วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทำไมผมร่วง

|0 ความคิดเห็น

ทำไมผมร่วง

เส้นผมดีสวยงามมีบทบาทสำคัญมากประการหนึ่ง คือ ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพ เสริมสร้างความมั่นใจทางสังคม การเจริญเติบโตของเส้นผมมีลักษณะเป็นวงจรจากระยะต้น งอกยาวออกประมาณวันละ 0.3 เซนติเมตร เมื่อเข้าสู่จุดที่หยุดการเจริญก็จะร่วงหลุดไป มีเส้นผมเส้นใหม่ขึ้นมาทดแทนบริเวณรากผมเดิม โดยปกติแต่ละวัน ผมบนศีรษะจะร่วงได้ไม่เกิน 100 เส้น แต่ถ้าสระผมจะร่วงมากเป็น 2 เท่า ดังนั้นเมื่อสังเกตพบว่าผมร่วง ยังไม่ต้องวิตกกังวล ให้นับจำนวนเส้นผมที่หลุดร่วงออกในแต่ละวัน ถ้าเกินกว่า 100 เส้นในวันปกติทั่วไป จะแสดงว่ามีภาวะผมร่วงมากกว่าปกติ หรือถ้าผมร่วงแหว่งหายไปเป็นหย่อม ถือว่าผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็ค ผมร่วงมากผิดปกติทั่วศีรษะอาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น หลังมีไข้สูงมากจาก ไทฟอยด์ มาลาเรีย ไข้หวัดใหญ่ จากนั้น 2-3 เดือนผมร่วงมากแต่จะไม่ร่วงทั้งศีรษะ ปล่อยไว้ต่อไปจะค่อย ดีขึ้นได้เอง สำหรับผู้หญิงหลังคลอดประมาณ 3 เดือนอาจพบว่าผมร่วงมากได้ แต่จะไม่ร่วงหมด หลังจากนั้นผมก็จะขึ้นมาเหมือนเดิมได้ สำหรับสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ผมร่วงได้แก่ ความเครียด การขาดอาหารหรือการใช้ยาบางชนิด นอกจากนี้ยังพบว่า กรรมพันธ์และฮอร์โมนบางชนิด มีส่วนทำให้ผมบางน้อยลงได้
ในด้านการรักษาโรคผมร่วงนั้น แพทย์จะพยายามซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุให้ได้ ก่อนที่จะให้การรักษาอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

ปัญหาผมร่วง

|0 ความคิดเห็น

ปัญหาผมร่วง

เส้นผม แต่ละเส้นงอกมาจากเซลล์ในชั้นหนังแท้ เปลี่ยนไปเป็นเซลล์ผลิตเส้นผม ซึ่งเมื่อแบ่งตัวมากขึ้น จะดันเซลล์เหล่านี้ขึ้นไปทางข้างบนจนอยู่เหนือผิวหนัง เซลล์ผมที่ถูกผลักขึ้นมาเรื่อยๆ จะค่อยๆ ตาย ขณะเดียวกันก็ผลิตสารเคอราตินพอกพูนขึ้น สารเคอราตินเรียงตัวเป็นเส้นขนาน เมื่อถูกผลักให้สูงขึ้นๆ จะมีการเรียงตัวแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นแกนกลาง ชั้นนอก และชั้นผิวนอกสุด
ชั้นแกนกลางมีเซลล์รูปร่างกลม ระหว่างเซลล์มีช่องอากาศแทรกอยู่ ทำให้แลดูคล้ายฟองน้ำ ส่วนชั้นนอกมีเซลล์รูปร่างกระสวยซึ่งเป็นเซลล์ตายที่เต็มไปด้วยเคอราติน ชั้นนอกเป็นชั้นที่แสดงลักษณะของผม ไม่ว่าจะเป็นความอ่อนนุ่ม สีสันและความอวบอ้วนหรือความผอมของผม ส่วนชั้นผิวนอกสุดเป็นชั้นที่ประกอบด้วยเซลล์ตายทับซ้อนกัน 7 ชั้น แต่ละเซลล์เต็มไปด้วยสารเคอราตินใสๆ ส่วนชั้นผิวนอกสุดมีลักษณะคล้ายเกล็ดปลาผายออก ช่วยทำให้การดึงผมหลุดออกมาได้ยาก เส้นผมส่วนที่โผล่พ้นผิวหนังขึ้นมามีแต่เซลล์ตายที่เต็มไปด้วยสารเคอราติน ส่วนของเม็ดสีที่ทำให้ปรากฏเป็นสีของเส้นผมนั้นอยู่ที่ส่วนชั้นแกนกลาง เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายหยุดสร้างสารเม็ดสี ก็จะทำให้ผมเริ่มหงอก
เส้นผม เปรียบเสมือนแขนขาของผิวหนังเส้นผม และขนในแต่ละส่วนของร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน คนเรามีขนหลายชนิด ภาษาไทยเรียกขนบนหัวว่า "ผม" แต่ขนที่บริเวณอื่น จะเรียกว่า "ขน" ส่วนภาษาอังกฤษเรียกว่า "hair" หมดทุกที่ หน้าที่หลักของเส้นผม คือ ป้องกันผิวหนังหรือศีรษะไม่ให้เสียความร้อนมากเกินไป ปกติหนังศีรษะของคนเรามีเลือดมาเลี้ยงมาก และทำหน้าที่ควบคุมการกระจายความร้อนของร่างกาย

การเจริญเติบโตของเส้นผม

เส้นผมแต่ละเส้นมีการเจริญเติบโตเป็น 3 ระยะได้แก่ ระยะเจริญงอกงาม ระยะหยุดงอก และระยะพักเส้นผมบนหนังศีรษะยาวประมาณเดือนละ 1 เซ็นติเมตร โดยระยะเจริญงอกงาม จะมีระยะเวลายาวนานประมาณ 3 ปี หรืออาจถึง 7 ปี เช่นในเด็ก โดยเฉลี่ยเส้นผมใช้เวลาในการเจริญเติบโตทั้งสิ้น 5 ปี เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ระยะเจริญงอกงามนี้จะสั้นลงๆ คนที่ไม่ตัดผมเลยตลอดชีวิต จะมีผมยาวประมาณ 36
เซ็นติเมตร

เมื่อสิ้นสุดระยะเจริญงอกงาม ก็จะเข้าสู่ระยะหยุดงอก ในระยะนี้เซลล์ในชั้นหนังแท้จะแยกออกมา ทำให้เส้นผมขาดอาหารมาเลี้ยง ระยะนี้พบว่าต่อมผมจะหดเล็กลง และหยุดทำงานนานประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ระยะพัก ซึ่งกินเวลาประมาณ 3 เดือน เส้นผมเส้นนั้นจึงหลุดร่วงไป เส้นผมเส้นใหม่ขึ้นมาแทนที่

ในมนุษย์ร้อยละ 90 ของเส้นผมบนหนังศีรษะ เป็นเส้นผมที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในระยะเจริญงอกงาม ส่วนอีกร้อยละ 10 ที่เหลือจะอยู่ในระยะพัก สำหรับสัตว์ส่วนใหญ่มีขนเป็นขนเส้นหนาที่เริ่มงอกพร้อมกัน แล้วงอกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงฤดูกาลที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผมร่วงพร้อมกัน ส่วนในมนุษย์จะแตกต่างออกไป ผมบนศีรษะแต่ละเส้นมีวัฏจักรของตัวเองไม่ขึ้นต่อกัน

ชนิดของเส้นผม

1. ขนเส้นหนา เป็นขนที่มีลักษณะหนาและทำให้แลดูดีบนศีรษะ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ขนเทอร์มินัล" นอกจากจะพบที่ศีรษะแล้ว อาจจะพบได้ที่หัวหน่าว รักแร้ หน้าอก ขนเส้นหนาเป็นเส้นผมชนิดที่จะมีปัญหาเมื่อขาดไป ทำให้เกิดภาวะผมบาง หรือหัวล้าน
2. ขนอ่อน มักพบตามหน้า ตามลำตัว และแขนขาของเด็กและผู้หญิง
3. ขนอุย พบตามตัวทารก มักไม่มีสี แม้ว่าขนอุยนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก แต่เป็นต้นตอที่จะเจริญพัฒนาไปเป็นขนเทอร์มินัลหรือขนอ่อนได้

ปริมาณเส้นผมบนหนังศีรษะ
บนหนังศีรษะมีเส้นผมรวมทั้งสิ้นประมาณ 120,000 เส้นผมสีบลอนด์จะมีเส้นผมมากกว่าสีอื่น โดยมีประมาณ 140,000 เส้น ผมสีเข้มมีประมาณ 105,000 เส้น ในขณะที่ผมสีแดงจะมีประมาณ 90,000 เส้น นอกจากเส้นผมบนหลังศีรษะแล้ว ทั่วร่างกายมีขนและผมรวมทั้งสิ้น 5 ล้านเส้น ในร่างกายของคนเรา ส่วนที่ไม่มีผมและขนเลย คือ ริมฝีปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ทั้งนี้พบว่าในแต่ละวันเส้นผมหลุดร่วงจากหนังศีรษะไม่เกิน 100 เส้น

ปัจจัยที่ทำให้ผมร่วง

1. อายุ พบว่าเมื่ออายุมากขึ้น การเจริญเติบโตของเส้นผมจะโตช้าลง
2. พันธุกรรม ปัจจุบันพบว่าปัจจัยทางพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องค่อนข้างซับซ้อนกว่าที่เคยเข้าใจกับ การแสดงออกของยีนเกิดขึ้นทั้งจากที่ถ่ายทอดมาจากพ่อและแม่ รวมทั้งค้นพบว่ายีนที่เกี่ยวข้องมีมากกว่า 6 ชนิด
3. ฮอร์โมนเพศชาย

ผมร่วงจากฮอร์โมนแอนโดรเจน

ผมร่วงชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากพันธุกรรมผมร่วงชนิดที่เป็นผลจากฮอร์โมนเพศชาย ที่มีชื่อเรียกว่าแอนโดรเจน ทั้งนี้พบว่าระดับของฮอร์โมนแอนโดรเจนในร่างกายที่สูงทำให้ผมร่วง ผู้หญิงก็มีฮอร์โมนแอนโดรเจนเช่นกัน ดังนั้นทั้งผู้ชายและ ผู้หญิงจึงเกิดปัญหาผมร่วงจากฮอร์โมนแอนโดรเจนได้ทั้งสองเพศ

ผมร่วงจากยาเคมีบำบัด

ผมร่วงที่เป็นผลจาก การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีเคมีบำบัดเป็นสิ่งที่พบเห็นและทราบกันดี แม้ว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับยาเคมีบำบัดทุกชนิด แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะหลีกเลี่ยงได้ยาก

นอกจากยาเคมีบำบัดยังมียาอื่นที่ทำให้ผลร่วงได้เหมือนกัน เช่น ยารักษาโรคเก๊าต์ ยาต้านอาการซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต และยาโรคหัวใจบางชนิด การใช้วิตามินเอในขนาดสูงก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้มาก และมักจะดีขึ้นเมื่อหยุดยาแล้ว

ผมร่วงขณะตั้งครรภ์

ในเพศหญิงขณะตั้งครรภ์ หรือผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดมาเป็นเวลานานอาจเกิดอาการผมร่วง ได้ซึ่งจะหายเป็นปกติหลังเลิกกินยาเม็ด คุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตรประมาณ 4-6 เดือน

ผมร่วงจากโรคภัยไข้เจ็บ

สาเหตุของผมร่วงที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นสิ่งที่ต้องนึกถึงเสมอ โรคที่พบได้บ่อยๆ ในเวชปฏิบัติที่เป็นสาเหตุของอาการผมร่วง ได้แก่ โรคของต่อมไทรอยด์ โรคลูปุส โรคเบาหวาน โรคติดเชื้อราที่หนังศีรษะ

อีกภาวะที่ต้องนึกถึงเสมอ คือ ภาวะขาดธาตุเหล็ก ซึ่งพบได้ในผู้หญิงที่เสียเลือดจากการมีประจำเดือนครั้งละมากๆ ภาวะขาดโปรตีนในร่างกาย รวมทั้งโรคเรื้อรังทั้งหลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้

การรักษา

1. การรักษาผมร่วงขึ้นกับสาเหตุเป็นสำคัญ
2. การใช้ยาทา minoxidil วันละสองครั้งช่วยเพิ่มเลือดไหลเวียนไปที่บริเวณรากผมและโคนเส้นผม
3. ยาต้านฤทธิ์ฮอร์โมนแอนโดรเจนชื่อ finasteride ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและจากการศึกษาวิจัยพบว่า ได้ผลในการรักษาพอสมควร ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคือยานี้ทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ห้ามใช้ในผู้หญิงตั้งครรภ์อย่างเด็ดขาด
4. ในกรณีผมร่วงเป็นหย่อมๆ แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่เพื่อรักษาอาการดังกล่าว หรือพิจารณาใช้ยาแอนทราลินชนิดทา หรือทาร์ชนิดทา ช่วยในการรักษาเพิ่มเติม
ที่มา: BangkokHealth.com

ค้นพบวิธีในรักษาผมร่วง

|0 ความคิดเห็น

ค้นพบวิธีในรักษาผมร่วง

ถ้าคุณผู้ชายรู้สึกว่าขณะนี้ คุณสามารถมองเห็นหนังศีรษะของตนเองได้มากเกินไป แล้วละก็ ให้พึงระลึกไว้อย่างหนึ่งว่า คุณไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวเท่านั้นที่มีความรู้สึกเช่นนี้ เพราะจากรายงานของ American Academy of Dermatology ของสหรัฐ ระบุว่า 2 ใน 3 ของผู้ชายในสหรัฐ มีโอกาศที่จะศีรษะล้าน ขณะเดียวกันวิธีการรักษาผมร่วง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยการใช้ยา หรือการผ่าตัดที่เรียกว่า Hair Transplantationก็ก้าวขึ้นมาเป็นความหวังของผู้ที่ตกอยู่ใน ภาวะดังกล่าว Neil Sadick แพทย์และอาจารย์ ของหน่วย Dematology แห่ง Cornell University Medical College กล่าวว่า อาการผมร่วมของผู้ชายส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ ที่เรียกว่า Androgenic Alopecia โดยคนกลุ่มนี้จะมีระดับของฮอร์โมนที่เรียกว่า 5(Alpha)-Reductase เพิ่มมากขึ้น จากนั้นจะฮอร์โมนดังกล่าวจะไปเปลี่ยน Testosterone ให้เป็น Dihydrotesterone หรือ DHT ซึ่ง DHT นี้ เป็นสาเหตุทำให้รากผม ผลิตเส้นผมที่ที่ขึ้นมาใหม่ให้บางและ สั้นลง จนกระทั่งรากผลนั้นตายไป ไม่สร้างเส้นผมขึ้นมาอีกในที่สุด

อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิจัยต่างก็พยายามหาวิธีทางหยุดยั้ง กระบวนการที่ทำให้ศีรษะล้านเหล่านี้ โดยเมื่อเดือนตุลาคม ปี ๑๙๙๙ วารสารการแพทย์ Journal of Clinical Investigation รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์แห่ง Weil MedicalCollege of Cornell University ประสบความสำเร็จ ในการกระตุ้นรากผม ด้วยการนำไวรัสไข้หวัด มาดัดแปลงให้กลายเป็นตัวนำยีนที่เรียกว่า Sonic Hedgehog ซึ่งเป็นยีนที่มีบทบาทสำคัญในพัฒนาการของรากผม

อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้ยังอยู่ในขั้นทดลองกับหนูทดลองเท่านั้น และอย่างน้อย ก็เรียกได้ว่า สัมฤทธิ์ผลให้หนู แต่การที่จะนำมาใช้ในการรักษาผู้มีปัญหาศีรษะล้านจริง ๆ นั้น จะต้องมีการทำลอง และศึกษาผลมากกว่านี้

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ ได้เปิดเผยขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี ๑๙๙๙ โดยงานชิ้นนี้ ระบุว่า การปลูกรากผมและเส้นผม สามารถทำได้ด้วยการนำเซลรากผมจากผู้บริจาคมาใช้

รากผม นับว่าเป็นส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของร่างการที่มีลักษณะพิเศษ เรียกว่าเป็น Immunoprivileged ซึ่งได้รับการปกป้องจาก Immune System ดังนั้นร่างกายจะไม่แสดงอาการต่อต้านรากผม จากผู้อื่นเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอม จากทฤษฎีดังกล่าวนี้ ทำให้นักวิจัยจึงคิดว่า เป็นไปได้ ที่จะนำเอารากผมจากบุคคลผู้หนึ่งมาปลูกถ่ายให้กับอีกบุคคลหนึ่ง โดยร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย ไม่แสดงปฏิกริยาต่อต้าน เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าวข้างต้น นักวิทยาศาสตร์ชาย ได้เสียสละเซลรากขน ในส่วนแขนของตนเอง ไปปลูกถ่ายไว้บนแขนของนักวิทยาศาสตร์หญิง ซึ่งปรากฏว่า หลังจากนั้นสองสามสัปดาห์ แขนของนักวิทยาศาตร์หญิง มีขนเส้นใหญ่ และดกดำขึ้นมา ไม่เหมือนกับเส้นขนของตัวเธอเอง โดยเส้นขนดังกล่าวนั้น ขึ้นอยู่ ณ บริเวณที่แขนถูกปลูกถ่าย

สำหรับการปลูกถ่ายผมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น เซลที่ใช้จะเป็นเซลจากส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย ของผู้รับการปลูกถ่ายเอง ซึ่งก็จะเป็นเซลรากผมจากส่วนของหนังศีรษะที่ยังมีผมปกคลุมอยู่ นั่นหมายถึงว่า ผู้รับการปลูกถ่าย ไม่ได้มีผมมากขึ้น เพียงแต่ทำให้เส้นผมขึ้นกระจาย ปกคลุม พื้นที่ออกไปให้ทั่ว ส่วนจะสามารถปลูกถ่ายได้กินบริเวณมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนรากผม ที่ยังเหลืออยู่ของผู้รับการปลูกถ่ายเอง

Peter B. Cserhalmi-Friedman หนึ่งในคณะแพทย์ทางด้านโรคผิวหนังของ College of Physicians and Surgeons แห่ง Columbia University กล่าวว่า ถ้าเทคนิคในการปลูกถ่ายเซลรากผมนี้พัฒนาไปถึงขั้นที่เรียกว่าเป็น Viable Technique แล้วก็จะ ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนรากผมที่จะถูกสร้างขึ้นใหม่อีกต่อไป เพราะผู้รับการปลูกถ่าย ไม่จำเป็นต้องสละรากผมออกมาจากส่วนอื่น ๆ ของหนังศีรษะ ดังนั้น จากเดิมที่เทคนิคนี้จะใช้ได้ ก็ต่อเมื่อผู้รับการปลูกถ่าย มีเส้นผมเหลือบนหนังศีรษะมากพอ จะก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่เทคนิคดังกล่าว สามารถใช้ได้แม้กระทั่งกับผู้ที่ไม่เหลือเส้นผมอยู่บนหนังศีรษะเลย

แต่อย่างไรก็ตาม แพทย์กล่าวว่า อย่างเพิ่งหวังว่าจะมีใครบริจาคเซลเส้นผมให้กับคุณ เพราะ เทคนิคที่กำลังพัฒนาอยู่นี้จะต้องใช้เวลาในการศึกษาอีกนานพอควร อย่างน้อยก็อีกนานเป็นสิบปี

สำหรับการรักษาอาการศีรษะล้านในปัจจุบันนั้น FDA ได้อนุญาติให้มีการใช้ยา ที่ทำให้มีการสร้างเส้นผม ซึ่งจะใช้ได้ผลดี ก็ต่อเมื่อรากผมของผู้ใช้ยานั้นยังไม่ตายไป อีกทั้งยังต้องมีการปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง เหมาะสมอีกหลายข้อ เพื่อให้ยาได้ผลดี

ยกตัวอย่างยา Finasteride ซึ่งจำหน่ายภายใต้ชื่อ Propecia นั้น เป็นยาที่ต้องรับประทานทุกวัน ซึ่งยาตัวนี้ ได้มีการศึกษาและรายงานผลใน New England Journal of Medicine เมื่อเดือนกันยายน ปี ๑๙๙๙ ว่า หลังจากผู้ใช้ยาจำนวน ๒ ใน ๓ ใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา ๒ ปี ปรากฏว่า มีผมปกคลุมพื้นที่หนังศีรษะเพิ่มมากขึ้น เส้นผมยาว และหนาขึ้น มีชายจำนวนน้อยเท่านั้น ที่ใช้ยานี้แล้วไม่ได้ผล ส่วน Side Effect นั้น ยังไม่ปรากฏให้เห็นในช่วงระยะเวลาที่ทำการทดสอบ

สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานยานั้น ก็มียา Minoxidil ที่จำหน่ายภายใต้ชื่อ Rogaine เป็นยาที่ต้องใช้ทาหนังศีรษะวันละ ๒ ครั้ง แต่จะใช้ได้ผลดี กับผู้ที่ยังศีรษะล้านไม่มากนัก ส่วนผลข้างเคียงนั้นอาจทำให้ผู้ใช้เกิดอาการระคายเคืองหนังศีรษะ

แต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังเห็นว่า แม้จะมีวิธีการรักษาอาการศีรษะล้านอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่น่าจะได้ผลดีที่สุด น่าจะเป็นการผ่าตัดปลูกถ่ายเซลรากผมนั่นเอง
ที่มา: thaiclinic.com

นิ้วล็อก..ภัยเงียบของทุกคน

|0 ความคิดเห็น
หมอเตือนใช้ “นิ้ว” หิ้วของหนัก-บิดผ้ารุนแรง ระวังเป็นโรค “นิ้วล็อก”
 
 
แพทย์โรงพยาบาลเลิดสิน แนะวิธีป้องกันโรค “นิ้วล็อก” โดยเฉพาะแม่บ้าน อย่าใช้นิ้วเกี่ยวหิ้วของหนักและนาน อย่าบิดผ้าซ้ำๆ อย่างรุนแรง เพราะเสี่ยงปลอกหุ้มเอ็น และเข็มขัดรัดเส้นเอ็นที่นิ้วมืออักเสบ ขาดความยืดหยุ่น แนะใช้ผ้ารองกลางฝ่ามือหิ้วสิ่งของ หากเป็นรุนแรง นิ้วงอเหยียดไม่ออก ควรเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งทำได้ง่าย แผลเล็ก ปลอดภัย ขณะเดียวกันแพทย์ก็เผยด้วยว่า คนกรุงเทพฯ มีอัตราการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่สูงมากขึ้น

     นพ.วิชัย วิจิตรพรกุล แพทย์โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า อาการ “นิ้วล็อก” เป็นความผิดปกติของนิ้วมือ ไม่สามารถเหยียดงอได้ตามธรรมชาติ เกิดจากปลอกหุ้มเอ็นและเข็มขัดรัดเส้นเอ็นที่นิ้วมือขาดความยืดหยุ่น จากการใช้งานมือและนิ้วอย่างหนัก โดยร้อยละ 80 ของผู้ป่วยเป็นผู้หญิง พบมากอายุ 50-60 ปี

     สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคนิ้วล็อก คือ แม่บ้านที่หิ้วถุงพลาสติกจุของหนักๆ เช่น ผลไม้ ซักผ้าด้วยมือแล้วบิดผ้าแรงๆ คนขายของที่หิ้วสินค้าเร่ขาย ช่างตัดเสื้อ ช่างทำผม พนักงานธนาคาร พนักงานพิมพ์ดีด นักกอล์ฟ นักแบดมินตัน หมอฟัน นักเขียน ครู นักวิชาการ นักบัญชี ผู้บริหาร

     ทั้งนี้ หากเป็นในระยะเริ่มแรก ควรพักการใช้งาน แช่น้ำอุ่น ฉีดยาสเตียรอยด์ แต่หากเป็นระยะรุนแรงจนนิ้วติดล็อก เหยียดไม่ออก งอนิ้วไม่เข้า นิ้วแข็งบวม นิ้วโก่งงอ เจ็บปวด รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันตนได้พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดโดยใช้ “เครื่องมือทำฟัน” เจาะรูเล็กๆ ที่มือ เพื่อสะกิดเข็มขัดรัดเส้นเอ็นที่ขาดความยืดหยุ่นให้คลายตัว โดยแพทย์จะฉีดยาชาที่มือ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จ เพราะเป็นการผ่าตัดเล็ก ห้ามแผลถูกน้ำ ใช้มือทำงานได้ตามปกติ หลังจากนั้น 7 วันก็เปิดแผลได้

      นพ.วิชัย กล่าวว่า แนวโน้มพบผู้ป่วยนิ้วล็อกเพิ่มมากขึ้น จึงต้องการรณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยงรู้จักการป้องกัน คือ หลีกเลี่ยงการหิ้วถุงหนักๆ ด้วยการใช้นิ้วมือเกี่ยว ควรให้หูหิ้วอยู่ในฝ่ามือ มีผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดหน้ารอง อย่าหิ้วหนัก และหิ้วนาน ผู้ที่ทำงานเป็นช่าง ทำสวน ขุดดิน ควรใช้ถุงมือ อย่าฝืนใช้มือจนเมื่อยล้า ควรพักเป็นระยะๆ หากเมื่อยอย่าฝืนทำต่อ ครูหรือนักวิชาการอย่าเขียนหนังสือนานๆ ผู้ที่เป็นแม่บ้านอย่าบิดผ้าอย่างรุนแรง เพราะการบิดผ้าบ่อยๆ ทำให้ปลอกหุ้มเอ็นของนิ้วมือเสียความยืดหยุ่น และกลายเป็นนิ้วล็อก นักกอล์ฟควรใส่ถุงมือ มือใหม่หัดเล่นอย่าขยันไดร์ฟกอล์ฟอย่างรุนแรงต่อเนื่อง ควรฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป มิเช่นนั้น นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยมือซ้าย อาจบวมอักเสบ และกลายเป็นนิ้วล็อก

ที่มา : manager

การตรวจสมถภาพการได้ยิน

|0 ความคิดเห็น
การตรวจสมรรถภาพการได้ยิน
การตรวจสมรรถภาพการได้ยิน หรือ Audiography เป็นการตรวจการได้ยินเสียง ณ ความถี่ต่างๆ ตั้งแต่ระดับความถี่เสียงสนทนา จนถึงเสียงเครื่องจักร ซึ่งเป็นความถี่ที่ไม่ได้ยินกันในชีวิตประจำวัน หรือคนทั่วไปที่ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงจะไม่ได้มีโอกาสสัมผัส โดยการตรวจจะนำข้อมูลไปสร้างเป็นกราฟ เรียกว่า ออดิโอแกรม (audiogram) ซึ่งการแปลผลว่ามีสมรรถภาพการได้ยินเป็นอย่างไรนั้นจะดูจากกราฟนี้
การที่เราจะเข้าใจว่าการตรวจสมรรถภาพการได้ยินมีประโยชน์อย่างไรควรทราบถึงกลไกการได้ยินและอันตรายของเสียงดังก่อนดังนี้

กลไกการได้ยินและอันตรายของเสียงดังต่อมนุษย์
คนเราสามารถได้ยินเนื่องจากคลื่นเสียงเคลื่อนที่จากหูชั้นนอก เข้าสู่หูชั้นกลาง แล้วเข้าสู่หูชั้นใน การทำงานของหูในช่วงตั้งแต่ใบหู รูหู กระดูกหูชั้นกลาง จัดเป็นการนำเสียงผ่าน
คอคเคลียอยู่ในหูชั้นใน
เมื่อนำไปส่องกล้องจุลทรรศน์ ภายในจะกลวงและมีเซลล์ขนดังรูป
การที่เซลล์ขนถูกทำลาย ทำให้เกิดหูตึงได้ 2 ลักษณะ คือ
- Acoustic trauma คือ การสูญเสียการได้ยินอย่างฉับพลันเมื่อได้ยินเสียงดังมาก เช่น เสียงระเบิด เสียงปืน ฯลฯ
- Noise induced hearing loss คือ การสูญเสียการได้ยินแบบค่อยเป็นค่อยไป เกิดขึ้นในผู้ที่ทำงานอยู่ในที่ที่มีเสียงดังเป็นเวลานานๆ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ, อุตสาหกรรมเครื่องเรือน, อุตสาหกรรมถลุง
เหล็ก, อุตสาหกรรมเครื่องแก้ว, อุตสาหกรรมเครื่องเหล็ก, โรงเลื่อย, ขับเรือหางยาว, ขับรถสามล้อเครื่อง , ตำรวจจราจร, นักจัดรายการดนตรี
จากการศึกษาวิจัยพบว่า ในกลุ่มคนงานที่ทำงานสัมผัสกับเสียงที่ดังกว่า 85 dBA นาน 8 ชั่วโมง/วัน ติดต่อกันนาน 5 ปี มีโอกาสที่จะทำให้สมรรถภาพการได้ยินเสียไป
อันตรายของเสียงต่อสุขภาพทั่วไป
1) ทำให้การทำงานของระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติ
2) ทำให้สมดุลร่างกายเปลี่ยนแปลงโดยทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าปกติ การเต้นของหัวใจผิดปกติ และการหดตัวของเส้นเลือดผิดปกติ
อันตรายของเสียงต่อความปลอดภัยในการทำงาน
1) ทำให้พฤติกรรมส่วนบุคคลเปลี่ยนแปลง เช่น เชื่องช้าต่อการตอบสนองสัญญาณต่างๆ และเกิดความว้าวุ่นใจในการทำงาน ทำให้การทำงานผิดพลาดจนเกิดอุบัติเหตุได้
2) รบกวนการทำงานทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ลักษณะของเสียงที่พบว่ามีผลต่อการลดประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ได้แก่
    - เสียงดังๆ หยุดๆ เป็นช่วง (Transient noise)
    - เสียงที่มีความถี่สูงกว่า 2,000 Hz.
    - เสียงที่ดังต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน (Continuous noise)
    - เสียงที่มีลักษณะต่างๆ ข้างต้นผสมผสานกัน
3) รบกวนการนอนหลับ ทำให้เกิดความอ่อนเพลียเมื่อปฏิบัติงานอาจเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
4) รบกวนการติดต่อสื่อสาร
ผลกระทบของเสียงดังต่อสุขภาพ
มีหลักฐานชัดเจนเฉพาะในหัวข้อแรก (สูญเสียการได้ยิน)
1. สูญเสียการได้ยิน (Noise Induced Hearing Loss)
  • สูญเสียการได้ยินอย่างเฉียบพลันจากเสียงที่ดังมาก
  • สูญเสียการได้ยินแบบถาวร วัดได้หลายวิธี ที่ใช้บ่อยคือวัดจากการสูญเสียการได้ยินเฉลี่ยในช่วงความถี่ 1, 2, 3 และ 4kHz ถ้าไม่ได้ยินเสียงที่ 25 dB ให้ถือว่ามีความผิดปกติของการได้ยิน การสูญเสียการได้ยินนี้อาจเกิดขึ้นเร็วมาก แต่โดยทั่วไปถ้าสัมผัสเสียงดัง 90 dB(A) TWA การสูญเสียจะเป็นดังนี้
      • ใน 1-2  ปี เสียการได้ยินที่ 4kHz = 10 dB
      • ใน10 ปี เสียการได้ยินระหว่าง 3-6 kHz =20 dB
      • ใน 30 ปี เสียการได้ยิน ระหว่าง 2-6 kHz => 40 dB
      • ผู้สัมผัสเสียงดัง 85 dB(A) เป็นเวลา 40 ปี ก็มีโอกาสสูญเสียการได้ยินได้ประมาณ 8%
      • มีเสียงดังรบกวนในหู (Tinnitus)
  • สูญเสียการได้ยินชั่วคราว Temporary Threshold Shift แม้จะมี TWA ตามตาราง แต่ได้ยินเสียงดังเป็นช่วงๆ   การสูญเสียการได้ยินชั่วคราวนี้อาจกลายเป็นสูญเสียถาวรได้
2. ผลกระทบนอกเหนือจากการได้ยิน ได้แก่
  • ผลกระทบต่ออารมณ์ (Psychological Stress) หงุดหงิด โมโหง่าย
  • กล้ามเนื้อแข็งตึง
  • ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
  • ความดันโลหิตสูง
  • ระบบต่อมไร้ท่อแปรปรวน
  • หัวใจขาดเลือด
    ประเภทของความสูญเสียการได้ยิน      
    ประเภทของความสูญเสียการได้ยิน แบ่งได้ 5 ประเภท ดังนี้

    I. การนำเสียงบกพร่อง (Conductive hearing loss)     ความผิดปกติเกิดขึ้นในหูชั้นนอกและชั้นกลาง แต่ ประสาทหูยังดีอยู่
    อาการ :
         มีของเหลวออกจากช่องหูอาจจะเป็นเลือดหรือหนอง มีประวัติการอักเสบของช่องหูมาก่อน การพูดคุยมักพูดเสียงเบาทุ้มนุ่มนวล การได้ยินจะดีชัดเจนเมื่ออยู่ในที่จอแจแต่ไม่ค่อยดีในที่เงียบๆ มักมี
    ปัญหาในการฟังเสียงขณะเคี้ยวอาหาร บางรายมีเสียงรบกวนในหู (tinnitus) เป็นเสียงต่ำๆ การพูดจาชัดเจนออกเสียงได้ตามปกติ ตรวจการได้ยินพบการสูญเสียในช่วงความถี่ต่ำๆ และมักไม่มากกว่า 60 dBHL
    สาเหตุ
    -โรคหรือความผิดปกติที่หูชั้นนอก : หูพิการตั้งแต่กำเนิด สิ่งแปลกปลอมทำให้เกิดการอุดตันในช่องหู ขี้หูอุดตัน (iผนังช่องหูอักเสบบวม จนช่องหูตีบตัน โรคเนื้องอกในช่องหูชั้นนอก ช่องหูพับลง
    -โรคหรือความผิดปกติที่แก้วหู : มีรูทะลุที่เยื่อแก้วหู แก้วหูอักเสบ เยื่อแก้วหูหนา
    -โรคหรือความผิดปกติในหูชั้นกลาง : มีเลือดออกในหูชั้นกลาง, โรคหูน้ำหนวก (ทั้งชนิดมีน้ำไหลและแห้ง) , โรคหูชั้นกลางมีหินปูนจับแข็ง, ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไวรัส, กระดูก 3 ชิ้นแตกหรือหัก
    II. ประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง (Sensorinural hearing loss)     ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในหูชั้นใน (cochlea) หรือที่ประสาทรับฟังเสียง (acoustic nerve)
    อาการ :
         ถ้ามีการสูญเสียของประสาทหูมากทั้ง 2 ข้างและเป็นเวลานาน เสียงพูดจะดังมากกว่าปกติ เพราะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง มีเสียงรบกวนในหูเป็นเสียงสูงๆ จะฟังเสียงพูดได้ดีเมื่ออยู่ในที่สงบและจะไม่ค่อย
    เข้าใจคำพูดเมื่ออยู่ในที่จอแจ มักไม่ค่อยเข้าใจคำพูดแม้ว่าเสียงพูดนั้นดังถึงระดับการได้ยินปกติแล้วก็ตาม มักมีอาการเวียนศรีษะแบบบ้านหมุนร่วมด้วย ถ้าประสาทหูเสียมากทั้ง 2 ข้าง หรือเป็นมาแต่กำเนิด
    มักจะพูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้ ไม่มีประวัติของการปวดหู หรือมีของเหลวไหลออกจากหู ตรวจการได้ยินพบการสูญเสียในช่วงความถี่สูงๆ
    สาเหตุ
    - ประสาทรับฟังเสียงบกพร่องแต่กำเนิด : ขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์หรือระหว่างคลอด, ติดเชื้อแต่กำเนิดหรือหลังคลอด เช่น ซิฟิลิส หัด หัดเยอรมัน คางทูม สุกใส ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ, การ
    อักเสบของเยื่อหุ้มสมองหรือหูชั้นใน
    - ประสาทรับฟังเสียงบกพร่องจากยา : ผู้ป่วยจะมีการสูญเสียการได้ยินของหูทั้ง 2 ข้างพร้อมๆ กัน ยาบางชนิดทำให้มีอาการชั่วคราว เมื่อหยุดยาการได้ยินอาจกลับคืนมาได้ แต่ยาบางชนิดทำให้มีอาการ
    ถาวรรักษาไม่หาย เช่น kanamycin, streptomycin
    - ประสาทรับฟังเสียงบกพร่องจากเสียงดัง (noise induced hearing loss)
    - โรคที่เกิดจากความผิดปกติเกี่ยวกับปริมาณของของเหลวในหูชั้นใน (Meniere’s disease) ทำให้มีอาการหูอื้อ เวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้อาเจียน และมีเสียงรบกวนในหู อาจเป็นหูเดียวหรือสองหูก็ได้
    อาการของโรคจะเป็นซ้ำๆ กัน มีอาการเป็นๆ หายๆ
    - ประสาทหูพิการจากการจับแข็งของกระดูกในหูชั้นใน
    - ประสาทหูบกพร่องในวัยชรา (Presbycusis hearing loss) ความผิดปกติเกิดขึ้นจากเซลล์ขนที่อยู่บริเวณฐานของก้นหอยในหูชั้นในมีการเสื่อมไปตามอายุ ทำให้การรับฟังเสียงสูงๆ ได้ไม่ดี มักมีเสียงดัง
    ในหูเป็นเสียงสูงๆ ตรวจช่องหูไม่พบสิ่งผิดปกติ มีความผิดปกติของการได้ยินของหูทั้งสองข้าง มักพบในคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป
    - ศีรษะทูกกระทบกระเทือน ทำให้ประสาทรับฟังเสียงบกพร่องเล็กน้อยไปจนถึงระดับรุนแรง
    III. การรับฟังเสียงบกพร่องแบบผสม (Mixed hearing loss)     เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติในระบบการนำเสียงร่วมกับประสาทรับฟังเสียงบกพร่อง พบในโรคที่มีความพิการที่หูชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นในร่วมกัน เช่น โรคหูน้ำหนวกเรื้อรังซึ่งอาการลุกลามเข้าไปในหูชั้นใน โรคหินปูนจับแข็งที่กระดูกโกลน
    IV. ความผิดปกติทางจิต (Functional or Psychological hearing loss )
    V. ความบกพร่องที่สมองส่วนกลาง (Central Hearing Impairment)     สมองไม่สามารถรับและแปลความหมายได้ จึงไม่สามารถเข้าใจความหมายของเสียงที่ได้ยิน เช่น โรคเส้นเลือดในสมองแตก ทำให้ศูนย์การรับฟังไม่สามารถใช้การได้
    การสูญเสียการได้ยินเนื่องจากเสียงดัง  (Noise Induced Hearing Loss)
    1. ประสาทหูผิดปกติเนื่องจากเสียงดังรบกวน
    การสูญเสียความสามารถในการได้ยินชั่วคราว (Temporary threshols shift : TTS)
        เซลล์ประสาทรับการได้ยินมีอาการล้าจากการสัมผัสเสียงดังต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ไม่สามารถแปลสัญญาณการสั่นสะเทือนเป็นคลื่นประสาทได้ เกิดอาการหูตึงชั่วคราว (Audiotory fatigue) อาการหูตึงนี้มักร่วมกับมีเสียงดังในหู (tinnitus) ในกรณีสงสัยว่าจะสูญเสียความสามารถในการได้ยินชั่วคราว ควรให้พนักงานพักจากการฟังเสียงที่ต่ำกว่า70 dBAอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
    การสูญเสียความสามารถในการได้ยินถาวร (Permanent threshold shift : PTH)
        เมื่อผู้ป่วยมีอาการล้าของเซลรับเสียงจนไม่สามารถได้ยินเสียงในระดับปกติ หากยังสัมผัสกับเสียงดังต่อเนื่องอีกก็จะทำให้เซลรับเสียงถูกทำลายอย่างถาวร(Degenerative chang of hair cell)
    - ในระยะแรกการสูญเสียการได้ยินจะเริ่มเสียที่ช่วงความถี่ของเสียง 3,000 – 6,000 Hz. และจะพบเสมอว่าจะเสียที่ความที่ของการได้ยินที่ 4,000 Hz. ก่อนความถี่อื่นๆ
    - เริ่มมีเสียงดังรบกวนในหู ความไวของหูในการรับเสียงลดลง แต่พอเลิกงานไม่ได้อยู่ในที่ที่มีเสียงดังจะรู้สึกว่าการได้ยินดีขึ้น อาจมีอาการปวดหูหรือเวียนศรีษะร่วมด้วย
    - เมื่อทำงานในที่มีเสียงดังเป็นระยะเวลานานๆจะมีการสูญเสียการได้ยินไปทีละน้อย โดยไม่รู้สึก ตัว จนลุกลามไปถึงช่วงความถี่ของการพูดคุย (500     – 2,000 Hz.) ทำให้การรับฟังเสียงคำพูดไม่เข้าใจ
    ถ้าผิดปกติมากจะไม่ทราบทิศทางของเสียงที่ได้ยิน
    - ตรวจภายในช่องหูไม่พบสิ่งผิดปกติ ตรวจวัดการได้ยินด้วยเครื่องตรวจวัดการได้ยิน จะได้กราฟลักษณะเส้นประสาทหูผิดปกติ (ดังรูป)
    2. ประสาทหูผิดปกติเนื่องจากมีเสียงดังมาก ๆ
        1) หูอื้อทันทีหลังจากได้รับเสียงดัง
        2) มีเสียงดังในหูตลอดเวลา
        3) มักฟังคำพูดเข้าใจดี เนื่องจากการได้ยินไม่เสียที่บริเวณความถี่ของการพูดคุย
        4) เมื่อตรวจวัดการได้ยินพบว่ามีลักษณะความผิดปกติ
        5) ตรวจภายในช่องหูพบว่า ช่องหูชั้นนอกปกติ แต่อาจมีแก้วหูทะลุร่วมด้วย
    การตรวจสมรรถภาพการได้ยิน    
    กลุ่มคนที่ควรได้รับการตรวจสมรรถภาพการได้ยิน    คนงานใหม่ต้องได้รับการทดสอบการได้ยินก่อนการรับเข้าทำงาน หรือภายใน 6 เดือนแรก ที่สัมผัสเสียงเฉลี่ย 8 ชั่วโมงที่ระดับ 85 dBA หรือสูงกว่า อย่างน้อยเป็นประจำทุกปี
    การตรวจหูและประเมินการได้ยิน
    1) Otoscopy การตรวจโดยใช้โอโตสโคป ดูสภาพภายในช่องหูชั้นนอก และเงาของช่องหูชั้นกลาง เพื่อตรวจดูสภาวะการอักเสบภายใน
    2) การตรวจการได้ยินโดยใช้ส้อมเสียง (tuning-fork) ใช้เพื่อทดสอบการได้ยินอย่างคร่าวๆ ทราบผลได้อย่างรวดเร็ว มีวิธีการตรวจ 2 วิธี คือ
        - Weber test แยกการนำเสียงพร่องกับประสาทรับฟังเสียงพร่อง ในผู้ที่หูเสีย 1 ข้าง โดยการเคาะส้อมเสียงแล้ววางไว้ที่แนวกลางของศีรษะ
        - Rinne test เพื่อเปรียบเทียบการนำเสียงทางอากาศ(AC) กับ การนำเสียงทางกระดูก(BC) ในหูข้างเดียวกัน โดยวางส้อมเสียงไว้ที่หน้าใบหูและที่หลังใบหูบริเวณกระดูก Mastoid
    3) การตรวจการได้ยินด้วยเครื่อง Audiometer เป็นการตรวจวัดระดับความดังเสียงต่ำสุด ที่ผู้เข้ารับการตรวจสอบสามารถได้ยินที่ความถี่ต่างๆ
    วิธีการตรวจหาระดับการได้ยิน
    1) Routine Audiometry เป็นการทดสอบที่ทำเป็นประจำในคลินิค เพื่อการวินิจฉัยโรค หรือติดตามผลการรักษา
        ก. Puretone Air Conduction (AC) คือการตรวจวัดการได้ยินโดยการนำเสียงทางอากาศ
        ข. Puretone Bone Conduction (BC) คือการตรวจวัดการได้ยินโดยการนำเสียงทางกระดูก
        ค. Speech Audiometry คือการวัดการได้ยินโดยใช้คำพูด
    2) Masking Audiometry คือการวัดการได้ยินเสียงโดยวิธีระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้เสียงที่ตรวจในหูข้างหนึ่งข้ามกระโหลกศรีษะมายังหูอีกข้างหนึ่ง โดยใช้เสียงรบกวนปล่อยเข้าไปรบกวนหูด้านที่ดีขณะ
    ที่กำลังตรวจวัดหูอีกข้างหนึ่ง
    3) Special Audiometer เป็นการทดสอบพิเศษนอกเหนือไปจากการทดสอบประจำในคลินิกเพื่อหาโรคหรือความผิดปกติของหู
    เทคนิควิธีการตรวจการได้ยิน
    1) Descending Technique โดยการปล่อยระดับเสียงที่ดัง เพื่อให้ผู้ถูกทดสอบได้ยินก่อนแล้วค่อยๆลดความดังลงทีละน้อย ทีละ 10 dBHL จนถึงจุดหนึ่งที่ผู้ถูกทดสอบไม่ได้ยินเสียง ให้เพิ่มระดับเสียงจากจุดที่ไม่ได้ยิน ทีละ 5 dBHL หากไม่ได้ยินก็ให้เพิ่มอีก 5 dBHL จนเริ่มได้ยิน แล้วลดลงไปอีก 10 dBHL เมื่อแน่ใจว่าผู้ถูกทดสอบได้ยินแน่ชัดที่จุดนั้นๆ ให้ลดลง 10 dBHL อีกครั้ง ถ้าไม่ได้ยิน ให้เพิ่มขึ้น 5 dBHL ทำกลับไปกลับมาจนได้จุดที่ผู้ถูกทดสอบได้ยินใดยใช้ระดับเสียงเบาที่สุดที่ผู้ถูกตรวจสามารถตอบสนองได้ร้อยละ 50 ถึง 70 ของจำนวนครั้งที่ให้สัญญาณ จุดนั้นคือ hearing threshold
    2) Ascending Technique ใช้ในกรณีที่ผู้ถูกทดสอบอายุน้อย หรือหูหนวกมากๆ รวมทั้งผู้ที่ไม่แน่ใจว่าจะแสร้งทำเป็นหูหนวกหรือไม่ วิธีนี้เริ่มจากความตั้งใจที่ผู้ถูกทดสอบไม่ได้ยินก่อน แล้วเพิ่มความดังทีละ 10 dBHL จนถึงจดที่ผู้ถูกทดสอบเริ่มได้ยินเสียงเบาที่สุด แล้วลดเสียงลง 5 dBHL ทำกลับไปกลับมาจนได้จุดที่ผู้ถูกทดสอบได้ยินเสียงบ้างไม่ได้ยินเสียงบ้าง จุดนั้นคือ hearing threshold
    3) Combination Technique ใช้วิธีผสมระหว่างวิธีที่ 1 และที่ 2 โดยใช้ระดับเสียงดัง-เบาสลับกันไป
    การเตรียมผู้ถูกทดสอบ
        ก่อนตรวจผู้ถูกทดสอบควรงดรับฟังเสียงดังเกิน 80 dBA เป็นเวลา 8 - 16 ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดหูตึงแบบชั่วคราว(TTS) หากไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ ต้องสวมใส่ที่ครอบหูลดเสียงตลอดเวลาที่
    สัมผัสเสียงก่อนการทดสอบ
    การตรวจการได้ยินโดยการนำเสียงผ่านทางอากาศ (AC)
    1) ให้ผู้ถูกทดสอบนั่งในห้องที่มีระดับเสียงในห้องตามมาตรฐานกำหนดไม่เกิน 40 dA ในทุกความถี่
    2) อธิบายให้ผู้ถูกทดสอบเข้าใจถึงเสียงสัญญาณที่จะได้ยิน และการกดสวิทซ์สัญญาณตอบรับ
    3) ให้ผู้ถูกทดสอบนั่งหันหลังให้ผู้ทำการทดสอบและใช้ head phone สีแดงครอบที่หูขวา สีน้ำเงินครอบที่หูซ้าย
    4) การสอบถามผู้ถูกทดสอบ และทำการทดสอบในหูข้างที่ดีก่อน เริ่มทดสอบ hearing threshold ที่ความถี่ 1,000 Hz. แล้วหาต่อไปที่ 2,000 3,000 4,000 6,000 และ 8,000 Hz. แล้วกลับมาทดสอบซ้ำที่ 1,000 Hz.
    ใหม่ แล้วหาต่อไปที่ 500, 250 Hz. ตามลำดับ
    5) ทำการตรวจการได้ยินของหูอีกข้างตามวิธีข้างต้น
    หมายเหตุ
    - หาก hearing threshold ที่ความถี่ 2 ความถี่ ต่างกันเกินกว่า 20 dBHL เช่น ที่ความถี่ 1,000 กับ 2,000 ต่างกัน 25 dBHL ก็ควรหา hearing threshold ที่ความถี่ 1,500 Hz. ด้วย
    - ถ้าพบว่าการได้ยินของหูทั้งสองข้างต่างกันเกิน 30 dBHL จากการตรวจแบบ AC หรือพบว่าหูข้างเดียวกันมีค่า BC ดีกว่า AC เกินกว่าหรือเท่ากับ 15 dBHL ควรใส่เสียงกลบรบกวน (masking : narrow band
    noise) ในหูข้างที่ดีกว่าหรือด้านตรงข้ามกับที่กำลังตรวจอยู่ เพื่อป้องกันการได้ยินเสียงจากหูข้างที่ดีกว่า
    การบันทึกผลการตรวจ
        ให้ใช้เครื่องหมายสำหรับการบันทึกผลการตรวจการได้ยินตามหลักสากลนิยม ดังนี้
    การตรวจการได้ยินโดยการนำเสียงผ่านทางอากาศ
    ใช้เครื่องหมาย O สีแดง สำหรับหูข้างขวา X สีน้ำเงิน สำหรับหูข้างซ้าย การลากเส้นใช้เส้นทึบ
    การตรวจการได้ยินโดยการนำเสียงผ่านทางกระดูก
    ใช้เครื่องหมาย < สีแดง สำหรับหูข้างขวา > สีน้ำเงิน สำหรับหูข้างซ้าย การลากเส้นใช้เส้นประ
    ตรวจไปเพื่ออะไร? เป็นการตรวจเพื่อเฝ้าระวังว่ามีการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินจากการทำงานหรือไม่ ซึ่งจะเกิดกับบุคลากรที่ต้องสัมผัสหรือทำงานในที่ที่มีเสียงดัง ซึ่งเป็นการกระตุ้นเตือนให้รักษากฎของความปลอดภัยในการทำงานเสมอ
    นอกจากนี้ยังเป็นการตรวจเพื่อค้นหาผู้ที่มีความผิดปกติในการได้ยินในระดับที่เป็นมาก เช่น หูตึงมาก หรือหูตึงรุนแรง เพื่อช่วยในการรักษา ตลอดจนดูแลให้ใช้เครื่องช่วยการได้ยิน เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิต
    ที่ดีขึ้นต่อไป
     
    ผลการตรวจ อาศัยการแปลผลจากกราฟ โดยจะผลการตรวจจะมี 2 ส่วน คือ
    1. ระดับการได้ยิน
    2. มีความผิดปกติในช่วงคลื่นเสียงความถี่สูงหรือต่ำร่วมด้วยหรือไม่
    โดยผลการตรวจจะแบ่งเป็นระดับดังนี้
    ผู้ที่มีหูตึง
    ในกรณีที่เป็นเล็กน้อยถึงปานกลาง อาจทำให้เสียบุคลิกบ้าง ควรใส่เครื่องป้องกันทุกครั้งที่เข้าสู่ที่บริเวณที่มีเสียงดัง หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อระบบประสาทหู สำหรับผู้ที่มีหูตึงในระดับมากหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ทางหู-คอ-จมูก เพื่อพิจารณาว่ามีความจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยการได้ยินหรือไม่
    ผู้ที่มีระดับการได้ยินปกติแต่มีความผิดปกติของการได้ยินที่ความถี่สูง (หรือความถี่ต่ำ) ร่วมด้วย
    หมายความว่าการได้ยินของท่านเป็นปกติดี ท่านสามารถพูดคุย สื่อสารในชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ แต่ระดับการได้ยินนั้นเริ่มมีการสูญเสียที่ความถี่สูง (หรือต่ำ) ซึ่งไม่ใช่เสียงที่คนเราพูดคุยกัน มักเป็นเสียงเครื่องจักร, โลหะ, เสียงนาฬิกา เป็นต้น ส่วนใหญ่มักเกิดจากได้รับเสียงดังๆ เป็นเวลานาน
    เกณฑ์การประเมินและการแบ่งระดับความบกพร่องของการได้ยิน
         โรคหูตึงจากการประกอบอาชีพ หมายถึง โรคหูตึงเนื่องจากฟังเสียงดังในการทำงานจนประสาทหูเสื่อม อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการภาพบันทึกการได้ยิน (audiogram) ต้องมีลักษณะเป็นรูปอักษรV ที่บริเวณ 4,000 เฮิร์ตซ์ (3,000 - 6,000 Hz) และมีระดับการได้ยินเกิน 25 dBHL
    การแบ่งระดับความบกพร่องของการได้ยิน      จะพิจารณาจากค่า AC เท่านั้น โดยใช้ค่าเฉลี่ยของระดับการได้ยินที่สำคัญสำหรับการรับฟังเสียงพูด คือ 500, 1000, และ 2,000 Hz. มาคิดคำนวณ
         หากค่าเฉลี่ยของการได้ยินในหูทั้ง 2 ข้าง มีค่าแตกต่างกันมากกว่า 25 dBHL ให้บวกอีก 5 dBHL เข้ากับการได้ยินในหูข้างที่ดีกว่านั้น แล้วพิจารณาค่าที่บวกได้ใหม่กับเกณฑ์ประเมิน ตัวอย่างเช่น ค่าเฉลี่ย
    ในหูขวาเท่ากับ 35 dBHL หูซ้ายเท่ากับ 65 dBHL ต่างกันเกิน 25 dBHL ต้องบวก 5 dBHL เข้ากับค่าเฉลี่ยการได้ยินของหูขวาเป็น 40 dBHL ความพิการของหูเป็นระดับหูตึงปานกลาง
     จะต้องทำอย่างไรต่อไป?
    ระดับการได้ยินนั้นเมื่อสูญเสียแล้ว ไม่สามารถแก้ไขให้กลับมาดีดังเดิม หนทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เป็นมากไปกว่าเดิม นั่นคือการใส่เครื่องป้องกันเสียงดังทุกครั้งเมื่อเข้าสู่บริเวณที่มีเสียงดัง ปฏิบัติตามกฏแห่งความปลอดภัยอย่าง
โมเลกุลของอากาศ ซึ่งจะส่งต่อไปยังหูชั้นกลาง
ในหูชั้นกลางจะมีกระดูกหู 3 ชิ้นส่งคลื่นเสียงเข้าไปสู่หูชั้นใน ที่กระดูกนี้จะมีกล้ามเนื้ออยู่ซึ่งเมื่อมีเสียงดังมากเกินไปผ่านเข้ามา ร่างกายจะมีกลไกป้องกันโดยให้กล้ามเนื้อนี้จะหดตัวอัตโนมัติช่วยจะลดระดับเสียงที่จะผ่านเข้าไปสู่หูชั้นในได้ประมาณ 30 – 40 dB
ที่หูชั้นใน จะมีอวัยวะรูปก้นหอยเรียกคอคเคลีย(Cochlea) ภายในกลวงบรรจุของเหลวไว้ พื้นของคอคเคลียจะบุด้วยเซลล์ขน(Hair cell) ซึงทำหน้าที่รับความรู้สึกสั่นสะเทือนแปลงเป็นคลื่นประสาทส่งไปสมองเพื่อแปลความหมายของเสียงที่ได้ยิน การนำคลื่นเสียงจากอากาศมาสู่หูชั้นกลางเรียกว่า Conductive Function และการนำคลื่นเสียงจากการสั่นสะเทือนแล้วแปลเป็นกระแสประสาทเพื่อส่งไปรับรู้ที่สมองจะเรียกว่า Sensorineural Function ตัวเซลล์ขนนี้จะมีความยาวไม่เท่ากันและมีความจำเพาะเจาะจงต่อความถี่ใดความถี่หนึ่ง ถ้าเสียงดังมาก เกินกว่าการป้องกันโดยธรรมชาติของร่างกายคือถ้ามีระดับความเข้มของเสียงสูงกว่า 85 dB เมื่อคลื่นเสียงเดินทางมาถึงเซลล์ขนจะทำให้มีการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานติดต่อกัน เซลล์ขนจะไม่สามารถปรับสภาพคืนสู่ปกติ และหลุดร่วง
ไป ก็จะเกิดการขาดช่วงการเดินทางของเสียงที่ไปยังสมอง เกิดการสูญเสียการได้ยินขึ้น และก็จะเป็นเฉพาะความถี่ของเสียงดังนั้นๆ 

อันตรายจากการให้เด็กอยู่หน้าคอมคนเดียว

|0 ความคิดเห็น
อันตรายจากการให้เด็กอยู่หน้าคอมคนเดียว


ผู้เชี่ยวชาญเตือนการให้เด็กเล่นคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังเล็กอาจจะไม่ดีเสมอไป

อแมนด้า คันนิ้งแฮม เริ่มให้ลูกสาวของเธอหันใช้คอมพิวรีเดอร์ แรบบิท ( Reader Rabbit ) รวมทั้งให้ดูเว็บไซต์เด็ก ๆ อย่างเช่น เซซามี สตรีท ซึ่งก็เหมือนกันพ่อแม่คนอื่น ๆ อีกหลายคน เธอรู้สึกภาคภูมิใจ ที่มาดิลิน ลูกสาวของเธอ สามารถใช้เมาส์ ตั้งแต่ยังเล็ก
 

ต่เมื่อไม่นานมานี้ คันนิ่งแฮม เริ่มรู้ว่า มาดิลีน ซึ่งปัจจุบัน อายุ 4 ขวบแล้ว ไม่ได้เรียนรู้อะไรมากมายนัก เธอก็แค่คลิ๊ก ๆ ลาก ๆ เมาส์ แล้วก็เล่นเกมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ คันนิ่งแฮม มีลูกชายอีกคนวัน 1 ขวบ ชื่อว่า ไลแอม และเธอจะไม่เร่งรัดให้ลูกชายของเธอเรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์อีกแล้ว

คันนิ่งแฮม บอกว่า เธอไม่เห็นประโยชน์จากการเริ่มให้ลูกใช้คอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งคันนิ่งแฮทนั้น ในอดีต เธอเป็นครู ปัจจุบันนี้ มาพัฒนาซอฟต์แวร์การอ่าน ให้กับเด็กในวัยประถม

ปัจจุบันนี้ มีเว็บไซต์ และซอฟต์แวร์สำหรับเด็กจำนวนมาก ออกมาวางจำหน่าย ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กวัยหัดเดิน อย่างเว็บไซต์ Niggin.com ก็จะมีเกมทาสี สำหรับเด็กวัยก่อนเรียน นอกจากนั้น ยังมีวีดีโอเกม มือถือ สำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไป ในขณะที่บริษัท คิทซ์เมาส์ (KidzMouse) ก็ได้ผลิตเมาส์ตัวเล็ก ๆ ที่เหมาะกับมือเด็ก
แต่ขณะนี้ เริ่มมีการโต้เถียงกันมากว่า เด็กสมควรจะเรียนรู้เทคโนโลยีกันแต่ตั้งเล็ก ๆ หรือไม่ พ่อแม่ และโรงเรียนบางแห่ง เริ่มมองว่า ไม่มีประโยชน์ และยังเตือนอีกว่า การเร่งรัดนั้นยังไปขัดขวางพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็ก
เจน เอ็ม เฮียลี่ ผู้เขียนหนังสือ Failure to Connect : How computer effect our children mind บอกว่า ความฉลาดในทางอารมณ์ ที่จะได้รับการพัฒนามาจากโลกสามมิติ หรือโลกแห่งความเป็นจริง ในช่วงอายุที่สามารถจะจัดการกับจิตใจของตนเองนั้น ไม่ควรจะถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์

เฮียลี่ กล่าวว่า คอมพิวเตอร์ พรากเด็ก ๆ ไปจากกิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาสมองของพวกเขา อีกทั้งมันยังเข้าไปเป็นงานอดิเรกง่าย ๆ สำหรับครอบครัว

จากการสำรวจของ ไคเซอร์ แฟมิลี่ ฟาวเดชั่น (Kaiser Family Foundation)ในปี 2003 พบว่า ร้อยละ 31 ของเด็กอายุ 3 ขวบ และต่ำกว่านั้น สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้แล้ว ร้อยละ 16 ใช้คอมพิวเตอร์อาทิตย์ละหลายชั่วโมง ร้อยละ 21 สามารถชี้ และคลิ๊กเมาส์ได้ด้วยตัวเอง และร้อยละ 11 สามารถเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เองได้โดยไม่ต้องมีใครช่วย

เฮียลี่ แนะนำว่า เด็ก ๆ ควรจะอยู่ห่าง ๆ คอมพิวเตอร์เอาไว้ จนอายุ 7 ขวบ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญรายอื่น ๆ บอกว่า 3 ก็สามารถจะเริ่มเรียนรู้ได้ ส่วน American Academy of Pediatrics แนะนำว่า ไม่ควรให้เด็กนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะอายุได้ 2 ขวบ เพราะมันจะทำให้เด็กไม่ได้รับการกระตุ้นในเรื่องต่าง ๆ เพราะมันแต่พูดกับจอภาพ และก็ไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ

ทางด้านผู้สนับสนุนเทคโนโลยีบอกว่า เรื่องแบบนี้ ต้องใช้จิตสำนึก

เดวิด อัลไคน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการของเด็ก จาก Tufts University กล่าวว่า เราตระหนักดีว่า เด็ก จะมีพัฒนาการที่มาก เกี่ยวกับเวอร์ชัล เซนซ์ (Virtual sense) ด้วยการสัมผัสและเสียง ซึ่งเด็กจะขาดทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้พวกนี้ไป หากให้เด็กได้สัมผัสกับเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเล็กมาก

ปีเตอร์ กรานวาล์ด ที่ปรึกษาบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับเด็กกล่าวว่า เด็กต้องการความสมดุลระหว่างประสบการชีวิตและประสบการณ์สร้างเสริม ในอีกแง่หนึ่ง อย่าไปบังคับให้เด็กเรียนรู้เทคโนโลยี อย่าผลักดันให้เด็กไปอยู่กับพี่เลี้ยงเมื่อคุณจะทำอาหาร ใช้จิตสำนึกของตัวคุณเอง คอมพิวเตอร์สามารถที่จะช่วยพัฒนาในเรื่องของการใช้มือ และตา ควบคู่ไปกับทักษะด้านอื่น ๆ

ยอง ซีโฮ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการศึกษาจาก Michigan State University บอกว่า เขาซื้อเครื่องไอแมคให้ลูกสาว ในวันเกิดอายุ 1 ขวบของเธอ ซึ่งเธอก็ได้แต่ทุบคีย์บอร์ด จนปัจจุบันนี้ เธอรู้ว่าจะทุบตรงไหนเพื่อให้หน้าจอเปลี่ยน

เด็กเล็ก ๆ ควรจะมีผู้คอยให้คำแนะนำในขณะที่ใช้คอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเว็บ หรือว่าการใช้อินเทอร์เน็ต หากว่าเริ่มเร็วเกินไป มันจะไปเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการใช้เวลาร่วมกันของพ่อแม่ และเด็ก

จิม โรบินสัน ผู้จัดทำเว็บไซต์ Kneebouncers.com กล่าวว่า ในทำนองเดียวกัน เมื่อเด็กเล็ก ๆ เริ่มที่จะเดิน เขาจะเดินตามแม่เข้าครัว เห็นแม่หยิบกระทะออกจากตู้ก็จะหยิบบ้าง เขาเห็นพ่อแม่ทำอะไร ก็อยากจะทำบ้าง และถ้าหากกิจกรรมที่เด็กเห็น คือการใช้คอมพิวเตอร์ เด็กก็จะอยากทำบ้าง ในเว็บไซต์ของเขา มีเกมหลายอย่าง ที่เน้นการให้พ่อแม่มีส่วนร่วมเล่นกับลูก ซึ่งที่ผ่านมาเขาเคยได้รับอีเมลจากผู้ปกคอรงของเด็กอายุไม่ถึง 5 เดือนด้วยซ้ำ ที่เขียนมาขอบคุณเขา

งานวิจัยช้ากว่าการตลาด

นอกจากที่บ้านแล้ว คอมพิวเตอร์ ยังได้รุกคืบเข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็ก และโรงเรียนเตรียมอนุบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นยิ่งเป็นการผลักดันให้พ่อแม่เร่งซื้อหาคอมพิวเตอร์มาให้ลูก ให้เร็วที่สุดเรียกได้ว่าตั้งแต่แรกเกิด เพ็กกี้ เมสซาโรส ผู้อำนวยการของสถาบันวิจัยด้านเทคโนโลยีและผลกระทบต่อเด็ก แห่งรัฐเวอร์จิเนีย กล่าวว่า พ่อแม่ในปัจจุบันนี้ ทำผิด ด้วยการผลักให้เด็กเร่งใช้คอมพิวเตอร์ เพราะกลัวว่าจะไม่ทันเพื่อน แต่ถ้าหากพ่อแม่ได้มีโอกาสคุยกับครู ก็จะรู้ว่า เด็ก ๆ สามารถจับเมาส์ และใช้คีย์บอร์ดได้เร็วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องเร่งให้ใช้ตั้งแต่ยังเล็กมาก

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ ยังต้องมีการศึกษาวิจัยกันต่อเนื่องไปอีก
ขอบคุณ ข้อมูล Thaiclinic.com

พัฒนาการทารกในครรภ์

|0 ความคิดเห็น
พัฒนาการทารกในครรภ์

เดือน1     หลังจากที่อสุจิกับไข่ผสมกันกลายเป็นเซลล์ตัวอ่อนงอกอยู่ในเยื่อบุโพลงมดลูกจากเพียง 1 เซลล์ เพิ่มจำนวนเป็น 150 เซลล์ภายใน 7 วัน ตัวอ่อนเจริญเติบโตได้โดยอาศัยหลอดเลือดของแม่เป็นตัวลำเลียงออกซิเจนและ สารอาหารผ่านเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ตัวอ่อน ส่งผ่านของเสียต่างๆผ่านเข้าสู่ระบบ
*** พออายุ 5 สัปดาห์ลูกจะมีลำตัวยาว 7 มิลลิเมตร ขนาดเท่าเมล็ดถั่ว

  เดือน2     ทารกเริ่มมีลักษณะรูปร่างชัดเจนขึ้น มีส่วนหัวโตกว่าส่วนอื่นๆ รูปหน้า มือและเท้า ปรากฎให้เห็น กล้ามเนื้อเริ่มเติบโต มีขนงอก ช่วงปลายเดือนถ้าอัลตราซาวด์จะเห็นการเคลือนไหวและจับการเต้นหัวใจได้ รวมทั้งมองเห็นสายรก ซึ่งรกนี้ทำหน้าที่แทนอวัยวะทารกที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ เช่น ทำหน้าที่เป็นปอดแลกเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์กับออกซิเจนจากแม่ ทำหน้าที่เป็นลำไส้โดยดูดสารอาหารจากเลือดแม่ ทำหน้าที่เป็นไตกรองของเสียทำหน้าที่แทนตับโดยเก็บธาตุเหล็กจากเม็ดเลือดแดงของแม่ และทำหน้าที่เป็นต่อมไร้ท่อ เพื่อสร้างฮอร์โมน
 เดือน3     ทารกมีลักษณะคล้ายมนุษย์มากขึ้น ตัวลอยอยู่ในน้ำคร่ำภายมดลูก ซึ่งน้ำคร่ำนี้เองทำหน้าที่ปกป้องและห่อหุ้มทารกไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน ตัวทารกเริ่มมีนิ้วมือนิ้วเท้าขึ้นมาในสภาพติดกันแล้วค่อยแยกออก ช่วงกลางเดือน หัวใจจะเป็นรูปเป็นร่างเต็มที่ เห็นหูชัดเจนตอนปลายเดือนอวัยวะสำคัญ เช่น อวัยวะเพศ จะเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมา แต่ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นเพศไหน สิ่งที่คุณแม่พึงระมัดระวังคือ ช่วง 3 เดือนแรกนี้ มีอัตราเสี่ยงในการแท้งค่อนข้างสูง ต้องดูแลตัวเองอย่างมาก และระมัดระวังเรื่องยาที่รับประทาน ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ก่อน

  เดือน4     ตอนนี้อวัยยวะภายในของทารกเริ่มสมบูรณ์ขึ้นมาก เล็บก็เริ่มงอกแล้ว แต่ตัวยังผอมเพราะยังไม่มีชั้นไขมัน ช่วงปลายเดือนเริ่มมีเส้นขนละเอียดขึ้นทั้งตัว ผิวบางจนมองเห็นเส้นเลือด เมื่อตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน รกมีขนาดโตมากขึ้นจากช่วงแรกซึ่งใหญ่กว่าตัวอ่อนเพียงเล็กน้อย สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น เริ่มมีไตที่ทำงานได้เหมือนผู้ใหญ่ นอกจากนี้ทารกยังมีจำนวนเส้นประสาทและกล้ามเนื้อมากกว่าเดือนที่แล้วถึง 3 เท่า สามารถเตะ งอนิ้วมือนิ้วเท้า กลอกตาได้อวัยวะเพศพัฒนามากขึ้นจนสามารถบอกได้ว่าเป็นเพศใด
*** จาก 18 สัปดาห์ เป็นต้นไป เสียงดังๆจะทำให้ลูกในท้องสะดุ้ง

 เดือน5     ทารกเจริญเติบโตเร็วมาก ลำตัวยาว 9 นิ้ว ร่างกายผลิตสารสีขาวข้นที่เรียกว่า เวอร์นิกซ์ ขึ้นมาเคลือบเพื่อปกป้องผิวเส้นผม คิ้วและขนตาเริ่มงอกเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัส คือ รับรู้รส ได้กลิ่น และได้ยิน ตายังปิดอยู่แต่รับรู้แสงสว่างจ้าได้ ดังนั้นเวลาคุณพูดแกจะได้ยิน หรือเวลาที่คุณลูบท้องแกก็จะรู้สึกเช่นกันตอนนี้ทารกเริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้น บิดตัว เตะเท้าอยู่ในถุงน้ำคร่ำ เวลาโก่งหรือขยับตัว แม่จะรู้สึกได้ เพราะท้องของแม่จะนูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วงปลายเดือนทารกยังเริ่มถ่ายปัสสาวะลงสู่น้ำคร่ำอีกด้วย
  เดือน6     ร่างกายของทารกเริ่มเติบโตช้ากว่าเดิมเพื่อให้อวัยวะภายใน เช่น ปอด ระบบย่อยอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันได้พัฒนาอย่างเต็มที่ ที่น่าอัศจรรย์คือทารกสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวทำให้คุณแม่รู้สึกได้โดยเฉพาะตอนนอนพักทารกสามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้น เสียงพูด เสียงดนตรี และสามารถตอบสนองการกระตุ้นของแม่ เช่น ถ้าแม่ขยับตัวเร็วจะดิ้นตอบ ร่างกายทารกเริ่มมีเนื้อมีหนังมากขึ้น เพราะมีไขมันมาสะสมที่ชั้นใต้ผิวหนัง ถ้าทารกคลอดออก มาตอนนี้ อาจมีโอกาสรอดชีวิตได้
*** ตอนอายุ 20 สัปดาหื ลูกเริ่มสะอึกเป็น และคุณแม่ก็รู้สึกได้ด้วย พอเข้าสู่สัปดาห์ที่ 26 ลูกจะเริ่มจำเสียงคุณแม่ได้

 เดือน7     ทารกในครรภ์เติบโตขึ้นมาก จนไปกดอวัยวะต่างๆในช่องท้องแม่ เปลือกตาเริ่มเปิด และนัยน์ตาพัฒนาไปมากจนมองเห็นแสงที่ผ่านมาทางหน้าทองแม่ได้ เสียงดังๆทำให้ทารกเคลื่อนไหว และการเต้นของหัวใจเปลี่ยนไปตามเสียงและแสงไฟ ต่อมรับรสของทารกพัฒนาไปมาก ถึงขนาดสามารถแยกรสหวานกับรสเปรี้ยวได้ แต่ดูเหมือนทารกจะติดใจในรสหวานมากกว่า ถ้าทารกคลอดออกมาตอนนี้จะมีโอกาศรอดค่อนข้างสูง เพราะอวัยวะสำคัญทั้งหลาย(ยกเว้นปอดที่ยังทำงานได้ไม่เต็มที่นัก) ทำงานเป็นระบบมากขึ้นสมองเติบโตมากขึ้น ร่างกายเจริญเติบโตได้สัดส่วนมากขึ้น
  เดือน8     ทารกตัวโตมากขึ้นจนแน่นท้องคุณแม่ โดยเฉลี่ยน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 กก. มีไขมันมากขึ้นจนดูเหมือนทารกแรกเกิด การทำงานของอวัยยวะต่างๆ ประสานงานกันได้ดีขึ้น อาจอยู่ในท่ากลับหัวพร้อมที่จะคลอด แต่ขยับตัวน้อยลง เพราะพื้นที่ในท้องแม่ดูจะน้อยเกินไปเสียแล้ว น้ำดีและน้ำคร่ำที่ทารกกลืนเข้าไปจะสะสมอยู่ในลำไส้ของทารกไปจนถึงคลอด ซึ่งทารกจะถ่ายของเสียนี้ออกมาเป็นอุจจาระสีเขียวแก่ เรียกว่าขี้เทา ช่วงหนึ่งเดือนก่อนคลอดคุณแม่อาจมีอาการมดลูกบีบรัดตัวซึ่งเป้นอาการที่เรียกว่า เจ็บท้องหลอก การหดตัวรัดตัวนี้ก็เพื่อดันตัวทารก มาประชิดปากมดลุกเพื่อเตรียมพร้อมที่จะคลอดออกมานั่นเอง
เดือน9     ในเดือนนี้ทารกมีน้ำหนักเฉลี่ยมากกว่า 3 กก. ขึ้นไปมีชั้นไขมันหนาทำให้ดูอ้วนกลมและเก็บไว้เป็นพลังสำรองหลังคลอด ปอดทำงานได้ดี อยู่ในท่ากลับหัวเชิงกราน หัวจะกดปากมดลูกทำให้เปิดออก ช่วยให้คลอดง่ายขึ้น จากนั้นหัวจะหมุนผ่านอุ้งเชิงกานแม่ออกมา ดังนั้นคุณแม่อาจคลอดตอนไหนก็ได้ในช่วงนี้ ทารกส่วนใหญ่จะคลอดตามกำหนดหรือช้าไป 2 สัปดาห์หลังกำหนด ถ้าช้ากว่านี้แพทย์อาจต้องเร่งคลอดเพราะออกซิเจนและสารอาหารจากรกที่ทารกเคยได้รับ เริ่มเพียงพอเสียแล้วเมื่อเทียบกับความต้องการของทารก
*** ลูกจะยังไม่มีฟันงอกออกมาจนกว่าจะอายุ 4 เดือน แต่มีฟันก่อตัวอยู่ในขากรรไกรเรียบร้อยแล้ว รอแค่เวลาโผล่ขึ้นมาเท่านั้นเอง

ข้อมูลจากนิตยสาร MOTHER&BABY


การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน (Brain-based Learning)

|0 ความคิดเห็น
การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน (Brain-based Learning)

สำหรับเด็กปฐมวัย

            ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของมนุษย์คือ  แรกเกิดถึง 7 ปี  หากมาส่งเสริมหลังจากวัยนี้แล้วถือได้ว่าสายเสียแล้ว เพราะการพัฒนาสมองของมนุษย์ในช่วงวัยนี้จะพัฒนาไปถึง 80 % ของผู้ใหญ่  ครูควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของเด็ก  ให้เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่น  เรียนรู้อย่างมีความสุข  จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม  ดูแลด้านสุขนิสัยและโภชนาการเหมาะสม  เด็กจึงจะพัฒนาศักยภาพสมองของเขาได้อย่างเต็มความสามารถ

            สมองของเด็กเรียนรู้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่เป็นพันๆเท่า เด็กเรียนรู้ทุกอย่างที่เข้ามาปะทะ  สิ่งที่เข้ามาปะทะล้วนเป็นข้อมูลเข้าไปกระตุ้นสมองเด็กทำให้เซลล์ ต่างๆเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อต่างๆอย่างมากมาย ซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น  สมองจะทำหน้าที่นี้ไปจนถึงอายุ 10 ปีจากนั้นสมองจะเริ่มขจัดข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันทิ้งไปเพื่อให้ส่วนที่เหลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

            การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน (Brain-based Learning) เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ 3 ประการ คือ 1.)การทำงานของสมอง  2.)การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก  3.)กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยเปิดกว้าง ให้เด็กเรียนรู้ได้ทุกเรื่อง เนื่องจากสมองเรียนรู้ตลอดเวลา  ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติหรือลงมือกระทำด้วยตนเอง  ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบร่วมมือและผู้เรียนได้เรียนรู้แบบบูรณาการ การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐานส่งเสริมให้เด็กไทยได้พัฒนาศักยภาพสมองของเขาอย่างเต็มความสามารถ


            การทำงานของสมอง

            สมองเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่  เมื่อคลอดออกมาจะมีเซลล์สมองเกือบทั้งหมดแล้วเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่  สมองยังคงเติบโตไปได้อีกมากในช่วงแรกเกิดถึง 3 ปี เด็กวัยนี้จะมีขนาดสมองประมาณ 80 % ของผู้ใหญ่  หลังจากวัยนี้ไปแล้วจะไม่มีการเพิ่มเซลล์สมองอีกแต่จะเป็นการพัฒนาของโครงข่ายเส้นใยประสาท  ในวัย 10 ปีเป็นต้นไปสมองจะเริ่มเข้าสู่วัยถดถอยอย่างช้าๆจะไม่มีการสร้างเซลล์สมองมาทดแทนใหม่อีก  ปฐมวัยจึงเป็นวัยที่มีความสำคัญยิ่งของมนุษย์

            สมองประกอบด้วย เซลล์สมองจำนวนกว่า 1  แสนล้านเซลล์  ลักษณะของเซลล์สมองแต่ละเซลล์จะมีส่วนที่ยื่นออกไปเป็นเส้นใยสมองแตกแขนงออกมามากมายเป็นพัน ๆ เส้นใยและเชื่อมโยงต่อกับเซลล์สมองอื่น ๆ  เส้นใยสมองเหล่านี้เรียกว่า แอกซอน (Axon)และเดนไดรท์ (Dendrite)จุดเชื่อมต่อระหว่างแอกซอนและเดนไดรท์ เรียกว่า ซีนแนปส์ (Synapses)เส้นใยสมองแอกซอนทำหน้าที่ส่งสัญญาณกระแสประสาทไปยังเซลล์สมองที่อยู่ถัดไป  ซึ่งเซลล์สมองบางตัวอาจมีเส้นใยสมองแอกซอนสั้นเพื่อติดต่อกับเซลล์สมองตัวถัดไปที่อยู่ชิดกัน  แต่บางตัวก็มีเส้นใยสมองแอกซอนยาวเพื่อเชื่อมต่อกับเซลล์สมองตัวถัดไปที่อยู่ห่างออกไป  ส่วนเส้นใยสมองเดนไดรท์เป็นเส้นใยสมองที่ยื่นออกไป อีกทางหนึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณกระแสประสาทจากเซลล์สมองข้างเคียงเป็นส่วนที่ เชื่อมติดต่อกับเซลล์สมองตัวอื่น ๆ เซลล์สมองและเส้นใยสมองเหล่านี้จะมีจุดเชื่อมต่อหรือซีนแนปส์(Synapses)เชื่อมโยงติดต่อถึงกันเปรียบเสมือนกับการเชื่อมโยงติดต่อกันของสายโทรศัพท์ตามเมืองต่าง ๆ นั้นเอง

            จากการทำงานของเซลล์สมองในส่วนต่าง ๆ  ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ สามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลรอบตัวและสร้างความรู้ขึ้นมาได้นั้นคือ  เกิดการคิด  กระบวนการคิด  และความคิดขึ้นในสมอง  หลังเกิดความคิดก็มีการคิดค้นและมีผลผลิตเกิดขึ้น  ยิ่งถ้าเด็กมีการใช้สมองเพื่อการเรียนรู้และการคิดมากเท่าไร  ก็จะทำให้เซลล์สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองใหม่ ๆ แตกแขนงเชื่อมติดต่อกันมากยิ่งขึ้น  ทำให้สมองมีขนาดใหญ่ขึ้นโดยไปเพิ่มขนาดของเซลล์สมองจำนวนเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง  สมองของเด็กพัฒนาจากการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กพบว่า  ทักษะความคล่องตัวของกล้ามเนื้อมัดเล็กจะพัฒนาภายในช่วงเวลา  10 ปีแรก  ดังนั้นถ้าหากเด็กได้ฝึกฝนการใช้มือ  การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของมือจะทำให้สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อและสร้างไขมันล้อมรอบเส้นในสมอง  และเซลล์สมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กได้มาก  ทำให้เกิดทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก

            สมองมีหลายส่วนทำหน้าที่แตกต่างกันแต่ทำงานประสานกัน  เช่นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ  และรับรู้การเคลื่อนไหว สี รูปร่างเป็นต้น  หลายส่วนทำหน้าที่ประสานกันเพื่อรับรู้เหตุการณ์หนึ่ง  เช่น  การมองเห็นลูกเทนนิสลอยเข้ามา  สมองส่วนที่รับรู้การเคลื่อนไหว สี  และรูปร่าง  สมองจะอยู่ในตำแหน่งแยกห่างจากกันในสมองแต่สมองทำงานร่วมกันเพื่อให้เรามองเห็นภาพได้  จากนั้นสมองหลายส่วนทำหน้าที่ประสานเชื่อมโยงให้เราเรียนรู้และคิดว่าคืออะไร  เป็นอย่างไร  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น สมองสามารถเรียนรู้กับสถานการณ์หลาย ๆ แบบพร้อม ๆ กันโดยการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เช่น สมองสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และคณิตศาสตร์เชื่อมโยงกันได้  การทำเช่นนี้ได้เป็นเพราะระบบการทำงานของสมองที่ซับซ้อน  มีหลายชั้นหลายระดับ  และทำงานเชื่อมโยงกันเนื่องจากมีเครือข่ายในสมองเชื่อมโยงเซลล์สมองถึงกันหมด  เครือข่ายเส้นใยสมองเหล่านี้เมื่อถูกสร้างขึ้นแล้ว  ดูเหมือนว่าจะอยู่ไปอีกนานไม่มีสิ้นสุด  ช่วยให้สมองสามารถรับรู้และเรียนรู้ได้ทั้งในส่วนย่อยและส่วนรวม  สามารถคิดค้นหาความหมาย  คิดหาคำตอบให้กับคำถามต่าง ๆ ของการเรียนรู้และพัฒนาความคิดใหม่ ๆ ออกมาได้อีกด้วย

            นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่า  ความเครียดขัดขวางการคิดและการเรียนรู้  เด็กที่เกิดความเครียดจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเช่นเด็กที่ได้รับประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจทำให้เกิดความหวาดกลัว  เครียด  บรรยากาศการเรียนรู้ไม่มีความสุข  คับข้องใจ  ครูอารมณ์เสีย  ครูอารมณ์ไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวดี  เดี๋ยวร้าย  ครูดุ  ขณะที่เด็กเกิดความเครียด  สารเคมีทั้งร่างกายปล่อยออกมาจะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมอง  ทำให้เกิดการสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด  เรียกว่า  คอร์ติโซล (Cortisol)  จะทำลายสมองโดยเฉพาะสมองส่วนคอร์เท็กซ์หรือพื้นผิวสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิด  ความฉลาด  กับสมองส่วนฮิปโปแคมปัสหรือสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์และความจำ  ซึ่งความเครียดทำให้สมองส่วนนี้เล็กลง  เด็กที่ได้รับความเครียดอยู่ตลอดเวลา  หรือพบความเครียดที่ไม่สามารถจะคาดเดาได้  ส่งผลต่อการขาดความสามารถในการเรียนรู้  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย  เพราะเด็กมีสมองพร้อมที่จะเรียนได้  แต่ถูกทำลายเพราะความเครียดทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ได้หายไปตลอดชีวิต


การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก

            การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางสมองจำเป็นต้องคำนึงถึงกระบวนการทำงานของสมองและการทำงานให้ประสานสัมพันธ์ของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา  สมองซีกซ้ายควบคุมความมีเหตุผลเป็นการเรียนด้านภาษา จำนวนตัวเลข วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ การคิดวิเคราะห์  ในขณะที่สมองซีกขวาเป็นด้านศิลปะ  จินตนาการ  ดนตรี ระยะ/มิติ หากครูสามารถจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เด็กได้ใช้ความคิดโดยผสมผสานความ สามารถของการใช้สมองทั้งสองซีกเข้าด้วยกันให้สมองทั้งสองซีกเสริมส่งซึ่งกัน และกัน  ผู้เรียนจะสามารถสร้างผลงานได้ดีเยี่ยม เป็นผลงานมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสามารถแสดงความมีเหตุผลผสมผสานในผลงานชิ้นเดียวกัน

            หลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัยควรคำนึงถึงการเรียนรู้ในด้านต่างๆดังนี้ 

            1. การเคลื่อนไหวของร่างกาย  ฝึกการยืน เดิน วิ่ง จับ ขว้าง กระโดด การเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆที่เราต้องการ  หรือพวกนักกีฬาต่างๆ

            2. ภาษาและการสื่อสาร เป็นการใช้ภาษาสื่อสารโดยการปฏิบัติจริง จากการพูด การฟัง  การอ่านและการเขียน  เช่น ให้เด็กเล่าสิ่งที่เขาได้พบเห็น ได้ลงมือกระทำ  ฟังเรื่องราวต่างๆที่เด็กต้องการเล่าให้ฟังด้วยความตั้งใจ  เล่านิทานให้ลูกฟังทุกวัน  เล่าจบตั้งคำถามหรือสนทนากับลูกเกี่ยวกับเรื่องราวในนิทาน  อ่านคำจากป้ายประกาศต่างๆที่พบเห็น  ให้เด็กได้วาดภาพสิ่งที่เขาได้พบเห็นหรือเขียนคำต่างๆที่เขาได้พบเห็น 

            3. การรู้จักการหาเหตุผล ฝึกให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต การเปรียบเทียบ จำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆ  จัดหมวดหมู่สิ่งของที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน  เรียนรู้ขนาด ปริมาณ  การเพิ่มขึ้นลดลง  การใช้ตัวเลข

            4. มิติสัมพันธ์และจินตนาการจากการมองเห็น ให้เด็กได้สัมผัสวัตถุต่างๆที่เป็นของจริง  เรียนรู้สิ่งต่างๆจากประสบการณ์ตรง  เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ระยะ  ขนาดตำแหน่ง  และการมองเห็น  สังเกตรายละเอียดของสิ่งต่างรอบตัว  เข้าใจสิ่งที่มองเห็นได้สัมผัส  สามารถนำสิ่งที่เข้าใจออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้

            5. ดนตรีและจังหวะ  ให้เด็กได้ฟังดนตรี แยกแยะเสียงต่างๆ  ร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรี  ฝึกให้เด็กรู้จักจังหวะดนตรี

            6. การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น  ฝึกให้เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นในด้านการช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน เข้าใจผู้อื่น  เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น  ปฏิสัมพันธ์ในสังคมของมนุษย์เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และสติปัญญา

            7. การรู้จักตนเอง รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเอง เข้าใจตนเอง จะทำให้ดูแลกำกับพฤติกรรมตนเองได้อย่างเหมาะสม

            8. การปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ



               กระบวนการจัดการเรียนรู้

            เด็กปฐมวัยเรียนรู้ผ่านการเล่น  เรียนรู้อย่างมีความสุข  จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ  ลักษณะกระบวนการจัดการเรียนรู้เป็นแบบเปิดกว้าง จัดให้มีประสบการณ์ที่หลากหลายโดยให้เด็กได้เรียนรู้ตามความสนใจหรือให้เด็กได้แสดงออกในแนวทางที่เขาสนใจ  เรียนรู้แบบปฏิบัติจริงโดยการใช้ประสาทสัมผัสกระทำกับวัตถุด้วยความอยากรู้อยากเห็น ได้ทดลองสร้างสิ่งใหม่ๆ  เด็กเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น  เด็กได้การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นกลุ่มเล็กๆ  และเป็นรายบุคคล  การให้เด็กได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่นทำให้เด็กได้ตรวจสอบความคิดของตน  แต่เมื่อมีปัญหาเด็กต้องการคำแนะนำจากผู้ใหญ่  ควรให้เด็กได้เรียนรู้แบบบูรณาการซึ่งเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเป็นตัวตั้ง  มีการเชื่อมโยงหลากหลายสาขาวิชา  บทบาทของครูเป็นผู้ให้คำแนะนำเมื่อเด็กต้องการและให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสม



ผู้ปกครองมีบทบาทอย่างไรในการช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก

1.      ให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยการลงมือกระทำโดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5

     ในการทำกิจกรรม 1 กิจกรรมพยายามให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสหลายอย่างร่วมกัน

               การเรียนจากการปฏิบัติจะทำให้เด็กเกิดความเข้าใจ

                   

                       “ ฉันฟัง  ฉันลืม

                        ฉันเห็น  ฉันจำได้

                        ฉันได้ทำ  ฉันเข้าใจ”



            2.  ให้เด็กได้พูดในสิ่งที่เขาคิด และได้ลงมือกระทำ  ถ้าไม่ได้พูดสมองไม่พัฒนา  ต้องฝึกให้ใช้สมองมากๆอย่างมีความสุข  ไม่ให้เครียด

          3.  ผู้ใหญ่ต้องรับฟังในสิ่งที่เขาพูดด้วยความตั้งใจ  และพยายามเข้าใจเขา





สารอาหารบำรุงสมอง

           อาหาร 5 หมู่มีส่วนบำรุงสมองทั้งสิ้น โดยเฉพาะทารกในครรภ์  อาหารจะเข้าไปช่วยสร้างเซลล์สมอง  เมื่อคลอดออกมาแม่ต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่เช่นเดิม  เมื่อลูกโตขึ้นปริมาณของน้ำนมของแม่ไม่เพียงพอต่อความต้องการจึงต้องให้อาหารเสริม  ถ้าขาดสารอาหารเซลล์สมองจะเติบโตช้าและมีจำนวนน้อยลง  เส้นใยประสาทมีการสร้างไม่ต่อเนื่อง

           ตับและไข่  เด็กปฐมวัยต้องการธาตุเหล็กจากตับหรือไข่ ถ้าเด็กไม่กินตับหรือไข่  และหรือกินในปริมาณที่ไม่เพียงพอจะทำให้ความจำและสมาธิด้อยลง

           ปลา  สารจากเนื้อปลาและน้ำมันปลามีส่วยสำคัญต่อการพัฒนาความจำและการเรียนรู้เสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทที่เรียกว่า เดนไดร์  ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงสัมพันธ์เรื่องราวที่เรียนรู้จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง อธิบายได้ว่าทำให้เด็กเข้าเรื่องที่เรียนรู้ได้ง่ายและเร็ว

ควรให้เด็กรับประทานเนื้อปลาทุกวันหรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะเนื้อปลาทะเลเช่น ปลาทู  ปลากระพง และปลาตาเดียว เป็นต้น

           ผักและผลไม้  ผักที่มีสีเขียว  เหลืองหรือแดง  อาหารเหล่านี้ให้วิตามินซี เพื่อนำไปสร้างเซลล์เยื่อบุต่างๆทั่วทั้งร่างกายและวิตามินเอทำให้เซลล์ประสาทตาทำงานได้เต็มที่ ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมในการพัฒนาสมอง

           วิตามินและเกลือแร่ ช่วยในการทำงานของเชลล์ในการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน ถ้าขาดจะทำให้เชลล์สมองมีการทำงานลดลงและเชื่องช้าจะกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็ก

           ปลา ไก่ หมู นมและอาหารทะเล อาหารเหล่านี้มีแร่ธาตุต่างๆเช่น เหล็ก ทองแดง แมกนีเซี่ยม  สังกะสี  ฟอสฟอรัสและไอโอดีน  มีผลต่อการทำงานของเซลล์สมอง

           ผักตระกูลกะหล่ำ(ทำให้สุก) ข้าวสาลี และน้ำนมแม่ สามารถไปยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระที่อาจจะทำลายเซลล์สมองได้

           การพัฒนาศักยภาพทางสมองของเด็ก ขึ้นกับ อาหาร  พันธุกรรม  สิ่งแวดล้อมต่างๆ และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การมีโอกาสได้ใช้ความคิดอยู่เสมอ  ให้เด็กมีโอกาสคิดในหลากหลายแบบเช่น คิดแสวงหาความรู้  คิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์  คิดอย่างมีวิจารณญาณ  คิดกว้าง คิดไกล  คิดเชิงอนาคต  คิดนอกกรอบ  ผู้ปกครองหรือครูควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ฝึกการคิดอย่างเหมาะสมกับวัย และมีความสุขในขณะที่ฝึก  สมองจึงจะพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ  

               เด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจเหตุผล

               ลูกไม่รู้ว่าแม่เหนื่อย   ลูกไม่เข้าใจ  ลูกก็ซน ช่างซักช่างถาม อย่ารำคาญ อย่าโกรธลูกเลย

               รักลูกก็ให้กอดลูกแล้วบอกว่าแม่รักพ่อรัก  แสดงความรักออกมาอย่างจริงใจ  แสดงความใส่ใจต่อลูก  นี้คือยาวิเศษที่ลูกต้องการ

            คนที่แก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือคนอารมณ์ดี

วิธีกระตุ้นพัฒนาการ

|0 ความคิดเห็น
วิธีกระตุ้นพัฒนาการ

นั่งทรงตัวเอง
อายุ : 6 เดือน

วิธีการคัดกรอง
1. จับเด็กนั่ง (ท่านั่งอาจจะเป็นท่านั่งคล้ายนั่งสมาธิ,ท่านั่งเหยียดเท้าก็ได้) โดยนั่งบนพื้นที่มีผ้ารองหนาพอประมาณและมือเด็กจะต้องไม่ยันพื้น หรือพ่อ-แม่จะต้องไม่จับมือเด็ก
2. พ่อ-แม่ สังเกตความสามารถของเด็กในการทรงท่าไม่ให้หกล้ม ไม่ใช้มือยันพื้น
ผ่าน : หากเด็กทำได้ หรือทดสอบ 3 ครั้ง เด็กทำได้ 2 ครั้ง
วิธีการกระตุ้น
1. จับเด็กนั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิงด้านหลังใช้สายรัดผูกเด็กติดกับพนักพิงด้านหลังพ่อพยุงเด็กไว้ไม่ให้ล้มอาจใช้หมอนรองข้างลำตัวของเด็กทั้งซ้าย-ขวา
2. จับเด็กนั่งระหว่างเก้าอี้ที่ทำเป็นมุมฉาก ใช้สายรัดตัวเด็กด้านหลังของเด็กติดกับมุมฉากเพื่อช่วยพยุงตัว
3. จับเด็กนั่งระหว่างขาของพ่อ-แม่ ซึ่งจัดท่าขัดสมาธิโดยพ่อ-แม่จับบริเวณด้านหลังและสะโพกของเด็กหากเด็กทรงตัวได้จับเด็กโน้มศีรษะและลำตัวไปด้านหน้า-หลัง ข้างซ้ายขวาเบา ๆ ช้า ๆ
4. พ่อ-แม่ จับเด็กนั่งกับพื้น จัดเท้าเด็กให้ห่างออกไปคล้าย ๆ ท่านั่งสมาธิ พ่อ-แม่จับลำตัวเด็กก่อน จากนั้นเลื่อนมือลงมาจับที่สะโพกของเด็ก หากเด็กทรงตัวได้ จับเด็กให้โน้มศีรษะและลำตัวไปด้านหน้า-หลัง ซ้าย-ขวา เบา ๆ อย่างช้า ๆ
5. จับเด็กนั่ง (เป็นท่าที่ต่อจากที่ 3,4) หากเด็กพอทรงตัวได้แล้ว จับเด็กนั่งท่าขัดสมาธิจับแขนทั้งสองข้างของเด็กยันพื้น เพื่อช่วยพยุงลำตัวของเด็ก
6. จากท่าที่ 3,4 หากเด็กทรงตัวได้แล้ว ลดการพยุงตัวเด็กลง ขระเดียวกันโยกศีรษะลำตัวเด็กไปทิศทางต่าง ๆ เช่น ด้านหน้า-หลัง ซ้าย-ขวา โดยเริ่มดยกเด็กเบา ๆ ก่อน จากนั้นจึงเพิ่มการโยกขนาดปานกลาง หากเด็กพอทรงตัวได้ให้เด็กเล่นของเล่นในท่านั่ง
คว้าจับแท่งไม้ไว้ในมือข้างละแท่น
อายุ : 6 เดือน
วิธีการคัดกรอง
1. จับเด็กนั่ง เช่นเดียวกับท่านั่งทรงตัว
2. พ่อ-แม่ ยื่นแท่งไม้ให้เด็กจับข้างละแท่ง ทั้งด้านซ้าย-ขวา โดยยื่นทีละด้าน พ่อ-แม่สังเกตการเอื้อมมือจับแท่งไม้
ผ่าน : หากเด็กทำได้ หรือทดสอบ 3 ครั้ง เด็กทำได้ 2 ครั้ง
วิธีการกระตุ้น
1. พ่อ-แม่ ใช้มือลูบด้านหลังมือของเด็ก เพื่อให้เด็กแบนิ้วออก จากนั้นนำของชิ้นโตขนาดพอควรสอดเข้าที่ฝ่ามือเด็ก กระตุ้นให้เด็กกำสิ่งของ หรือกำมือ พ่อ-แม่
2. วางวัตถุสิ่งของให้ห่างออกไปจากวิธีการข้อที่ 1 กระตุ้นให้เด็กเอื้อมมือจับวัตถุสิ่งของ หากเด็กไม่เอื้อม นำวัตถุเข้าใกล้เด็กพอเด็กเอื้อมถึง จากนั้นกระตุ้นเด็กให้เรียนรู้การเอื้อมมือจับวัตถุ
3. นำของเล่นที่มีสีสัน ผูกไว้ที่เปลเด็กหรือด้านหน้าเด็กระยะพอที่เด้กจะเอื้อมถึงจากนั้น พ่อ-แม่ ผู้ปกครองเด็ก จับมือเด็กคว้าของเล่นที่อยู่ด้านหน้า
4. พ่อ-แม่ นำแท่งไม้สีสด ๆ ให้เด็กมอง จากนั้นกระตุ้นให้เด็กคว้าแท่งไม้ไว้ในมือทีละข้าง หากเด็กกระทำไม่ได้ พ่อ-แม่ ผู้ปกครองเด็ก จับมือเด็กกระทำ หากเด็กทำได้ให้คำชมเชย โดยการยิ้ม ชมเด็ก ปรบมือให้เด็ก อาจจะให้รางวัลแก่เด็ก เพื่อกระตุ้นให้เด็กทำกิจกรรม่นั้น ๆ แต่หากเด็กทำได้ พ่อ-แม่ ผู้ปกครองลดการจับมือเด็กกระทำอาจจะเป็นการออกคำสั่งให้เด็กทำ
สนใจฟังคนพูด และดูของเล่น
อายุ : 6 เดือน
วิธีการคัดกรอง
1. จับเด็กในท่านั่ง หันหน้าเข้าหาพ่อ-แม่หรือของเล่น
2. พ่อ-แม่ พูดคุยกับเด็ก หรือนำของเล่นมาเล่นกับเด็ก กระตุ้นให้เด็กร่วมเล่นของเล่น จากนั้นสังเกตพฤติกรรม ความสนใจ การตอบสนองต่อคำพูดของ พ่อ-แม่ และของเล่น
ผ่าน : หากเด็กทำได้ หรือทดสอบ 3 ครั้ง เด็กทำได้ 2 ครั้ง
วิธีการกระตุ้น
1. ถือของเล่นที่มีสีสด ๆ เช่น แดง ตรงหน้าเด็กในระดับสายตา กระตุ้นให้เด็กมอง หากเด็กมองวัตถุหรือของเล่นแล้วเคลื่อนวัตถุของเล่นไปด้านซ้าย-ขวา ขึ้นลง
2. ถือกระดิ่ง หรือวัตถุที่มีเสียง สั่นกระดิ่ง ตรงหน้าเด็กในระดับสายตา กระตุ้นให้เด็กมองแล้วเคลื่อนกระดิ่งไปด้านซ้าย-ขวา ขึ้น-ลง ตามวิธีการข้อที่ 1
3. พ่อ-แม่ ผู้ปกครองเด็กพูดกับเด็กบ่อย ๆ เสมือนหนึ่งว่าเด็กรู้ภาษากับผู้ใหญ่ หากเด็กไม่ฟังขณะพูดอาจจะจับศรีษะเด็กเบา ๆ เพื่อให้เด็กสนใจและฟัง หากเด็กออกเสียง พ่อ-แม่ ผู้ปกครองเด้กควรออกเสียงเลียนแบบเด็ก เพื่อกระตุ้นทักษะด้านการฟังการพูดของเด็ก
4. พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง พูดกับเด็กตรงด้านหน้าระดับสายตาของเด็ก พูดกับเด็กหรือพ่อ-แม่ เคลื่อนริมฝีปาก ท่าทาง อ้าปาก ห่อปาก แล้วออกเสียงกระตุ้นให้เด็ก มอง ฟัง และเลียนแบบการเคลื่อนไหวริมฝีปาก โดยการกระทำซ้ำบ่อย ๆ หากเด็กมองแต่ไม่สามารถจะเคลื่อนไหว อวัยวะภายในปากพ่อ แม่ผู้ปกครองจับเด็กกระทำและลดการจับเด็กกระทำ อาจจะเป็นการออกคำสั่งให้เด็กทำ
เปล่งเสียงโต้ตอบผู้อื่น
อายุ : 6 เดือน
วิธีการคัดกรอง
1. จัดเด็กให้หันหน้าเข้าหาพ่อ-แม่ และสายตาเด็กอยู่ในระดับมองเห็นหน้า พ่อ-แม่
2. พ่อ-แม่ สนทนาพูดคุยกับเด็กเสมือนเด็กรู้เรื่องที่สนทนาหรือพูดคุย จากนั้นรอดูพฤติกรรมของเด็ก เช่น เด็กเปล่งเสียงโต้ตอบออกมา
ผ่าน : หากเด็กตอบได้ หรือทดสอบ 3 ครั้ง เด็กทำได้ 2 ครั้ง
วิธีการกระตุ้น
1. ขณะที่พ่อแม่ ผู้ปกครองเล่นกับเด็ก หรือขณะที่กำลังทำงาน ควรให้เสียงแก่เด็ก อาจจะเรียนชื่อเด็ก เพื่อกระตุ้นการฟัง ให้เด็กมั่นใจว่า พ่อ-แม่ ผู้ปกครองอยู่ใกล้เด็ก
2. พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ยิ้มกับเด็ก เล่นกับเด็กเพื่อเด็กจะได้มีความสนุกสนาน
3. พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ออกเสียงสระให้เด็กฟัง แต่ละสระพูดหลาย ๆ ครั้ง ซ้ำ ๆ ให้เวลาและโอกาสเด็กพูดตาม
4. พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง เคลื่อนไหวริมฝีปาก ออกเสียงสระ เช่น อ้าปาก ออกเสียง อา ห่อปาก ออกเสียง อู และทำท่ายิ้ม ออกเสียง อี นอกจากนั้นอาจจะเน้นเสียง ริมฝีปาก เช่น แม่ ริมฝีปากชิดกันก่อนจากนั้น อ้าปากพร้อมเปล่งเสียง ม. หรือเสียง แม่ กระตุ้นให้เด็กมอง แล้วเปล่งเสียงโต้ตอบผู้พูด เสียงแต่ละเสียงที่พูดกับเด็กควรซ้ำ ๆ กัน ประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ละครั้งควรรอเวลาให้เด็กโต้ตอบเด็กอาจจะเคลื่อนไหวริมฝีปากของตนเอง เช่น อ้าปาก ห่อปาก ก็แสดงว่าเด็กมีการพัฒนา แม้ว่าเสียงระยะแรกเลียนแบบได้ไม่ถูกต้อง พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง อาจจะจับบริเวณริมฝีปากให้อ้าปากห่อริมฝีปาก เลียนแบบ หากเด็กเริ่มเลียนแบบได้ ลดการจับบริเวณริมฝีปากบอกเด็กให้กระทำเอง และให้คำชมเชยเด็ก
จ้องมองหรือร้องไห้ เมื่อเห็นคนแปลกหน้า
อายุ : 6 เดือน
วิธีการคัดกรอง
1. นำเด็กออกไปเล่นนอกบ้าน
2. พ่อ-แม่ สังเกตพฤติกรรมเมื่อพบคนแปลกหน้า หรือเมื่อมีคนแปลกหน้าทำท่าจะอุ้มเด็ก
ผ่าน : หากเด็กทำได้ หรือทดสอบ 3 ครั้ง เด็กทำได้ 2 ครั้ง
วิธีการกระตุ้น
1. พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้มีโอกาสเล่นวัตถุอื่น ๆ อาจจะเป็นเล่นน้ำ เล่นดิน หรือสนามหญ้า เพื่อกระตุ้นการรับรู้หลาย ๆ ด้านแก่เด็ก
2. พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ควรเปิดโอกาสให้เด้กได้มีโอกาสได้พบกับบุคคลต่าง ๆ ในครอบครัว เช่น พี่ น้อง ปู่ ย่า ตา ยาย และบุคคลอื่น ๆ ในครอบครัว ไม่ใช่เพียงให้แม่อุ้มคนเดียว เช่นเดียวกันวิธีการอุ้มเด็ก พ่อ-แม่ ควรอุ้มเด็กให้หันด้านหน้า ออกจากอกแม่ (เอาด้านหลังของเด็กอยู่ด้านหน้าของแม่) เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กเห็นสิ่งที่แปลกใหม่
3. พ่อ-แม่ นำเด็กออกเล่นข้างนอก กับเด็กรุ่นเดียวกันหรือเด็กอื่น ๆ แม้ว่าเด็กจะเล่นร่วมกลุ่มยังไม่ได้ก็ตามเพื่อให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ
4. พ่อ-แม่ นำเด็กออกนอกบ้าน อาจจะเป็นสนามเด็กเล่น ให้โอกาสเด็กได้พบกับบุคคลมากหน้าหลายตา นอกจากสมาชิกภายในครอบครัว ระยะแรกอาจจะกลัวก็ตามหากเด็กลดการกลัว พ่อ-แม่ ผู้ปกครองควรให้รางวัล หรือชมเชยเด็ก
5. หากเด็กเปล่งเสียงออกมาเอง ขณะกำลังเล่น พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ควรเลียนแบบเสียงของเด็ก เพื่อกระตุ้นให้เด็กพูดบ่อย ๆ หากเด็กพูดออกเสียงได้แล้ว อาจจะเปลี่ยนการเปล่งเสียงเป็นเสียงอื่น ๆ

วิธีเลี้ยงลูกให้ดี...E.Q.

|0 ความคิดเห็น
วิธีเลี้ยงลูกให้ดี...E.Q.

ลูกแรกเกิดถึง 6 ขวบ เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาสมอง การสร้างพลังสมองให้แก่ลูก ไม่ใช่สิ่งที่ยาก จริงๆ แล้วกิจวัตรประจำวันระหว่างที่คุณเลี้ยงลูก เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของสมองเพียงการโอบกอด การพูดคุย การเห่กล่อมด้วยการร้องเพลงและการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ลูกน้อยจะมีพัฒนาการของสมองที่ดี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เจริญเติบโตได้สมวัย
1. ให้ความรัก เป็นข้อแรกที่สำคัญมากและไม่เพียงแต่ให้ความรักเท่านั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมอีกด้วย บางคนรักลูกแต่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความรักออกมาให้ลูกเห็นเลย การยิ้มให้ การสัมผัส การกอด โอบไหล่ ล้วนแล้วแต่เป็นภาษากายซึ่งบ่งบอกถึงความรักได้เป็นอย่างดี
2. ครอบครัวมีสุข คือ การที่คุณพ่อและคุณแม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และรวมถึงการมีทัศนคติ ความคิดเห็นในการเลี้ยงดูอบรม สั่งสอนลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน หรือถ้ามีความขัดแย้งบ้างก็จะมีการพูดคุยกัน ตกลงกันให้เป็นทิศทางเดียวกันคือเป็นทีมเดียวกันนั่นเอง ผมขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ขัดกันเองในการวางกฎเกณฑ์ มีครอบครัวหนึ่งลูกอายุประมาณ 2-3 ขวบ ร้องไห้เพราะอยากเล่นลิปติกของแม่ คุณผู้หญิงทั้งหลายคงทราบดีว่าที่คุณแม่ไม่ยอมให้ลูกเล่นเพราะลิปติกจะหักเสียหาย แต่เวลาอยู่กับพ่อ พ่ออนุญาติให้ลูกเล่นได้หรือพ่อเห็นลูกร้องไห้ ก็ต่อว่าแม่ต่อหน้าลูกว่า "เรื่องแค่นี้เอง ก็ให้ลูกเล่นไปสิ" เด็กเองก็จะสับสน ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ว่าเรื่องนี้ควรทำหรือไม่ควรทำ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงควรตกลงกันด้วยเหตุผลให้เรียบร้อยก่อน จะได้ควบคุมเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกัน
3. มีความรู้ความเข้าใจในพัฒนาการของลูก จะทำให้เราเข้าใจและปฏิบัติต่อลูกได้ถูกต้องและเหมาะสม ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ครับว่าพัฒนาการไม่ได้หยุดหรือหมดไปเมื่อพ้นวัยอนุบาล แต่มีต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นก็มีพัฒนาการของวัย และสำคัญมากด้วย น่าเสียดายที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนปฏิบัติต่อลูกที่เข้าวัยรุ่นแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพราะคิดว่าลูกเหมือนก็เมื่อ2-3 ปีก่อน ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อคุณแม่บางคนอยากรู้เรื่องของลูกก็ใช้วิธีแอบฟังโทรศัพท์เวลาลูกคุยกับเพื่อน แอบเปิดค้นกระเป๋า แอบดูไดอารี่ สมุดบันทึกของลูก เกือบร้อยทั้งร้อยครับที่ลูกวัยรุ่นจะโกรธเป็นอย่างมาก เพราะไปกระทบกับพัฒนาการของวัยรุ่นที่สำคัญมากคือความเป็นส่วนตัว (Privacy) เห็นรึยังครับว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่มีความรู้ความเข้าใจพัฒนาการของลูกจะช่วยให้เราปฏิบัติต่อเขาได้เหมาะสมอย่างไร
4. คุณพ่อคุณแม่ควรมีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่นบางครอบครัว พ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่จึงจำเป็นต้องจ้างพี่เลี้ยงดูแลช่วงกลางวัน แต่คุณพ่อคุณแม่บางคนเลิกงานกลับมา บ้านแล้ว เหนี่อย กลางคืนก็ ฝากพี่เลี้ยงดูแลอีก
ควรอยู่ใกล้ชิดลูกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างน้อยช่วงกลางคืนจะได้มีประสบการณ์ได้รับรู้ความรู้สึกของการตื่นมาให้นมลูกเวลาลูกร้องกลางคืน ได้โอบกอดและปลอบให้เขาหลับต่อ เมื่อได้รู้จักจะยิ่งรักและเข้าใจในตัวลูก
5. สร้างเสริมความภาคภูมิใจในตัวเองหรือความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า (self esteem) ให้ลูก นั่นหมายถึงเมื่อลูกทำดีหรือประสบความสำเร็จ คุณพ่อคุณแม่ต้องชม เมื่อเขาท้อแท้ก็ให้กำลังใจ บางคนบอกว่าชมมากเดี๋ยวเหลิง ไม่ต้องกลัวครับ การชมอย่างถูกต้อง สมเหตสมุผลไม่มีผลเสียแน่นอน จะช่วยให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตัวเองซึ่งมีค่าต่อเด็กมากครับ
6. ให้อิสระและโอกาสในการตัดสินใจกับลูก จะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรร กล้าคิดกล้าทำ ไม่พยายามบังคับความคิดลูก (ถ้าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องของกฎเกณฑ์ ระเบียบวินัยนะครับ)
7. สอนลูกให้รู้จักรักและดูแลตนเองเช่นเดียวกันกับผู้อื่น ซึ่งข้อนี้ก็คือส่วนสำคัญข้อหนึ่งของ E.Q.ดังที่ได้คุยกันไปแล้ว ซึ่งรวมไปถึงการสอนลูกให้รู้สึกเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ผู้อื่นด้วย เช่นการที่คุณพ่อคุณแม่บางคนพาลูกไปให้ของเด็กพิการ ตามสถานสงเคราะห์ หรือให้ผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา
8. ส่งเสริมให้ลูกรู้จักคิดด้วยหลักการและเหตุผล โดยส่งเสริมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและเรื่องสำคัญๆ ด้วย ตัวอย่างถ้าลูกอยากจะซื้อของเล่น ของใช้ที่แพงๆ หรือเป็นของที่มีอยู่แล้วก็สอนให้ลูกรู้จักใช้หลักการและเหตุผลว่าควรซื้อหรือไม่ควรซื้อ เพราะอะไร
9. สอนลูกให้รู้จักการผ่อนคลายและหาความสุขให้ตัวเองด้วย ข้อนี้ก็มีความสำคัญมากครับเพราะเด็กหลายคนที่เก่ง ประสบความสำเร็จในการเรียน กีฬา แต่ไม่มีความสุข เนื่องจากเครียดอยู่ตลอดเวลาในการที่จะรักษาความเก่งของตัวเองไว้ให้ได้ตลอดไปหรือให้เก่งมากขึ้นเพื่อเอาชนะคนอื่น
10. เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก (modeling) คุณพ่อคุณแม่เป็นตัวอย่างให้ลูกทำสิ่งดีๆตามลูกจะเรียนรู้โดยอัตโนมัติแทบไม่ต้องพูดสอนเลย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือนิสัยรักการอ่าน ส่วนหนึ่งเกิดจากพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เช่นอยู่บ้านว่างๆก็หยิบหนังสือมาอ่าน ชอบที่จะอ่านนิทานให้ลูกฟัง พูดคุยกับลูกถึงเรื่องในหนังสือที่อ่าน ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าก็มักแวะเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ แบบนี้ลูกก็มักจะติดนิสัยรักการอ่านหนังสือไปโดยไม่รู้ตัว ผมมีอีกตัวอย่างหนึ่งคือการฝึกให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตัวเองและรับผิดชอบเช่นหลังกินข้าวเสร็จ ถึงแม้ว่าจะมีคนงานที่บ้านก็ควรจะยกจานที่ทานเสร็จแล้ว ช่วยเขี่ยเศษอาหารใส่ถังขยะแล้ววางบนอ่างล้างจานในบ้าน (ให้คนงานล้างต่อไป) คุณพ่อคุณแม่ควรทำเป็นตัวอย่าง ลูกเห็นก็อยากทำตาม แล้วยังสอนการมีน้ำใจต่อคนงานอีกด้วย ท่านผู้อ่านลองนึกภาพนะครับว่าถ้าพ่อแม่ไม่ทำเป็นตัวอย่าง กินตรงไหนเสร็จแล้วก็ลุกออกไป ให้คนงานมาตามคอยเก็บ แต่สั่งให้ลูกทำลูกจะคิดอย่างไร
11. กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย พบว่าเด็กที่ E.Q. ดี มักอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความรักความเข้าใจ ในขณะเดียวกันก็สอนรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร และควบคุมเรื่องของกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยในลักษณะของทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ควบคุมมากเกินไปหรือน้อยเกินไป เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและมีรายละเอียดมากครับ เราคงจะได้คุยกันในครั้งต่อๆ ไป หัวข้อนี้รวมไปถึงการฝึกให้ลูกรู้จักรับผิดชอบ และช่วยเหลือตัวเองตามวัย ซึ่งหัวข้อนี้เราเคยพูดคุยกันไปแล้ว

นอกจาก 11 วิธีนี้แล้ว ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ มีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญมากต่อ E.Q. ของลูก มีอิทธิพลต่อเด็กมาก แต่เรามักไม่ค่อยนึกถึง ทราบไหมครับว่าคืออะไร ระบบการศึกษาไงครับ

12. ระบบการศึกษา เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่าการศึกษาสร้างคน เห็นด้วยใช่ไหมครับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากและมีผลต่อ E.Q. ของลูกด้วย จะมีประโยชน์มากครับหากเราจะทำความเข้าใจกับระบบการศึกษาและกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก คงจะมีโอกาสได้พูดคุยเรื่องนี้กันต่อไปครับ


พัฒนาการเด็ก วัย 9 เดือน

|0 ความคิดเห็น
พัฒนาการเด็ก วัย 9 เดือน

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ลูกได้สะสมทักษะ เตรียมความพร้อมในการใช้มือ การใช้สายตา และการเข้าสังคม และตื่นเต้นกับสิ่งที่ดูเหมือนง่ายๆ สำหรับผู้ใหญ่ แต่เป็นก้าวที่สำคัญ สำหรับการพัฒนาการของเขาต่อไป ในเดือนนี้เขาจะใช้เวลา ในการฝึกฝนขั้นตอนการพัฒนาการต่างๆเหล่านี้ ให้ดียิ่งขึ้น และยังกระหายที่จะเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา
ลูกจะลุกขึ้นมานั่งเองได้ จากท่านอนบนพื้น และจะสามารถช่วยตนเองให้ขึ้นมา อยู่ในท่ายืนได้ (เกาะยืน) โดยอาจจะต้องอาศัยโซฟา เป็นที่เกาะ และเด็กบางคนจะเริ่ม”ตั้งไข่” ทำท่าเหมือนจะเดินได้ หนึ่งหรือสองก้าว แต่ก็ยังไม่กล้าเดินต่อ หรืออาจจะลงนั่งอีก ลูกจะคลานได้เก่ง และจะมีโอกาส เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น จะชอบขึ้นกระได แต่อาจจะพลัดตก หงายลงมาได้ หรือปีนป่ายโต๊ะ ดึงลิ้นชัก, ผ้าปูโต๊ะ จนหลุดออกมา หล่นใส่ตัวหรือเท้าได้ จึงควรล็อกลิ้นชัก และไม่ใช้ผ้าปูโต๊ะ ในบริเวณที่เด็กอยู่ประจำ แม้แต่ต้นไม้ที่ปลูกในกระถางในบ้าน ก็อาจถูกลูกเข้าไปรื้อ และโน้มให้หล่นทับตัวลูกได้

ลูกจะสามารถใช้มือได้ ตามขนาดของสิ่งของ ที่เขากำลังจับเล่นอยู่ และเริ่มเข้าใจความสัมพันธ์ของของต่างๆ เช่น จะสามารถเอาของชิ้นเล็ก ไปใส่ในของชิ้นใหญ่ (เล่นตระกร้าเก็บของ, เอาของชิ้นเล็กใส่ถ้วย ฯลฯ *** ต้องระวังถ้าของชิ้นเล็กมาก ลูกจะเอาใส่ปาก และเกิดอันตรายจากการสำลักได้) และจะสามารถ ต่อบล็อกชิ้นใหญ่ วางซ้อนกันได้ 2 ชั้น หรือเอาฝามาปิดปากถ้วยได้
ลูกสามารถเข้าใจดีขึ้น ถึงคอนเซปต์ของคน และสิ่งของว่า จะยังคงอยู่ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น จากการเล่นเกมเมื่อเดือนก่อนๆ ที่ช่วยทำให้เขาเรียนรู้ว่า เมื่อคุณออกไปจากห้อง แม้ว่าเขาจะไม่เห็นคุณ แต่ก็รู้ว่าอีกสักครู่ คุณก็จะกลับมาอยู่กับเขาแน่
คุณพ่อคุณแม่หลายคน จะพยายามซื้อของเล่นที่พิเศษๆ ให้ลูก และพยายามสอนให้ลูก ได้เล่นอย่างถูกต้อง ตามชนิดของๆ เล่น แต่การพยายามด้วยความหวังดีของคุณนี้ อาจจะไปขัดขวาง การเรียนรู้ของเด็กในการหัดสังเกต และการฝึกฝนในการใช้มือ และสายตา ทางที่ดีแล้วควรให้โอกาสลูก ได้ลองเล่นอยากที่เขาอยากจะเล่นเอง แล้วเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ในเรื่องต่างๆ ได้เองทีหลัง โดยคุณไม่ต้องกังวล คอยแก้ให้เขาเล่น ให้ถูกต้องอย่างผู้ใหญ่ และแม้ว่า ลูกดูเหมือนจะเล่นเอง หรืออยู่คนเดียวได้ แต่เขาก็ยังจะมองหา หรือต้องการให้แน่ใจว่า มีคุณอยู่ใกล้ๆในห้อง
อีกขั้นของการพัฒนาการ ที่คุณจะเริ่มฝึกให้ลูก ในอายุนี้ คือ การเลิกนมแม่ หรือนมขวด และเริ่มให้ดื่มจากถ้วยแทน แม้ว่าเขาจะยังไม่ยอมดื่มเองจากถ้วย โดยการเริ่มใช้ ”ถ้วยฝึกดื่ม” เลือกช่วงเวลาที่เขาไม่ค่อยสนใจดูดนมจากขวด เปลี่ยนมาให้เป็น “ถ้วยฝึกดื่ม” แทน โดยในช่วงแรกให้ฝึกดื่มน้ำก่อน และเปลี่ยนเป็นนม ในภายหลัง และอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือน ก่อนที่ลูกจะยอมรับการดื่มจากถ้วย
การพูดของลูกในตอนนี้ จะยังไม่เป็นคำ ที่ฟังมีความหมายนัก แต่เขาก็จะเริ่มมีการออกเสียงที่พอฟังได้ ถ้าเราจะเข้าใจเขา เช่น การเรียก “มะมะ” อาจหมายถึง “หม่ำ” อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เขาถึงจะสามารถออกเสียง เรียกคำที่มีความหมายที่ถูกต้องได้ แต่สิ่งสำคัญคือ ลูกจะเข้าใจ”ความหมาย” ในสิ่งที่คุณพูดกับเขา ได้มากขึ้น พยายามพูดกับลูกบ่อยๆ และเรียกคำศัพท์เฉพาะ สำหรับสิ่งของ และกริยาต่างๆ ที่คุณใช้อยู่เป็นประจำ เช่น “พ่อ” “แม่” “ตา” ยาย” “ส่งจูบ” “บ้าย บาย” ซึ่งลูกจะเข้าใจ และสามารถทำตามที่คุณบอกได้
บางครั้งที่เขาเริ่มซน และถูกคุณดุ จะทำให้เขาตกใจ หรือบางทีแสดงท่าเสียใจ ซึ่งคุณควรระวัง อย่าให้มีการห้าม หรือต้องดุกัน บ่อยๆ เพราะจะทำให้เขาเกิดความกลัว ไม่กล้าที่จะลอง หรือทำอะไรนัก แต่เช่นกัน คุณก็ควรระวังเรื่องอันตราย ที่อาจเกิดขึ้นจากความไร้เดียงสาของเขา ในการลองทำสิ่งต่างๆ ดังนั้นการดูแลใกล้ชิด และคอยช่วยเหลือเขาบ้าง ในยามที่เขาต้องการ ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาส ให้เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยตนเอง จะเหมาะสมที่สุด

โลกแห่งจินตนาการเด็ก

|0 ความคิดเห็น

หนูน้อยโตไวในขวบปีแรก

|0 ความคิดเห็น
หนูน้อยโตไวในขวบปีแรก

การเจริญเติบโตของทารกแรกเกิด จนอายุประมาณ 1 ขวบ เป็นช่วงที่น่ามหัศจรรย์ เพราะว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ดังต่อไปนี้
ความยาว/ความสูง
ทารกมีช่วงที่มีอัตราเร่งในเชิงความสูง อยู่หลายช่วง กล่าวคือในช่วงอายุ 7-10 วันแรก, ช่วง 3-6 อาทิตย์, และช่วง 3-4 เดือน ในเดือนแรก ลูกจะมีความยาว (สูง) เพิ่มขึ้น ประมาณ 2.5 ถึง 4 ซ.ม.,

ขนาดของศีรษะ
อาจจะดูโต เมื่อเทียบกับส่วนของลำตัว โดยเส้นรอบศีรษะ จะมีขนาดโตขึ้น เดือนละประมาณ 1-1.5 ซ.ม. ในช่วง 6 เดือนแรก แต่ส่วนร่างกาย ซึ่งก็มีการเจริญเติบโตที่เร็วมาก เช่นกัน จะเติบโตอย่างมาก จนในที่สุดก็จะดูว่าขนาดของศีรษะกับลำตัวนั้นได้สัดส่วนที่พอดี

น้ำหนักตัว/หนูน้อยอ้วนพี
เด็กทารกจะดูอ้วนท้วนจ้ำม่ำ เนื่องจากเด็กมีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวได้เร็ว และมากกว่าการเพิ่มขึ้นของส่วนสูง ซึ่งพออายุมากขึ้น ก็จะค่อยๆปรับเปลี่ยนไป การที่เด็กบางคนดูเหมือนพุงยื่น(หรือที่คุณแม่หลายคนสงสัยว่าพุงโร) ไม่ใช่เกิดจาการที่อ้วนเกินไป หรือเป็นเด็กขาดอาหาร แต่เป็นจากการที่ กำลังกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องของเด็ก ยังหย่อนยาน ทำให้ดูเหมือนว่าเด็กมีพุงใหญ่ ซึ่งจะดูดีขึ้น เมื่อเด็กโตขึ้น เนื่องจากเด็กได้ออกกำลังมากขึ้น

ในช่วง 4 เดือนแรก เด็กจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เฉลี่ยเดือนละประมาณ 800-1,000 กรัม แต่พอหลังจากนั้น การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักจะเริ่มช้าลง เป็นประมาณ 300-500 กรัม ต่อเดือน และในตอนอายุ 1 ขวบ เด็กจะมีน้ำหนักประมาณ 9-10 กก.
การเคลื่อนไหว
ทารกอายุ 1 เดือน ดูจะมีความสุข ที่ได้มีโอกาสยกเท้าเตะไปมา เวลาที่ได้นอนหงาย พออายุได้ประมาณ 4-5 เดือน จะเป็นช่วงที่เด็กเรียนรู้ วิธีพลิกตัว เพื่อที่จะได้เคลื่อนตัวไปได้รอบๆ โดยส่วนใหญ่จะเริ่มจากการพลิกหงายตัวจากท่านอนคว่ำเป็นนอนหงาย แล้วต่อมา จึงจะหัดพลิกคว่ำได้ ซึ่งคุณแม่สามารถช่วยให้ลูก ได้ฝึกการพลิกตัวเล่นได้โดยการช่วยจัดท่า (เช่น ตะแคงตัว หรือเอาหมอน หนุนที่หลังตรงด้านข้าง) ที่ทำให้เด็กใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำการพลิกตัวได้ ซึ่งจะทำให้เด็กได้เรียนรู้ การเคลื่อนไหวของตนเอง และรู้สึกสนุกไปด้วย และเด็กก็จะเริ่มหัดใช้แขน ในการการดันตัว ยกตัวขึ้น หรือ ไถไปข้างหน้า (ข้างหลัง)

ต่อไปพออายุประมาณ 6-7 เดือน เด็กก็จะเริ่มนั่งได้ ก่อนที่จะหัดคืบคลานต่อไป เมื่อตอน 8-9 เดือน , และจะเริ่มตั้งไข่ เกาะยืนได้ ในช่วงประมาณ 1 ขวบ เส้นผม ทารกแรกเกิดบางคน จะดูผมบางเหมือนไม่มีผม แต่บางคนก็มีผมดกสวย แต่ผมที่เห็นในตอนแรกเกิดนี้ เป็นแค่ผมไฟ (ชั่วคราว) ซึ่งจะค่อยๆ หลุดร่วงไปเอง ทำให้บางครั้งดูแหว่งๆ เมื่ออายุประมาณ 1-2 เดือน ทำให้ประเพณีของไทย ทางผู้ใหญ่จึงได้จัดให้มี พิธีโกนผมไฟ เพื่อเป็นการรับขวัญเด็ก และเพื่อให้เด็กดูผมไม่แหว่งไปด้วยในตัว ส่วนผมจริงที่จะอยู่ถาวร จะเริ่มขึ้นตั้งแต่อายุได้ประมาณ 6 อาทิตย์เป็นต้นไป (ในเด็กบางคนอาจจะช้ากว่านั้นมาก)
ฟัน
การขึ้นของฟันนั้น มีความคลาดเคลื่อนต่างกัน ในเด็กแต่ละคนได้ค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่แล้ว ฟันซี่แรกจะขึ้น เมื่ออายุประมาณ 8-9 เดือน และเด็กอาจจะมีอาการมันเขี้ยว ชอบกัด หรือ งอแงไม่ยอมทานอาหารได้ในบางครั้ง แต่การขึ้นของฟัน (teething) ไม่ได้เป็นสาเหตุ ที่ทำให้เด็กป่วยเป็นไข้ หรือเป็นหวัด ท้องเสีย อย่างที่มีบางคนพูดกัน ยิ่งถ้าเด็กมีไข้สูง และดูป่วยมาก ต้องนึกถึงว่าจะมีการติดเชื้อ ควรพาลูกไปพบแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัย และการรักษาที่เหมาะสม

การให้ไวตามินเสริมฟลูโอไรด์ สามารถทำให้ฟันที่กำลังเจริญเติบโตนั้นมีความแข็งแรง เพราะฟลูโอไรด์เสริมความแข็งแกร่งของเคลือบฟัน (enamel) ทำให้เกิดฟันผุได้ยากขึ้น การให้ฟลูโอไรด์ในปัจจุบันแนะนำให้ให้ตั้งแต่อายุประมาณ 4 เดือนและใช้ในปริมาณน้อย (ประมาณ 0.25 ม.ก. ต่อวัน) ก็เพียงพอแล้ว และจะไม่ค่อยพบปัญหาฟลูโอโรสิส (ภาวะที่มีการให้ฟลูโอไรด์มากเกินไป ทำให้เกิดฟันมีลายดำๆ ดูไม่สวย) และมีบางคนเข้าใจผิดว่าการให้ฟลูโอไรด์จะทำให้ฟันน้ำนมไม่ยอมหลุดไป และทำให้ฟันแท้ขึ้นไม่ได้หรือเกเบียดกับฟันน้ำนม ทำให้ไม่อยากให้ฟลูโอไรด์แก่ลูก ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
ที่สำคัญคือ การรักษาสุขอนามัย ของช่องปาก และฟันที่ดี เพราะแม้ว่า จะให้ฟลูโอไรด์แล้วฟันของลูกก็ยังจะผุได้ ถ้าคุณยังปล่อยให้ลูกน้อย ดูดนมจนหลับคาขวดนม ทำให้มีคราบนม เกาะติดฟัน ซึ่งจะถูกแบคทีเรียย่อยสลาย กลายเป็นกรด และทำลายฟันได้ง่าย จึงจะเห็นว่าเด็กที่หลับไป โดยขวดนมคาปาก มักจะมีฟันซี่หน้าที่ผุมากได้ ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เด็กมีปัญหาเจ็บป่วย ได้บ่อยๆ และทานอาหารได้น้อย คุณแม่จึงควรระวัง อย่าฝึกให้ลูกดูดนม จนหลับคาขวดนมไปนะคะ
กระหม่อมหน้าและกระหม่อมหลัง
ตรงบริเวณศีรษะส่วนหน้า และส่วนหลัง จะพบว่า มีรอยบุ๋มเล็กน้อย เป็นส่วนที่เรียกว่า กระหม่อมหน้า และกระหม่อมหลัง ซึ่งเป็นส่วนรอยต่อ ของกระดูกกระโหลก ซึ่งเป็นกระดูกแผ่นบางหลายชิ้นมาเรียงชิดกัน แต่ยังไม่ได้ติดกันสนิท เพราะธรรมชาติได้เตรียมเผื่อไว้ ให้สมองได้เจริญเติบโตขึ้น ซึ่งส่วนของกระโหลกนี้ จะเริ่มสมานกัน และปิดไป โดยปกติกระหม่อมหลังนั้น จะปิดไปก่อน คือ ช่วงอายุประมาณ 6-8 เดือน และกระหม่อมหน้าจะปิด ประมาณช่วงอายุ 15-18 เดือน ในกรณีที่มีความผิดปกติของการไหลเวียนของน้ำเลี้ยงสมอง หรือ มีเนื้อสมองที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น มีรูพรุนแบบฟองน้ำ หรือ มีความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น ภาวะขาดทัยรอยด์ฮอร์โมนก็จะทำให้เส้นรอบศีรษะ มีขนาดใหญ่กว่าปกติ และกระหม่อมหน้าจะเปิดกว้าง ไม่ปิดตามเกณฑ์อายุ ซึ่งกุมารแพทย์ที่ดูแลลูก จะทราบว่ามีความผิดปกติ จากการวัดเส้นรอบศีรษะ ในตอนที่พาลูกมาตรวจสุขภาพกับคุณหมอ ตามกำหนดนัด

สายตา
ในช่วงอายุประมาณ 1 เดือนแรก เด็กจะสามารถมองเห็นได้ชัด ที่ระยะ 20-30 ซ.ม. และบางครั้ง อาจเหมือนเด็กมีตาเขเล็กน้อย ในเวลาที่คุณแม่กำลังจ้องมองอยู่ (ดูบทแนะนำการตรวจตาลูกเอง) เด็กจะชอบมองของที่มีการเคลื่อนไหว หรือ มีสีสันสดใส และถ้าเป็นภาพใบหน้าคน ที่มีลักษณะ ตา ปาก และจมูก ที่เด็กคุ้นเคย ก็จะยิ่งให้ความสนใจมากขึ้น ในราวอายุ 4-6 อาทิตย์ เด็กจะเริ่มจับความสัมพันธ์ ของสิ่งที่เด็กเห็น กับเสียงที่ได้ยิน สายตาของเด็กจะเห็นได้ดีเหมือนผู้ใหญ่ เมื่ออายุประมาณ 1 ขวบ


พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์
คลินิกเด็ก.คอม

วิเคราะห์โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดแก่ทารกในครรภ์มารดา

|0 ความคิดเห็น
วิเคราะห์โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดแก่ทารกในครรภ์มารดา

โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดเป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่ง โดยพบประมาณ 8 คน ต่อเด็กคลอดมีชีพ 1,000 คน และมีประมาณ 30% ที่มีความผิดปกติค่อนข้างมาก มีผลต่อการไหลเวียนของโลหิต และบางรายอาจเสียชีวิตภายหลังคลอด ในรายการที่ทารกในครรภ์มารดาเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดอย่างรุนแรงก็อาจ
ทำให ้ทารกเสียชีวิตในขณะตั้งครรภ์ได้


 

  
การทำ Fetal Echocardiogram สามารถทำได้ตั้งแต่มารดาตั้งครรภ์ตั้งแต่
16 สัปดาห์ขึ้นไป จนถึง  ใกล้คลอดโดยอายุครรภ์ที่เหมาะสมในการทำ คือ 18-22 สัปดาห์   และถ้าเป็นไปได้ควรทำ Fetal Echocardiogram ให้แก่ทารกในครรภ์มารดาทุกราย หรือเมื่อมีข้อบ่งชี้ดังต่อไปนี้

1. ทารกมีปัจจัยเสี่ยงหรือมีความผิดปกติ ของทารกในครรภ์จากการตรวจของสูติแพทย์ เช่น ทารกไม่โต มีความผิดปกติของอวัยวะบางอย่าง เช่น ปากแหว่ง ความผิดปกติของสมอง, กระดูก มีการเต้นของหัวใจทารกผิดปกติหรือขนาดของหัวใจทารกผิดปกติ รวมทั้งตรวจพบว่ามีโครโมโซมผิดปกติ เป็นต้น

2. มารดามีปัจจัยเสี่ยงหรือมีโรคประจำตัว  เช่น มารดาป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด,โรค SLE. Connective tissue disease, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, มีการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ เช่น   เชื้อไวรัสหัดเยอรมัน, Toxoplasmosis, Coxsackie virus, รวมทั้งคางทูม เป็นต้น

3.มีความเสี่ยงในครอบครัว เช่น มีประวัติญาติพี่น้องป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือมีความผิดปกติทางด้านโครโมโซม

4.มารดาอายุมากขณะตั้งครรภ์ (อายุเกิน 35 ปี)

ประโยชน์จากการทำ Fetal Echocardio gram

นอกจากจะช่วยให้ทราบว่าทารกในครรภ์มารดาเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดแล้ว ยังช่วยให้ทราบถึงความรุนแรงของความผิดปกตินั้นด้วย ทำให้สามารถวางแนวทางการรักษาได้ซึ่งอาจให้การรักษาขณะตั้งครรภ์อยู่เช่น กรณีที่ทารกในครรภ์มารดามีการเต้นของหัวใจที่เร็วกว่าปกติ ก็สามารถให้การรักษาได้โดยให้ยาผ่านทางมารดา หรือฉีดยาเข้าทางสายสะดือเด็ก โดยผ่านทางหน้าท้องของมารดา ในกรณีที่เด็กทารกในครรภ์มารดามีการแสดงของภาวะหัวใจวาย ก็สามารถให้ยาผ่านทางมารดาไปยังทารกได้เช่นกัน ทำให้สามารถประคับประคองให้การไหลเวียนของกระแสโลหิตดีขึ้นจนทารกโตพอที่จะคลอดมีชีวิตได้จึงทำคลอดหรือรอจนคลอดเองได้ เป็นต้น

นอกจากนี้การทราบว่าทารกในครรภ์มารดาป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือไม่ ยังใช้เป็นข้อมูลเสริมให้แก่สูติแพทย์ในการพิจารณาทำการตรวจเพิ่มเติมอื่นต่อไป เพราะมักมีความผิดปกติของอวัยวะอื่น ๆ อีก   รวมทั้งความผิดปกติทางด้านโครโมโซมร่วมด้วย ทำให้สามารถวางแนวทางการดูแลรักษาทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง และไม่ควรใช้ข้อมูลของ Fetal Echocardiogram ว่า ทารกใดป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือไม่ ในการเป็นข้อบ่งชี้การหยุดตั้งครรภ์เพียงอย่างเดียว
 
ข้อมูลจาก นายแพทย์วัชระ  จามจุรีรักษ์


ระยะการเกิดความผิดปกติหัวใจทารกในครรภ์

หลังจากการปฏิสนธิจะเริ่มการสร้าง (form) หัวใจขึ้นโดยเมื่อทารกในครรภ์มารดาอายุประมาณ 3 สัปดาห์ หัวใจจะเป็นเพียงท่อยาว ๆ อายุ 4 สัปดาห์จะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างคล้ายหัวใจ ประมาณ 8 สัปดาห์เป็นรูปหัวใจที่เกือบสมบูรณ์ และเมื่ออายุ  10-12 สัปดาห์จะเป็นหัวใจที่สมบูรณ์ มีกล้ามเนื้อและลิ้นหัวใจครบทุกอย่าง ถ้าเด็กมีความผิดปกติของหัวใจก็จะเกิดในช่วงพัฒนาหัวใจในระยะดังกล่าว และสามารถเห็นความผิดปกติของหัวใจจากการทำอัลตราซาวด์เมื่อประมาณอายุครรภ์ 16-20 สัปดาห์ การทำอัลตราซาวด์มี 2 วิธีด้วยกัน คือ การใส่สายตรวจ(Transducer) เข้าไปทางช่องคลอดและอีกวิธีหนึ่งที่นิยมคือการตรวจผ่านหน้าท้องของมารดา

สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดแบ่ง ได้กว้าง ๆ ดังนี้

1. เกิดจากความผิดปกติทางด้านพันธุกรรม หรือโครโมโซม เช่น ดาวน์ซินโดรม

2. มารดาติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะภายใน 3 เดือนแรก เช่น ติดเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน เอ็นโทโรไวรัส เป็นต้น

3. มารดาป่วยเป็นโรคร้ายแรง หรือมีโรคประจำตัว เช่น เอสแอลอี เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น

4. มารดารับประทานยาหรือสารบางอย่าง เช่น Amphetamine ยากันชักบางชนิด สเตอรอยด์ สุรา และบุหรี่ เป็นต้น

5. มารดาได้รับรังสีเอกซ์ (x-ray) ขณะตั้งครรภ์ภายใน 3 เดือนแรก

6. ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งพบเป็นส่วนมาก

เมื่อทารกในครรภ์มารดามีความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด มารดาจะไม่ทราบเพราะทารกในครรภ์มารดาได้รับสารอาหารและออกซิเจนจากแม่ผ่านทารก ดังนั้นการที่จะทราบได้ก่อนคลอดว่าทารกในครรภ์มารดาป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือไม่ โดยวิธีการตรวจอัลตราซาวด์เท่านั้น ซึ่งมีความสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะจะทำให้สามารถวางแนวทางการรักษาได้ตั้งแต่ก่อนคลอดจนถึงหลังคลอด ทำให้ทารกให้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องทันเวลาและมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าทารกที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด แต่ไม่ทราบว่ามีความพิการของหัวใจ

อาหารเสริมสำหรับเด็ก

|0 ความคิดเห็น
อาหารเสริมสำหรับเด็ก

ทารก เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะการเจริญของสมอง ดังนั้นการให้อาหารเสริมที่ถูกต้องและเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญมาก
หลักในการให้อาหารเสริมแก่ทารก คือ ให้ทีละน้อย ๆ และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อทารกรับได้ดี อาหารเสริมที่ทารกได้รับควรให้เหมาะสมกับวัย

อาหารเสริม คือ อาหารที่กินเพื่อเพิ่มเติมจากอาหารปกติ ซึ่งที่ใช้กันมาก ๆ ก็คือ อาหารเสริมในวัยทารก ซึ่งหมายถึงอาหารที่ใช้เสริมคุณค่าอาหารที่ใช้เลี้ยงเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 3 เดือนถึง 3 ปี จึงมีความหมายถึงอาหารอื่นทุกชนิด นอกเหนือจากนมแม่หรือนมผสม

ความสำคัญของอาหารเสริม
อาหารเสริมสำหรับทารกและเด็กเล็ก
- เพื่อให้ทารกเติบโตอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม
- เพื่อเสริมให้ทารกมีภาวะโภชนาการที่ดี
- แก้ปัญหาการขาดสารอาหารในทารก
- ปลูกฝังพฤติกรรมและนิสัยการกินของทารกและเด็ก ซึ่งอาจช่วยป้องกันปัญหาการเกิดโรคเบาหวาน ความดันเลือด เป็นต้น
การให้อาหารทารกวัย 0-1 ปี
อายุ อาหารสำหรับทารก

0-6 เดือน รับประทานนมแม่หรือนมผสมสำหรับเลี้ยงทารก
4-6 เดือน อาจเริ่มให้ข้าวบดปริมาณน้อย เพื่อฝึกหรือทดสอบการกิน ไม่เกิน 2 ช้อนชา
6-9 เดือน รับประทานอาหารเสริมวันละ 1 มื้อ อาจเริ่มให้เนื้อปลาสุก ไข่แดงต้มสุก ผัก
ต้ม สุก บด ผลไม้สุกบด น้ำซุป และน้ำผลไม้ (ไม่เกิน 2 ออนซ์)
9-12 เดือน รับประทานอาหารเสริมวันละ 2 มื้อ อาหารเช่นเดียวกันกับอายุ 6 เดือน
12 เดือน รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ
- ขวบปีแรก ห้ามให้ไข่ขาว และอาหารทะเล ยกเว้นปลา
- สำหรับเด็กที่มีโอกาสเป็นภูมิแพ้ ให้เริ่มปลาทะเลหลังอายุ 1 ขวบ รายละเอียดควรปรึกษากุมารแพทย์

หลักในการให้อาหารเสริม
- เมื่อเริ่มให้อาหารเสริม ควรให้ทีละอย่าง ไม่ควรให้หลายอย่างพร้อมกัน เพราะหากเกิดอาการแพ้จะสามารถตรวจสอบได้ง่ายว่าเป็นเพราะอาหารชนิดใด

- เริ่มให้แต่ละอย่างทีละน้อย เช่น 1 ช้อนชาในครั้งแรก แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้น
- เมื่อเริ่มให้อาหารใหม่แต่ละชนิด ควรเว้นระยะห่างกันสัก 1-2 สัปดาห์ เพื่อดูปฏิกิริยาตอบสนองจากร่างกายเสียก่อน
- อย่าเริ่มอาหารเสริมจำพวกกล้วยครูดหรือข้าวบด ก่อนอายุ 4 เดือน เพราะระบบการย่อยอาหารยังไม่เจริญพอ อาจเกิดปัญหาท้องอืดได้
- ต้องสะอาด เพื่อป้องกันปัญหาโรคอุจจาระร่วง
- ถ้าลูกไม่สมัครใจ ปฏิเสธไม่ยอมกินอาหารในครั้งแรก ๆ อย่าพยายามยัดเยียดหรือบังคับ เพราะจะก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีต่อการกินอาหารต่อไปในอนาคต ควรจะให้เวลาลูกได้ปรับตัว งดชั่วคราว หลังจากนั้น 3-4 วันค่อยลองใหม่
- ให้เด็กหัดช่วยตัวเอง
- ฝึกนิสัยการกินอาหารอย่างเหมาะสม ให้ลูกได้ร่วมโต๊ะกับคุณพ่อคุณแม่ ให้ตักกินเองถ้ากินได้น้อยก็ช่วยป้อนให้ทีหลังด้วย
- ห้ามกินน้ำหวาน น้ำอัดลมมากเกินไป เพราะเด็กจะติดสารอาหารอื่น อิ่มง่าย พอถึงเวลาลูกจะอิ่มเสียก่อน
- เมื่อกินอาหารเสริมได้ 1 มื้อหลัก ควรให้อาหารครบ 5 หมู่