แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ระบบรักษาความปลอดภัย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ระบบรักษาความปลอดภัย แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ AVR

|0 ความคิดเห็น
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ AVR

ความหมายของ AVR
AVR เป็นคำย่อมาจากคำว่า Automatic Voltage Regulator หรือ เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้า หรือ เครื่องรักษาระดับแรงดันและปรับคุณภาพไฟฟ้า
เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับปรับแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ รวมถึงทำการปรับคุณภาพไฟฟ้าให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันการรับพลังงานไฟฟ้าจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าที่ไม่สม่ำเสมอ (เช่น แรงดันไฟฟ้าไม่คงที่, ไฟฟ้าตก, ไฟฟ้าเกิน, ไฟฟ้ากระชาก และสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า ฯลฯ)
เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้า หรือ AVR จะแตกต่างจาก UPS ตรงที่ไม่สามารถสำรองไฟฟ้าได้ และราคาต่ำกว่า UPS มาก รวมถึงใช้ได้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด

เครื่องปรับแรงดันไฟฟ้า มีหน้าที่สำคัญ 2 ประการ คือ
  1. ช่วยปรับระดับแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในสภาวะที่คงที่โดยอัตโนมัติ เพื่อให้นำไปใช้งานได้อย่างปลอดภัย
  2. ปรับคุณภาพไฟฟ้าให้ดีขึ้น โดยการกรองและขจัดสัญญาณรบกวนต่างๆ ออกไป

การทำงานของ AVR
AVR หรือเครื่องปรับแรงดันไฟฟ้า ควบคุมการทำงานด้วยไมโครโปรเซสเซอร์ เพื่อปรับแต่งสัญญาณคลื่นซายน์ (Sine wave) ให้มีรูปทรงคงที่ นั่นหมายถึง แรงดันไฟฟ้าคงที่ โดยมีการรวมระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติเข้าไว้ จึงสามารถปรับสภาพแรงดันไฟฟ้าที่ผิดปกติให้คงที่ ด้วยการเปลี่ยนระดับแรงดันไฟฟ้าด้านขาเข้าให้สูงขึ้นหรือต่ำกว่าระดับที่เครื่องสามารถควบคุมได้ รวมถึงมีวงจรป้องกันแรงดันไฟฟ้าเกินหรือแรงดันไฟฟ้าตก โดยจะทำการตัดไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟฟ้าเมื่อแรงดันไฟฟ้ารวมสูงเกิน แล้วจะกลับมาทำงานใหม่เองโดยอัตโนมัติอีกครั้งเมื่อแรงดันไฟฟ้าด้านขาเข้าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีระบบการป้องกันการใช้ไฟฟ้าเกินกำลังและไฟฟ้าลัดวงจร, ระบบป้องกันสัญญาณรบกวน (สัญญาณรบกวนที่เกิดจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) และสัญญาณคลื่นความถี่วิทยุ (RFI) ฯลฯ) และระบบป้องกันแรงดันสูงชั่วขณะจากฟ้าผ่าิ

ประโยชน์ของ AVR
AVR หรือเครื่องปรับแรงดันไฟฟ้า สามารถจัดการปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น แรงดันสูงชั่วขณะจากฟ้าผ่า, แรงดันไฟฟ้าในสายไม่คงที่ สูง/ต่ำเกินไป, แรงดันไฟฟ้าผันผวนผิดปกติไฟฟ้า, ไฟฟ้าเกิน, ไฟฟ้ากระชาก, สัญญาณรบกวน (EMI/RFI) และปัญหาที่มีสาเหตุมาจากระบบสายส่งการไฟฟ้าที่ไม่เสถียร เป็นต้น โดย AVR จะตรวจสอบและปรับแรงดันไฟฟ้าจากระบบสายส่งการไฟฟ้า รวมถึงขจัดสัญญาณรบกวนต่างๆ ออกไป ก่อนที่จะจ่ายไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เชื่อมต่อ

การนำไปใช้งาน
เนื่องจาก AVR มีหน้าที่ในการปรับแรงดันจากแหล่งจ่ายไฟฟ้า ดังนั้น จึงเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานที่ต้องการคุณลักษณะ ดังนี้ งานที่ต้องการความเชื่อถือสูง, งานที่ต้องใช้ความระมัดระวัง และงานติดตั้งในพื้นที่ห่างไกลที่แรงดันไฟฟ้าไม่มีความน่าเชื่อถือ และงานประเภท Service Call ที่มีมูลค่ามาก ในขณะเดียวกัน AVR มีส่วนประกอบของไมโครโปรเซสเซอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง จึงทำให้คุณสมบัติของ AVR มีมากขึ้นตามไปด้วย เช่น มีฟังก์ชั่นการทำงานสูง, มีความเชื่อถือได้สูง, ใช้งานง่ายและบำรุงรักษาง่าย
AVR สามารถใช้ได้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ต้องการปรับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่ โดยอุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านั้นจะต้องไม่เกิดผลกระทบ/ความเสียหายในกรณีที่เกิดไฟฟ้าดับ มักจะไม่นิยมนำ AVR ไปใช้กับระบบคอมพิวเตอร์ เนื่องจากไม่สามารถสำรองไฟฟ้าได้เหมือนกับ UPS จึงนำ AVR ไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ามากกว่า ตัวอย่างของการนำ AVR ไปใช้งาน เช่น

สื่อสารและโทรคมนาคมระบบสื่อสารข้อมูล, PABX, เครื่องมือสื่อสาร, สถานี/ห้องส่งวิทยุกระจายเสียง, ระบบการกระจายเสียง และรถเคลื่อนที่สำหรับการสื่อสารทางทหาร ฯลฯ
การแพทย์และวิทยาศาสตร์เครื่องมือแพทย์, อุปกรณ์วิทยาศาสตร์, X-ray, การสแกนคอมพิวเตอร์ (CAT scan) และการสแกนด้วยคลื่นแม่เหล็ก (MRI) ฯลฯ
สำนักงานอาคารสำนักงาน, ระบบทำความเย็นขนาดใหญ่, ระบบแสงสว่าง, ระบบสื่อสาร, อุปกรณ์สำนักงานที่มีความไวต่อคุณภาพไฟฟ้า, เครื่องถ่ายเอกสาร, อุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับวงจรอิเล็กทรอนิคส์ และลิฟต์ ฯลฯ
อุตสาหกรรมเครื่องจักร-เครื่องกลอุตสาหกรรม, ระบบควบคุมกระบวนการทำงานและหุ่นยนต์โรงงาน ฯลฯ

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ UPS

|0 ความคิดเห็น
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ UPS

ความหมายของ UPS
UPS เป็นคำย่อมาจากคำว่า Uninterruptible Power Supply หรือ "เครื่องสำรองไฟฟ้าและปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ" ถ้าแปลตรงตัว หมายถึง แหล่งจ่ายพลังงานต่อเนื่อง
อาจกล่าวได้ว่า UPS ก็คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่สามารถทำการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ได้อย่างต่อเนื่องแม้ในเวลาที่เกิดไฟดับหรือเกิดปัญหาแรงดันไฟฟ้าผันผวนผิดปกติ โดย UPS จะทำการปรับระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่อยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์
UPS มีหน้าที่หลัก คือ ป้องกันความเสียหายที่สามารถเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ (โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อ) อันมีสาเหตุจากความผิดปกติของพลังงานไฟฟ้า เช่น ไฟตก, ไฟดับ, ไฟกระชากและไฟเกิน เป็นต้น รวมถึงมีหน้าที่ในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองจากแบตเตอรี่ให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์เมื่อเกิดปัญหาทางไฟฟ้า

หลักการทำงานทั่วไปของ UPS
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อ UPS รับพลังงานไฟฟ้าเข้ามา ไม่ว่าคุณภาพไฟฟ้าจะเป็นอย่างไรก็จะสามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าได้เป็นปกติ รวมถึงทำการจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งหลักการของ UPS ก็คือ ใช้วิธีการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) แล้วเก็บสำรองไว้ในแบตเตอรี่ส่วนหนึ่ง และในกรณีที่เกิดปัญหาทางไฟฟ้า (เช่น ไฟดับ หรือคุณภาพไฟฟ้าผิดปกติ เป็นต้น) อุปกรณ์ไฟฟ้าไม่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าที่รับมาได้ UPS ก็จะเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรง (DC) จากแบตเตอรี่ ให้กลายเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) แล้วจึงจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าตามปกติ

ส่วนประกอบสำคัญของ UPSUPS ประกอบไปด้วย
  1. เครื่องประจุแบตเตอรี่ (Charger) หรือ เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า AC เป็น DC (Rectifier) ทำหน้าที่รับกระแสไฟฟ้า AC จากระบบจ่ายไฟ แปลงเป็นกระแสไฟฟ้า DC จากนั้นประจุเก็บไว้ในแบตเตอรี่
  2. เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ทำหน้าที่รับกระแสไฟฟ้า DC จากเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า AC เป็น DC หรือแบตเตอรี่ และแปลงเป็นกระแสไฟฟ้า AC สำหรับใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์
  3. แบตเตอรี่ (Battery) ทำหน้าที่เก็บพลังงานไฟฟ้าสำรองไว้ใช้ในกรณีเกิดปัญหาทางไฟฟ้า โดยจะจ่ายกระแสไฟฟ้า DC ให้กับเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าในกรณีที่ไม่สามารถรับกระแสไฟฟ้า AC จากระบบจ่ายไฟได้
  4. ระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (Stabilizer) ทำหน้าที่ปรับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่และสม่ำเสมออยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า
ประโยชน์ของ UPS
UPS สามารถช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ (โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ) อันเนื่องมาจากกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติได้ (เช่น จากความบกพร่องของระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าเอง หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ - ฝนตกฟ้าคะนอง พายุฝน หรือจากการรบกวนของอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคารที่ใช้กระแสไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ ฯลฯ) ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติในแต่ละประเภท อาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ได้ โดย UPS จะทำหน้าที่ป้องกัน ดังนี้

  • จ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เมื่อเกิดไฟดับหรือไฟตก เพื่อให้มีเวลาสำหรับการ Save ข้อมูล และไม่ทำให้ floppy disk และ hard disk เสีย
  • ปรับแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ เมื่อเกิดปัญหาทางไฟฟ้า เช่น ไฟตก, ไฟดับ, ไฟกระชาก และไฟเกิน เป็นต้น
  • ป้องกันสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าที่สามารถสร้างความเสียหายต่อข้อมูลและอุปกรณ์ไฟฟ้าได้
ชนิดของ UPS
UPS แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้

  1. Offline UPS หรือ Standby UPS
สภาวะไฟฟ้าปกติ อุปกรณ์ไฟฟ้า (Load) จะได้รับพลังงานไฟฟ้าจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า (Main) จากการไฟฟ้าโดยตรง ในขณะเดียวกัน เครื่องประจุกระแสไฟฟ้า (Charger) จะทำการประจุกระแสไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่ไปด้วย แต่เวลาที่ไฟฟ้าดับ แบตเตอรี่จะจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) เพื่อแปลงกระแสไฟฟ้าและจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยใช้ตัวสับเปลี่ยน (Transfer Switch) สำหรับเลือกแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าระหว่างระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าหรือเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า
กรณีที่สภาวะไฟฟ้าปกติหรือกระแสไฟฟ้าผิดปกติเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นมากจนตัวสับเปลี่ยน (Transfer Switch) สลับแหล่งจ่ายไฟฟ้าไม่ทัน พลังงานไฟฟ้าที่จ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าจะมาจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าโดยตรง ดังนั้น ถ้าคุณภาพไฟฟ้าจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าไม่ดี (เช่น ไฟตก, ไฟดับ, ไฟกระชาก หรือมีสัญญาณรบกวน ฯลฯ) อุปกรณ์ไฟฟ้าก็จะได้รับพลังงานไฟฟ้าคุณภาพไม่ดีเช่นเดียวกัน
เนื่องจาก UPS ชนิดนี้ถูกออกแบบให้ป้องกันกรณีเกิดไฟดับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันปัญหาแรงดันไฟฟ้าที่ผันผวนและสัญญาณรบกวนได้ จึงทำให้มีราคาถูกกว่า UPS ชนิดอื่นๆ และไม่เหมาะกับการใช้งานในบางพื้นที่ เช่น สถานที่ใกล้แหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้า อาทิ เขื่อน, สถานีไฟฟ้า และสถานีไฟฟ้าย่อย เป็นต้น รวมถึงไม่เหมาะกับการใช้งานในประเทศไทยด้วย เนื่องจากเกิดไฟตกบ่อยครั้ง

คุณสมบัติของ Offline UPS หรือ Standby UPS
  • ราคาถูก
  • ป้องกันปัญหาไฟดับได้เพียงอย่างเดียว
  • ไม่เหมาะสำหรับใช้งานในพื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งกำเนิดไฟฟ้า, สถานีไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ
  • อายุการใช้งานของแบตเตอรี่และ UPS สั้น
  1. Online Protection UPS หรือ Line Interactive UPS with Stabilizer
จากผังแสดงการทำงาน จะพบว่า มีความคล้ายคลึงกับ Offline UPS มาก แต่จะมีส่วนที่เพิ่มขึ้นมา คือ ระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (Stabilizer) ในขณะที่สภาวะไฟฟ้าปกติ อุปกรณ์ไฟฟ้า (Load) จะได้รับพลังงานไฟฟ้าจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า (Main) จากการไฟฟ้า โดยผ่านระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัตินี้ ซึ่งจะมีหน้าที่รักษาระดับแรงดันไฟฟ้าให้คงที่ ป้องกันปัญหาไฟตก, ไฟเกิน และไฟกระชาก เป็นต้น พร้อมกันนี้ เครื่องประจุกระแสไฟฟ้า (Charger) ก็จะทำการประจุกระแสไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่ เมื่อไฟฟ้าดับจะจ่ายพลังงานให้กับเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ทำการแปลงกระแสไฟฟ้า และจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยใช้ตัวสับเปลี่ยน (Transfer Switch) สำหรับเลือกแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าระหว่างระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติหรือเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า
UPS ชนิดนี้ถูกพัฒนามาจาก Offline UPS โดยเพิ่มระบบป้องกันแรงดันไฟฟ้าสูงหรือต่ำอัตโนมัติ (Stabilizer) เพื่อป้องกันปัญหาทางไฟฟ้า ช่วยให้ UPS ไม่จำเป็นต้องจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองจากแบตเตอรี่ทุกครั้งที่ไฟตกหรือไฟเกินไม่มากนัก
Online Protection UPS หรือ Line Interactive UPS with Stabilizer จัดได้ว่าเป็น UPS ที่นิยมมากที่สุดในประเทศไทยขณะนี้ ราคาไม่แพงและคุณภาพไฟฟ้าที่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้

คุณสมบัติของ Online Protection UPS หรือ Line Interactive UPS with Stabilizer
  • ราคาไม่แตกต่างจาก Offline UPS หรือ Standby UPS
  • เหมาะสำหรับใช้งานในพื้นที่ที่มีความผันผวนของแรงดันไฟฟ้ามากๆ เช่น ประเทศไทย, พม่า, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ฯลฯ
  • ไม่เหมาะสำหรับนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความไวต่อคุณภาพของกระแสไฟฟ้ามากๆ เช่น เครื่องมือแพทย์และเครื่องจักรในโรงงาน ฯลฯ
  • มีระบบปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ (Stabilizer) เพื่อป้องกันปัญหาไฟเกินและไฟตก
  • สัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าบางอย่างที่ไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้ายังสามารถผ่านเข้าไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้าได้
  • อายุการใช้งานของแบตเตอรี่และ UPS ยาวนาน
  1. True Online UPS
จากผังแสดงการทำงาน จะพบว่า True Online UPS เป็น UPS ที่มีศักยภาพสูงสุด กล่าวคือ เครื่องประจุกระแสไฟฟ้า (Charger) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) จะทำงานตลอดเวลา ไม่ว่าคุณภาพไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร ก็สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า (Load) ได้ตามปกติ ยกเว้นกรณีเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าเสีย จึงจะจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า (Main) จากการไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้า (แต่ไม่ควรใช้งานต่อไปหากเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าเสีย)
True Online UPS เป็น UPS ที่มีศักยภาพสูงที่สุดในจำนวน UPS ที่มีใช้งานอยู่ สามารถป้องกันปัญหาทางไฟฟ้าได้ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็น ไฟดับ, ไฟตก, ไฟเกิน หรือสัญญาณรบกวนใดๆ และให้คุณภาพไฟฟ้าที่ดี ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ UPS ชนิดนี้มีราคาสูงกว่า UPS ชนิดอื่นๆ

คุณสมบัติของ True Online UPS
  • ราคาค่อนข้างสูง
  • มีศักยภาพสูงสุด สามารถป้องกันปัญหาทางไฟฟ้าได้ทุกกรณี
  • ไฟฟ้ากระแสสลับที่อุปกรณ์ไฟฟ้าจะได้รับจาก UPS ชนิดนี้ จะเป็นไฟฟ้าที่มีคุณภาพสูง มีความเที่ยงตรงของระดับแรงดันไฟฟ้า และปราศจากสัญญาณรบกวนใดๆ
  • กรณีไฟฟ้าดับหรือขาดช่วง UPS จะนำพลังงานสำรองในแบตเตอรี่มาแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับเพื่อจ่ายให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าได้ในทันที
การนำ UPS ไปใช้งานด้านต่างๆ
หากการใช้งานใดที่มีจุดประสงค์เพื่อสำรองพลังงานไฟฟ้าสำหรับจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอมพิวเตอร์ ในเวลาที่เกิดไฟดับหรือไฟตก หรือเพื่อปรับแรงดันไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า เมื่อเกิดปัญหาทางไฟฟ้า หรือเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าที่อาจสร้างความเสียหายต่อข้อมูลและอุปกรณ์ไฟฟ้า สามารถนำ UPS ไปใช้งานได้ เช่น

ระบบงานคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ เช่น เครื่องพิมพ์, จอ, ลำโพง และโมเด็ม ฯลฯ
สำนักงานระบบสื่อสาร, ระบบคอมพิวเตอร์, เครื่องจักร, อุปกรณ์สำนักงาน และอุปกรณ์ไฟฟ้า ฯลฯ
โรงงานอุตสาหกรรมระบบสื่อสาร, ระบบคอมพิวเตอร์, เครื่องจักร, เครื่องมือ-เครื่องใช้, เครื่องมือตรวจวัด และอุปกรณ์ไฟฟ้า ฯลฯ
การแพทย์เครื่องมือทางการแพทย์, เครื่องมือและอุปกรณ์ภายในห้องผ่าตัด ฯลฯ
สื่อสารและโทรคมนาคมอุปกรณ์สื่อสาร และห้องควบคุมระบบโทรคมนาคม ฯลฯ
การจัดการและประมวลผลข้อมูลระบบประมวลผลและรายงานข้อมูลของธนาคารและตลาดหุ้น ฯลฯ
บ้านพักอาศัยอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด เช่น โทรทัศน์, เครื่องเสียง, เครื่องรับวิทยุ และพัดลม ฯลฯ รวมถึงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ
หมายเหตุ:อุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ ที่จะนำมาใช้กับ UPS จะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับความสามารถในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าของ UPS ที่ต่ออยู่

ชนิดของ Surge Protector

|0 ความคิดเห็น
ชนิดของ Surge Protector

อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ ดังนี้

  1. Filter เป็นอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะที่มีลักษณะเป็นตัวกีดขวาง คอยสกัดกั้นพลังงานไฟฟ้าที่มีความถี่สูง (มักจะเป็นสัญญาณรบกวน) ในขณะเดียวกันก็จะปล่อยให้พลังงานไฟฟ้าที่มีความถี่ต่ำไหลผ่านได้โดยสะดวก
  2. Transients Diverters เป็นอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะที่มีการสร้างแนวซึ่งมีความต้านทานต่ำสำหรับให้แรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้นชั่วขณะไหลไปตามแนวนั้นลงสู่สายดิน
หลักการทำงานทั่วไปของ Surge Protector
อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะ ได้รับการออกแบบให้สามารถเหนี่ยวนำแรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นออกจากอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยสร้างแนวที่มีความต้านทานต่ำเชื่อมต่อไปสู่ตำแหน่งของสายดิน เพื่อให้แรงดันที่สูงขึ้นชั่วขณะไหลไปตามแนวความต้านทานต่ำไปยังสายดิน

ส่วนประกอบของ Surge Protector
การใช้อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะสำหรับแต่ละลักษณะการใช้งาน จะมีความแตกต่างกัน ดังนั้น ชิ้นส่วนที่ประกอบอยู่ภายในอุปกรณ์ก็จะแตกต่างกันด้วย แต่มีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกัน คือ เพื่อป้องกันแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ, เชื่อถือได้ และตอบสนองต่อพลังงานสูงได้อย่างรวดเร็ว ส่วนมากชิ้นส่วนที่ใช้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์ฯ ที่พบ จะต้องมีหน้าที่ทำให้เกิดความต้านทานต่ำ เช่น MOV (Metal Oxide Varistor), Gas Discharge Tube (GDT) และ Silicon Avalanche Diode (SAD) ฯลฯ หรือรวมเอาชิ้นส่วนของอุปกรณ์เหล่านี้เข้าไว้ด้วยกัน

ชิ้นส่วนที่ใช้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์แต่ละชนิด มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
  • MOV (Metal Oxide Varistor) จะมีการตอบสนองต่อแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นในช่วงเวลาสั้นได้เร็ว (ประมาณ 20 นาโนวินาที) แต่ถ้ารับกระแสไฟฟ้าสูง (100 A) เข้ามา จะทำให้อายุการใช้งานของอุปกรณ์ลดลง ภายใต้สภาวะปกติ MOV จะมีความต้านทานสูง แต่เมื่อมีการรับแรงดันไฟฟ้าสูงเข้ามา ความต้านทานของ MOV จะลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างแนวที่มีความต้านทานต่ำสำหรับให้แรงดันไฟฟ้าสูงไหลไปสู่สายดิน นอกจากนี้ MOV ยังมีความสามารถในการควบคุมแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าอีกด้วย
  • Gas Discharge Tube (GDT) มีความสามารถในการควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่สูงมาก (20 kV) และกระแสไฟฟ้าที่สูงมาก (2500 A) แต่มีการตอบสนองต่อแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นในช่วงเวลาสั้นได้ช้า
  • Silicon Avalanche Diode (SAD) จะมีการตอบสนองต่อแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นในช่วงเวลาสั้นได้เร็วมาก (ประมาณ 5 นาโนวินาที) และสามารถควบคุมกระแสไฟฟ้าในปริมาณมาก (1000 A) แต่มีความไวต่ออัตราการเพิ่มขึ้นของแรงดันไฟฟ้า (dv/dt) และสภาวะเกิดข้อผิดพลาดเมื่อแรงดันไฟฟ้าสูงสุด (Peak Voltage Failure Modes)
  • นอกเหนือไปจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็ได้มีการรวมเอาชิ้นส่วนของอุปกรณ์อื่นๆ เข้าไว้ด้วยกันในอุปกรณ์ป้องกันแรงดันสูงชั่วขณะ เช่น ตัวต้านทาน และตัวเก็บประจุ ฯลฯ
ประโยชน์ของ Surge Protector
อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะ ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ได้ เช่น

  • ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฟ้าผ่า
  • ปัญหาที่เกิดจากระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้าจากการไฟฟ้า
  • อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการเหนี่ยวนำไฟฟ้า
  • สัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า
การติดตั้ง Surge Protector
อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะ สามารถนำไปติดตั้งในจุดต่างๆ ได้ตามลักษณะการใช้งาน โดยจัดแบ่งออกเป็น 3 ลำดับชั้น (Category) ดังนี้



  • Category A ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะใกล้กับชิ้นส่วนของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความไว ต่อคุณภาพไฟฟ้าที่ต้องการป้องกัน เพื่อป้องกันชิ้นส่วนนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่น คอมพิวเตอร์, เครื่องชั่ง, เครื่องวัด, อุปกรณ์ควบคุมการประมวลผล และแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้า DC ฯลฯ
  • Category B ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะที่แผงวงจรควบคุมการจ่าย (Distribution panel board) และแผงสวิตช์ไฟฟ้า (Switchboard) การติดตั้งอุปกรณ์ฯ ที่จุดนี้จะช่วยป้องกันแรงดันไฟฟ้าสูงชั่วขณะจากภายนอก รวมถึงแรงดันไฟฟ้าที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาวะตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีความไวต่อคุณภาพไฟฟ้าหรือรับพลังงานไฟฟ้าที่จ่ายจากสถานีไฟฟ้าย่อย
  • Category C ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะที่หน่วยจ่ายพลังงานไฟฟ้าขาเข้า เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดจากความผิดปกติของพลังงานไฟฟ้า การติดตั้งอุปกรณ์ฯ ที่จุดนี้จะช่วยป้องกันกรณีเกิดฟ้าผ่าซึ่งเข้ามาภายในอาคารโดยผ่านทางสายไฟ
การนำไปใช้งาน
อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะ เหมาะสำหรับนำไปใช้ในทุกงานที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (ทั้งที่เชื่อมต่อกับสายส่งหรือผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เองเฉพาะสถานที่นั้นๆ), สายโทรศัพท์ (เช่น โมเด็ม, แฟกซ์ และข้อมูล ฯลฯ), สายข้อมูลคอมพิวเตอร์และสายการสื่อสาร เป็นต้น การใช้งานเหล่านี้ล้วนต้องการอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะที่มีประสิทธิภาพและมีความเชื่อถือได้ทั้งสิ้น เช่น

  • ระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ เช่น เครื่องพิมพ์, จอ, ลำโพง และโมเด็ม ฯลฯ
  • PABX และอุปกรณ์สื่อสาร ฯลฯ
  • เครื่องมือแพทย์, เครื่องมือและอุปกรณ์ภายในห้องผ่าตัด และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ฯลฯ
  • เครื่องชั่ง, เครื่องวัดและเครื่องมือทดสอบ ฯลฯ
  • อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด
  • ระบบรักษาความปลอดภัย

ความหมายของ Surge Protector

|0 ความคิดเห็น

ความหมายของ Surge Protector

 
         ไม่ว่าจะเป็นคำว่า Surge Protection Device (SPD), Surge Suppression Equipment (SSE) หรือ Transient Voltage Surge Suppressor (TVSS) จะหมายถึงอุปกรณ์ชนิดเดียวกันคือ Surge Protector หรือ "อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะ" อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ ซึ่งพลังงานที่สูงมากเช่นนี้สามารถสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ และเครื่องมือ-เครื่องใช้ในการควบคุมการประมวลผล ฯลฯ

อุปกรณ์ป้องกันไฟกระชากแรงดันสูงชั่วขณะ มีหน้าที่หลักอยู่ 2 ประการ คือ
  1. สร้างบริเวณหนึ่งให้มีความต้านทานต่ำ เพื่อให้แรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นกลับอยู่ในสภาวะปกติ ได้แก่ สายดิน
  2. ทำการเหนี่ยวนำแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่สูงเกินไปยังบริเวณที่สร้างขึ้น (สายดิน) เพื่อป้องกันความเสียหายที่สามารถเกิดขึ้นได้

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Transient และ Surge

|0 ความคิดเห็น

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Transient และ Surge

   
       Transient (แรงดันสูงชั่วขณะ) และ Surge (ไฟเกิน) เป็นสภาวะที่แรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าสูงขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งเกิดขึ้นในวงจรไฟฟ้า โดยมีค่าแรงดันไฟฟ้าสูงกว่า 2,000 โวลต์และกระแสไฟฟ้าสูงกว่า 100 แอมแปร์ เกิดขึ้นในระยะเวลาประมาณ 1-10 ไมโครวินาที Transient และ Surge จัดว่าเป็นปัญหาทางไฟฟ้าที่มักเกิดขึ้นอยู่เสมอ และผลกระทบจากปัญหาทางไฟฟ้าเหล่านี้สร้างความเสียหายได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ชำรุดเสียหาย, ระบบหยุดทำงาน, ทำให้สูญเสียข้อมูล, เวลา ตลอดจนโอกาสทางธุรกิจ เป็นต้น

สาเหตุของการเกิด Transient และ Surge มีได้หลายสาเหตุ เช่น
  • ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฝนตกฟ้าคะนอง, พายุ, ฟ้าผ่า และแผ่นดินไหว ฯลฯ
  • เกิดความผิดปกติของระบบจ่ายพลังงานไฟฟ้า
  • การเปิด-ปิดสวิตช์อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีมอเตอร์ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก
  • ความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่มากเกิน
  • สัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า ฯลฯ

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

6 วิธีนอนอย่างปลอดภัยในโรงแรม

|0 ความคิดเห็น
6 วิธีนอนอย่างปลอดภัยในโรงแรม



6 วิธีนอนอย่างปลอดภัยในโรงแรม (Momypedia)

หลายคนคงจะได้ทราบข่าวเกี่ยวกับโรงแรมในจังหวัดเชียง ใหม่กันมาบ้างแล้วว่ามี นักท่องเที่ยวเสียชีวิตที่โรงแรมแห่งนั้นหลายคน จนถูกขนานนามว่าเป็น "โรงแรมอาถรรพ์" แต่ไม่นานนี้ก็มีข่าวใหม่ออกมาว่าแท้จริงแล้วสาเหตุก ารเสียชีวิตนั้น เกิดจากการได้รับสารพิษที่มีอยู่ในโรงแรมนั่นเอง

สาร พิษที่ตรวจพบคือ chloypyrifos ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งในยาฆ่าแมลงที่ทางโรงแรมใช้ฉีดพ ่นเตียงนอนเพื่อกำจัดไร ฝุ่นหรือแมลงบนที่นอน แต่จากการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตก็ไม่พบสารพิษใด ๆ ดังนั้นข้อกล่าวอ้างนี้เรายังคงต้องติดตามต่อไปค่ะ แต่นั่นก็ยังทำให้หลาย ๆ คนกังวลอยู่ไม่น้อยหากต้องไปพักตามโรงแรมอื่น ๆ "แล้วโรงแรมที่เราไปพักล่ะ ปลอดภัยจริงหรือเปล่า"

การจะตรวจสอบสารพิษหรือสารเคมีด้วยตัวเองคงเป็นเรื่อ งยากค่ะ แต่เราสามารถป้องกันหรือดูแลตัวเองได้ในเบื้องต้นเมื ่อต้องไปเข้าพักตาม โรงแรมต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสารเคมีที่มีอยู่ในห้องพักของเราค่ะ

1. ตรวจสอบข้อมูลของโรงแรมก่อนเข้าพัก : จริง ๆ แล้วมีการรีวิวโรงแรมหรือที่พักต่าง ๆ ในอินเตอร์เนตให้เราได้เข้าไปอ่านเยอะมาก รวมทั้งความคิดเห็นของผู้ที่ไปใช้บริการมาแล้วจริง ๆ และภาพถ่ายมุมต่าง ๆ ของโรงแรม ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกโรงแรม โดยควรจะเลือกโรมแรมหรือห้องพักที่มีหน้าต่างภายในห้ องสามารถเปิดระบายอากาศ ได้ มีพัดลมระบายอากาศ หรือเป็นห้องพักที่มีการห้ามสูบบุหรี่ภายในห้อง ก็จะทำให้เรามั่นใจในเรื่องอากาศที่ถ่ายเท หมุนเวียนตลอดเวลา

2. รู้อาการแพ้ของตัวเอง : ข้อนี้สำคัญค่ะ เพราะเราอาจจะมีอาการแพ้สารเคมีไม่ เหมือนกัน เช่น บางคนแพ้สเปรย์ปรับอากาศ บางคนแพ้น้ำยาเช็ดทำความสะอาดพื้น หรือบางคนแพ้ไรฝุ่นจากหมอนหรือที่นอน ดังนั้นเพื่อความสบายใจและปลอดภัย ควรสอบถามเจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนว่ามีการใช้สารเคมีดั งกล่าวในห้องพักบ้างไหม ใช้มากแค่ไหน หรือหากต้องการพักที่โรงแรมนั้นจริง ๆ ก็สามารถขอเป็นกรณีพิเศษได้ค่ะว่าไม่ให้สารเคมีดังกล ่าวมในห้องที่จะพัก โรงแรมส่วนใหญ่จะยินดีให้บริการอยู่แล้วค่ะ

3. พกพายาส่วนตัว : บอก ตรง ๆ ว่าบางครั้งเราก็ไม่สามารถเลี่ยงสารเคมีได้ อาจจะเพราะความไม่รู้ ไม่ตรวจสอบ หรือไม่ระวังตัว ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรพกพายาแก้แพ้ของตัวเองไปด้วย เช่น บางคนจะมีอาการจาม มีน้ำมูกเหมือนเป็นหวัดเมื่อสูดกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศ เข้าไป ก็ควรจะพกยาแก้แพ้ไปด้วย เพื่อป้องกันหรือบรรเทาอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้

4. สำรวจทุกซอกมุม : อาจจะทำตัวเหมือนนักสืบคอยจ้องจับผิดไปหน่อย แต่เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยในการเข้าพักค่ะ เมื่อเข้าห้องพักแล้ว ให้ลองเดินสำรวจห้องก่อนทั้งในห้องน้ำ ในตู้เสื้อผ้า ใต้โต๊ะ มุมห้อง ซอกเตียง เพราะเป็นไปได้ว่าในจุดเหล่านั้นจะมีสิ่งสกปรกที่ก่อ ให้เกิดอาการแพ้ได้ และหากเจอซอกมุมที่มีฝุ่น มีแมลงที่อาจทำให้เราแพ้ ก็สามารถให้ทางโรงแรมจัดเจ้าหน้าที่มาทำความสะอาดอีก ครั้งก่อนเข้าพัก หรือหากมีห้องพักอื่นว่างก็สามารถเปลี่ยนห้องได้ค่ะ

5. ปัด ๆ จัด ๆ ก่อนนอน :อย่า คิดว่าเมื่อเดินเข้าห้องพักแล้วเห็นเตียงจัดไว้สวย ๆ จะดีเสมอไปค่ะ (ต่อให้เป็นโรงแรม 5 ดาวก็เถอะ) เพราะเป็นไปได้เช่นกันว่าบนเตียงนอนหรือแม้แต่ในผ้าห ่ม ผ้าปูเตียงเองอาจจะมีไรฝุ่น สิ่งสกปรก หรือแมลงตัวเล็ก ๆ เล็ดลอดเข้ามาแบบคาดไม่ถึง ก่อนขึ้นไปนั่งไปนอนบนเตียงให้ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ๆ ปัดที่นอนก่อน อย่ากลัวว่าจะไม่มีผ้าผืนเล็กไว้เช็ดหน้าเช็ดผมค่ะ ขอใหม่จากทางโรงแรมได้ค่ะ

6. อาบน้ำอาบท่า อย่ามัวแต่นอนกลิ้ง :แน่ นอนค่ะว่าหลาย ๆ โรงแรมมีเตียงนอนที่นอนสบายกว่าเตียงที่บ้าน แอร์ก็เย็น บรรยากาศก็ดี แต่ก็อย่าเผลอนอนกลิ้งอยู่เป็นวัน ๆ จนไม่ทำอะไรนะคะ เมื่อตื่นแล้วก็ควรจะอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาด เพื่อกำลังฝุ่นไร หรือสารเคมีที่อาจจะมีอยู่บนที่นอนให้หลุดออกจากผิวห นังของเราค่ะ


6 วิธีข้างต้นนี้ บางคนมองว่ายุ่งยาก ลำบาก หรือแม้แต่กลัวว่าทางโรงแรมจะไม่ยินยอมให้บริการดังก ล่าว เพราะคิดว่าเรื่องมาก แต่อย่างหนึ่งที่อยากบอกให้ทราบไว้ค่ะว่าในแง่มุมของ การบริการนั้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบริการที่จะทำให้ลูกค ้าอย่างเราปลอดภัยและ ประทับจนไปบอกต่อ ซึ่งจะสร้างชื่อเสียงให้กับทางโรงแรมได้เช่นกัน และในแง่ของผู้บริโภคสินค้าและบริการอย่างเรา กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคก็มีมารองรับในเรื่องสินค้าแ ละบริการที่ปลอดภัยอยู่ แล้ว

คงไม่มี ใครอยากจะเข้าไปพักแบบเสี่ยงว่าจะได้รับอันตรายจากสา รเคมีหรือสิ่งที่ก่อให้ เกิดอาการแพ้หรอก จริงไหมคะ... ครั้งต่อไปที่ต้องไปพักในโรงแรม อย่าลืมลองนำไปทำกับดูนะคะ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ศักยภาพพลังงานลม

|0 ความคิดเห็น
ศักยภาพพลังงานลม
ลมในประเทศไทยมีความเร็วในระดับต่ำถึงปานกลาง โดยมีความเร็วลมเฉลี่ยประมาณ 6-8 เมตรต่อวินาที ณ.บริเวณรอบอ่าวไทย โดยเฉพาะฝั่งตะวันตกตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรีลงไปจนถึงสุราษฎร์ธานี และระยะเวลาที่มีลมระดับปานกลางจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเรื่อยไปจนถึงเดือนเมษายน รวมเวลา 6 เดือน แต่จะมีลมอ่อนใน 6 เดือนที่เหลือ คือเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนตุลาคม ส่วนบริเวณที่มีศักยภาพสูงและมีลมแรงได้แก่จังหวัดนครศรีธรรมราชและสงขลา
แผนที่ลมภาพแรกข้างบนนี้แสดงศักยภาพลมเฉลี่ยทั้งปีของประเทศไทย (Average)
การดูข้อมูลศักยภาพลมตามรูปข้างบนนี้ แสดงให้เห็นว่าศักยภาพของลมตามชั้นต่างๆตั้งแต่ 1.1 จนถึง 7 มีความเร็วลม ณ.ความสูงจากพื้นดินที่ 10 ม. 30 ม. และ 50 ม. แตกต่างกันไป
โปรดดูตัวอย่างต่อไปนี้ถ้าต้องการความเร็วลมที่ 6 เมตรต่อวินาที  เมื่ออยู่ในพื้นที่ศักยภาพลมระดับชั้น 2 (สีเขียวอ่อน) จะต้องอยู่ที่ความสูง 50 เมตร                                                                                                                                  3 (สีเขียวแก่)   จะต้องอยู่ที่ความสูง 30 เมตร                                                                                                                              4 (สีเหลือง)     จะต้องอยู่ที่ความสูง 10 เมตร         และถ้าต้องการความเร็วลมที่ 8 เมตรต่อวินาที เมื่ออยู่ในพื้นที่ศักยภาพลมระดับชั้น  5 (สีชมพู)       จะต้องอยู่ที่ความสูง 50 เมตร                 
                                                                                                                                     6 (สีแดง)        จะต้องอยู่ที่ความสูง 30 เมตร     
                                                                                                                                       7 (สีน้ำตาล)     จะต้องอยู่ที่ความสูง 10 เมตร        

 
                                   ภาพด้านล่างนี้แสดงศักยภาพของลมในแต่ละเดือนตั้งแต่ มกราคม จนถึง ธันวาคม                                             
                       มกราคม                                                                              
                   กุมภาพันธ์
       
                         มีนาคม
    
                    เมษายน                                                                   
                     พฤษภาคม
       
                     มิถุนายน
 
                  กรกฎาคม                                                                                      
                         สิงหาคม
      
                         กันยายน
     
                    ตุลาคม                                                                            
                     พฤศจิกายน
    
                          ธันวาคม
      

เทคนิคการผจญเพลิง

|0 ความคิดเห็น
เทคนิคการผจญเพลิงที่สำคัญที่สุดก็คือ การเข้าถึงจุดที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ให้ได้เร็วที่สุด เพื่อช่วยผู้ที่อาจติดค้างอยู่ภายในอาคาร และป้องกันการติดต่อลุกลามให้ได้ผล
       เจ้าหน้าที่ดับเพลิงผู้ปฏิบัติ นอกจากจะเป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติการเป็นนักผจญเพลิงที่ดีแล้ว ยังจะต้องรู้จักใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ประจำตัว ประจำรถ และอุปกรณ์พิเศษอื่นๆ จากรถกู้ภัย พร้อมทั้งมีความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ และทางเคมีของสิ่งที่ไหม้นั้นๆ ด้วย
       เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องใช้ประสบการณ์ และความร้ายแรงของเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฉีดน้ำด้วยความดันเพียงเพื่อให้น้ำถึงไฟ และหรือ ในบางกรณี เพื่อใช้น้ำที่มีความดันสูงพังทำลาย หรือฉีดให้ทะลุเข้าไปถึงเนื้อของสิ่งที่ไหม้ให้กระเด็นออก
หลักการดับเพลิงที่จะต้องปฏิบัติมี 4 ประการ คือ
    1. อย่าเพิ่งจัดการระบายอากาศ นอกจากจะมีหัวสูบพร้อมจะฉีดน้ำได้ทันที ที่เปิดหรือเจาะอาคารให้โล่งออก
    2. อย่าฉีดน้ำดับเพลิงพุ่งเข้าหากัน
    3. ให้ฟังคำสั่งของหัวหน้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ว่าหัวสูบสายใดจะทำการเข้า หรือ ถอนออก ไม่ใช่จะตลลงกันเอง และ
    4. คำสั่งต้องเป็นคำสั่ง 
                       

    เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการพังของอาคาร ซึ่งในบางครั้งไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้าว่าจะเกิดอันตรายเมื่อใด นอกเสียจากว่าใช้ความสังเกตที่ได้รับจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีตเท่านั้น และต้องระวังเกี่ยวกับ    - การเข้าไปในอาคารที่ยังไม่ได้ตัดกระแสไฟฟ้า
    - การฉีดน้ำผ่านสายไฟฟ้าแรงสูงที่ยังมีกระแสไฟฟ้าไหลอยู่
    - การระเบิดของก๊าซ น้ำมัน และสารไวไฟต่างๆ
    - การติดต่อลุกลามอย่างรวดเร็วของสารเคมีที่ทำปฏิกิริยากับน้ำ หรือ อากาศ
    - การระมัดระวังควันเพลิงที่เกิดจากการเผาไหม้ของสารเคมีที่เป็นพิษ
    - การระมัดระวังเกี่ยวกับ ภยันตรายที่อาจเกิดจากเหตุเพลิงไหม้ในโรงงานที่มีการประกอบกิจการพิเศษขนาดใหญ่ ที่ใช้หม้อน้ำ สตีม และพลังงานเชื้อเพลิงอื่นๆ
    - การรับน้ำหนักของน้ำที่ฉีดใช้ และวัสดุอุ้มน้ำ ซึ่งจะทำให้พื้นอาคารยุบพังลงมา
    - การรับน้ำหนักของบุคคลภายนอกที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่โดยไม่ได้ร้องขอ
    - การใช้เครื่องจักรกลกู้ภัยโดยไม่รอบคอบ หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้น
   - การพลัดตกลงในหลุมไฟบนพื้นที่อาคารในที่มือ
    - การเข้าไปในที่อับอากาศ
    - การหลงทางในอากาศที่ไม่คุ้นกับสถานที่
ฯลฯ

คลื่นพายุซัดฝั่ง STORM SURGE คืออะไร

|0 ความคิดเห็น
คลื่นพายุซัดฝั่ง STORM SURGE คืออะไร                     คลื่นพายุซัดฝั่ง STORM SURGE คือ ปรากฏการณ์คลื่นที่เกิดขึ้นพร้อมกับพายุหมุนโซนร้อน ในวันที่ท้องฟ้าปั่นป่วนไม่แจ่มใสสภาพอากาศเลวร้าย เมฆฝนก่อตัว ฝนตกหนักลมพัดแรง พื้นที่ชายฝั่ง จะมีแรงกด ยกระดับน้ำทะเลให้สูงกว่าปกติกลายเป็นโดมน้ำขนาดใหญ่ ซัดจากทะเลเข้าหาชายฝั่งอย่างรวดเร็ว จนสร้างความเสียหายต่อชีวิต อาคารบ้านเรือนและทรัพย์สินบริเวณพื้นที่ชายฝั่ง จากข้อมูลในอดีตยังไม่เคยมีปรากฏการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานครมาก่อน                 
                 
ดังนั้นกรุงเทพมหานครพร้อมรับมือกับคลื่นพายุซัดฝั่งเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กรุงเทพมหานครได้จัดเตรียมมาตรการเพื่อรับมือกับคลื่นพายุ ซัดฝั่ง (STORM SURGE) ไว้พร้อมแล้วโดยได้จัดเตรียมแผนปฏิบัติการทั้ง ก่อน ระหว่าง และหลัง เกิดภัยพิบัติ แผนเตือนภัยและแผนการอพยพ ประชาชน รวมทั้งจัดให้มีการ ซักซ้อมแผนเตือนภัยและแผนอพยพอีกด้วย หากเกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง กรุงเทพมหานคร สามารถแจ้งเตือนประชาชนได้ล่วงหน้า 4-6 วันและกำหนดสีเพื่อ แสดงความรุนแรงในระดับต่าง ๆ คือ

       สีแดง : พื้นที่ที่จะเกิดภัยพิบัติรุนแรงมาก อาจมีคลื่นสูง 1-3 เมตร
       สีส้ม : พื้นที่ที่มีความรุนแรงน้อย อาจเกิดคลื่นสูง 0.2-1 เมตร ในขณะที่
       สีเหลือง และ สีเขียว จะแสดงถึงพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมขังเพียงเล็กน้อย สามารถควบคุมและแก้ไขได้ในเวลาอันสั้น
ซึ่งประชาชนจะสามารถติดตามสถานการณ์คลื่นพายุซัดฝั่ง ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่
www.bangkok.go.th
                                                            
พื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบฝั่งพระนคร
  • จากชายฝั่งถึงถนนสุขุมวิทสายเก่า (พื้นที่สีแดง)

  • จากถนนสุขุมวิทสายเก่า ถึงถนนบางนา-ตราด

  • (พื้นที่สีส้ม) และบางส่วนของเขตบางนา
    ฝั่งธนบุรี

  • จากชายฝั่งทะเลถึงคลองสนามชัย (พื้นที่สีแดง)

  • จากคลองสนามชัยถึงถนนพระรามสอง (พื้นที่สีส้ม)

  • พื้นที่เขตบางขุนเทียน ทุ่งครุ บางส่วนของ เขตจอมทองและเขตราษฎร์บูรณะ

                       ก่อนเกิด STORM SURGE จะมีสัญญาณเตือนหลายอย่าง เช่น การเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาและกรุงเทพมหานคร หรือสังเกตได้จากลักษณะอากาศที่จะค่อย ๆ เลวร้ายลงทำให้รู้ตัวล่วงหน้าได้หลายวันและอพยพได้ทัน

                   หากลองนึกภาพเหตุการณ์ภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอดีต แน่นอนว่า ภาพของเหตุการณ์ไล่ตั้งแต่พายุแฮเรียต ในปีพ.ศ.2505 ที่ซัดแหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช จนราบเป็นหน้ากลอง ถัดมาในปี พ.ศ.2532 มหาวิบัติพายุเกย์ ก็สร้างความเจ็บช้ำให้แก่ชาวบ้านหลายพื้นที่ใน จ.ชุมพร จนมาถึงช่วงปี พ.ศ.2540 พายุลินดา ก็ซัดซ้ำรอยเดิมใน จ.ชุมพร จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.เพชรบุรี...
                   เหตุการณ์ทั้งหมดคงอยู่ในความทรงจำของคนไทยหลายคน กระทั่งล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านก็เกิดเหตุพิบัติภัยจากพายุนาร์กีสที่ถล่มประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่า จนสร้างความเสียหายเกินคณานับ ซึ่งภาพเหตุการณ์ที่ไล่เรียงมานี้ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าล้วนแล้วเกิดขึ้นจากความรุนแรงของพายุที่พัดเข้าหาชายฝั่งในลักษณะที่เรียกว่า ‘Storm surge’
    Storm surge มหัตภัยร้ายเกินมองข้าม
                   นาวาเอก กตัญญู ศรีตังนันท์ ผู้บังคับหมวดเรืออุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ให้คำอธิบายว่า Storm surge คือ ปรากฏการณ์คลื่นที่เกิดขึ้นพร้อมกับพายุหมุนโซนร้อนที่ยกระดับน้ำทะเลให้สูงขึ้นกว่าปกติ อันเนื่องมาจากความกดอากาศต่ำที่ปกคลุม ณ บริเวณนั้น ซึ่งเวลาที่หย่อมความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวผ่านไปพร้อมกับศูนย์กลางของพายุ ทำให้แรงกดนั้นยกระดับน้ำจนกลายเป็นโดมน้ำขึ้นมา โดยเคลื่อนตัวจากทะเลซัดเข้าหาชายฝั่ง

    คำถามก็คือ Storm surge มีความเหมือนหรือแตกต่างจาการการเกิดสึนามิ หรือไม่?               นาวาเอก กตัญญู ชี้แจงว่า สิ่งที่คล้ายกัน คือ รูปแบบการเคลื่อนตัวที่เป็นเหมือนคลื่นขนาดใหญ่แล้วพัดเข้าชายฝั่ง แต่ที่แตกต่างกัน คือ ลักษณะของการเกิด คือ สึนามิ เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ของแผ่นดินไหวใต้ทะเล ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนส่งผลให้เกิดคลื่นขนาดยักษ์ซัดเข้าชายฝั่ง แต่กับ Storm surge จะเกิดขึ้นโดยมีตัวแปรจากพายุ
                   ส่วนความเสียหายนั้น คิดว่า Storm surge จะเลวร้ายมากกว่า กล่าวคือ การเกิดสึนามิจะเกิดขึ้นวันไหนก็ได้ โดยท้องฟ้าอาจจะแจ่มใส อากาศเป็นปกติ เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วทางฝั่งอันดามันของไทย แต่หากเป็น Storm surge จะเกิดขึ้นพร้อมกับพายุซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นวันที่ท้องฟ้าปั่นป่วนไม่แจ่มใส สภาพอากาศเลวร้าย มีการก่อตัวของเมฆฝน ฝนตกอย่างหนัก ลมพัดแรง บริเวณชายฝั่งเกิดคลื่นโถมกระแทกอย่างหนัก คลื่นในทะเลสูง แต่เมื่อศูนย์กลางของพายุเคลื่อนเข้ามาก็จะหอบเอาโดมน้ำขนาดใหญ่ซัดเข้ามาอีกครั้ง ดังนั้น ความเสียหายจึงเพิ่มเป็นทวีคูณ
                   “เมื่อ Storm surge เกิดมาพร้อมกับพายุโซนร้อน เพราะฉะนั้นเมื่อพายุเข้ามาเราก็จะเห็นสัญญาณเตือนหลายอย่าง เช่น การเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา และจากการสังเกตลักษณะอากาศที่จะค่อยๆ เลวร้ายลง ทำให้เรารู้ตัวล่วงหน้าหลายวันและสามารถหาทางอพยพได้ทัน แต่กับสึนามิอาจจะไม่รู้ได้เลย เพราะบางครั้งก็เกิดขึ้นในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสไม่มีสัญญาณบอกเหตุร้ายแต่อย่างใด แต่ปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นในช่วงหลายปีมานี้ก็เป็นอะไรที่คาดเดา พยากรณ์ได้ยากเช่นกัน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเกิดภาวะโลกร้อนที่ทำให้สภาพอากาศในทุกมุมโลกเกิดความแปรปรวน และยิ่งทวีความรุนแรงของเหตุการณ์ขึ้น สิ่งนี้จึงเรื่องที่ต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด” นาวาเอก กตัญญู ให้ภาพ

  • การปฐมพยาบาลผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกข้อมือหัก

    |0 ความคิดเห็น
    การปฐมพยาบาลผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกข้อมือหัก
    สาเหตุ     เกิดจากการหกล้มเอามือยันพื้น

    อาการและอาการแสดง
         ปวด บวม และข้อมือผิดรูปทันที เคลื่อนไหวข้อมือไม่ได้ หรือเจ็บปวดมากเมื่อเคลื่อนไหว อาจได้ยินเสียงกรอบแกรบจากปลายกระดูกที่ถูกัน ลักษณะข้อมือเหมือน "ส้อม" ที่ใช้ในการรับประทานอาหาร
                                       กระดูกข้อมือหัก
                                                    ภาพที่ 11 กระดูกข้อมือหัก
    การปฐมพยาบาล
         1. ประคบน้ำแข็งทันที ประมาณ 15-20 นาที
         2. ดามมือไว้ด้วยแผ่นไม้ อย่าพยายามดึงเข้าที่เอง เพราะอาจจะก่อให้เกิดอันตรายเพิ่มมากขึ้น
         3. ห้อยแขน รีบส่งแพทย์ทันที
                                        การปฐมพยาบาลกระดูกข้อมือหัก
                                                       ภาพที่ 12 การปฐมพยาบาลกระดูกข้อมือหัก

    การปฐมพยาบาลผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกซี่โครงหัก

    |0 ความคิดเห็น
    การปฐมพยาบาลผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกซี่โครงหัก
    สาเหตุ     กระดูกซี่โครงหัก อาจเกิดจากการถูกตี ถูกชนหรือหกล้ม พวงมาลัยรถกระแทกหน้าอก ซึ่งแบ่งออกได้ 2 แบบด้วยกันคือ
              1. หักอย่างธรรมดา คือกระดูกหักแล้วไม่มีการทิ่มตำอวัยวะอื่นที่สำคัญ
              2. หักแล้วปลายที่หักนั้นทิ่มแทงอวัยวะภายใน เช่น ทิ่มทะลุเยื่อหุ้มปอด เนื้อปอด หัวใจ หรือหลอดเลือดเป็นเหตุให้มีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงยิ่งขึ้น

    อาการและอาการแสดง
         1. หักอย่างธรรมดา จะมีอาการเจ็บหน้าอกบริเวณที่ถูกกระแทก และจะเจ็บอย่างมากเมื่อให้หายใจเข้าออกแรงๆ หรือเมื่อไอ หายใจจะมีลักษณะหายใจตื้นๆสั้นๆและถี่ๆ เพราะหายใจแรงๆ จะเจ็บอกมาก
         2. หักแล้วปลายที่หักทิ่มแทงอวัยวะภายในจะมีอาการรุนแรงขึ้น คือ หน้าซีด เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเบาเร็ว ซึ่งบ่งบอกถึงการตกเลือดภายใน ไอเป็นเลือด หายใจขัด หรือมีบาดแผลเปิดบริเวณหน้าอกเป็นปากแผลดูดขณะหายใจเข้า

    การปฐมพยาบาล
         ใช้ผ้าแถบยาว 3 ผืน (ผ้าสามเหลี่ยมพันให้เป็นแถบยาว) พันรอบทรวงอก แต่ละผืนกว้างประมาณ 4 นิ้ว ผืนที่หนึ่งวางตรงกลางใต้ราวนมเล็กน้อย แล้วผูกให้แน่นพอควรใต้รักแร้ข้างที่กระดูกซี่โครงไม่หัก ขณะผูกต้องบอกให้ผู้บาดเจ็บหายใจออกเพื่อจะได้ไม่หลวมและหลุดออกง่าย
         ผืนที่สองและผืนที่สามวางเหนือและใต้ผืนที่หนึ่งแล้วผูกเช่นเดียวกัน ก่อนผูกผ้าทั้ง 3 ผืนควรหาผ้าพับตามยาววางใต้รักแร้ เพื่อรองรับปมผ้าที่ผูกและป้องกันปมผ้ากดเนื้อบริเวณใต้รักแร้
         ในรายหักแล้วมีอันตรายต่ออวัยวะภายใน อย่าผูกให้แน่นเกินไป เมื่อพันผ้าแล้วให้ ผู้บาดเจ็บนอนในเปลหามในท่านอนตะแคงทับทรวงอกข้างที่เจ็บ เพื่อให้ปอดข้างที่ดีทำหน้าที่ได้เต็มที่ (ถ้ากระดูกหักแล้วกระดูกซี่โครงแทงทะลุผิวหนังออกมา ผ้าผืนที่หนึ่งต้องพันทับลงไปตรงตำแหน่งที่กระดูกโผล่) หรืออาจใช้ พลาสเตอร์ชนิดเหนียวปิดยึดบริเวณกระดูกซี่โครง
                                       การเข้าเฝือกกระดูกซี่โครงหักการเข้าเฝือกกระดูกซี่โครงหัก
                                                           ภาพที่ 9 การเข้าเฝือกกระดูกซี่โครงหัก

                                                        การเใช้ผ้าพันยึดบริเวณซี่โครงที่หัก
                                                      ภาพที่ 10 การเใช้ผ้าพันยึดบริเวณซี่โครงที่หัก

    การปฐมพยาบาลผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกไหปลาร้าหัก

    |0 ความคิดเห็น
    การปฐมพยาบาลผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกไหปลาร้าหัก
    สาเหตุ     อาจเกิดจากการถูกตีที่ไหปลาร้า หรือหกล้มเอาไหปลาร้ากระแทกวัตถุของแข็ง หกล้มในท่ามือยันพื้นและแขนเหยียดตรง จะทำให้มีกระดูกไหปลาร้าหัก

    อาการและอาการแสดง
         บริเวณไหปลาร้าที่หักจะบวมและเจ็บปวด คลำพบรอยหักหรือปลายกระดูกที่หัก ถ้าจับกระดูกไหปลาร้าโยกดูจะพบเสียงกรอบแกรบ ยกแขนข้างนั้นไม่ได้ ผู้บาดเจ็บจะอยู่ในลักษณะหัวไหล่ตกและงุ้มมาข้างหน้า
                                      กระดูกไหปลาร้าหัก (ด้านซ้าย)
                                      ภาพที่ 6 กระดูกไหปลาร้าหัก (ด้านซ้าย)


    การปฐมพยาบาล

         วิธีที่ 1 ใช้ผ้าผืนโตๆ 2 ผืน ผืนหนึ่งทำเป็นผ้าคล้องคอให้ห้อยแขนข้างที่มีกระดูกไหปลาร้าหักนั้นเอาไว้ ให้ต้นแขนแนบกับทรวงอก แล้วใช้ผ้าอีกผืนหนึ่งพันรอบใต้แขนนั้นอยู่ติดกับทรวงอก ใต้รักแร้ข้างดี โดยวิธีเช่นนี้จะเป็นการกันไม่ให้แขนข้างนั้นเคลื่อนไหว กระดูกไหปลาร้าที่หักจะได้อยู่นิ่ง
                                  วิธีการเข้าเฝือกกระดูกไหปลาร้าหักวิธีการเข้าเฝือกกระดูกไหปลาร้าหัก
                                        ภาพที่ 7 วิธีการเข้าเฝือกกระดูกไหปลาร้าหัก 


         วิธีที่ 2 ใช้วิธีพันผ้ายืดเป็นรูปเลขแปด บริเวณหัวไหล่ 
                                                การใช้ผ้ายืดพยุงกระดูกไหปลาร้าหัก
                                       ภาพที่ 8 การใช้ผ้ายืดพยุงกระดูกไหปลาร้าหัก


    การปฐมพยาบาลผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกขากรรไกรล่างหัก

    |0 ความคิดเห็น
    การปฐมพยาบาลผู้ประสบอุบัติเหตุกระดูกขากรรไกรล่างหัก

    สาเหตุ     อาจเกิดจากการถูกตี หกล้มคางกระแทกพื้น ถูกต่อยหรืออุบัติเหตุบนท้องถนน

    อาการและอาการแสดง
         ปวดเมื่ออ้าปาก หรือหุบปาก และพูดลำบาก คางผิดรูป อาจมีเลือดและน้ำลายไหลออกจากปาก เหงือกฉีกเป็นแผล ฟันหักหรือโย้เย้ผิดรูป ฟันไม่สบกัน อาจมีแผลบริเวณคางหรือภายในช่องปาก

    การปฐมพยาบาล
         1.ค่อยๆ จับขากรรไกรทั้งสองหุบ เพื่อให้ขากรรไกรล่างที่หักยันขากรรไกรบนไว้ ใช้ผ้าประคองไว้ โดยผูกปลายผ้าแบบหูกระต่าย เพื่อจะได้แก้ออกง่ายเมื่อผู้ป่วยอาเจียน และจัดให้อยู่ในท่าศีรษะสูงหรือนอนตะแคงเพื่อป้องกันการสำลักเลือด
         2. ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง เนื่องจากทางเดินหายใจอาจถูกปิดกั้นจากน้ำลาย เลือด หรือฟันที่หักหลุดเข้าหลอดลม และเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
                                                                           การพันผ้าพยุงขากรรไกรล่างหัก
                                                                         ภาพที่ 5 การพันผ้าพยุงขากรรไกรล่างหัก