วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สิ่งต้องห้ามหลังมื้ออาหาร

|0 ความคิดเห็น
สิ่งต้องห้ามหลังมื้ออาหาร

สิ่งต้องห้ามหลังมื้ออาหาร

อาหาร นับเป็นสิ่งที่สำคัญของมนุษน แต่คุณรู้ไหมว่าหลังจากที่คุณกินอาหารแต่ละมื้อไปแล้ วนั้น มีสิ่งต้องห้ามทำหลังมื้อ จะเป็นอัตรายต่อร่างกาย และที่สำคัญ ข้อห้ามพวกนั้นเรามักจะทำบ่อยด้วยสิ วันนี้ผมเลยมานำมาเสนอข้อห้ามหลังมืออาหารหลัง
1. ห้ามสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่หลังอาหารนับเป็ฯสิ่งที่โปรดปรานของเหล่ าสิงอมควัน แต่ผลการทดสอบที่พิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญพบว่าการสูบบ ุหรี่หลังรับประทาน อาหารเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ ถึง 10 ม้วนหรือมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงกว่า 10 เท่าเลยทีเดียว)
2. ห้ามทานผลไม้ทันที หลังอาหารทุกมื้อห้ามทานผลไม้ทันทีหลัง เพราะจะทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นควรทานผลไม้หลังทานอาหารไปแล้ว 1-2 ชั่วโมงหรือก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง

3. ห้ามดื่มชา เพราะสาระเคมีในน้ำชาจะทำปฏิกิริยาให้การย่อยสารโปรต ีนในอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นเป็นไปยากขึ้น
4. ห้ามคลายเข็มขัด เพราะการคลายเข็มขัดหลังมื้ออาหารจะทำให้ลำไส้บิดตัว และอุดตันได้
5. ห้ามอาบน้ำ การอาบน้ำจะเพิ่มแรงดันเลือดไปสู่ มือแขนขาและทั่วตัว ดังนั้นจำนวนเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหารจึงลดล งซึ่งส่งผลให้ระบบการ ย่อยอาหารของกระเพาะเราแย่ลง
6. ห้ามเดินไปมา ผู้คนมักบอกเสมอว่าการเดิน 100 ก้าวหลังรับประทานอาหารจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี ตามข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่เลย การเดินจะส่งผลให้ระบบย่อยของเราไม่สามารถดูดซึมสารอ าหารที่เราทานเข้าสู่ ร่างกายได้
7. ห้ามหลับทันที เพราะอาหารที่เราทานเข้าไปจะไม่สามารถย่อยได้เลย ดังนั้นจะทำให้เกิดเชื้อโรคหรือเกิดลมในกระเพาะและลำ ไส้ของเราได้

เมื่อทราบกันอย่างนี้แล้วต่อไปเราก็ควรที่จะหลีกเลี้ ยงข้อห้ามเหล่านี้กันนะครับ
__________________

หุ่นดีน้ำหนักคงที่...เดี๋ยวนี้เลย

|0 ความคิดเห็น
หุ่นดีน้ำหนักคงที่...เดี๋ยวนี้เลย



หุ่นดีน้ำหนักคงที่...เดี๋ยวนี้เลย (สุขกายสบายใจ)

สาว ๆ ที่กำลังกังวลกับน้ำหนักตัวที่คุมเท่าไหร่ก็ยัง "ฉุ" หยุด ไม่อยู่ หรือแม้แต่สาว ๆ ที่ต้องการคุมน้ำหนักฉบับแอบโหด เพื่อให้หุ่นสวยทันโปรแกรมพิเศษสุดสัปดาห์นี้ต้องอ่า นทางนี้ให้เข้าใจเลย เชียว

เพราะหุ่นดีน้ำหนักคงที่ทำได้และเห็นผลไวทันใจแน่นอน เพียงแค่คุณต้องสังเกตอาการหิวของตัวเองให้มากขึ้น และต้องปรับพฤติกรรมการกินของคุณ จากเดิมที่ "ถึงเวลากินก็ต้องกิน" มาเป็น "หิวตอนไหนกินตอนนั้น"

แต่ ขอย้ำว่ากินให้อยู่ท้องแต่พอดี เพื่อให้กระเพาะอาหารได้มีอะไรย่อยบ้าง แต่ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองหิวมาก ๆ แล้วกินชดเชยด้วยการยัดอะไรต่อมิอะไรตามมาอีกเป็นชุด นะ

วิจัยพบ แต่งงานต้านมะเร็งลำไส้

|0 ความคิดเห็น
วิจัยพบ แต่งงานต้านมะเร็งลำไส้

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นเรื่องของยาที่มีชื่อว่า "ความรัก" โดยนักวิจัยพบว่า การแต่งงานสามารถเพิ่มแรงใจในการต่อสู้โรคมะเร็งให้ก ับผู้ป่วยได้ แถมยังได้ผลดีแบบไม่จำกัดเพศ ทั้งกับผู้ป่วยชายและหญิงก็ได้รับอานิสงค์นี้ไม่แตกต ่างกัน

โดยการวิจัยชิ้นนี้เป็นของ Penn State College of Medicine and Brigham Young University สหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ ป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ที่มีโอกาสแต่งงานจะลดความเสี ่ยงในการเสียชีวิตลงถึง 14 เปอร์เซ็นต์ โดยทีมวิจัยยังได้ระบุด้วยว่า ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้และได้แต่งงานมีโอกาสจะตรวจพบโร คได้ในระยะแรกเริ่มของ การเกิดมะเร็ง และสามารถ "อดทน" ต่อการรักษามะเร็งร้ายที่ว่าโหดหินเอาการได้มากกว่าผ ู้ป่วยไร้รัก

อย่างไรก็ดี นักวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้ว่า การแต่งงาน หรือจดทะเบียนสมรสสามารถช่วยเยียวยาผู้ป่วยได้แง่ใด แต่คาดเดาว่า การแต่งงานนั้นมีผลทางจิตใจ ช่วยให้ผู้ป่วยมีกำลังใจ อีกทั้งยังมีคนดูแล สนับสนุน ที่ไม่ใช่การทำเพราะหน้าที่เหมือนคุณนางพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลท่านอื่น ๆ และนั่นทำให้กระบวนการรักษาโรคทำได้ง่ายขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีงานวิจัยอีกมากที่ชี้ถึงข้อดีของการแต่งงานว่าด ีกว่าการอยู่เป็นโสด ยกตัวอย่างข้อดีของการแต่งงาน เช่น

- มีเพื่อนร่วมชีวิต การแต่งงานยังทำให้คุณมีใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้าง เป็นเพื่อน รับฟังปัญหา และหัวเราะร่วมไปกับคุณ หากแม้ว่าเขาหรือเธอจะไม่ได้ตั้งใจฟังจริง ๆ จัง ๆ แต่ก็ยังดีกว่าการนั่งพูดคนเดียว หรือได้แต่เก็บไว้ในใจ ไม่มีใครให้พูดด้วย นอกจากนั้น คุณยังได้คนที่พร้อมจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณ คนที่พร้อมจะแนะนำคุณอีกต่างหาก

- มีสังคม การมีคู่ชีวิตทำให้คุณได้มีโอกาสทำสิ่งต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น ไปเที่ยว ไปเยี่ยมญาติพี่น้อง ไปทำบุญ ขณะที่การอยู่เป็นโสดนั้น คุณต้องรอให้เพื่อนของคุณว่างเสียก่อน จึงจะนัดไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ไม่เพียงเท่านั้น หากคุณมีลูก โลกของคุณก็ยิ่งเปิดกว้าง ได้ทำความรู้จักเด็ก ๆ เพื่อนของลูก ได้ไปเที่ยวด้วยกัน ได้พบปะกับคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่น ๆ ที่มีลูกวัยเดียวกัน ฯลฯ

- มีอายุยืนยาวขึ้น โดยเฉพาะคุณพ่อ เนื่องจากมีงานวิจัยจำนวนมากที่ระบุว่า ผู้ชายที่แต่งงานแล้วจะมีอายุยืนกว่าผู้ชายโสด แถมยังเครียดน้อยกว่าและมีโอกาสปลดปล่อยความเครียดได ้มากกว่าเหล่าหนุ่มโสด อีกด้วย

- เครียดเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกน้อยลง เพราะคุณจะมีคู่ชีวิตที่สามารถปรึกษาได้ มีคนช่วยแบ่งเบาการเลี้ยงดูลูก และงานบ้าน แม้จะมีพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวหลายท่านทำได้ดีแม้จะตัวคน เดียว แต่การมีสองคนช่วยกัน ก็เป็นเรื่องที่ดีกว่า

เรียบเรียงจากเดลิเมล

เตือนภัยไมโครเวฟที่ขึ้นสนิม

|0 ความคิดเห็น
เตือนภัยไมโครเวฟที่ขึ้นสนิม

นายสุรศักดิ์ ปริสัญญกุล ผู้อำนวยการกองรังสีและเครื่องมือแพทย์ กล่าวว่า เตาไมโครเวฟทำความร้อนด้วยคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ไมโครเวฟที่เป็นสนิม วัสดุเคลือบหลุดออก หรือบานเปิดชำรุด เพราะคลื่นไมโครเวฟอาจรั่วไหลออกมาได้
วิธีสังเกตคลื่นไมโครเวฟรั่วไหล จะรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากเตามากระทบผิวหนัง หากได้รับคลื่นไมโครเวฟมากๆ หรือต่อเนื่อง จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ หากสงสัยว่าเตาไมโครเวฟที่บ้านมีคลื่นรั่วไหลสามารถน ำไปตรวจสอบได้ฟรี ที่กองรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

เตือนภัยเชื้อโรค ในอาหารสุญญากาศ

|0 ความคิดเห็น
เตือนภัยเชื้อโรค ในอาหารสุญญากาศ

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเดนมาร์ก พบว่า อาหารจำพวกเนยและเนื้อบดที่ผนึกด้วยบรรจุภัณฑ์สูญญาก าศตามห้างสรรพสินค้า อาจเป็นแหล่งพำนักอาศัยชั้นดีสำหรับเชื้อที่ก่อให้เก ิดพิษในอาหาร

อาหารที่บรรจุด้วยระบบสูญญากาศ เป็นระบบที่ไล่ออกซิเจนออกจากบรรจุภัณฑ์ เพื่อคงความสดและยืดอายุวางจำหน่าย แต่วิธีนี้กลับเป็นประโยชน์ต่อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ ชื่อว่า ลิสเทอเรีย โมโนไซโตเจนส์ เป็นแบคทีเรียที่ทำให้อาหารเป็นพิษ และร้อยละ 25 ของคนที่ได้รับเชื้อมีโอกาสเสียชีวิต

แบคทีเรียชนิดนี้ต่างจากเชื้อโรคในอาหารชนิดอื่น พวกมันสามารถเจริญเติบโตได้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิต่ ำ คณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐยังระบุด้วยว่า แบคทีเรียลิสเทอเรียนี้ถูกโฉลกกับอาหารจำพวกนมสด ไอศกรีม ชีสแบบนุ่ม ฮอตดอก เนื้อสด ผักสด เนื้อสัตว์ปีกชนิดปรุงสุก และเนื้อสด ปลาสดและรมควัน

ทีมวิจัยจากเดนมาร์กระบุในรายงาน ว่า แบคทีเรียสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องการออกซิเจน ดังนั้น เมื่ออยู่ในบรรจุภัณฑ์แบบสุญญากาศ โอกาสที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายจึงมากกว่าการบรรจุอาหา รในสภาวะทั่ว ๆ ไป

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยไม่ได้สนับสนุนให้เลิกใช้วิธีการบรรจุอาหารแ บบสุญญากาศ เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาแบคทีเรียหรือเชื้อโรคชนิดอื่น แต่งานวิจัยครั้งนี้ ต้องการที่จะช่วยสร้างแนวทางพยากรณ์ความเสี่ยงของโรค เกี่ยวกับอาหาร ในอนาคตทีมวิจัยนี้วางแผนศึกษายีนสำคัญของเชื้อลิสเท อเรียเพื่อหาวิธี ป้องกันและต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายนี้
__________________

ชาช่วยย่อย กับ 4 ตัวเลือก

|0 ความคิดเห็น
ชาช่วยย่อย กับ 4 ตัวเลือก

“ชา” ช่วยย่อย กับ 4 ตัวเลือก
…..คุณสาวๆ women.mthai หลาย คนมักจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพในช่องท้องกันอยู่บ่ อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว หรือแม้กระทั่งอาหารไม่ย่อย อาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คนค่ะ แต่ก็สามารถหายได้ ด้วยสมุนไพรที่คุณหลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ค่ะ
….. ชาขิงสด ให้ คุณสาวๆ ลองใช้ขิงสดบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ นำไปชงกับน้ำต้มเดือดๆ ทิ้งไว้สัก 5 – 10 นาที จากนั้นกรอกเอากากออก ทิ้งไว้ให้เย็น จิบหลังอาหารนะคะ เพื่อเป็นการกระตุ้นการย่อยและป้องกันไม่ให้อาหารนั้ น เข้าไปตกค้างที่ลำไส้ หากเกิดขึ้นแล้วจะนำไปสู่การหมักหมม และเกิดแก๊สที่นำไปสู่อาการท้องอืดได้ค่ะ
….. ชาสะระแหน่ ไม่ว่าจะเป็นสะระแหน่ไทยที่มีใบทรงกลม หรือสะระแหน่เทศใบยาวรี ทั้งคู่นี้ต่างก็มีสรรพคุณที่ช่วยในการดับร้อนและขับ ลมได้ค่ะ และสารจำพวกเมนทอลที่มีอยู่ในน้ำมันหอมระเหยของใบสะร ะแหน่ จะช่วยให้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อหายไปได้ค่ะ วิธีการทำก็ง่ายๆ ค่ะ ลองใช้ใบสะระแหน่สดๆ หรือแบบตากแห้งบดระเอียด 1-2 ช้อนชากับน้ำเดือด แล้วทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำ คุณสาวๆ ควรจะดื่มวันนึงซัก 3-4 ครั้งค่ะ อ๊ะอ๊ะ…!!! ชาประเภทนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการของโรคกรดไหลย้อ น (GERD) เพราะสารบางอย่างที่อยู่ในใบสะระแหน่นี้ จะจะยิ่งเข้าไปช่วยกระตุ้น ทำให้อาการของโรคนี้กำเริบได้ค่ะ
….. ชาเมล็ดยี่หร่า ยี่หร่า เป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติ ในการช่วยขับของเสีย ช่วยในเรื่องของอาการเบื่ออาหารได้ค่ะ เพราะน้ำมันหอมระเหยของเมล็ดยี่หร่านี้จะช่วยลดแก๊ส ช่วยระงับการหดเกร็งของลำไส้ อีกทั้งยังเป้นการช่วยฆ่าเชื้อโรคด้วย มาดูวิธีชงชาเมล็ดยี่หร่ากันค่ะ ใช้เมล็ดยี่หร่า 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่าอีก 1 แก้ว จิบหลังอาหารเป็นประจำ หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นการเคี้ยวแทนก็ได้นะคะ
….. ชาเมล็ดกระวาน คุณสาวๆ รู้มั้ยคะว่า น้ำมันหอมระเหยในเมล็ดกระวานมีสารประกอบจำพวก Camphor และ Pinene มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา ลดการบีบตัวของลำไล้และยังช่วยในเรื่องของการขับลมด้ วยล่ะค่ะ ใช้เมล็ดกระวาน 1 ช้อนชาและน้ำเปล่าอีก 1 แก้ว ทิ้งไว้นานถึง 10 นาที ดื่มระหว่างมื้ออาหาร หรือคุณอาจนำมาบดละเอียด นำมาชงกับน้ำดื่มสะอาด ก่อนที่คุณจะน้ำมันมาชงกับน้ำอุ่นได้เลยล่ะค่ะ

โฮลเกรน อาหารเสริมของสาวหุ่นสวย

|0 ความคิดเห็น
โฮลเกรน อาหารเสริมของสาวหุ่นสวย



ถ้าเอ่ยถึง "โฮลเกรน" หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินกิตติศัพท์กันมาบ้างแล้วว่า อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย อีกทั้งยังสามารถช่วยให้หุ่นของสาว ๆ สวยเด้งได้อีก ยิ่งในปัจจุบัน เทรนด์การบริโภคอาหารที่หวนคืนสู่ธรรมชาติกำลังมาแรง
โฮลเกรนคืออะไร
โฮลเกรน หรือธัญพืชเต็มเมล็ด คือ ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด โดยยังคงส่วนประกอบสำคัญของธัญพืชอยู่ครบถ้วน ซึ่งได้แก่...

1. เยื่อหุ้มเมล็ด (Bran) คือส่วนนอกสุด อุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร แถมยังมีวิตามินบี แร่ธาตุ โปรตีน และธาตุเหล็ก

2. เนื้อเมล็ด (Endosperm) ส่วนนี้เป็นส่วนหลักของธัญพืชเลยทีเดียว จะประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นส่วนใหญ่ มีโปรตีนและวิตามินบีเล็กน้อย ถือเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ

3. จมูกข้าว (Germ) เป็นส่วนที่เล็กที่สุด แต่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย เช่น วิตามินบี วิตามินอี แร่ธาตุ และไฟโตนิวเตรียนท์ต่าง ๆ
โฮลเกรน vs ธัญพืชที่ผ่านการขัดสี
ถ้าเปรียบเทียบธัญพืชที่ผ่านการขัดสีแล้ว ส่วนเยื่อหุ้มเมล็ด และจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงจะหลุดออกไป เมื่อผ่านกระบวนการขัดสี เหลือเพียง แต่เนื้อเมล็ดเท่านั้น ในขณะที่โฮลเกรนจะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนตามธรร มชาติ ไม่ว่าจะเป็นเส้นใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และไฟโตนิวเตรียนท์หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ

ฉะนั้น เราจึงไม่ควรเชิดใส่โฮลเกรน ตรงกันข้ามควรจะหาเวลากินโฮลเกรนให้บ่อย ๆ ตัวอย่างโฮลเกรนที่เรารู้จักกันดีก็คือ ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ ลูกเดือยที่ผ่านการขัดสีน้อย
ไดเอ็ตด้วยโฮลเกรน
จากการสำรวจของ The Harvard Nurses Health Study ในกลุ่มผู้หญิงอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไป จำนวน 75,000 คน พบว่าผู้หญิงที่กินโฮลเกรนเป็นประจำ น้ำหนักจะน้อยกว่าผู้หญิงที่ไม่กินโฮลเกรนเลย แต่กินแป้งขัดขาวมากกว่า นอกจากนี้ ผู้หญิงที่กินอาหารที่มีเส้นใยสูงและโฮลเกรนเป็นประจ ำ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ถึง 49%

ในขณะที่ผลการศึกษาอีกแห่งหนึ่ง ได้มีการศึกษากับผู้ชายอายุ 40-75 ปี จำนวน 27,082 คน พบว่า ในช่วงระยะเวลา 8 ปี ความสัมพันธ์ระหว่างการกินโฮลเกรน กับการลดลงของน้ำหนักเป็นไปอย่างชัดเจน การกินโฮลเกรนทุก ๆ 40 กรัม จะช่วยลดน้ำหนักได้ 0.49 กิโลกรัม และถ้าหากกินเยื่อหุ้มเมล็ด (Bran) เพิ่มอีก 20 กรัม จะช่วยลดน้ำหนักได้ถึง 0.36 กิโลกรัมเลยทีเดียว (น่าสนมั้ยล่ะ) ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะเส้นใยและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนในโฮลเกรน จะทำให้ร่างกายย่อยอย่างช้า ๆ ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน ทำให้เราไม่กินจุบกินจิบ จึงสามารถช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้

นอกจากนี้ หากเรากินโฮลเกรนเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงของการเ กิดโรคต่าง ๆ อย่าง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งในทางเดินอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ช่วยป้องกันท้องผูก และช่วยให้สุขภาพดีขึ้นด้วย
โฮลเกรน - อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ
สำหรับใครที่ต้องการจะควบคุมน้ำหนัก อาหารเช้าถือเป็นมื้อสำคัญที่สุดที่ไม่ควรจะละเลย เพราะถ้าคุณไม่กินมื้อเช้าเมื่อผ่านไป 12 ชั่วโมง ระดับพลังงานของร่างกายจะลดต่ำลง

จากการศึกษาในยุโรปแสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารเช้าที่สมดุลจะช่วยคงน้ำหนักที่ดีไ ด้ โดยช่วยลดความต้องการในการรับ ประทานอาหารที่มีไขมันระหว่างวัน นอกจากนี้ การกินโฮลเกรนอย่างน้อยวันละ 3 มื้อ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน เส้นเลือดหัวใจตีบ และช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้ดีอีกด้วย


สำหรับ ใครที่ไม่เคยหันมามองตัวช่วยสุดเวิร์กอย่างโฮลเกรนนี ้ เห็นทีคงจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ หันมาให้ความสนใจกับมันมากขึ้นกว่านี้ เสียแล้วละ เพื่อสุขภาพที่ดีและหุ่นที่ผอมเพรียวไงล่ะ

นอนดึกแล้วหิว...ทำอย่างไรดี

|0 ความคิดเห็น
นอนดึกแล้วหิว...ทำอย่างไรดี



คำตอบคือ ต้องเตรียมตัวกันแต่เนิ่นๆ ดังนี้


1. กินอาหารหลากหลาย เช่น คาร์โบไฮเดรต จำพวกแป้งไม่ขัดสี ผักที่มีไฟเบอร์มาก และโปรตีนประเภทปลา เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มอยู่ท้องได้นาน

2. ดื่มน้ำมากหน่อย หลังจากดื่มน้ำหลังอาหารเย็น ให้ดื่มน้ำเรื่อยๆ เพราะจะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม

3. อย่าใจอ่อน ไม่เปิดตู้เย็นหยิบอะไรมากิน ให้หันเหความสนใจไปทำสิ่งอื่น เช่น ทำงานไปด้วยฟังเพลงไปด้วย หรือพักไปอาบน้ำให้สดชื่น

4. ดื่มชาอุ่นๆ ทุกชนิด ที่ดีที่สุดคือชาเขียว ไม่เติมน้ำตาล ไม่เติมนม เพราะชาเขียวจะทำให้รู้สึกสงบ ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยให้กระเพาะอาหารได้ย่อยอาหารเล ็กๆ น้อยๆ ทำให้หายหิวได้


5 สาเหตุใกล้ตัวก่อมะเร็ง

|0 ความคิดเห็น
5 สาเหตุใกล้ตัวก่อมะเร็ง



หนังสือ The America Cancer Society’s book กล่าวว่า กระบวนการก่อตัวของเซลล์มะเร็งนั้นเกิดจากปัจจัยหลาก หลายทั้งจากภายนอกและ ภายใน เช่น สารก่อมะเร็งที่คนเราได้รับในชีวิตประจำวัน และการทำกิจกรรมต่างๆ ที่กระตุ้นให้เซลล์ทำงานผิดปกติ

แม้ปัจจุบันวงการแพทย์จะยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าสาเห ตุใด คือ ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคมะเร็ง แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่าสาเหตุดังต่อไปนี้ คือ ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดเนื้องอกและเซลล์ร้ายในร่างก าย
1. ภูมิชีวิต (Immune System) บกพร่อง
“มะเร็งไม่ใช่โรค” คือ คำกล่าวที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูชีวจิตกล่าวถึงโรคมะเร็งในหนังสือมะเร็งแห่งชีวิ ต เพราะความเจ็บป่วยที่ถือว่าเป็นโรค ซึ่งอาจารย์สาทิสยึดตามคำจำกัดความด้านการแพทย์นั้นต ้องเกิดจากเชื้อโรคเป็น ต้นเหตุ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และพยาธิเท่านั้น ส่วนมะเร็งนั้นถือว่าเป็นเนื้องอกหรือกลุ่มเซลล์ที่ผ ิดปกติและไม่สามารถควบ คุมได้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เซลล์ปกติกลายเป็นเซลล์ร้ายนั้น คือ กระบวนการกลายพันธุ์ และปัจจัยที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ก็คือ ความบกพร่องของภูมิชีวิตนั่นเอง
อาจารย์สาทิสกล่าวว่า “Immune System เป็นตัวคุ้มครองป้องกันชีวิตของคุณ เหมือนอย่างตำรวจ ทหารที่เป็นผู้คุ้มกันสร้างความสงบสุขให้กับประเทศ.. .นอกไปจากนั้น Immune System ยังเป็นผู้ทำนุบำรุงเลี้ยงร่างกายให้ใหญ่โต แข็งแรง เป็นตัวสร้างพลังทั้งปกติและพิเศษในตัวคนเราอีกด้วย
“Immune System ตามแนวทางชีวจิต นอกจากจะหมายถึง Immune System โดยตรงแล้วยังครอบคลุมไปถึงระบบอื่นๆของร่างกายด้วย เช่น ระบบย่อย ระบบเลือด”
ดังนั้นความบกพร่องของ Immune System จึงทำให้อวัยวะในร่างกายและเซลล์ต่างๆทำงานผิดปกติ ซึ่งปัจจัยที่ทำลาย Immune System ก็คือ การที่ร่างกายมีสารพิษหรือ Toxin มากเกินไป ซึ่งอาจารย์สาทิสกล่าวว่า ความผิดทั้งทางกายและทางใจล้วนเป็นตัวสร้าง Toxin ไม่ว่าจะเป็นการกิน นอน พักผ่อน ทำงานที่ผิด และขาดการออกกำลังกายรวมถึงความเครียด
เมื่อร่างกายสะสม Toxin ไว้มากโดยไม่ได้ขับออกโดยระบบขับถ่ายหรือการออกกำลัง กาย สารพิษต่างๆจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ Immune System และการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายบกพร่อง
การดูแลรักษาภูมิชีวิตให้แข็งแรงจึงเป็นดั่งปราการปก ป้องมะเร็งได้ค่ะ
2. พฤติกรรมการกิน
คำกล่าวที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอนั้นส ามารถใช้ได้กับทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่การกิน เพราะเมื่อใดที่เรากินอาหารดีมีประโยชน์ เซลล์ทั่วร่างกายก็จะเติบโตแข็งแรง แต่เมื่อใดที่เรากินอาหารที่อุดมไปด้วยแป้งขาว ไขมัน และสารพิษ เมื่อนั้นร่างกายก็จะอ่อนแอ และถูกโรคภัยนานาชนิดคุกคามได้ง่าย
พฤติกรรมการกินแบบชาวตะวันตกนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในตั วการที่ทำให้ร่างกายทำ งานผิดปกติ เพราะอาหารที่ผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เต็มไปด้วยแป้งและเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมส ่วนที่สึกหรอ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์ปกติกลายเป็นเซลล์ร ้าย
อาหารฟาสต์ฟู้ดยังเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างก าย ระบบเผาผลาญน้ำตาล ก่อให้เกิดอาการอักเสบในเซลล์และอวัยวะต่างๆ นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ส่งเสริ มให้เกิดเซลล์มะเร็ง ด้วย
ดังที่อาจารย์สาทิส กล่าวว่า “อาหารที่เข้าปากเรากับอาหารที่ไปบำรุงร่างกายนั้นไม ่เหมือนกัน เพราะเมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกาย ก็จะถูกย่อยและทำให้เป็นสารอาหาร”
ดังนั้น ถ้าเรากินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น แป้งขัดขาว เนื้อสัตว์ที่อุดมไปด้วยกรดแอมิโนที่ไม่จำเป็นต่อร่า งกาย และไขมันเลวชนิดที่ร่างกายไม่ต้องการ เมื่อเข้าสู่ระบบย่อยก็จะกลายเป็นสารพิษ และจะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ร่างกายของเราจึงเต็มไปด้วยสารพิษซึ่งเป็นสาเหตุที่ท ำให้ Immune System ตก
ที่สำคัญยังก่อให้เกิดโรคอ้วนด้วย ซึ่งโรคอ้วนก็ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรคไขมันในเส้นเลือดสูง และความดันโลหิตสูง ทั้งยังมีผลต่อการเกิดโรคมะเร็งมากถึง 35 เปอร์เซ็นต์
จากสถิติในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานเป็นสาเหตุของการเสียชีวิ ตจากโรคมะเร็ง 17 เปอร์เซ็นต์ ในผู้ชายที่มีน้ำหนักตัวเกินจะมีความเสี่ยงต่อการเสี ยชีวิตจากมะเร็งต่อมลูก หมาก 34 เปอร์เซ็นต์ และในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร ็งเต้านม มากกว่าผู้หญิงน้ำหนักปกติ 2 เท่า
นอกจากนี้การดื่มแอลกฮอล์ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเก ิดมะเร็งด้วยดังที่ The National Institutes of Public Health in Denmark ศึกษาพฤติกรรมการใช้ชีวิตของประชากรชายชาวเดนมาร์คจำ นวน 30,000 คน พบว่าผู้ชายที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์มากกว่าวันละ 2 แก้วทุกวัน จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Rectal Cancer) มากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มสามเท่า
และผู้หญิงที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์วันละครึ่งแก้ว ทุกวัน จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมมากว่าผู้หญิงทั่วไ ป 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้หญิงที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์มากกว่าวันละ 2 แก้วทุกวัน จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมมากว่าผู้หญิงทั่วไ ป 21 เปอร์เซ็นต์
เรื่องใกล้ตัวอย่างอาหารการกินจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยส ำคัญก่อมะเร็งค่ะ
3. วิถีชีวิต
เราอาจกล่าวได้ว่าวิถีชีวิตนั้นสามารถก่อมะเร็งได้เท ่าๆกับป้องกันมะเร็ง เพราะวิถีชีวิตที่ดีนั้นสามารถป้องกันการกลายพันธุ์ข องเซลล์ได้ เช่น ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีระบบเผาผลาญ ระบบภูมิคุ้มกัน และระบบกำจัดของเสียออกจากร่างกายที่มีประสิทธิภาพมา กกว่าผู้ที่ไม่ออกกำลัง กาย ขณะที่การดำเนินชีวิตแบบไม่ใส่ใจสุขภาพ ส่งผลให้คนเรามีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เช่น ขาดการออกกำลังกาย สูบบุหรี่ และดื่มแอลกฮอล์ ล้วนเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ร่างกายอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตและการเกิดโ รคมะเร็ง พบว่าผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ งสูงกว่าผู้ที่ออกกำลัง กายเป็นประจำ เพราะมีไขมันสูงและการมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ก็ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยก่อโรคมะเร็งเช่นกัน
นอกจากนี้ความเครียดยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดค วามผิดปกติในร่างกาย เพราะเมื่อเครียดร่างกายจะทำงานผิดปกติ และระบบต่างๆในร่างกายจะแปรปรวน
ดังอาจารย์สาทิส กล่าวว่า “เมื่อคุณคิดผิดๆ คิดถึงแต่ความโลภ ความโกรธ ความเกลียด หรือคิดถึงแต่ความอยากได้ อยากได้อะไรต่ออะไรร้อยแปด นั่นคือ มะเร็งในความคิด...มะเร็งในความคิดจะขยายต่อไปเป็นมะ เร็งในร่างกาย”

การ ใส่ใจสุขภาพด้วยการหันมาออกกำลังกาย ลดความเครียด และกินอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นเกราะป้องกันมะเร็งและโรคร้ายอื่นๆได้ เพราะสาเหตุใกล้ตัว คือ ต้นตอใหญ่ของมะเร็งร้ายทุกชนิด
4. สิ่งแวดล้อม
การมีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี นั้น ถือเป็นหนึ่งในปัญจกิจของชีวจิตที่อาจารย์สาทิส ได้บัญญัติขึ้น เพราะการมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปราศจากสารพิษนั ้นส่งเสริมให้เรามี สุขภาพดี
ในทางกลับกัน หากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษสุขภาพของเราก็จะทรุดโทรม และถูกโรคนานาชนิด โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่สิ่งแวดล้อมมีผลกระทบมากถึง 25 เปอร์เซ็นต์
ถึงแม้ว่าร่างกายจะมีกลไกขับสารพิษโดยอัตโนมัติ แต่หากมนุษย์ได้รับสารพิษเป็นจำนวนมากและต่อเนื่องเป ็นเวลานาน เซลล์ปกติก็จะค่อยๆกลายเป็นเซลล์มะเร็ง เพราะสารเคมีบางชนิดที่เราได้รับในชีวิตประจำวันนั้น สามารถทำร้ายเซลล์ได้ลึกถึงดีเอ็นเอเลยทีเดียว
ส่วนใหญ่เรามักได้รับสารก่อมะเร็งจากอาหาร อากาศ น้ำดื่ม และอุปกรณ์อื่นๆในชีวิตประจำวัน เช่น โทรศัพท์มือถือ ไมโครเวฟ และการเอกซเรย์ และสารพิษที่เราได้รับมักเป็นสารเคมีจำพวกยาฆ่าแมลง ฮอร์โมนที่อยู่ในเนื้อสัตว์ สารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เครื่องสำอาง เฟอร์นิเจอร์ ยาฆ่าแมลง และควันบุหรี่ซึ่งถือว่าเป็นสารพิษที่อยู่ใกล้ตัวมาก ที่สุด
The American Cancer Society เผยว่าในจำนวนผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดนั้น มีผู้ที่สูดควันบุหรี่มือสองเป็นจำนวนถึง 3,000 คน และผู้ที่ได้รับสารพิษที่ตกค้างจากควันบุหรี่ในสิ่งแ วดล้อม เช่น เส้นผม เสื้อผ้า ผนัง และเฟอร์นิเจอร์ ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับสารเคมีและสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะสารตะกั่วมากเช่นเดียวกับบุหรี่มือสอง
นอกจากนี้ สารตะกั่วแล้วสารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในบ้านยั งส่งผลเสียต่อร่างกาย ด้วย ดังผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Occupational and Environmental Medicine ที่พบว่าสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนนั้นมีความสั มพันธ์กับการเกิดโรค มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก
นอกจากสารเคมีแล้วอาหารตัดต่อพันธุกรรมยังเป็นตัวการ ก่อโรคมะเร็งได้ด้วย เพราะมีรายงานว่าเมื่อเรากินอาหารตัดต่อพันธุกรรมเข้ าไป อาหารดังกล่าวจะเข้าไปทำลายดีเอ็นเอในเซลล์ให้เสียหา ย ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยและโรคมะเร็ง
สิ่งแวดล้อมจึงถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กำหนดสุขภา พของเราทุกคน5. พันธุกรรม
นอกจากลักษณะทางกายภาพภายนอก เช่น สีผิว ตา และผม ที่เราได้รับมาจากบรรพบุรุษแล้ว บางคนยังอาจได้รับยีนส์ (Genes) หรือสารพันธุกรรมที่ซุกซ่อนการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร ่างกายมา เช่น ยีนส์ BCRA1 และ BCRA2 ซึ่งเป็นยีนส์ที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเ ต้านมและรังไข่มากถึง 40-80 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้โรคมะเร็งเต้านม รังไข่ ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่ จะถูกส่งต่อจากญาติที่ใกล้ชิดที่สุดคือ ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ และพี่น้อง แต่การมีพันธุกรรมมะเร็งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคนคน นั้นจะต้องป่วยเป็นโรค มะเร็งเสมอไป เพราะผลการศึกษาโรคมะเร็งในฝาแฝดที่มียีนส์มะเร็งทั้ งคู่ พบว่าโดยทั่วไปแล้วจะมีฝาแฝดเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นโรคมะเร็ง
ส่วนคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งนั้น ถือว่ามีความเสี่ยงต่อโรคนี้เช่นกัน เพราะอาจมีพฤติกรรมก่อมะเร็งที่ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่ น เช่น การสูบบุหรี่ ความเครียด และวิถีชีวิต
ทว่า เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยทางด้านพันธุกรรมแล้ว นักวิจัยและแพทย์ต่างเห็นว่าพันธุกรรมนั้นมีผลกระทบน ้อยที่สุด และเป็นปัจจัยที่ทุกคนสามารถยับยั้งได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

5 ปัจจัยก่อมะเร็งรู้ไว้ก่อน ป้องกันได้ก่อนค่ะ

เช็ค 10 โรคเลือด คุณเป็นหรือเปล่า

|0 ความคิดเห็น
เช็ค 10 โรคเลือด คุณเป็นหรือเปล่า

โรค เลือดเป็นปัญหาสุขภาพที่ถือเป็นภัยเงียบ เพราะมักมาเยี่ยมเยือนโดยไม่รู้ตัว และบางโรคก็เป็นโรคที่เกิดจากพันธุกรรม เราจะมาเช็ก 10 โรคเลือดที่คนไทยเป็นกันมากไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะได้ป้องกันและรักษาอย่างทันท่วงที

1. โลหิตจาง โรควัยสาว

สาเหตุของโลหิตจาง โรคเลือดที่คนไทยเป็นมากที่สุดมักเกิดจากการกินผิด ซึ่งหมายถึงการขาดสาร
อาหาร ประเภทโปรตีน นอกจากนั้นอาการอื่นๆ ก็มักเกี่ยวกับความผิดปกติของการทำงานของไขกระดูก หรือบางทีเกิดจากการป่วยเป็นมะเร็ง ต้องใช้ยาหรือเคมีบำบัด ซึ่งเป็นตัวทำลายเลือด ทำให้เกิดโรคโลหิตจางอย่างรุนแรง
โดยโรคโลหิตจางสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. โรคโลหิตจางชนิดขาดวิตามินอี (Hemolytic Anemia) ส่วนใหญ่พบในเด็กซึ่งคลอดก่อนกำหนด
2. โรคโลหิตจางชนิดขาดกรดโฟลิก (Megaloblastic Anemia) พบในเด็ก ผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่ชอบ
รับประทานอาหารประเภทแป้งขาวมากๆ ผู้ที่กินยาแอสไพรินเป็นประจำ และผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ
3. โรคโลหิตจางชนิดขาดวิตามินบี 12 (Pernicious Anemia) ผู้เป็นโรคนี้มักพบว่ามีความผิดปกติในการดูดซึมสารอา หาร โดยเฉพาะวิตามินบี 12 ที่กระเพาะอาหาร
4. โรคโลหิตจางชนิดขาดวิตามินบี 6 (Sideroblastic Anemia)
5. โรคโลหิตจางชนิดที่เชื่อกันว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ (Hereditary and Rare Anemias)
สำหรับสถานการณ์การขาดธาตุเหล็กในปัจจุบันนั้นเกิดจา กภาวะทุพโภชนาการ ส่วนใหญ่เป็นการขาด
ธาตุ เหล็กจากการขาดสารอาหาร ปกติมักเกิดกับเด็ก วัยรุ่น และหญิงตั้งครรภ์แต่ตอนนี้เด็กเป็นน้อย วัยรุ่นที่อยู่ในช่วงเจริญพันธุ์กลับเป็นมากขึ้น เพราะผู้ชายพอเข้าใกล้วัยรุ่น ร่างกายเจริญเติบโตเร็วต้องสร้างเม็ดเลือดมากขึ้น ส่วนผู้หญิงก็เสียเลือดไปกับประจำเดือน แต่เมื่อวัยรุ่นปัจจุบันเน้นการควบคุมน้ำหนัก จึงทำให้เกิดภาวะดังกล่าว

How to check
เรามีวิธีการสังเกตอาการที่ส่อว่าเป็นโลหิตจางได้ดัง ต่อไปนี้
  • มีอาการหน้ามืด อ่อนเพลีย หายใจไม่ออก
  • ปวดหัว เวียนหัว
  • นอนไม่หลับ
  • ผิวซีดหรือค่อนข้างเหลือง
  • เบื่ออาหาร ช่องท้องและลำไส้มีอาการผิดปกติ
หากมีอาการตรงตามข้างต้น 4 - 5 ข้อพร้อมๆ กันค่อนข้างแน่นอนว่าเป็นโลหิตจาง

2. โรคลิวคีเมีย เมื่อเม็ดเลือดขาวทำร้าย
โรค ลิวคีเมีย คือ มะเร็งเม็ดเลือดขาว เกิดจากไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดขาวไม่หยุด ทำให้ไปขัดขวางการทำงานของไขกระดูก มีผลทำให้เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดลดลง และเม็ดเลือดขาวไม่มีคุณภาพ พบผู้ป่วยในทุกกลุ่มอายุ ไม่ใช่โรคทางพันธุกรรม ขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุของโรค
มีการศึกษาแต่ยังไม่ยืนยันผลซึ่งรายงานว่า คนที่อยู่บ้านใกล้หรือใต้สายไฟฟ้าแรงสูงก็มีปัจจัยเส ี่ยงมาก
ขึ้น เพราะอาจมีสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามากกว่าปกติ แต่ผลที่ยืนยันว่าเกี่ยวข้องกัน คือ คนที่เคยเข้ารับการรักษาด้วยการฉายแสง เช่น การฉายแสงเพื่อทำลายไฝ จะทำให้เม็ดเลือดกลายพันธุ์ หรือการได้รับรังสี ไม่ว่าขนาดไหนก็เป็นปัจจัยเสี่ยง หรืออาจเกิดในผู้ป่วยที่เคยเป็นมะเร็งชนิดอื่นๆ มาก่อน ซึ่งเคยรักษาด้วยเคมีบำบัด หลังจากนั้นภายใน 5 - 10 ปีก็มีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้อีก

How to check
  • เลือดจาง มีไข้
  • เกล็ดเลือดจะต่ำ ทำให้ผิวหนังมีจ้ำเลือดหรือจุดเลือด
  • เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกจมูก ทั้งๆ ที่ไม่ได้โดนอะไร
3. โรคทาลัสซีเมีย เลือกคู่ถูก ป้องกันได้โรคทาลัสซีเมียเป็นโรคที่พบมากช มีความหลากหลายทางพันธุกรรมค่อนข้างมาก ราว 4 - 5 ล้านคนมี
ผู้ ป่วยทาลัสซีเมียชนิดรุนแรงที่ต้องเข้ารับรักษา ต้องมาให้เลือดเป็นประจำราว 2 - 3 หมื่นราย สามารถป้องกันด้วยการตรวจหาคู่เสี่ยง ซึ่งหมายถึง การที่สามีและภรรยาเป็นพันธุกรรมแฝงของทาลัสซีเมียชน ิดเดียวกัน ถ้าไม่เป็นคู่เสี่ยงหรือมีพันธุกรรมแฝงคนละชนิด ตั้งครรภ์ได้ ไม่เป็นไร ปัจจุบันการฝากครรภ์สามารถตรวจเลือดหาคู่เสี่ยง เพื่อป้องกันการเกิดผู้ป่วยรายใหม่ได้

How to check
  • มีอาการซีด หากเป็นไข้ ไม่สบาย จะยิ่งซีดลงอย่างรวดเร็ว
  • อ่อนเพลีย หน้ามืด ไม่มีแรง
  • มีอาการเหนื่อยกว่าปกติขณะออกกำลังกาย
  • ตับ ม้ามโต
  • สำหรับ ผู้ป่วยที่เป็นเด็ก จะตัวเล็ก เลี้ยงไม่โต ตาเหลืองเล็บและปากซีด ถ้าเป็นชนิดรุนแรงจะมีอาการตั้งแต่ขวบปีแรก แต่ถ้าเป็นชนิดไม่รุนแรงอาจมาออกอาการตอนโตได้
4. โรคฮีโมฟิเลีย พันธุกรรมทำป่วยโรคพันธุกรรมอันเกิดจากสารพันธุกรรมไม่สามารถควบคุมก ารสร้างสารให้เลือดแข็งตัว เลือดจึงออกง่าย
หรือถ้าเลือดออกในข้อ ข้อก็จะบวม โรคนี้ถ่ายทอดทางยีนแฝงที่มาทางแม่สู่ลูกชาย สำหรับในผู้หญิงจะเป็นยีนแฝง ซึ่งจะไม่มีอาการ

How to check
  • เลือดออกง่าย
  • ข้อบวมจากการมีเลือดออกในข้อ
5. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ต่อมโตไม่ใช่เรื่องเล็กมะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งทางระบบโลหิตวิทยาที่พ บบ่อยในประเทศไทย มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
สัมพันธ์กับระบบการไหลเวียนเลือดอย่างแยกไม่ออก เพราะระบบไหลเวียนของน้ำเหลืองภายในร่างกายถือเป็นส่ วนหนึ่งของระบบไหลเวียนเลือด

How to check
  • ต่อม น้ำเหลืองที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งจะโตขึ้น อาจเป็นต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ ขา หรือรักแร้ หากเกิดความผิดปกติที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอหรือที่ห นึ่งที่ใด ต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้นจะบวม โดยไม่ยุบลงใน 2 - 3 สัปดาห์ ในทางกลับกัน หากเกิดจากการติดเชื้อปกติ ต่อมน้ำเหลืองจะยุบลงภายใน 2 - 3 สัปดาห์
  • วิธี สังเกตมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ ให้สังเกตว่าคอจะบวมบริเวณด้านข้างเมื่อกลืนอาหาร บริเวณที่บวมจะไม่เคลื่อนที่ตามการกลืน ในทางกลับกัน หากบริเวณที่บวมอยู่กลางลำคอ เวลากลืนน้ำลายหรืออาหารแล้วบริเวณที่บวมนั้นเคลื่อน ที่ตามการกลืนไปด้วย นั่นเป็นอาการความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ ไม่ใช่อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
6. โรควอนวิลลิแบรนด์ วิกฤติเลือดออกไม่หยุดโรควอนวิลลิแบรนด์เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ จะมีอาการเลือดออกง่ายแต่กำเนิด ซึ่งวอนวิลลิแบรนด์นี้คือ
ตัว เชื่อมระหว่างเกล็ดเลือดกับรอยรั่วของหลอดเลือด เมื่อฮอร์โมนเอสโทรเจนต่ำ วอนวิลลิแบรนด์ก็ต่ำลง ทำให้การห้ามเลือดไม่ค่อยดีและมีเลือดออกง่าย ปัจจุบันประชากรของประเทศไทยประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์มีระดับวอนวิลลิแบรนด์ต่ำ

How to check
  • มีเลือดออกง่ายแต่กำเนิด ห้ามเลือดได้ช้า
  • ในผู้หญิง ประจำเดือนจะมามากผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมามากทั้งเจ็ดวัน เลือดอาจออกมากจนซีด แต่ไม่ปวดท้อง

7. โรคเลือดข้น หน้าแดงเป็นกวนอูส่อโรค

เกิด จากไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดมากผิดปกติ เกิดจากยีนกลายพันธุ์เมื่ออายุมากขึ้น หากเป็นโรคนี้ เลือดจะหนืดข้น อาจจะทำให้เส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมองอุดตัน หรือกลายไปเป็นลิวคีเมียได้ โรคนี้พบได้ในคนวัย 50 ปีขึ้นไป ทั้งผู้หญิงผู้ชาย

How to check
  • ใบหน้าและลำตัวจะแดงตลอดเวลา
  • มีอาการมึนงง เนื่องจากถ้าเลือดข้นมาก การไหลเวียนเลือดจะไม่ดี การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองจึงไม่ดีเท่าที่ควร
  • อาจมีอาการคันตามตัว
8. โรคไอทีพี เพราะภูมิต้านทานมากเกินไปเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ แต่เป็นมากในผู้หญิงวัยรุ่น เกิดจากมีภูมิต้านทานมากเกินไป คือมีจำนวน
เม็ดเลือดขาวเท่าเดิมแต่ทำงานมากจนไปทำลายเกล็ดเลือด ส่งผลให้เกล็ดเลือดต่ำอย่างเดียวแต่เลือดไม่จาง

How to check
  • มีเลือดออกง่าย มีจ้ำเลือดตามผิวหนัง ลักษณะเป็นจุดเลือด จุดเล็กๆ กดแล้วไม่จาง เพราะเป็นเลือดที่มาคั่ง แต่ไม่เจ็บ
  • อาจมีเลือดออกตามจมูก ปาก และไรฟัน
9. พรายย้ำ จ้ำเขียว โรคเลือดลึกลับพรายย้ำ จ้ำเขียวอาจเกิดจากเกล็ดเลือดต่ำ เมื่อกระแทกอะไรจึงเกิดเป็นจ้ำเลือด พบในผู้หญิง เพราะ
อาการ จะสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเ พศหญิง ฮอร์โมนตัวนี้มีผลทำให้เส้นเลือดแข็งแรง ดังนั้นเมื่อฮอร์โมนเอสโทรเจนต่ำ เส้นเลือดจะเปราะบาง จึงเกิดรอยช้ำที่ผิวได้ง่าย ถ้าเป็นมากๆ ควรมาตรวจ เพราะอาจมีอาการเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติด้วย

How to check
  • มีรอยช้ำที่ผิวโดยไม่ทราบสาเหตุบ่อยๆ หากมีอาการรุนแรงอาจมีอาการเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติด้ วย
  • ประจำเดือนมามากกว่าปกติอาจเป็นอาการหนึ่งที่แสดงว่า เป็นโรคนี้ได้
10. การติดเชื้อในกระแสโลหิต สาเหตุการตายแห่งยุคคือ การติดเชื้อชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อที่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งมาก่อน เช่น ไตอักเสบจากการ
ติด เชื้อ แล้วเชื้อจากไตเข้าสู่กระแสเลือด จะเข้ามาเมื่อไรยังไม่สามารถรู้ได้ ในคนปกติก็สามารถเป็นได้ เช่น ผู้หญิงที่ชอบกลั้นปัสสาวะ อาจทำให้ติดเชื้อที่กรวยไต เป็นไข้ ไม่สบายแล้วไม่รักษา หรือไปซื้อยากินเอง แต่ฆ่าเชื้อไม่ได้ ก็ทำให้เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดได้ เพราะที่กรวยไตมีเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงตลอดเวลา เชื้อก็สามารถแพร่ไปสู่อวัยวะอื่นได้ หากเชื้อลุกลามจนเม็ดเลือดขาวสู้ไม่ไหวก็อันตราย
ในกรณีผู้สูงอายุที่มักเสียชีวิตด้วยการติดเชื้อในกร ะแสเลือด เพราะอายุมาก เม็ดเลือดขาวค่อนข้างต่ำ
และเม็ดเลือดขาวไม่ค่อยแข็งแรง
อวัยวะ ทุกอวัยวะ ถ้าติดเชื้อก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อ ในกระแสเลือดได้เท่ากัน อวัยวะที่เป็นบ่อยๆ คือที่กรวยไต เพราะเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย ถ้านอนอยู่เฉยๆ อย่างเป็นเจ้าชายนิทรา เจ้าหญิงนิทรา แล้วเกิดการสำลักก็เป็นปอดบวมได้ และทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่ายด้วย

How to check
  • มีไข้สูง
  • หนาวสั่น
อาการข้างต้นนี้บ่งชี้ว่าร่างกายอาจเกิดการติดเชื้อค ่อนข้างรุนแรง หากเกิดในผู้สูงอายุต้องรีบตรวจหา
สาเหตุ ที่แน่ชัด และเข้ารับการรักษาได้เรียนรู้สาเหตุและอาการเพื่อรู ้เท่าทันโรคกันไประดับ หนึ่งแล้ว จะเห็นได้ว่าโรคเลือดสัมพันธ์กับภูมิชีวิตไม่น้อย
ดังนั้นไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วย การดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยต้านโรคได้ค่ะ

5 สัญญาณเตือน เลือดคุณไม่ปกติแล้ว
เมื่อเลือดมีปัญหา ร่างกายจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือดังนี้
1. อารมณ์ซึมเศร้า ไม่สดชื่น
2. อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย
3. หน้ามืดและอาจเป็นลมบ่อย
4. ร่างกายเกิดจ้ำเลือดง่าย หรือเกิดจ้ำเลือดตามตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ
5. ร่างกายไม่แข็งแรง มักติดเชื้อโรคง่าย
__________________

ไม้กระถางในออฟฟิศช่วยคลายเครียด

|0 ความคิดเห็น
ไม้กระถางในออฟฟิศช่วยคลายเครียด



ไม้กระถางในออฟฟิศช่วยคลายเครียด (ไทยโพสต์)

ผลวิจัยล่าสุดพบว่า การหาไม้กระถางมาวางในที่ทำงานช่วยให้พนักงานลดความอ ่อนเพลีย ความเครียด อาการคอแห้ง ปวดหัว ไอ และผิวแห้งได้

งานศึกษานี้จัดทำโดยนักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อม ดร.ทีนา บริงส์ลีมาร์ก กับคณะ แห่งมหาวิทยาลัยวิทยาการสิ่งมีชีวิตในนอร์เวย์ และมหาวิทยาลัยอัพพ์ซาลาในสวีเดน

ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง นักวิจัยได้ศึกษาพนักงาน 385 คน โดยดูความเกี่ยวโยงระหว่างอัตราการขอลาป่วยกับจำนวนต ้นไม้ที่พนักงานสามารถ มองเห็นได้ในที่ทำงานพบว่า ยิ่งพนักงานได้เห็นต้นไม้มากเท่าไร อัตราการลาป่วยก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น

ผู้วิจัยบอกว่า นั่นเป็นเพราะต้นไม้และจุลชีพในดินจะช่วยลดสารอินทรี ย์ที่ส่งผลต่อสุขภาพ และมีปัจจัยด้านจิตวิทยาด้วยว่า การที่คนได้แลเห็นต้นไม้จะช่วยให้มองสุขภาพของตนเองใ นทางบวกไม้กระถางเป็น ประโยชน์แก่อาคารสำนักงานที่ไม่มีหน้าต่าง

ผลวิจัยชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตท ได้ศึกษาเปรียบเทียบการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ใ นห้องที่มีต้นไม้กับใน ห้องที่ไม่มี พบว่า พนักงานที่ทำงานในห้องที่มีต้นไม้จะทำงานได้เร็วกว่า 12% และมีความเครียดต่ำกว่า ขณะที่ความดันโลหิตก็ต่ำกว่าด้วย

"ผลวิจัย ชิ้นนี้ยืนยันว่า ต้นไม้ที่ปลูกกันตามบ้านสามารถลดระดับความเครียดได้" ดร.เวอร์จิเนีย ลอร์ บอก และยังพบด้วยว่า ฝุ่นจะลดลงถึง 20% หากมีการวางพวกไม้ใบไว้ในออฟฟิศ "ไม้ใบที่มีใบกว้างจะผลิตออกซิเจน และช่วยย่อยสลายสารพิษในอากาศ" เธอบอก

มาเป็นสาวสุขภาพดีกันเถอะ

|0 ความคิดเห็น
มาเป็นสาวสุขภาพดีกันเถอะ



สุขภาพดีเริ่มต้นได้ด้วยตัวคุณ ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้ออาหารชั้นเลิศแต่อย่างใด เพียงคุณทำตามเทคนิค 15 ข้อที่เรานำมาฝากวันนี้ รับรองว่าจะมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์แน่นอน


เดิน 30 นาทีต่อวัน ช่วยเผาผลาญแคลอรีและช่วยลดความดันเลือด ถ้าหากมีเวลาลองบริหารหัวใจด้วยวิธีการว่ายน้ำ 2-3 รอบสระ จะทำให้ร่างกายของคุณรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า

ทานขอบขนมปัง มีรายงานการวิจัยออกมาแล้วว่า ขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าเนื้อนุ่ม ๆ ถึง 8 เท่า ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ดีมากค่ะ

ทานบลูเบอร์รี่ แนะนำว่าให้เป็นผลที่สดนะคะ จะช่วยป้องกันโรคสมองชราภาพได้ดีทีเดียว

ควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่อง และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ๆ เพราะจะทำให้ระบบร่างกายรวนไปหมด

ป้องกันผิวจากแสงแดด ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการออกแดดเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ผิวหนังถูกแดดเผา ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดด 20 นาที และควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง



ทานแอปเปิ้ลทุกวัน หรือทานน้ำแอปเปิ้ล 100% ปริมาณ 300 มิลลิลิตร เพื่อช่วยป้องกันคอเลสเตอรอล

อย่าหักโหมงานหนัก เพราะการทำงานหนักเกิน 60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จะทำให้ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

ผ่อนคลายจิตใจ ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และโรคเส้นเลือดในสมองแตกด้วยการฟังดนตรีคลาสสิคเป็น วิธีการที่ดี

ทานของที่มีประโยชน์ ทั้งผักและผลไม้ ถั่วหรือพืชนานาชนิด รวมทั้งเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เช่น ปลา ช่วยป้องกันโรคเบาหวานชนิดที่ 2

ทานข้าวโพดหวาน ช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง

ทานผลไม้สดแทนขนมหวาน ช่วยลดปริมาณน้ำตาล แถมยังทำให้ร่างกายสดชื่น และกระตือรือร้น เติมพลังให้คุณมีแรงทำงานขึ้นมาได้นะ

กลิ่นมะลิ หาอโรม่าหรือดอกมะลิมาวางไว้บริเวณหัวนอนคุณค่ะ จะช่วยให้คุณไม่รู้สึกกระวนกระวาย และหลับสบายตลอดคืน

หลีกเลี่ยงอาหารขยะ อาหารประเภทจังก์ฟู้ดส์ที่อุดมไปด้วยไขมันเลิกทานได้ แล้วค่ะ ไม่มีประโยชน์แถมยังทำให้อ้วนอีกด้วยนะ


บีบนวดไหล่ 15 นาที หากมีน้ำมันหอมระเหยชโลมด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ พร้อมกับการเปิดเพลงคลอเบา ๆ จะช่วยลดความเครียดและความกระวนกระวายลงไปได้

สุดท้ายนี้แนะนำให้สาว ๆ จดบันทึกประจำวัน จดจำเรื่องราวดี ๆ ในแต่ละวัน ซึ่งจะสามารถช่วยยระดับอารมณ์ให้ดีขึ้นนั่นเองค่ะ

กินถั่วเมล็ดรูปไต ป้องกันมะเร็งเต้านม

|0 ความคิดเห็น
กินถั่วเมล็ดรูปไต ป้องกันมะเร็งเต้านม


คุณค่าของถั่วเมล็ดรูปไต อันได้แก่ ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วขาว ถั่วกันเนลกินี ถั่วปินโต และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ที่คนไทยอย่างเราๆ คุ้นเคยหาซื้อง่าย ราคาสบายกระเป๋า ก็คือ ถั่วแดง และถั่วดำ

สรรพคุณโดดเด่นของถั่วเมล็ดรูปไตคือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงกระดูก ลดระดับคอเลสเตอรอล รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะเส้นใยที่มีมากในถั่วช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้องไ ด้นานขึ้น ทำให้ร่างกายมีพลังงานสม่ำเสมอ

สารลิกแนน สารชาโปนิน และสารยับยั้งโปรทีเอสในถั่วเมล็ดรูปไต ช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก

มาเพิ่มเมนูถั่ว ให้อยู่คู่ครัวกันเถอะค่ะ

Tips

• เพื่อลดปริมาณก๊าซของถั่วเมล็ดรูปไต จากคาร์ดบไฮเดรต ที่ชื่อ โอลิโกแซคคาไรด์ ควรนำถั่วไปแช่น้ำและเทน้ำทิ้งก่อนนำไปปรุงอาหาร
• เพิ่มความสะดวกในการนำถั่วมาประกอบอาหาร โดยการต้มถั่วครั้งละมากๆ แล้วแบ่งใส่ถุงเล็กๆ เก็บไว้ในช่องแช่แข็ง
• นำถั่วที่ต้มแล้วมาบดผสมกับน้ำมะนาว น้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไท ใช้ทาแซนด์วิชแทนมายองเนส ได้ประโยชน์พร้อมความอร่อย

อาหาร 12 ชนิด ช่วยชะลอความแก่

|0 ความคิดเห็น
อาหาร 12 ชนิด ช่วยชะลอความแก่
การ รับ ประทานอาหารที่ถูกหลักอนามัยก็จะช่วยทำให้สุขภาพดี และยังช่วยปัดเป่าจากโรคภัยอันเกี่ยวกับความแก่ได้อี กด้วย เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง และอัลไซม์เมอร์ ฉะนั้นเราหันมาสะสมอาหารเพื่อชะลอความแก่กันเถอะ เรามาดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้าง ที่ช่วยชะลอความแก่

1.น้ำมันมะกอกเวอร์จินหรือน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์
เป็นส่วนหนึ่งในการปรุงอาหาร เช่นใส่ในน้ำสลัดเล็ก น้อย หรือผัดผัก ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ช่วยบรรเทาอาการโรคไ ขข้อได้
2.ขนมปังโฮลวีต
การรับประทานขนมปังโฮลวีต 3 แผ่นต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานชนิด 2 ลงไปได้ 3 เท่า

3.ส้ม
เป็น ผลไม้ที่รับประทานง่าย เพราะเรารู้ว่าในส้มมีวิตามินซี และวิตามินซีนี้ จัดว่าดีต่อการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิว จึงทำให้ผิวแน่น และอิ่มเอิบ ทางออสเตรเลียได้ค้นคว้าและพบว่า ส้มมีไฟโตเคมิเคิลต่างๆรวมกว่า 170 อย่าง ส้มจึงมีประโยชน์ช่วยป้องกันการอักเสบ ต่อสู้กับโรคมะเร็ง และยังสามารถป้องกันโรคโลหิตอุดตันอีกด้วย

4.ถั่วแดง
เป็น อาหารที่ดีที่สุดสำหรับต้านความแก่ เพราะในถั่วแดงมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และมีโปรตีนช่วยช่อมแซมร่างกาย มีธาตุเหล็กช่วยในการกระตุ้นพลังงาน วิตามินบี และแมกนีเซียม กากใยยังช่วยลดคอเลสเตอรอลด้วย

5.เมล็ดทานตะวัน
เต็ม ไปด้วยกรดไขมันปกป้องผิวไม่แห้งหยาบกร้าน ทำให้สุขภาพผิวดี ในเมล็ดทานตะวันยังมีสังกะสีที่ช่วยเยียวยาบาดแผล โปรตีนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และวิตามินอี

6.ปลาแซลมอน
เต็ม ไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ปลาแซลมอนยังดีกับผิวพรรณ และยังช่วยปกป้องผิว และเนื้อเยื่อภายใต้ผิวต่อการทำลายจากแสงแดด แต่ยังไงก็ต้องใช้ครีมกันแดดด้วยนะ





7.ผักขม
มีธาตุเหล็ก แอนตี้ออกซิแดนท์ และเซซานตินช่วยต่อสู้กับอาการสายตาที่แย่ลง และมักจะเกิดกับผู้สูงอายุ

8.ขมิ้น
เป็น ผงสีเหลืองที่ใส่ในแกงกะหรี่ ในขมิ้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันของโรคอัลไซม์เมอร์ เพราะฉะนั้นเลี่ยงกะทิมันๆ และเลือกผักที่เต็มไปด้วยออกซิแดนท์ ถั่ว และแกงกะหรี่ซีฟู้ดแทน

9.อโว คาโด
เต็มไปด้วยวิตามินอี และกลูทาไธวัน อโวคาโดยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ต้านความแก่ที่ดี ที่สุดอีก นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 6 และวิตามินซี กับแร่ธาตุแมกนีเซียมซึ่งช่วยในการสร้างฮอรโมน ความสุขเซโรโทนินและโดพามีน เพราะฉะนั้นถ้าเรารับประทานอโวคาโดเป็นประจำ ก็จะส่งผลต้านความชราอย่างสูงสุด

10.แครอท
เรารู้กันอยู่แล้วว่าในแครอทมีสารเบต้าแคโรทีน และแอนตี้ออกซิแดนท์ นอกจากนี้ยังพบว่าถ้ารับประทานแครอทเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง และยังมีสุขภาพของดวงตาที่ดีอีกด้วย

11.บลูเบอร์รี่
เป็นผลไม้ที่มีพลังแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าผลไม้อื่น ๆ และบลูเบอร์รี่ยังช่วยการประสานงานในร่างกายของเราเม ื่อแก่ตัวลง เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อีกหนึ่งชนิด อย่าได้ลืมรับประทานเชียวนะ

12.แอปเปิ้ล
มีสารเกอซิตินซึ่งเป็นแอนตี้แดนท์ต้านการอักเสบ และยังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกาย ถ้าเรารับประทานแอปเปิ้ลเป็นประจำจะช่วยให้ปอดแข็งแร ง และลดความเสี่ยงของโรคหอบหืดอีกด้วย