วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คอลลาเจน : เกี่ยวข้องกับริ้วรอยและตีนกาอย่างไร? — ตอนที่ 1

|0 ความคิดเห็น

คอลลาเจน : เกี่ยวข้องกับริ้วรอยและตีนกาอย่างไร? — ตอนที่ 1


       คอลลาเจนเป็นโปรตีนหลักชนิดหนึ่งที่พบได้ในเนื้อเยื่อของสัตว์ ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 25% ของน้ำหนักตัว โดยธรรมชาติแล้วจะเป็นเส้นใยตาข่ายที่ยึดเนื้อเยื่อต่างๆ ของอวัยวะเข้าด้วยกัน   เปรียบได้กับกาวเนื้อเยื่อที่ยึดกันเข้าเป็นรูปทรง
       ดังนั้นจึงพบได้ในเนื้อเยื่อทุกชนิดของร่างกาย และพบได้ทั้งในและภายนอกเซลล์   เป็นตัวที่ทำให้เกิดความแข็งแกร่งของเนื้อเยื่อ   ด้วยเหตุนี้จึงพบได้มากในพังผืด, กระดูกอ่อน, เอ็น, กระดูกและฟัน
       ที่ผิวหนัง คอลลาเจนจะเป็นตัวที่ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น   ดังนั้น ถ้าคอลลาเจนถูกทำลายจากสาเหตุอะไรก็ตาม ก็จะทำให้เกิดริ้วรอย ร่องลึกที่ผิวหนังได้
       ในทางการแพทย์ ได้มีการนำคอลลาเจนมาใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกสาขา โดยเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงาม
       ผมมีประเด็นที่น่าสนใจจะชี้แนะดังนี้
1. การใช้คอลลาเจนเพื่อความสวยงาม อาจจะมีปฏิกิริยาแพ้ได้ และทำให้เกิดผื่นแดงเป็นเวลานาน ดังนั้นก่อนที่จะใช้ ควรทำการทดสอบการแพ้ก่อน
วิธีทดสอบการแพ้ ด้วยวิธีง่ายๆ คือ ให้ทาที่ผิวหนังบริเวณหลังใบหู หรือที่ผิวหนังด้านในของข้อพับแขน ถ้ามีรอยแดงหรือมีอาการคันเกิดขึ้นใน 24 ชม. แสดงว่าอาจจะแพ้ได
2. คอลลาเจนที่ใช้ทางการแพทย์ ส่วนใหญ่ได้มาจากหนังวัวรุ่น (ที่ไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อวัวบ้า) ซึ่งผู้ผลิตส่วนใหญ่จะใช้วัวจากประเทศที่ไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อวัวบ้า เช่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น
3. หนังหมูก็มีการนำมาใช้ผลิตคอลลาเจนกันมาก เพื่อทดแทนปัญหาเรื่องความปลอดภัยจากเชื้อวัวบ้า โดยเฉพาะทำเป็นแผ่นชีตคอลลาเจน ที่ใช้ในการผ่าตัด
4. ปัญหาจากการใช้คอลลาเจนจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว เป็นต้น ยังคงมีปัญหาเรื่องปฏิกิริยาการแพ้อยู่มาก จึงมีการเลี่ยงไปใช้คอลลาเจนที่ผลิตจากหนังปลาหรือไข่ของปลาเทราท์ ทำให้ราคาของคอลลาเจนสูงมากเมื่อเทียบกับคอลลาเจนจากหนังวัวหรือหมู (เช่น คอลลาเจนจากหนังวัวอยู่ที่ 400 - 2,000 บาท/ก.ก.   แต่ถ้าเป็นคอลลาเจนจากปลา ราคาอาจจะสูงถึงก.ก.ละ 20,000 บาท!)
5. การใช้คอลลาเจนจากสัตว์ (แม้จะได้จากปลา) ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องแพ้ได้   ปัจจุบันมีการเลี่ยงมาใช้คอลลาเจนที่ได้จากพืช ทำให้ปัญหาเรื่องแพ้ลดน้อยลง แต่ก็มีราคาสูงเช่นกัน

คอลลาเจนมีกี่ชนิด?

       คอลลาเจนพบได้ทุกแห่งในร่างกาย   จากการศึกษาพบว่ามีทั้งสิ้น 28 ชนิด และกว่า 90% ของคอลลาเจนที่พบในร่างกาย เป็นชนิด 1, 2, 3 และ 4
  • คอลลาเจน ชนิดที่ 1: พบมากที่กระดูก และช่วยในการซ่อมแซมผิว มีมากที่บริเวณแผลเป็น
  • คอลลาเจน ชนิดที่ 2: พบมากที่กระดูกอ่อน
  • คอลลาเจน ชนิดที่ 3: พบมากที่เส้นใยของอวัยวะกลวง เช่น เส้นเลือด หลอดอาหาร เป็นต้น
  • คอลลาเจน ชนิดที่ 4: มีมากที่ผนังด้านล่างของเซลล์บุ (เซลล์บุพบที่ผิวของอวัยวะทุกชนิด)
       บทนี้ผมขอพูดถึงคอลลาเจนพอให้พวกคุณรู้จักคร่าวๆ เป็นแนวทาง   ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอีกมาก ที่จะนำไปประยุกต์และอธิบายกลไกการทำงานของสารบางอย่างที่จะมีผลต่อการรักษาริ้วรอย ร่องผิวลึกได้ -- อย่าพลาดเป็นอันขาด -- เมื่อคุณเข้าใจวิธีการทำงานของคอลลาเจนได้ดีแล้ว   คุณก็สามารถนำความรู้นี้ไปช่วยลูกค้าของคุณได้

กลูตาไทโอนคืออะไรและทำงานอย่างไร?

|0 ความคิดเห็น

กลูตาไทโอนคืออะไรและทำงานอย่างไร?


       กลูตาไทโอน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เซลล์ร่างกายผลิตขึ้นมาเมื่ออยู่ในสภาวะเครียด อันเนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่น ได้รับสารพิษไม่ว่าจากสิ่งที่เรากินเข้าไปหรือยา  ถูกแสงแดดมากเกินไป เป็นต้น
       จะขอยกตัวอย่าง เปรียบเทียบการทำงานของสารกลูตาไทโอนดังนี้ โรงงานเมื่อผลิตสินค้าขึ้นมา ย่อมมีของเสียเกิดขึ้นและถ้าของเสียนี้ไม่ได้กำจัดทิ้งให้หมด  ของเสียเหล่านี้ก็จะสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้คนในชุมชนไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยและมีผิวพรรณหมองคล้ำ  
       เซลล์คนเราก็เช่นกัน เมื่อผลิตพลังงานออกมา ก็ต้องมีของเสียเกิดขึ้น   ของเสียที่เกิดขึ้นนี้ เราเรียกรวมๆ กันว่า อนุมูลอิสระ (FREE RADICALS) ซึ่งเมื่อสะสมมากขึ้นภายในเซลล์ ก็จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ลดลง และมีช่วงอายุที่สั้นกว่าปกติ  
       แต่เซลล์ร่างกายคนเราก็มีกลไกป้องกันตนเอง ด้วยการผลิตสารขึ้นมาเพื่อทำลายอนุมูลอิสระเหล่านี้ เราเรียกสารพวกนี้ว่า สารต้านอนุมูลอิสระ (ANTIOXIDANT)
       สารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายผลิตขึ้นมานี้ ที่สำคัญมีอยู่ 2 ตัว ที่ออกฤทธิ์ได้แรงและมีประสิทธิภาพสูง ตัวแรกจะไม่ขอกล่าวถึงเพราะต้องสังเคราะห์ภายในเซลล์เท่านั้น   ตัวที่สองคือ กลูตาไทโอน ซึ่งเซลล์สามารถสังเคราะห์ได้เองและมีอยู่ในอาหารบางประเภท เช่น เนื้อ นม ไข่ เป็นต้น
       สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองตัวนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวหลักในการทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน และเมื่ออายุคนเรามากขึ้น การสังเคราะห์สารทั้งสองตัวนี้ก็ลดลงตามไปด้วย 
       เมื่อเราอยู่ในสภาวะเครียด อย่างในกรณีได้รับสารพิษสะสม, กินยาบางประเภท, การทำงานกลางแดดจัด, อดหลับอดนอน, ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่, ป่วยเรื้อรัง เช่น เป็นมะเร็งหรือโรคเอดส์ เป็นต้น   สภาวะเหล่านี้ จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมากและมากกว่าที่สารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองตัวนี้จะรับมือได้  อนุมูลอิสระที่เหลือรอดจากการถูกทำลายจำนวนมากนี้จะไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ลดลงและเสื่อมเร็วกว่าปกติ 
       เราจึงพบว่า คนที่อยู่ในสภาวะดังกล่าวจะมีสภาพซึมเซา ไม่สดชื่น อ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ เป็นมะเร็งได้ง่าย ผิวหน้าและผิวตัวหมองคล้ำ และที่สำคัญสารอนุมูลอิสระนี้จะไปเร่งการทำลายคอลลาเจนที่ผิวหนังให้เร็วขึ้น   ดังนั้นคนเหล่านี้จึงมีผิวพรรณที่หย่อนยานและดูแก่กว่าวัยอันควร
       จากการศึกษาวิจัยพบว่า กลูตาไทโอนจะเป็นตัวทำลายอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ภายในเซลล์ ที่มีประสิทธภาพ ส่วนวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ภายนอกเซลล์   เมื่อให้สารสองตัวนี้ร่วมกัน จะส่งเสริมฤทธิ์ของซึ่งกันและกัน ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระทั้งสองตัวนี้สูงขึ้นเป็นทวีคูณ  
       นี่จึงเป็นเหตุผลที่ควรให้สารสองตัวนี้พร้อมกัน จะทำให้สุขภาพร่างกายสดชื่นขึ้นและผิวพรรณกระจ่างใสขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
       นอกจากนี้ กลูตาไทโอนยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยให้ตัวอสุจิของผู้ชายแข็งแรงขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคทางประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรคอ่อนเพลียเรื้อรังดีขึ้น
       ตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา มีการวิจัยด้วยการนำกลูตาไทโอนมาใช้ควบคู่กับการรักษาโรคเอดส์และโรคมะเร็ง  พบว่าคนไข้เหล่านี้มีอาการทั่วไปดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน ถึงแม้จะไม่ได้หายจากโรคที่เป็นอยู่   แต่อาการโดยรวมจะดีขึ้น โดยเฉพาะคนไข้ที่เป็นเอดส์ พบว่าสามารถยืดระยะเวลาที่แสดงอาการออกไปได้ และที่สำคัญพบว่า คนไข้เหล่านี้ นอกจากจะมีสุขภาพโดยรวมดีขึ้นแล้ว ยังมีหน้าตาสดชื่นและผิวพรรณแจ่มใสเป็นประกาย ต่างจากเดิมที่เป็นอยู่   
       จากกรณีดังกล่าว จึงมีแพทย์บางท่านได้ทดลองนำกลูตาไทโอนมาใช้ทางด้านผิวพรรณในคนปกติ  พบว่าสามารถทำให้ผิวพรรณของคนเหล่านี้สดใสเป็นประกายสว่างไสว   จึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในแวดวงภาพยนตร์ฮอลลีวูด ดารามีชื่อแทบทุกคนจะฉีดยากลูตาไทโอน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้สุขภาพของดาราเหล่านั้นดีขึ้นแล้ว ยังช่วงให้ผิวพรรณของพวกเขาเป็นประกายสว่างไสวอย่างโดดเด่นเวลาอยู่ท่ามกลางหมู่คนจำนวนมาก
       ครับ... สดๆ ร้อนๆ อีกไม่นานเกินรอ พวกคุณจะได้สัมผัสกับกลูตาไธโอน + วิตามินซี (ที่มีความคงตัวสูง เมื่ออยู่ในเนื้อครีม) ในรูปแบบของครีมบำรุงผิวขาวใส ในราคาที่สมเหตุสมผล (ปกติ การฉีดวิตามินซี + กลูตาไธโอน จะคิดเป็นคอร์ส ๆ ละ 30,000 - 80,000 บาท...!!!)

HYALURONIC ACID มีผลอย่างไรต่อริ้วรอย?

|0 ความคิดเห็น

HYALURONIC ACID มีผลอย่างไรต่อริ้วรอย?


       Hyaluronic acid (กรดไฮยาลูโรนิก) เป็นสารที่ใช้กันมานานกว่า 10 ปี และนิยมใช้ในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิว   ปัจจุบันนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมมาตลอด เป็นเพราะว่ามันออกฤทธิ์ได้ผลดี โดยเฉพาะช่วยในการลดริ้วรอย
       Hyaluronic acid นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โดยเฉพาะทางด้านความงาม (ทั้งในรูปครีมทาและยาฉีด) และในธุรกิจเครื่องสำอางเอง พวกเราก็จะพบเห็นได้บ่อยมากในผลิตภัณฑ์กลุ่มลดริ้วรอย ด้วยความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย และเร่งขบวนการหายของแผล ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ ถูกนำมาใช้เป็นจุดขายหลักของผลิตภัณฑ์แบรนด์เนมหลายตัว และรวมไปถึงเวชสำอางที่เป็นแบรนด์เนมของแพทย์ โดยใช้เป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญร่วมกับโคเอ็นไซม์-คิวเท็น (Coenzyme Q10), วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ
       ร่างกายคนเราสามารถสร้าง Hyaluronic acid ได้เอง โดยพบมากที่ผิวหนัง และปัจจุบันก็มีการผลิตขึ้นมาขายในเชิงพาณิชย์โดยผ่านขบวนการหมักทางชีวภาพ
       Hyaluronic acid มีลักษณะหนืดข้น ละลายน้ำได้และมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีมาก   แนะนำให้ใส่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (ทั้งครีมบำรุง, โลชั่น, สเปรย์, ลิปสติก อื่นๆ) ที่ความเข้มข้น 0.25% ถึง 2.00%
       นอกเหนือจากคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดีแล้ว มันยังช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระและช่วยกรองรังสี UV ได้อีกด้วย   ดังนั้นจะเห็นได้ว่า โดยลำพังแล้วกรดไฮยาลูโรนิกก็จัดได้ว่า เป็นสารที่ช่วยชะลอความแก่ที่มีประสิทธิภาพดีตัวหนึ่ง   จึงมีราคาค่อนข้างแพงพอควร และราคาของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของปริมาณกรดไฮยาลูโรนิกที่ใช
       เครื่องสำอางเอสเต้ ลอเดอร์ (Este่e Lauder) เป็นรายแรกที่ได้ออกไลน์สินค้าชื่อ เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ (Perfectionist) หลังจากที่ได้ทุ่มเทเงินจำนวนมหาศาลในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ขึ้นมา ซึ่งทางเอสเต้เองก็อ้างว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและลดริ้วรอยได้ เมื่อใช้สม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน
       หลังจากที่เอสเต้ได้เปิดตัวไลน์สินค้า เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ขึ้นมา   สินค้าในกลุ่มนี้ก็มียอดขายเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งสารสำคัญที่ช่วยให้สินค้าในไลน์นี้ของเอสเต้ประสบความสำเร็จก็คือ Hyaluronic acid นั่นเอง
       ปัจจุบัน มีเครื่องสำอางหลายชนิดที่ได้เลียนแบบเครื่องสำอางในชุดเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ของเอสเต้ตัวนี้   รวมไปถึงสินค้าที่เป็นแบรนด์ของแพทย์ก็เช่นกัน ซึ่งมีทั้งในรูปของครีมทาและยาฉีดก็มี
       ในประเทศไทยเองก็มีการนำเข้าสารเคมีตัวนี้มาใช้ในครีมบำรุงผิวกันมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเวชสำอาง ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาค่อนข้างสูง   ระยะหลังมีการนำ Hyaluronic acid เข้ามาจากจีน ซึ่งก็มีราคาถูกลง   แต่พวกคุณก็ต้องระวังด้วย เพราะกรดไฮยารูโลนิกบางตัวมีราคาถูกมาก เนื่องจากเป็นเกรดที่ต่ำ เมื่อใส่ในผลิตภัณฑ์แล้วมักจะใช้ไม่ได้ผล -- ตามที่ผู้ผลิตอ้าง   ดังนั้นพวกคุณอาจจะต้องเสียเงินเปล่า เพราะขายสินค้าไม่ได้

AHA ปรับสภาพผิวและลดริ้วรอยได้จริงหรือ?

|0 ความคิดเห็น

AHA ปรับสภาพผิวและลดริ้วรอยได้จริงหรือ?


       AHA ชื่อเต็ม Alphahydroxy Acids ซึ่งเป็นสารที่สกัดจากผลไม้หลายอย่าง หรือรวมเรียกว่ากรดผลไม้ (Fruit Acids) ประกอบด้วย
  • Glycolic Acid สกัดจากอ้อย
  • Lactic Acid สกัดจากนมเปรี้ยว
  • Malic acid สกัดจากแอ๊ปเปิ้ล
  • Tartaric Acid สกัดจากองุ่น
  • Citric Acid สกัดจากผลไม้รสเปรี้ยว เช่นมะนาว เป็นต้น


AHA มีผลอย่างไรต่อผิว?

      AHA จะไปทำลายแรงยึดเกาะระหว่างชั้นขี้ไคล และชั้นเซลล์คีราติโนไซต์  ทำให้ขี้ไคลลอกหลุดได้ง่ายขึ้น และกระตุ้นให้เซลล์ใหม่ในชั้นล่าง (เซลล์คีราติโนไซต์) ขึ้นมาแทนที่ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียบขึ้น เพราะมีเซลล์ใหม่มาทดแทน (ให้อ่านเรื่อง กายวิภาคของผิวหนังและหน้าที่ เพิ่มเติมจะเข้าใจง่ายขึ้น)
      นอกจากนี้ AHA ยังกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงขึ้น ลดริ้วรอยเหี่ยวย่น และทำให้ผิวไม่หย่อนยาน   การปรับสภาพผิวหนัาด้วย AHA นอกจากจะทำให้ใบหน้าสดใส นุ่มนวลเกลี้ยงเกลา แลดูอ่อนเยาว์ ผิวพรรณเต่งตึงขึ้น   ยังช่วยในการรักษารอยตกกระ, รอยด่างดำ, ฝ้า, รอยเหี่ยวย่นตื้นๆ สิวเล็กๆ สิวเสี้ยน ได้ด้วย
      ชั้นขี้ไคลนี้ ถ้าเกาะติดกันแน่นและไม่ลอกหลุดตามเวลาที่ควร ก็จะไปอุดตันตามรูขุมขน เกิดเป็นสิวเสี้ยนตามมา และเป็นสาเหตุของสิวอักเสบได้   ดังนั้นการใช้กรด AHA ก็จะไปเร่งการผลัดเซลล์ผิวในชั้นนี้ได้ จึงช่วยสลายสิวเสี้ยนได้


เคล็ดลับในการใช้ AHA ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

  • AHA มีหลายชนิด จะเลือกใช้ตัวไหนดี?
แนะนำให้ใช้ Glycolic acid หรือ Lactic acid เพราะมีการศึกษาค้นคว้ามามากกว่าตัวอื่น  
นอกจากนั้น Glycolic acid ยังเป็นตัวที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด ทำให้สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดีกว่าตัวอื่น   ส่วน Lactic acid เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องผิวแพ้ง่ายและแห้ง
  • AHA มักจะทำให้ผิวระคายเคืองได้ ควรแก้อย่างไร?
AHA มีฤทธิ์เป็นกรด (ออกฤทธิ์ได้ดีที่ pH 3 ถึง 5)   ถ้าpH สูงกว่านี้จะไม่มีฤทธิ์ช่วยในการลอกหลุดของเซลล์ผิวหนัง   และถ้าเลือกใช้ที่ pH ตํ่ากว่านี้ ก็จะระคายเคืองต่อผิวมากเช่นกัน
  • AHA พบว่านำมาใช้ในเครื่องสำอางหลายชนิดได้?
ได้ครับ เพราะไม่ใช่ยา จึงพบว่ามีการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอางหลายชนิด  
ความเข้มข้นที่ใช้ในเครื่องสำอางจะอยู่ระหว่าง 1 ถึง 15%   ถ้าความเข้มข้นที่ตํ่ากว่า 4% ไม่ค่อยจะได้ผล

ส่วนความเข้มข้นที่สูงกว่านี้ จะมีผลข้างเคียงมาก แต่ก็เห็นผลเร็ว และควรจะอยู่ในการดูแลของแพทย์ หรือคนที่เคยได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
ความเข้มข้นที่มากกว่า 8% ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง หรือปรึกษาแพทย์
(แพทย์ผิวหนังมีการใช้ ในความเข้มข้นสูงถึง 30 - 70% ในการลอกเซลล์ผิวที่หน้าและลดริ้วรอย)
  • ควรใช้ทาอย่างไรดี?
มีวิธีการใช้หลายอย่าง แต่จะขอแนะนำวิธีใช้ง่ายๆ ดังนี้   ทาวันละครั้งในตอนเช้าหรือก่อนนอนก็ได้   ก่อนทาล้างให้หน้าสะอาด ทิ้งไว้ให้แห้งประมาณ 15 นาที (ถ้าทาในขณะที่หน้ายังไม่แห้งสนิท จะรู้สึกยิบยิบที่หน้าได้)
หลังจากทา AHA ผิวอาจจะแห้ง มีขุยได้   ขุยพวกนี้ก็คือขี้ไคลนั่นเอง ที่ลอกหลุดออกออกมา
  • AHA หลังจากทาแล้ว ต้องดูแลผิวอย่างไร?
เนื่องจาก AHA จะไปผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวที่มาทดแทนไวต่อแสงแดดมากขึ้น อาจจะมีอาการแดงร้อนในบริเวณที่ทา จึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดเป็นประจำ
      บทนี้เป็นการแนะนำให้คุณได้รู้จัก AHA ในขั้นพื้นฐาน   ต่อไปผมจะแนะนำลงรายละเอียด ถึงขั้นตอนการทำทรีตเมนต์ และตัวยาที่จะต้องใช้มีอะไรบ้าง   หลังจากทำแล้วต้องดูแลตัวเองอย่างไร   รวมไปถึงการทำทรีตเมนต์ที่บ้านด้วยตนเองให้ปลอดภัยต้องทำอย่างไร
      ผมบอกแล้วว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่คุณก็สามารถจะใช้เครื่องมือพวกนี้ให้เป็นประโยชน์ได้   ถ้าคุณมีแหล่งความรู้ที่น่าเชื่อถือและศึกษามาดีพอ -- และมีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์   แค่นี้คุณก็อุ่นใจได้... จริงมั้ยครับ?

การผลัดเซลล์ผิวหนัง (Peeling)

|0 ความคิดเห็น
การผลัดเซลล์ผิวหนัง (Peeling)
หลักการ:

โดยธรรมชาติแล้ว ผิวหนังของคนเราในวัย 20 ปี จะมีการผลัดเซลล์ผิวทุก 3 สัปดาห์ และเมื่ออายุของคนเรามากขึ้น ความสามารถและประสิทธิภาพการแบ่งตัวของเซลล์จะไม่ค่อยดีและลดน้อยลง เซลล์เก่าที่ตายแล้วมักจะไม่ยอมหลุดลอกออกไปง่ายๆ และจะเกาะรวมกัน ไม่ยอมให้เซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเพื่อทำหน้าที่หมุนเวียน ทำให้ใบหน้าที่หมองคล้ำด้วยแสงแดดและมลภาวะยิ่งดูแย่ขึ้นไปอีก — เป็นผลให้ระยะเวลาในการผลัดเซลล์ผิวก็จะยาวนานขึ้นเรื่อยๆ เช่นเมื่ออายุ 70 ปี จะผลัดเซลล์ผิวทุก 7 สัปดาห์

ดังนั้นเพื่อที่จะให้ผิวคงสภาพที่ดูดีและสดใสอยู่ตลอดเวลา เราจึงจำเป็นต้องหาวิธีการมาช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวหนังให้เร็วกว่าปกติ

เราแบ่งวิธีการผลัดเซลล์ผิวเป็น 2 วิธีหลักด้วยกัน คือ

Physical peeling
Chemical peeling

Physical peeling ได้แก่การผลัดเซลล์ผิวโดยใช้อุปกรณ์ช่วย และส่วนใหญ่จะนิยมใช้กันอยู่ในกลุ่มศัลยแพทย์ความงาม เช่นการทำ Dermabrasion เป็นต้น ซึ่งการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีนี้ จะลงลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงจากแผลเป็นจึงสูงมาก วิธีนี้จึงเหมาะกับแพทย์ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์จริง จึงจะช่วยลดริ้วรอยและหลุมสิวที่ลึกได้

ที่เบาลงมาหน่อยที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามนิยมใช้กันก็คือ การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion) ซึ่งช่วยได้เฉพาะริ้วรอยเล็กๆ และช่วยให้ผิวหน้าใสขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เพราะเป็นเพียงแค่การขัดขี้ไคลเท่านั้น

ครับ... หัวข้อนี้ ผมจะขอเน้นกันที่ Chemical peeling ซึ่งถือว่าเป็นหัวข้อสำคัญ ที่คนส่วนใหญ่รู้จักและทำกันทั่วไป ทั้งในคลินิกแพทย์ความงามไปจนถึงร้านเสริมสวยทั่วไป ราคาก็แตกต่างกันไป

จริงๆ แล้ว Chemical peeling เป็นการนำสารเคมีมาช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวหนังให้ลอกหลุดได้ง่ายขึ้น และสารเคมีที่นำมาใช้ก็มีหลายชนิด, หลายความเข้มข้นและหลายสูตร แตกต่างกันไป หลายคนนำไปใช้อย่างผิดวิธี – อันเนื่องมาจากการขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ ผมจึงต้องนำมาบอกกล่าวกัน เพื่อเลี่ยงการลองผิดลองถูกกันครับ

เรามาเริ่มกันเลยครับ...

CHEMICAL PEELING

เป็นการใช้สารเคมีทาลงไปที่ผิวหนัง และสารเคมีนี้ก่อให้เกิดแผลขึ้นที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นแผลที่เราจะต้องควบคุมได้ จากนั้นร่างกายเราก็จะเร่งขบวนการซ่อมแซมทำให้เกิดผิวหนังใหม่ตามมา ผลที่ได้รับคือ ผิวจะเรียบเนียน ขาวใส โครงสร้างผิวดีขึ้น ทั้งริ้วรอยและร่องผิวก็ตื้นขึ้น เป็นต้น

ดังนั้น หัวใจสำคัญที่จะให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีอาการข้างเคียงจากการใช้น้อยที่สุด พวกคุณจึงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสารเคมีแต่ละตัวที่จะนำมาใช้ รวมไปถึงความเข้มข้นต่างๆ และสูตรที่นิยมกัน (ใช้กันทั้งสำหรับพนักงานที่ทำงานด้านความงามทั่วไปจนถึงแพทย์ความงาม) ว่าแต่ละตัวสามารถซึมผ่านผิวหนังลงไปได้ลึกมากแค่ไหน โดยเฉพาะแพทย์ที่ทำงานด้านนี้ ต้องรู้ว่าพยาธิสภาพในแต่ระดับความลึกนั้น จะต้องเลือกใช้สารเคมีอะไร ที่ความเข้มข้นเท่าไหร่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

มาดูกันครับว่า Chemical peeling ก่อให้เกิดความลึกที่ชั้นผิวหนังได้กี่ระดับกัน (ขอให้คุณดูเรื่อง
กายภาคของผิวหนังประกอบด้วยนะครับ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น)


Light Chemical Peeling เป็นการผลัดเอาเซลล์ผิวชั้นนอกสุด ซึ่งก็คือขี้ไคล (Stratum corneum) ออกไป จะช่วยให้หน้าขาวใส ลดสิวเสี้ยน สิวอุดตันได้ วิธีนี้นิยมใช้ในการรักษาสิวและกำจัดน้ำมันส่วนเกินที่ผิวหนัง

Medium Chemical Peeling นอกจากจะผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกสุดแล้ว ยังลงลึกไปถึงชั้นหนังแท้ช่วงบน (Upper dermis) ที่ระดับความลึกนี้ จะช่วยให้โครงสร้างผิวและสีผิวเปลี่ยนแปลงได้ โดยเฉพาะที่เกิดจากรังสี UV ผลที่ได้รับคือ ริ้วรอย (Superficial wrinkle), ขี้แมลงวัน (Lentigines) รวมไปถึง Actinic Keratosis (มะเร็งผิวหนังระยะเริ่มแรก) จะลดน้อยลง

Deep Chemical Peeling จะลงลึกถึงชั้น Reticular dermis เหมาะกับการรักษาผิวที่ได้รับรังสี UV มากเกิน จะช่วยให้ร่องผิว (Deep wrinkle), Solar elastosis (ผิวร่วงโรยก่อนวันอันเนื่องจากคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลายด้วยรังสี UV) ดีขึ้นได้ ปัจจุบัน นิยมใช้ CO2 laser resurfacing แทน เพราะให้ผลที่แม่นยำกว่า


สารเคมีที่นำมาใช้ในการผลัดเซลล์ผิว

AHA (Alpha Hydroxy Acid)

ส่วนใหญ่จะได้จากผลไม้ตามธรรมชาติ ดังนี้

Glycolic acid – จากอ้อย
Malic acid – จากแอปเปิ้ล
Citric acid – จากผลไม้ตระกูลส้ม
Lactic acid – จากนมเปรี้ยว
Tartaric acid – จากไวน์และมะขาม

AHA จะช่วยทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างเซลล์ชั้นบนสุดลดน้อยลง ทำให้เซลล์ผิวลอกหลุดได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันจะกระตุ้นให้เซลล์ใหม่ๆ เจริญขึ้นมาแทนที่ และช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อ (คอลลาเจน) ในชั้นหนังแท้ด้วย (เมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน) เป็นผลให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน และขาวสดใสกว่าเดิม

Glycolic acid เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะมีขนาดโมเลกุลเล็ก จึงสามารถซึมผ่านเข้าสู่ชั้น Dermis ได้ง่าย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่ามีประสิทธิภาพที่สุด

ส่วน Lactic acid จะนิยมรองลงมา เหมาะกับผิวที่แพ้ง่าย และต้องการความชุ่มชื้น

สำหรับริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าของเราที่สามารถรักษาได้ด้วย AHA นั้น หมายถึงริ้วรอยที่ไม่ลึกเกิน ถ้าเป็นริ้วรอยตื้น มักจะดีขึ้นภายใน 6 – 8 สัปดาห์ ส่วนริ้วรอยขนาดปานกลางจะใช้เวลานาน 3 เดือนขึ้นไป สำหรับริ้วรอยที่ลึกมาก AHA จะไม่ช่วยอะไรเลย


NOTE: ความเข้มข้นของกรด AHA ที่จะใช้เพื่อให้ผลการรักษาที่ดีนั้น จะต้องมีสภาวะความเป็นกรด (pH < 7) และต้องมีความเข้มข้นมากกว่า 10 % ขึ้นไป (แนะนำ 30 – 70 %)




ปัจจุบันมีกรด AHA ขายอยู่ทั่วไปและราคาก็แตกต่างกันมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้เกณฑ์มาตรฐานพอที่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ ด้วยเหตุนี้จึงควรเลือกซื้อกรด AHA (หรือกรดไกลโคลิก - Glycolic acid) จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

ถ้ามีความเข้มข้นมากก็จะได้ผลมากขึ้น แต่จะรู้สึกระเคืองที่ผิวค่อนข้างมากตามไปด้วย จึงไม่ควรเริ่มต้นใช้ด้วยความเข้มข้นที่สูง ควรเริ่มที่ความเข้มข้นต่ำก่อน แล้วค่อยปรับเพิ่มเปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นสูงขึ้นไปเท่าที่ผิวของแต่ละคนจะรับได้ โดยที่ไม่รู้สึกแสบร้อนเกินไป (การใช้ในช่วงระยะแรกอาจจะรู้สึกคันยิบที่ผิว เกิดจาก Stinging effect ทิ้งไว้ไม่กี่นาทีก็จะทุเลา แต่ถ้าเห่อแดงคันขึ้นมา แสดงว่าเกิดอาการแพ้ ควรหยุดและทาด้วยยาแก้แพ้หรือ 0.02 TA gel)

สำหรับวิธีการทำทรีตเมนต์ด้วยกรด AHA ผมขอแยกไปพูดในบทถัดไป...


BHA (Beta Hydroxy Acid)

เป็นกรดที่ได้จากการสังเคราะห์ มีคุณสมบัติทนต่อความร้อน ไม่เสื่อมสลายง่ายเหมือนกรด AHA ที่สกัดมาจากธรรมชาติ สารกลุ่มนี้ตัวหนึ่งที่เรารู้จักกันดี ก็คือ กรดซาลิกไซลิก (salicylic acid) ที่ได้จากพริก มีฤทธิ์ปวดแสบปวดร้อน

BHA จะทำให้เซลล์ผิวหนังชั้น Keratin ลอกหลุดได้เร็วกว่าพวก AHA แต่ก็จะรู้สึกระคายมากกว่าและผิวลอกเป็นขุยได้ง่าย ไม่นิยมนำมาใช้ในการทำทรีตเมนต์ (หรือ Peeling) แต่นิยมนำมาใช้ในการลอกหูด หรือทาผิวเท้าที่หนาและแตก เป็นต้น

ในเครื่องสำอางกำหนดให้ใช้ได้ที่ความเข้มข้นไม่เกิน 3% แต่ที่นิยมคือที่ 0.5 – 1%


TCA (Trichloroacetic Acid)

การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรด TCA นี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทั้งในคลินิกและสถานความงาม เนื่องจากใช้ได้ผลดีกับริ้วรอยและฝ้ากระที่ไม่มากเกินไป หลายท่านอาจจะใช้ไปทั้งที่ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับกรดตัวนี้อย่างจริงจัง ซึ่งก็อาจจะให้ผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ได้ ทั้งที่กรดตัวนี้ ถ้าใช้อย่างเข้าใจและถูกวิธี จะให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

ความลึกที่กรด TCA ลงไปถึงและผลลัพธ์ที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของกรด TCA ที่ใช้

10 – 20% ให้ผลดีในการรักษาสิวและหน้ามัน
35 – 45% กรดจะซึมลงไปลึกขึ้นจนถึงชั้น Upper dermis
50% กรดจะลงไปลึกถึงชั้น Reticular dermis

นอกจากนี้ ยังมีการนำน้ำแข็งแห้งและ Jessner’s solution มาใช้ร่วมในการรักษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการซึมซับลงในชั้นผิวให้ลึกยิ่งขึ้น


ที่กล่าวมานี้ยังมีสารพวก Phenol ที่นำมาใช้ทำเบบี้เฟส ซึ่งสารตัวนี้มีอันตรายสูง เพราะอาจจะทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ทั่วไป ควรจะทำโดยแพทย์ความงามที่มีประสบการณ์และมีเครื่องมือตรวจเช็คห้วใจพร้อม เพื่อป้องกันอันตรายที่จะตามมา นอกจากนี้ สาร Phenol ยังให้ผลลัพธ์ไม่ดีนักในผิวของคนเอเซีย จึงไม่เป็นที่นิยม

สำหรับสารตัวอื่นที่นำมาใช้ทำทรีตเมนต์อีกเล็กน้อย ผมจะไม่ขอกล่าวถึง เพราะยังไม่มีผลงานวิจัยรับรองและไม่เป็นที่นิยมกันครับ หวังว่าบทความนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนสมาชิกได้เป็นแนวทางศึกษาต่อไปนะครับ