว่าตา 2 ชั้นหลบใน
กรณีนี้ไม่มีผิวหนังส่วนเกินที่ต้องตัดออกมากนัก มักทำในคนอายุน้อย

2 ) การผ่าตัดในผู้ที่มีตา 2 ชั้นอยู่เดิม ต่อมาเมื่อมีอายุมากขึ้นหนังตาเริ่มตกมาบัง ทำให้ชั้นตาดูเล็กลง วิธีการผ่าตัด
ในผู้ป่วย 2 ประเภทนี้มีหลักการเช่นเดียวกันจะต่างกันในเรื่องของปริมาณของผิวหนังที่ต้องตัดออก

การดูแลหลังผ่าตัด
- หลังผ่าตัดวันแรกให้ประคบบริเวณผ่าตัดด้วยความเย็น อาจใช้ผ้าเย็น หรือ gel pack ที่มีวางขายทั่วไป เพื่อให้หลอด เลือดหดตัว จะได้ไม่มีเลือดออกหลังผ่าตัด
- วันที่ 3 หลังผ่าตัดให้ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นเพื่อลดอาการบวม
- แผลที่เย็บไว้สามารถตัดได้ภายใน 5-7 วัน หลังผ่าตัด

อาการแทรกซ้อน
การผ่าตัดตา 2 ชั้น เป็นการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยสูง ถ้าทำถูกวิธี อาการแทรกซ้อนทางสายตาพบได้ น้อยมากหรือ แทบจะไม่มีเลย ที่พบบ้างคือปัญหา เรื่องความสวยงามของชั้นตา มากกว่า เช่น ชั้น 2 ข้างมีความต่างกัน, แผลผ่าตัดมีเลือดออก, มีรอยเขียวช้ำรอบดวงตา ซึ่งมักหายได้เอง, ชั้นมีขนาดใหญ่ หรือเล็กเกินไป, หลับตาได้ไม่สนิท

เพชร คุณค่าของมันและการประเมินราคา

|0 ความคิดเห็น
เพชร คุณค่าของมันและการประเมินราคา

ผู้หญิงหลายคนชอบเพชร คนส่วนมากก็ชอบเพชร มีเงินซื้อเพชร แต่มีใครบ้างที่จะดูเพชรเป็นซื้อเป็นรวมถึงตีราคาเป็น ตามผมมาเลยครับ

เพชรและคุณสมบัติเฉพาะของเพชร

ความแข็ง 10
ความถ่วงจำเพาะ 3.52
ค่าดัชนีหักเห 2.417
การกระจายแสง .044
ความวาว เหมือนเพชร
สีที่เห็นบริเวณส่วนล่าง สีส้มและฟ้าของเพชร ( Pavilion )
ความสามารถเรืองแสง มักจะเรืองแสงสีฟ้าอ่อน-เข้ม (Ultraviolet Lamp คลื่นสั้นและคลื่นยาว)

ลักษณะภายในกล้องจุลทรรศน์ มลหินรูปเหลี่ยม รอยแตกเหมือนขั้นบันไดหรือเสี้ยนไม้ บริเวณขอบเพชร วาวเหมือนหนวด ( bearding ) บริเวณขอบเพชร และลักษณะที่แสดงถึงผิวธรรมชาติเดิม ( Natural ) ซึ่งมักจะพบเป็นรูปสามเหลี่ยมบริเวณขอบเพชร

องค์ประกอบที่ใช้การประเมิณคุณภาพเพชรมี 4 ชนิด คือ

1. น้ำหรือความบริสุทธิ์ ( Clarity )

มีตั้งแต่ไร้มลทินและตำหนิจนถึงมีมลทินและตำหนิมาก ลักษณะความบริสุทธิ์จะต้องพิจารณาถึงมลทินที่เกิดอยู่ภายใน หรือ ตำหนิ
( Blemishes ) ที่เกิดอยู่ภายนอกการจัดระดับความบริสุทธิ์ทำได้โดยพิจารณาถึงขนาด จำนวนตำแหน่ง และลักษระทางธรรมชาติของมลทินและตำหนิ เพชรที่มีความบริสุทธิ์สมบูรณ์ไร้รอยตำหนิมีอยู่น้อย แต่ถ้าเพชรสมบูรณ์ไร้รอยตำหนิและมี องค์ประกอบอื่นๆ คือ สี การเจียระไน และน้ำหนักดีพร้อม จะมีราคาแพงที่สุด การจัดลำดับความบริสุทธิ์ของเพขรที่นิยมใช้กันในยุโรปและอเมริกาได้กำหนดมาตราฐานไว้โดยต้องตรวจดูภายใต้แว่นขยายหรือกล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย 10 เท่า

2. สี (Colour )
การจัดระดับสีทำได้โดยสังเกตุดูว่าสีของเพชรแปรเปลี่ยนไปจากความไม่มีสี ( Coloutless ) เพชรส่วนใหญ่จะมี สีเหลือง น้ำตาล เทา ปนอยู่เล็กน้อย ยกเว้นเพชรที่มีสีแฟนซี เช่น สีฟ้า ชมพู ม่วง แดง เพชรที่ไม่มีสีจัดเป็นเพชรที่มีค่าที่สุด

3. การเจียระไน ( Cut )
หมายถึง ส่วนสัดของเพชร ( Proportion ) และฝีมือการเจียระไน ( Finish) ซึ่งรวมถึงรูปร่าง ( Shape ) ว่าเจียระไนเป็นแบบเหลี่ยมเกสร ( Brilliant Cut ) เป็นแบบรูปมาร์คีส ( Marquise Cut ) หรือ เป็นแบบหลังเบี้ย ( Cabochon Cut ) เป็นต้น เพชรที่มีการเจียระไนได้ส่วนสัดตามมาตราฐานมีหน้าเหลี่ยมและมุมต่างๆ ถูกต้องตามหลักวิชา และมีฝีมือการเจียระไนที่ประณีตเรียบร้อยจะมีความสวยงามและมีการกระจายของแสงดี

การดูความถูกต้องของสัดส่วน ( Proportion Grading ) จะต้องทำการวัดมุมของส่วนบน ( Crown ) และส่วนล่าง ( Pavilion ) ของเพชรขนาดของโต๊ะหน้าเพชร ขนาดของปลายตัดก้นแหลม ความหนาของส่วนบนและความหนาของส่วนล่าง ความหนาของขอบเพชรแล้วนำมาเทียบกับส่วนสัดของเพชรที่นาย Tollkowsky ได้ทำเป็นมาตราฐานส่วนสัดเพชรที่เจียไนแบบเหลี่ยมเกสร ที่เรียกว่า Amercan Ideal Proportion

การจัดระดับฝีมือการเจียระไน ( Finish Grading ) ว่ามีความชำานาญและระมัดระวังในการเจียไนแค่ไหน เช่น ตรวจดูว่ามีเส้นรอยขัด รอยขีดข่วน รอยสึกกร่อนที่ก้นเพชร หรือ ขอบเพชรขรุขระ พร้อมกับตรวจดูว่าหน้าขัดมันมีณุปร่างดี มีการวางตัวถูกต้องและมีความสมดุลย์หรือไม่ เช่น เพชรบางเม็ดไม่กลมมีความเบี้ยวเล็กน้อย บางเม็ดมีหน้าขัดมันผิดรูปร่างไป

การเจียระไนมีผลต่อน้ำหนักที่พยายามรักษาไว้และความสวยงามของเพชรเมื่อเจียระไนเสร็จแล้ว ถ้าหากสามารถทำให้มีความสวยงามพร้อมกับรักษาน้ำหนักของเพชรไว้ด้วยแล้วก็จะทำให้เพชรนั้นมีค่ามากขึ้น

4. น้ำหนัก ( Carat Weight )
เพชรใช้หน่วยน้ำหนักเป็นกะรัตในการคิดราคาซื้อขาย 1 กระรัตเท่ากับ 0.200 กรัม ซึ่งเป็นหน่วยมาตราฐานในการคิดน้ำหนักพลอยอื่นด้วย หรือ 1 ใน 5 ของกรัม และใน 1 กะรัต ประกอบด้วย 100 จุด หรือ ในที่ในวงการนิยมเรียกว่าสตางค์ ดังนั้น 50 จุดหรือ 50 สตางค์ จะเท่ากับครึ่งกะรัตเพชรจะมีค่าสูงตั้งแต่ 1 กะรัตขึ้นไปและค่าจะสูงมากขึ้น ตั้งแต่ 5 กะรัตขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคุณสมบัติ 4C ครบแล้วราคาจะยิ่งสูงมาก

วิธีการตรวจเพชรอย่างง่ายๆ

ตรวจดูการกระจายแสงออก ( Dispersion ) โดยเปรียบเทียบกับเพชรเทียม
ตรวจสอบความถ่วงจำเพาะในกรณีที่เป็นเพชรร่วง
สังเกตุลักษณะขอบเพชร ซึ่งจะขัดไม่เรียบคงลักษณะ Waxy หรือ Granular ไว้บางครั้งอาจจะเห็นรอยแตกขนานของเพชรเป็นแบบขั้นบันได หรือ มีลักษณะของเส้นเหมือนหนวดอยู่ตามขอบของส่วนบนที่ติดกับขอบเพชร นอกจากนี้มีลักษณะตามธรรมชาติ เกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมซึ่งเป็นร่องรอยของการเจริญเติบโตของผลึกหรือเกิดเป็นร่องขนานกันซึ่งเป็นผิวเดิมของผลึก
สังเกตุสีส่วนล่างของเพชรจะมีสีส้มและสีฟ้า
สังเกตุลักษณะมลทินส่วนใหญ่จะเป็นรูปเหลี่ยม
สังเกตุลักษระรอยัด ( Polishing Mark ) ในเพชรจะมีหลายทิศทาง แต่ในเพชรเทียมจะไปในทิศทางเดียวกัน
การตรวจดูคุณภาพใช้ลักษระ 4C ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
วิธีการสังเกตุเพชรเทียม ( Diamond Simulant )

เพชรเทียม หมายถึง เพชรที่มีส่วนประกอบทางเคมีต่างจากเพชรแท้ อาจเป็นอะไรก็ได้ที่มนุษย์ทำเลียนแบบขึ้น เช่น แย๊ก ( Yag ) จีจีจี ( GGG ) คิวบิกเซอร์โคเนีย (Cubic Zirconia ) สทรอนเซียมไทเทเนต ( Strontium Titanate)ฯลฯ รวมทั้งพลอยสังเคราะห์ไร้สีชนิดอื่นๆที่เกิดตามธรรมชาติ เช่น เพทาย เป็นต้น รายละเอียดของเพชรเทียม แต่ละชนิดจะไม่กล่าวถึง แต่จะให้ข้อสังเกตุไว้ดังนี้ คือ

ราคาต่ำกว่าปกติมาก
มีการกระจายของแสงดีมาก น้ำสวย แวววาวเล่นสีสรรมากกว่าเพชรแท้จนผิดสังเกต
ความแข็งน้อยกว่าทับทิม ไพลิน เขียวส่อง ยกเว้นพวกแซปไฟร์สังเคราะห์ไร้สี บางชนิดอ่อนกว่าพลอยตระกูลควอรตซ์เสียอีกจึงทำให้เป็นรอยขีดข่วนและมัวเร็ว
ความถ่วงจำเพาะค่อนข้างสูง มักจะสูงกว่าเพชร ดังนั้นเพชรเทียมที่มีน้ำหนักเท่ากับเพชร จะดูมีขนาดเล็กกว่าเพชร
การเจียระไนเหลี่ยมไม่ละเอียดเท่าเพชรแท้
สีบนส่วนล่างของเพชรเทียมเช่น Cubic Zirconia จะมีสีส้ม และ Yag จะมีสีน้ำเงินอมม่วง
ส่วนใหญ่จะเรืองแสงสีเขียวอ่อน หรือ สีเหลืองอ่อน เมื่อส่องด้วยแสงอุลตราไวโอเลตชนิดคลื่นสั้น สังเกตุเงาของเพชรเทียมแต่ละชนิดในน้ำยา Methylene Iodide


การตรวจเพชร ต้องใช้ เครื่องวัดความแข็งวัด ส่วนเหลี่ยมของเพชรต้องใช้กล้องขยายขนาด 10 เท่าส่องดู

ก่อนอื่นให้จับปากคีบเพชร (Tweezer) ด้วยมือข้างที่เราถนัด โดยใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ครับ ตามรูปซ้ายสุดด้านบน ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมืออีกข้างจับกล้องขยายสิบเท่า โดยให้กางนิ้วกลางออกมาครับ ตามภาพกลางด้านบน แล้วให้นำปากคีบเพชร วางลงบนนิ้วกลาง จากนั้นให้มองผ่านกล้อง โดยเปิดสองตา (ถ้าเปิดตาข้างเดียว มองนานๆจะปวดตาครับ) ขยับกล้องเข้าออก จนภาพที่เห็นผ่านกล้องคมชัด ตามรูปบนด้านขวาสุด ต้องพยายามให้มือนิ่งๆ นะครับ ให้ยึดมือที่ถือปากคีบที่คีบเพชรไว้ให้นิ่ง ขยับเฉพาะอีกมือที่ถือกล้องเข้าออก หลังจากพอจะใช้กล้องส่องเพชร (loupe) ได้แล้วเรามาลองดูวิธีการเทียบสีเพชรครับ



ขอบเพชรมีผลค่อนข้างมากต่อความสวยงามของเพชรโดยรวม ขอบเพชรที่ดีควรอยุ่ระหว่าง บาง ถึงหนาเล็กน้อย thin-slightly thick ถ้าขอบเพชรบางเกินไป (Very thin) จะเปราะและอาจบิ่นง่ายครับ ถ้าขอบเพชรหนาไป (thick, very thick) น้ำหนักเพชรจะไปอยู่ที่ขอบซะเยอะ ทำให้เพชรหน้าแคบกว่าที่ควรครับ เช่น เพชรขนาด 50 ตังค์ อาจดูเหมือน 40ตังค์
- บางมาก (very thin) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นเป็นเส้นบางๆ มองด้วยตาเปล่าไม่ค่อยเห็น
- บาง (Thin) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นเป็นเส้นบาง มองด้วยตาเปล่า เห็นได้ยาก
- ปานกลาง (Medium) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นเป็นเส้น มองด้วยตาเปล่า เห็นเป็นเส้นบางๆ
- ค่อนข้างหนา (Slightly thick) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นได้ชัดเจน และสามารถเห็นชัดด้วยตาเปล่า
- หนา (Thick) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นได้ชัดมาก และสามารถเห็นชัดด้วยตาเปล่า
- หนามาก (Very Thick) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นขอบหนามาก และสามารถเห็นชัดเจนมากด้วยตาเปล่า


การประเมินความสะอาดต้องดูภายใต้กล้องขยาย 10 เท่านะครับ โดยต้องใช้โคม daylight ช่วยส่องสว่าง กรณีที่ไม่แน่ใจว่าเป็นฝุ่น หรือมลทินที่อยู่ในเพชร ให้สังเกตว่าอยู่บริเวณผิว หรืออยู่ในเนื้อเพชร และให้ใช้ผ้าเช็ดดูนะครับ เมื่อเช็ดแล้ว ถ้าเป็นฝุ่นก็จะหลุดออก ถ้ายังเห็นก็น่าจะเป็นมลทินในเนื้อเพชร เวลาส่องดูให้พลิกเพชรมองดูหลายๆมุมนะครับ บางครั้งมุมนึงอาจมองไม่เห็น แต่พอมองอีกมุมกลับเห็นครับ
•กรณีที่ส่องดูจนทั่วใช้เวลากว่านาทีแล้วยังไม่พบอะไร เพชรเม็ดนั้นน่าจะเป็น IF (Internal Flawless)
•กรณีที่ต้องใช้เวลาค้นหา นานประมาณ ครึ่งนาที หรือมากกว่า(ขึ้นอยู่กับความชำนาญด้วยครับ) ถึงจะพบตำหนิขนาดเล็กมากมาก ลักษณะคล้ายรูเข็ม (pinpoint) หรือผลึกขนาดเล็กมากๆ เหมือนรูปด้านบนซ้ายมือสุด ในวงกลมสีแดง สรุปได้ว่าเพชรเม็ดนั้น มีความสะอาดระดับ VVS (Very Very Small Included)
•กรณีที่ต้องใช้เวลาค้นหา นานประมาณ 10 วินาที หรือมากกว่าถึงจะพบตำหนิขนาดเล็กมาก ซึ่งมีขนาดใหญ่และจำนวนมากกว่าความสะอาด VVS ตามรูปกลางครับ สรุปได้ว่าเพชรเม็ดนั้น มีความสะอาดระดับ VS (Very Small Included) สำหรับเพชรความสะอาดระดับ VS มลทินหรือตำหนิจะมีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถเห็นได้ด้วย ตาเปล่า และไม่ขัดขวางการเดินทางของแสง จึงไม่มีผลใดๆต่อความสวยงามของเพชรครับ
•กรณีที่ส่องกล้องแล้วเห็นตำหนิทันที โดยไม่ต้องค้นหา และตำหนิขนาดเล็ก ซึ่งมีขนาดใหญ่และจำนวนมากกว่าความสะอาด VS ตามรูปขวาครับ สรุปได้ว่าเพชรเม็ดนั้น มีความสะอาดระดับ SI (Small Included) สำหรับความสะอาดระดับ SI ถ้ามลทินมีขนาดใหญ่ หรือมีสี หรืออยู่กลางหน้าเพชร อาจขัดขวางการเดินทางของแสงและมีผลต่อความสวยงามของเพชรโดยรวมครับ
•กรณีที่สามารถมองเห็นตำหนิด้วยตาเปล่า เพชรเม็ดนั้นมีความสะอาดระดับ I (Imperfect) ตำหนิมีขนาดใหญ่ มีผลต่อความสวยงามและความคงทนของเพชรครับ แนะนำให้หลีกเลี่ยงทุกกรณี




วิธีแรกคือการประเมินสี โดยที่มีเพชรต้นแบบ (master stone กรณีนี้ยกตัวอย่างว่าสีต้นแบบเป็นสี G น้ำ 97) ไว้เปรียบเทียบ ให้วางเพชรต้นแบบและ เพชรที่ต้องการเทียบสี คว่ำลงครับ โดยให้มองที่ก้นเพชรเฉียงๆ มุม 45 องศา โดยให้วางเพชรต้นแบบ ไว้ตรงกลาง และให้วางเพชรที่ต้องการเทียบไว้ทางซ้าย สังเกตว่าสีอ่อนกว่า (ขาวกว่า) หรือเข้มกว่า (เหลืองกว่า) เสร็จแล้วให้เปลี่ยนเพชรที่ต้องการเทียบมาไว้ด้านขวาและเปรียบเทียบอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยง master eye effect (การประเมินสีต้องดูเพชรภายใต้แสงอาทิตย์ หรือแสงสีขาว (Daylight)
•ถ้าผลสรุปว่า วางด้านนึงอ่อนกว่า อีกด้านนึงสีเข้มกว่า สรุปได้ว่าเพชรที่นำมาเทียบสีเดียวกันกับเพชรต้นแบบ คือ น้ำ 97
•ถ้าด้านนึงเข้มกว่า อีกด้านเท่ากัน สรุปว่าเพชรที่นำมาเทียบสีต่ำกว่าเพชรต้นแบบ 1 ขั้น กรณีนี้คือ เพชรเม็ดนี้น้ำ 96
•ถ้าด้านนึงอ่อนกว่า อีกด้านเท่ากัน สรุปว่าเพชรที่นำมาเทียบสีสูงกว่าเพชรต้นแบบ 1 ขั้น กรณีนี้คือ เพชรเม็ดนี้น้ำ 98
•ถ้าด้านนึงอ่อนกว่า อีกด้านนึงก็อ่อนกว่า สรุปว่าเพชรที่นำมาเทียบสีสูงกว่าเพชรต้นแบบอย่างน้อย 2 ขั้น กรณีนี้คือ เพชรเม็ดนี้น้ำ 99 ขึ้นไป
และถ้าด้านนึงเข้มกว่า อีกด้านนึงก็เข้มกว่า สรุปว่าเพชรที่นำมาเทียบสีต่ำกว่าเพชรต้นแบบอย่างน้อย 2 ขั้น กรณีนี้คือ เพชรเม็ดนี้น้ำต่ำกว่าหรือเท่ากับ 95 ลงมา

สำหรับสาวๆ แล้ว หากให้เลือกเครื่องประดับชิ้นงามสักชิ้น คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ที่จะเลือก “เพชร” เพราะเป็นอัญมณีที่สาวๆ ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะครอบครอง และหากมีโอกาสได้เลือกเพชรเป็นเครื่องประดับสักชิ้น สิ่งที่สาวๆ ควรพิจารณา คือ การเลือกรูปทรงที่เหมาะสมกับบุคลิกของตนเอง...เราลองมาสำรวจกันสักนิดซิว่า เพชรในแต่ละรูปทรง บ่งบอกและสะท้อนบุคลิกสาวๆ อย่างไรกันบ้าง

• เพชรทรงกลม: ด้วยความที่เป็นเพชรรูปทรงคลาสสิก จึงเป็นที่นิยมของผู้หญิงจำนวนมาก ซึ่งเพชรทรงกลมนี้ สื่อถึงความโรแมนติก และความสื่อสัตย์
• เพชรเหลี่ยม: เพชรแห่งความหรูหรา ทำให้ผู้ที่ประดับกายด้วยเพชรรูปทรงนี้ ดูดี มีเสน่ห์ดึงดูดใจ แลดูเป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีความเป็นผู้นำ กล้าได้กล้าเสีย
• เพชรเหลี่ยมมรกต: เพชรที่สวยงามตลอดกาล สื่อถึงความสงบ สง่างาม สมกับเป็นผู้ดี มีใจกว้างขวาง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
• เพชรรูปไข่: รูปทรงไข่ สื่อถึงความเป็นผู้หญิง เป็นที่รักของเด็กๆ มีความมั่นคง ซื่อสัตย์ และสาวที่ช่างคิดสร้างสรรค์
• เพชรรูปหยดน้ำ: บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงที่แข้มแข็ง มีความมั่นใจ แฝงไปด้วยเสน่ห์ และโรแมนติก ในทางตรงกันข้าม เธออาจจะเป็นสาวเจ้าน้ำตา ขี้สงสาร ได้ในบางครั้ง
• เพชรรูปหัวใจ: “หัวใจ” สัญลักษณ์ ของ ความรักแท้ หวานโรแมนติค
• เพชรมาควิซ(มาคี): บ่งบอกถึงความมั่งคั่ง เลิศ หรูหรา สง่างาม

เมื่อรู้ความหมายที่สะท้อนผ่านรูปทรงต่างๆ ของเพชรกันแล้ว หากใครนึกอยากจะหาเพชรและอัญมณีมาเสริมบุคลิก และสะท้อนความเป็นตัวคุณแล้วล่ะก็ หามาสวมใส่กันได้เลย