วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มาทำกายบริหารให้สมองกันเถอะ

|0 ความคิดเห็น
มาทำกายบริหารให้สมองกันเถอะ

หลังจากสิ้นสุดการทำงานหรือการเรียนในแต่ละวัน หลายท่านอาจเคยรู้สึกว่าสมองอ่อนล้า มาช่วยกันคลายเครียดให้สมองด้วยท่าบริหารง่าย ๆ กันเถอะ


การบริหารสมอง หมายถึง การบริหารร่างกายในส่วนที่สมองควบคุมโดยเฉพาะกลุ่มเส ้นประสาทที่เชื่อมสมอง 2 ซีกเข้าด้วยกัน เพื่อให้สมองแข็งแรง ทำงานได้คล่องแคล่ว และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการเรียนรู้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความผ่อนคลายให้สมอง จากการทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งวัน โดยวิธีทำก็ไม่ยาก แค่ปฏิบัติตามดังต่อไปนี้

- การบริหารปุ่มสมอง เริ่มด้วยการใช้มือข้างหนึ่งวางบริเวณไหปลาร้า ซึ่งจะมีหลุมตื้น ๆ อยู่ ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ คลำหาร่องหลุมนี้ซึ่งกว้างประมาณ 1 นิ้วหรือมากกว่าขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายของแต่ละคน แล้วนวดประมาณ 30 วินาที และขณะเดียวกันให้เอามืออีกข้างที่ว่างวางไปที่ตำแหน ่งสะดือ ในขณะที่นวดปุ่มสมองนี้ ก็ให้กวาดตามองจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้ายและจากพื้นขึ้นเพดาน ประโยชน์ของการทำท่านี้ จะช่วยในการกระตุ้นระบบประสาทและเส้นเลือดให้ไปเลี้ย งสมองได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้ระบบการสื่อสารระหว่างสมอง 2 ซีกที่เกี่ยวกับการพูด อ่าน เขียน มีประสิทธิภาพมากขึ้น

- ท่าต่อไปเป็นการนวดปุ่มขมับ ให้ใช้นิ้วทั้งสองข้างนวดบริเวณขมับเบา ๆ โดยการวนเป็นวงกลมประมาณ 30-60 วินาที แล้วกวาดตามองจากซ้ายไปขวา และจากพื้นมองขึ้นไปบนเพดาน โดยการบริหารท่านี้ จะกระตุ้นระบบประสาทและเส้นเลือดส่วนที่ไปเลี้ยงสมอง ที่มีหน้าที่ในการมองเห็นให้ทำงานได้ดีขึ้น และยังทำให้สมองทั้งสองซีกทำงานสมดุลกัน

- ส่วนท่าบริหารสมองที่ช่วยในการได้ยิน ก็คือการบริหารปุ่มใบหู วิธีทำคือใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับที่ส่วนบนสุด บริเวณด้านนอกของใบหูทั้ง 2 ข้าง แล้วนวดตามริมขอบเบา ๆ ไล่ลงมาจนถึงติ่งหู ทำซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง แนะนำให้ทำท่านี้ก่อนที่จะอ่านหนังสือ เพราะจะช่วยในเรื่องการเพิ่มความจำและมีสมาธิมากยิ่ง ขึ้น เนื่องจากการทำแบบนี้จะไปกระตุ้นเส้นเลือดฝอยที่ไปเล ี้ยงสมองส่วนการได้ยินและความจำระยะสั้น รวมถึงการฟังที่เป็นจังหวะใด้ใช้งานได้ดีขึ้น.

นวัตกรรมคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำเสริมเส้นใยธรรมชาติ 2

|0 ความคิดเห็น
นวัตกรรมคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำ
เสริมเส้นใยธรรมชาติ 2 

Kevlar4 rainforced rod มีค่าการรับแรงดึงต่ำสุด (Minimum tenseil load) ประมาณ 22,700 กิโลกรัมนิวตัน ค่าโมดูลัสของการยืดหยุ่น (Young’s Modulus) อยู่ที่ประมาณ 68.6 กิโลนิวตันต่อตารางเซนติเมตร และเมื่อนำไปเปรียบเทียบหน่วยน้ำหนัก (Unit weight) ระหว่าง Carbon fiber rainforced rods กับ Kevlar49 rainforced rod จะมีหน่วยน้ำหนักที่น้อยกว่า Carbon fiber rainforced rods อยู่ประมาณ 30 เปอร์เซนต์ ในปัจุจบันวัสดุKevlar49 นิยมถูกนำไปใช้เป็นวัสดุสำคัญในการทอเสื้อเกราะกันกระสุนปืน 


ในการก่อสร้างมีการนำ Kevlar49 มาใช้แทนเหล็กเสริม เนื่องจากคณสมบัติที่มีความสามารถต้านทานแรงดัดได้ดี มีน้ำหนักเบา อีกทั้งยังทนทานต่อการกัดกร่อนของสารประเภทซัลเฟตได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม Kevlar49 ยังมีราคาค่อนข้างสูง และโรงงานที่สามารถผลิตได้ยังมีจำนวนน้อย เมื่อเปรียบเที่ยมกับเหล็กทั่วไปจึงเป็นผลทำให้ยังไม่ได้รับความนิยมนัก จากการนำเส้นใยที่มีความต่อเนื่อง และสามารถควบคุมการจัดเรียงตัวของเส้นใยนาโนได้ อย่างแม่นยำมาใช้ในการเสริมแรงจะได้ คอนกรีตมวลเบาที่มีแนวเส้นใยอยู่ในโครงสร้างคล้ายกับคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำปกติที่อุณหภูมิ 180 – 195 องศาเซลเซียส ไม่ทำให้โครงสร้างของอารามิดแตกสลาย เพราะอารามิดจะเริ่มสลายตัวที่อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส จึงไม่มีผลกระทบในการเชื่อมต่อพันธะระหว่าง Fiberglasses-Aramid-Tobermcrite



การรับแรงดัดที่มีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามระยะที่เพิ่มขึ้นการทดสอบแรงดัดกำลังการรับน้ำหนักที่จุดกึ่งกลางจะทำให้มีการกระจายกำลังไปที่เส้นใยส่วนหนึ่งและเนื้อคอนกรีตมวลเบาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัตืของเส้นที่มีความยืดหยุ่นการกระจายแรง ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการวิจัยนี้คือ ทำให้วัสดุมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า

การเสริมด้วยเหล็ก เสริมลดต้นทุนการผลิตเนื่องจากการใช้เหล็กเส้นในการเสริมแรงนั้น ตอนที่ยุ่งยากและใช้วัสดุหลายชนิดเช่น เหล็กเส้น, สารกันสนิม และวัสดุประกอบอื่นต่างจากการใช้เส้นใยเพียงอย่างเดียว การเสริมแรงด้วยเส้ยใยจะทำให้คอน กรีตมีน้ำหนักเบาขึ้นกว่า การเสริมแรงด้วยเหล็กเส้นส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 


เนื่องจากผนังที่เสริมแรงด้วยเส้นใยนั้น จะเป็นฉนวนกันความร้อนดีกว่าเหล็กเส้น จึงช่วยในการประหยัดพลังงานในการลดอุณหภูมิอาคาร และจะเป็นสิทธิบัตรที่เกิดจากการคิดค้นของนักวิจัยไทยที่เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีวัสดุก่อสร้างด้วยการผลิตระบบนาโนเมตร การนำไปก่อสร้างอาคาร เช่น การเสริมแรงผนังตำแหน่งช่องเปิด ประตู หน้าต่าง แทนการหล่อคอนกรีตเสริมเหล็ก แผ่นคอนกรีตสำเร็จสำหรับผนังบังแสงภายนอกอาคารโครงสร้างคอนกรีตมวลเบาขนาดแผ่นใหญ่ที่นำไปประยุกต์ใช้งานแทนการก่อสร้างด้วยไม้ เนื่องจากน้ำหนักเบา และแข็งแรงเช่นเดียวกับไม้สักสามารถติดตั้งได้ในลักษณะเดียวกับงานไม้

นวัตกรรมคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำ

|0 ความคิดเห็น
นวัตกรรมคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำ
เสริมเส้นใยธรรมชาติื 1
 


สำหรับ ”นวัตกรรมนวัตกรรมคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำเสริมเส้นใยธรรมชาติ “ นั้นผ่านการค้นคว้าวิจัย มาเป็นแรมปีที่จะมาปฏิวัติงานก่อสร้างรูปแบบใหม่ มีคุณสมบัติเด่นดังนี้

จากการศึกษาวิจัย: การนำเส้นใยมาประยุกต์ใช้ในการเสริมแรงคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำโดยคณะผู้วิจัยประกอบด้วยดร.บวร อิศรางกูล ณ อยุธยา อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ หัวหน้าคณะวิจัยดร.โยธิน อึ่งกูล และนางสาววันวิสาข์ เจดีย์-ภัทรนาท ฝ่ายวิจัยพัฒนา บริษัท ซุปเปอร์บล็อก จำกัด (มหาชน) นักวิจัย

งานวิจัยนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) และมหา วิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เพื่อนำคุณสมบัติการยืดหยุ่นของเส้นใยธรรมชาติ และเส้นใย สังเคราะห์มาประยุกต์ใช้ในการเสริมแรงคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำแทนโลหะ

โดยมีเป้าหมายคือ การนำเส้นใยธรรมชาติ หรือเส้นใยสังเคราะมาใช้ในการเสริมแรงของคอน กรีตมวลเบาอบไอน้ำ (Aerated autoclaved concrete, AAC) แทนเหล็กเส้น โดยอาศัยทฤษฏีการสร้างพันธะระหว่างกันด้วยพันธะอิออนิก ที่มีความแข็งแรงเนื่องจากคอนกรีตมวลเบาอบ ไอน้ำมี โครงสร้างของผลึกเทอเบอเมอร์ไรท์ (Tobermerite) ที่เกิดจากการนำเข้าวัสดุเช่นเดียวกับคอนกรีตโครงสร้างอาคารนำมาบดละเอียดให้มีขนาดโมเลกุล 60 – 90 ไมครอน หรือ 60,000 – 90,000 นาโนเมตร


ทำให้โครงสร้างเกิดฟองอากาศจกการทำปฏิกิริยาของปูนขาว และผงปูนมิเนี่ยมเป็นฟองอากาศขนาดเล็กแบบปิดในลักษณะของช่องว่างขนาดเล็ก (Micro Pore) สังเคราะห์ด้วยกระบวนการอบไอน้ำที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส แรงดัน 12 บาร์ จึงเกิดคุณสมบัติใหม่ขึ้นมาคือ ผลึกคริสตัลของแคลเซี่ยมซิลิเกตมีโมเลกุลเล็กกว่า 100 นาโนเมตร โดยวัสดุคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำนี้ มีคุณสมบัติเป็นอิออนบวกในขณะเดียวกันก็มีเส้นใยธรรมชาติ และเส้นใยสังเคราะห์หลายชนิดที่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดอิออนลบได้ ทำให้โครงสร้างมีความเป็นเนื้อเดียวกัน แข็งแรงตามมาตรฐานคอนกรีตมวลเบาอบไอน้ำชนิดเสริมใยเหล็ก ลดต้นทุนการผลิต ลดค่าการนำความร้อน น้ำหนักเบา

โครงสร้างทางเคมีของเส้นใยประเภท พาราอารามิค (Para-aramid) ที่ใช้เป็นสารเสริมแรงแทนเหล็กเสริมตัวอย่างเช่น ตาข่ายแบบเส้นทอเคลือบอารามิคสีขาว ความทนต่อแรงดึงนิวตันต่อ 25 มิลลิเมตร



Carbon fiber reinforced rods ซึ่งมีค่ารับแรงดึงต่ำสุด (Minimum Tenseil strength)ประมาณ 30,000 กิโลกรัมนิวตันและค่าโมดูลัสของการยือหยุ่น (Young’s Modulus) อยู่ที่ประมาณ 156.8 กิโลนิวตันต่อตารางเซนติเมตร วัสดุประเภทนี้มีคุณสมบัติต้านทานแรงดึงได้สูง และยังมีน้ำหนักเบาเมื่อเปรียบเทียบกับเหล็กเสริมที่มีขนาดเดียวกัน ปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ในงานก่อสร้างโดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อต้องการเสริมความแข็งแรงโครงสร้างอาคารที่ไม่ต้องการให้เกิดการไหลผ่านของกระแสไฟฟ้าผ่านเหล็กเสริมเมื่อเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือฟ้าผ่าโดยเฉพาะอาคาร หรือห้องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ หรือแม้แต่เสาไฟฟ้า

ไม้แบบพลาสติก (Plastic Formwork)

|0 ความคิดเห็น
ไม้แบบพลาสติก (Plastic Formwork)

นวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง ที่ช่วยให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทำงานได้รวดเร็วขึ้น และประหยัดขึ้น



สำหรับการก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กนั้น ไม้แบบ (Formwork) นั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลเวลาการทำงาน และต้นทุนการก่อสร้าง เพราะหากไม้แบบมีน้ำหนักมาก จะทำให้ทำงานล่าช้า หรือ ต้องใช้เครื่องจักรกลในการยกประกอบติดตั้ง นั้นก็หมายถึงต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น และหากมีความคงทนก็สามารถที่จำนำมาใช้ซ้ำได้หลายๆครั้งทำให้ต้นทุนค่าไม้แบบนั้นลดลงไปอีก


ปกติผู้รับเหมาก่อสร้างไทยนั้นจะคุ้นเคยกับไม้แบบไม้ เพราะหาได้ง่าย สามารถนำมาประกอบได้ขนาดตามที่ต้องการได้ง่าย น้ำหนักไม่มาก แต่ปัจจุบันราคาไม้แบบเริ่มสูงขึ้น และหายากมากขึ้น ทำให้ผู้รับเหมาก่อสร้างเริ่มนำไม้แบบเหล็ก (Steel Formwork) เข้ามาใช้งานแทน เพราะสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ตลอด แต่ก็มีข้อเสียคือ ราคาสูง และมีน้ำหนักมาก


ปัจจุบันบริษัท ศิริวรรณพลาสติก จำกัด ได้ค้นคิดและผลิตไม้แบบคอนกรีตที่ทำจากวัสดุพลาสติกโพลิเอทธีลิน ซึ่งมีคุณสมบัติเหนียว ทนทาน และน้ำหนักเบา ทำให้สามารถติดตั้งและรื้อถอนได้ง่าย ตลอดจนทนทานต่อสภาพอากาศกว่า 10 ปี โดยมีการเสริมเหล็กเป็นแกนทำให้สามารถรับน้ำหนักได้เพิ่มขึ้นและแข็งแรงมากขึ้น

โดยศิริวรรณพลาสติกนั้น มีการผลิตไม้แบบพลาสติกเป็นไม้แบบ เสา ข้างคาน ท้องคาน และ ฐานราก



ภาพแบบเสาพลาสติกหน้างาน
ไม้พลาสติก



แบบเทเสาคอนกรีต ทำจากพลาสติกเสริมแกนเหล็ก(ได้รับ อนุสิทธิบัตรแล้ว) 

ลักษณะโดยทั่วไป 

* แผ่นแบบทำจากพลาสติกโพลิเอทธีลิน ชนิดความหนาแน่นต่ำ ( LDPE )เหนียวทนทานเป็นพิเศษ
* ด้านหน้าเรียบด้านหลังเป็นครีบ และมีร่องสำหรับบรรจุเหล็กกล่อง ขนาด ¾" ลงตามความยาวของแผ่น
* ขนาดของแผ่นพลาสติกหนา 2.5 ซม. กว้าง 15,20,25,30 ซม.(เหมือนไม้กระดาน 1"x6", 1"x8", 1"x10") ยาว 1.20,1.50ม.สามารถสั่งต่อเป็น ความยาว 2.40ม.3.60ม. หรือความยาวอื่น ๆ ตามที่ต้องการได้ (แผ่นพลาสติกต่อกันด้วยน็อตและสกรู ส่วนเหล็กกล่องจะเป็นเหล็กชิ้นเดียวกัน) 


ลักษณะเด่น 
* เหนียวทนทานใช้งานได้มากกว่า 100 ครั้ง
* น้ำหนักเบา
* ด้วยระบบการรัดเสา โดยวิธีพิเศษของบริษัทฯโดยเฉพาะ ทำให้สามารถติดตั้งและรื้อถอนได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็วที่สุด
* ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาทาแบบ
* ดูแลรักษาง่าย กว่าแบบเหล็ก


วิธีใช้งานแบบเสา 

1. วิธีการรัดเสาที่ง่าย ๆ และสะดวกรวดเร็วที่สุด สำหรับเสาขนาดตั้งแต่ 0.15 x 0.15ม.จนถึง 0.40 x 0.40ม. โดยการ ใช้แคลมป์ ทำจากเหล็กกล่องขนาด 1 " - 1¼'' ร่วมกับการใช้ไม้เกบากร่องขนาด 1½" x 3" 
2. สำหรับเสาขนาดใหญ่กว่า 0.40 x 0.40ม. ขึ้นไปจนถึงขนาด 0.60 x 0.60ม.วิธีการรัดเสาโดยการใช้แคลมป์ก้ามปู ร่วมกับ TIEROD และลิ่มไม้ 
3. พิสูจน์แล้วประหยัดและรวดเร็วที่สุด 




แบบข้างคาน ทำจากพลาสติกเสริมแกนเหล็ก 
สามารถเลือกใช้ แบบขนาดมาตรฐานปกติ ( ความกว้าง 15,20,25,30 ซม. ) มาประกอบเป็นแผงขนาดตามต้องการ หรือใช้แบบสำหรับทำข้างคานโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีความกว้างของแผ่น เผื่อความหนาท้องคานไว้ด้วย มี 3 ขนาดคือ 42, 52, 62 ซม. ยาว 1.20 ม. 

วิธีใช้งานแบบข้างคานรุ่นเก่า ขนาด 42 x 1.20 เมตร ( รหัส BS42A ) 
1. ใช้ไม้ 1.5" x 3" ตีทางแบนที่หัวท้ายแผ่น ( ตีเสมอแผ่นพอดี ) และกลางความยาวแผ่นอีก 1 จุด กรณีที่เป็นแผ่นหน้าแคบมาต่อกัน ไม้เกนี้จะใช้เป็นตัวยึดแผ่นพลาสติก เข้าเป็นแผงเดียวกันด้วย 
2. ตีค้ำยันที่ไม้แป และยึดปากแบบตามสมควร 
3. ที่ตีนแบบ กรณีเป็นคานตื้นอาจตีตะปูยึดไม้เกเข้ากับตงก็ได้แต่ถ้าเป็นคานลึกต้องใช้ไม้ ตียึดตีนแบบ (ไม่จำเป็นต้องยาวต่อเนื่องตลอด ให้อัดตรงไม้เกไว้ให้แน่นก็พอแล้ว)

ไม้เก

4.กรณีไม่ต้องการใช้ไม้ สามารถใช้ เหล็กฉากขนาด 1¼" มีรู SLOT ยึดเข้ากับแผ่นแบบ โดยใช้สกรูชนิดเจาะเองได้ (SELF DRILLING SCREW ) วิธีนี้จะใช้ U - CLIP ยึดต่อความยาวแผ่นได้ เหมือนแบบเหล็ก



รูปแสดงการใช้เหล็กฉากยึดติดแบบข้างคาน


วิธีใช้งานแบบข้างคานรุ่นใหม่ ขนาด 42 x 1.20 เมตร ( รหัส BS42X ) 
1. แบบพลาสติกขนาด 2.5 x 42 x 120 เซนติเมตร มีร่องสำหรับบรรจุเหล็กกล่องในทิศทางขวางแผ่น (รุ่นเดิมบรรจุเหล็กกล่อง ในทิศทางตามความยาวของแผ่น) 
2. บรรจุเหล็กกล่องขนาด 19 x 19 มิลลิเมตร หนา 1.4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร จำนวน 7 ชิ้น ยึดติดด้วยสกรูเจาะเหล็ก จำนวน 3 ตัว ต่อเหล็กกล่อง 1 ชิ้น 

3. เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ควรใช้ไม้ยางอย่างดีขนาด 1.5" x 1.5" ยาวประมาณ 120 เซนติเมตร 2 ชิ้น และ 34 เซนติเมตร 2 ชิ้น ยึดติดด้วยตะปูที่หลังแบบ โดยให้เสมอขอบแบบโดยรอบ (ดูรูปประกอบ) 

4. นำไปใช้งานได้อย่างสะดวก เพราะมีเนื้อไม้ให้ตีตะปูยึดปากแบบ ,ตีนแบบ หรือค้ำยันได้อย่างสะดวก 

รูปแสดงการประกอบไม้ 1 ½" x 1 ½" หรือ 1 ½" x 3" ที่ด้านหลังแผ่นแบบ


แบบฐานราก ทำจากพลาสติกเสริมแกนเหล็ก
ทำจากพลาสติกเสริมแกนเหล็กกล่อง เช่นเดียวกันกับ แบบเสา แบบข้างคาน หรือท้องคานเสริมด้วยเหล็กฉากเจาะรู SLOT ยึดด้วย U - CLIP สามารถสั่งผลิตได้ ในขนาดต่าง ๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ 

ผู้ให้บริการเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา

|0 ความคิดเห็น
โซล่าร์รูฟ บริษัท ไทยโซล่าร์ฟิวเจอร์ จำกัด  ผู้ให้บริการเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา



หากทุกคนร่วมใส่ใจกับปัญหาผลกระทบจากโลกร้อน โดยแต่ละคนก็ร่วมแก้ไขปัญหาที่ตนเองรับผิดชอบก็จะทำให้ปํญหาโลกร้อนนั้นลดลง ได้อย่างเร็วขึ้น แต่สำหรับโครงการโซลาร์รูฟ แล้วนอกจากช่วยให้ท่านได้ร่วมแก้ปัญหาโลกร้อนได้แล้ว ยังสามารถทำกำไรหรือสร้างรายได้อีกทาง ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนกว่า 9 % ซึ่งมากกว่าเอาเงินฝากธนาคารเสียอีก

โดยโครงการนี้เป็นโครงการให้เจ้าของบ้านพักอาศัย ได้สามารถขายไฟฟ้าคืนให้กับการไฟฟ้านครหลวงหรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตาม ตามมาตรการการส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ของกระทรวงพลังงาน โดยจ่ายเงินเสริมหรือ Adder ให้กับเจ้าของบ้านพักที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้คุ้มค่าในการลงทุนได้รวดเร็วขึ้นเป็นแรงจูงใจให้เจ้าของบ้านพักทั่ว ประเทศได้ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการมากขึ้น โดยจะจ่ายเงินเสริมให้หน่วยละ 8 บาทในระยะเวลา 10 ปีแรก และหลังจากนั้นจะได้รับเงินเสริมหน่วยละ 5 บาท


โครงการนี้จะเป็นจริงได้ง่ายขึ้น โดยบริษัท ไทยโซลาร์ฟิวเจอร์ จำกัดเป็นผู้ให้บริการครบวงจรตั้งแต่การให้คำปรึกษา การขออนุญาต และติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้กับบ้านพักอาศัยของท่าน โดยช่างและวิศวกรผู้มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ทำให้เจ้าของบ้านไม่ต้องปวดหัวในการศึกษาข้อมูลและดำเนินการเองอีกต่อไป 


ซึ่งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับติดตั้งบนหลังคานี้จะมีขนาดตั้งแต่ 15, 24 และ 27 ตารางเมตร โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะเริ่มตั้งแต่ 380,000 บาทขึ้นไปสำหรับขนาดพื้นที่ 15 ตารางเมตร โดยจะได้กำลังไฟฟ้าที่ 2 kW ซึ่งจะทำให้เจ้าของบ้านที่ลงทุนติดตั้งระบบนี้ จะได้ใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เพื่อร่วมกับแก้ปัญหาหรือลดโลกร้อนได้ด้วยตัวท่านเองแล้ว ในกรณีที่มีไฟฟ้าเกินกว่าความต้องการใช้งานในบ้านของท่านระบบนี้จะขายไฟฟ้า กลับคืนให้กับการไฟฟ้าที่ให้บริการไฟฟ้าให้กับท่าน


บริษัทไทยโซล่าร์ฟิวเจอร์ จำกัดเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องแผงโซลาร์โดยเฉพาะ ที่มีลูกค้าได้ให้ความไว้วางใจจำนวนมาก โดย ศ.ดร.ดุสิต เครืองาม เป็นกรรมการผู้จัดการ ซึ่งท่านเป็นอาจารย์สาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


หากท่านต้องการนำไปใช้กับงานโรงงานอุตสาหกรรม หรือ ต้องการนำไปทำกับโครงการต่างๆของท่าน สามารถติดต่อสอบถามได้กับบริษัท ไทยโซล่าร์ฟิวเจอร์ จำกัดได้โดยตรง หรือ หากต้องการดูรายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติม สามารถแวะดูได้ที่ www.thaisolarfuture.com หรือ โทรศัพท์สอบถามที่ 02 953 9163-64 , 089 773 5861 คุณ ปนัดดา

บ้านหยดน้ำ 2 ลูก (Water Drop House)

|0 ความคิดเห็น
บ้านหยดน้ำ 2 ลูก (Water Drop House)

บ้านหยดน้ำ 2 ลูก
บ้านหยดน้ำ 2 ลูก รุ่นสร้างบนที่ดิน (Onsite) รูปทรงโดม น่ารัก ให้ความรู้สึกอบอุ่น สามารถปรับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางให้ใหญ่ขึ้นได้ หรือเลือกปรับเปลี่ยนตำแหน่งประตู หน้าต่างได้ตามความต้องการ เหมาะสำหรับ บ้านพักอาศัยขนาดเล็ก กลาง รีสอร์ท สำนักงานขนาดเล็ก ร้านอาหาร

ก่อสร้างด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย เป็นโครงสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete) ประเภทโครงสร้างเปลือกบาง (Thin Shell Structure) ซึ่งเป็นการถ่ายแรง 2 ทาง และไม่มีมุมอาคาร ทำให้อาคารมีความแข็งแรง และทนทานเป็นพิเศษ สามารถต้านทานภัยพิบัติได้เป็นอย่างดี เช่น แผ่นดินไหว พายุ สึนามิ เพลิงไหม้ พร้อมกับ ฉีดพียูโฟม (Polyurethane Foam) หนา 2.5 นิ้ว เป็นฉนวนหุ้มกันความร้อนภายนอกอาคาร (EIFS) ประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาคารนั้นควบคุมอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความรู้สึกที่เย็นสบายในฤดูร้อน และอบอุ่นในฤดูหนาว

บ้านหยดน้ำ 2 ลูก บ้านประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Building) แข็งแรง ทนทาน ราคาประหยัด ก่อสร้างรวดเร็ว ลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาอาคาร

หลอดประหยัดไฟฟอกอากาศ BioBULB

|0 ความคิดเห็น
หลอดประหยัดไฟฟอกอากาศ BioBULB

เป็นนวัตกรรมใหม่ได้มีการนำมาใช้งานในระยะเวลาพอสมควรแล้วในต่างประเทศ เช่น ประเทศในแถบ ยุโรป อเมริกา และเอเชียบางประเทศ โดยเฉพาะ ประเทศเกาหลี ซึ่งราคาค่อนข้างจะสูงมาก แต่ BioBULB ได้มี การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อ ประเทศไทย และประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยคุณภาพและคุณสมบัติที่ มากกว่าแต่ในราคาที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้


คุณสมบัติเด่นๆของหลอดไฟฟอกอากาศ

1. หลอดประหยัดไฟฟอกอากาศไบโอบับ เป็นหลอดประหยัดไฟที่สามารถฟอกอากาศได้ดี ภายในห้องขนาด กว้าง 2 เมตร ลึก 2 เมตร สูง 2 เมตรขึ้นไป และปล่อยประจุลบได้มากถึง 3 ล้านหน่วยต่อตารางเซนติเมตร โดยหลักการทำงาน คือ ใน สภาพอากาศแวดล้อมรอบตัวเรานั้นจะมีประจุไฟฟ้าอยู่ทุกที่ และในประจุในอากาศนั้นจะแบ่งได้ เป็น 2 ชนิด คือ ประจุบวก และ ประจุลบ ประจุบวกนั้นจะอยู่ในรูปของมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น ละออง,ควัน, เขม่า, กลิ่นไม่พึงประสงค์, เชื้อโรคบางประเภท จึงทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน และยังเป็นสาเหตุของโรค หอบหืด, เขม่าควัน,ละออง, แบคทีเรีย และ เชื้อโรคต่างๆ ในอากาศ ซึ่งถ้าทุกๆวันของเรา ต้องเผชิญกับเหล่านี้มากๆจะทำให้ร่างกายทรุดโทรม แก่ก่อนวัย ขาดความสดชื่น ผิวพรรณหม่นหมอง และมีโรคร้ายคุกคามมากมายแต่ถ้าเราสามารถ ขจัดประจุบวกให้เหลือน้อยลงก็เท่ากับว่าเราสามารถมีชีวิตที่สดใสขึ้นมาได้ และการที่จะกำจัด ประจุบวกให้เหลือน้อยที่สุดก็คือ ประจุลบ ซึ่งจะทำให้อากาศบริสุทธิ์ขึ้น
2. หลอดประหยัดไฟฟอกอากาศไบโอบับ ใช้วัสดุที่เป็น ทองแดง ผสมกับสแตนเลส จึงไม่ เป็นสนิม วัสดุที่ใช้ในการผลิตอย่างพิถีพิถัน และใส่ใจในทุกขั้นตอน โดยสามารถดูได้จากฐาน และ ก้นขั้วหลอด โดยปกติหลอดไฟทั่วไปจะใช้วัสดุที่เป็นสารตะกั่วในการผลิต แต่ผลิตภัณฑ์ของ เราได้นำวัสดุที่เป็น ทองแดง ผสมกับสแตนเลสมาใช้แทน ซึ่งจะมีผลดีในเรื่องของ การเดิน กระแสไฟฟ้าที่ดีขึ้น จึงทำให้ช่วยลดค่าไฟได้ส่วนหนึ่ง และ ทนต่อความชื้นสูง, ทนต่อความเป็นกรด และ ด่าง เช่นในสภาพอากาศที่แปรปรวนในปัจจุบัน และเหมาะกับในสถานที่ๆ มีความชื้นสูง (เช่น ใกล้ริมทะเล ในโรงเรือนที่มีความชื้น)
3. หลอดประหยัดไฟฟอกอากาศไบโอบับ สว่างมากกว่า หลอดประหยัดไฟทั่วไป แต่มีกำลัง วัตต์เท่ากัน เช่น เราเคยใช้หลอดประหยัดไฟบางยี่ห้อ ในกำลังวัตต์ ที่ 20 w โดยให้ความสว่าง ที่ ใกล้เคียงกับ หลอดประหยัดไฟทุกรุ่นของ biobulb ในขนาดที่ 15 w ผลดีคือ ช่วยประหยัด พลังงานไฟฟ้า และช่วยเหลือสภาพแวดล้อมที่นับวันจะทรุดโทรมลงทุกวัน

นวัตกรรมใหม่ หลอดประหยัดไฟฟอกอากาศ
อากาศบริสุทธิ์ที่มาพร้อมกับแสงสว่าง


ทำไมธรรมชาติ ทั้งป่าเขา น้ำตก และชายทะเล จึงทำให้เรารู้สึกสดชื่นได้ เพราะในอากาศบริสุทธิ์เหล่านี้มี ประจุลบ(เนกาทีฟไอออน) ซึ่งเกิดจากอิเล็กตรอนปะทะกับอณูในอากาศ เกิดเป็นประจุที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่อาจ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เปรียบเสมือนวิตามินในอากาศ ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความสดชื่น เช่นเดียวกับหลอดไฟ ซึ่ง สามารถปล่อยประจุลบ(เนกาทีฟไอออน) ช่วยฟอกอากาศรอบตัวเราให้สดชื่นได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด แค่เพียงเปิดไฟ ก็สัมผัส ได้ถึงอากาศบริสุทธิ์ สดชื่น เหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
หลอดประหยัดไฟฟอกอากาศ BioBULB ให้แสงสว่าง และประหยัดพลังงาน นอกจากนั้นยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและขจัดสิ่งปนเปื้อนในอากาศ ฝุ่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ สะเก็ดผิวหนังสัตว์ ควันบุหรี่ ควันพิษ และกลิ่นเหม็นต่างๆ เพื่อผู้มีปัญหาทางสุขภาพและผู้ที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์
- ตัว Anion ของหลอดไฟจะเริ่มทำงาน เมื่อเปิดหลอดไฟ
- ตัว Anion จะเริ่มปล่อยประจุลบ ซึ่งสามารถปล่อยได้มากถึง 3 ล้าน ซีซี
- ประจุลบจะเริ่มจับตัวกับประจุบวกและอนุมูลอิสระ


ประจุลบคืออะไร ประจุลบเป็นอะตอมของธาตุชนิดหนึ่งซึ่งมีผลให้มนุษย์มีความรู้สึกสดชื่นคล้ายกับ สภาพบริเวณน้ำตกหรือหุบเขา ใน อะตอมหนึ่งๆ ถ้าไม่มีอิเลคตรอน หรือสูญเสียอิเลคตรอน ( ประจุลบ ) อะตอมนั้นจะมีสภาพเป็นบวก ( CATION ) ประจุลบสำหรับมนุษย์นั้น มีผลดีต่อระบบเมตาบอลิซึม และระบบการไหลเวียนของเลือด รวมถึงการกำจัดของเสีย ใน ระบบไหลเวียน รวมถึงระบบประสาทซึ่งควบคุมการทำงานของร่างกายมนุษย์ ซึ่งอาจจะเรียกประจุลบว่า วิตามินใน อากาศ

ประจุลบเกิดขึ้นได้อย่างไร?
เมื่ออากาศบริสุทธิ์จะมีอัตราส่วนของประจุลบและ ประจุบวกอยู่ในสภาพที่คงที่ อัตราของประจุบวกและประจุลบจะอยู่ที่ 1:1.2 Dr. Kruerger แห่ง มหาวิทยาลัย Berkeley ที่ Calif. USA Dr. Sulman แห่ง Hebrew Univ. ที่ Jerusalem และ Dr. Moor แห่ง Minguin Univ. ได้กล่าวว่า จากผลจากการทดลองของเค้าได้พบว่า ถ้าจำนวนของประจุลบที่ร่างกายได้รับเข้า ไปอยู่ที่ 1000 ประจุ ต่อ ซีซี สมองของเราจะทำงาน ในส่วนที่เรียกว่า alpha wave’s activityทำงานสูงขึ้น ซึ่งการทำงานนั้น จะทำให้เราสามารถกำจัดอาการ หืดหอบ และ โรคทางเดินหายใจได้ นอกจากนั้นร่างกายจะสามารถควบคุมปริมาณของ สารชีวเคมีในร่างกาย ที่ช่วยกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร (Seretonin และ histamine) จะเห็นได้ว่าปริมาณ ของประจุลบ ในอากาศมีอิทธิพลต่อคนไข้และการรักษาอย่างมาก

ผลจากงานวิจัยสำหรับ ไอออนลบ & ไอออนบวก ถ้าในอากาศมีไอออนลบมากกว่า 1000 ไอออนต่อ 100 ของอากาศจะมีผลทำให้ร่างกาย ของมนุษย์ไม่เครียด และ สามารถป้องกันโรคหืดหอบได้ โดย ไอออนลบช่วยให้ระบบประสาทดีขึ้น สำหรับไอออนบวก (ประจุบวก ) จะมีผลกระทบ ต่อระบบควบคุมการหลั่งของฮอร์โมน SEROTONIN และ HISTAMIN ซึ่งทำให้คนที่เป็นโรคหืดหอบมีอาการกำเริบ หรือทำให้เกิดโรคในสภาวะที่รุนแรง ไอออนลบ ช่วยให้ระบบการควบคุมความเป็นกรด-ด่างของเลือดดีขึ้น โดยจะทำให้ลดภาวะ ความเป็นกรดของระบบได้ ใน ระบบไหลเวียนของเลือดถ้าประจุบวกซึ่งจะเหมือนกับว่าเป็นของเสียสำหรับระบบ โดยประจุบวกจะไปกระตุ้นให้ร่างกาย เกิด เมตามอลิซึม ในปริมาณสูง ประจุลบจะทำให้ผลของระบบประสาทอัตโนมัติทำงานได้ดี ในสภาวะธรรมชาติอัตราส่วน ระหว่างประจุบวกและประจุลบจะมีอัตราส่วนมี่เหมาะ สมแต่ในห้องบางห้อง เช่น ห้องคอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง ทีวี อื่นๆที่ มีเครื่องหรือ แหล่ง กำเนิดประจุบวกมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนที่ทำงานอยู่ในห้อง เช่นจะกระทบต่อระบบ ความเป็นกรด-ด่าง ของร่างกายความเครียด-โรคหืดหอบ

หน้าที่หลักของไอออนลบ กำจัดของเสียที่มาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเครื่องเสียง ทีวี คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีพลังงานสูง จะทำให้เกิดประจุบวกในอากาศ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าประจุบวกเป็นผลเสียต่อสุขภาพ หลอดประหยัดไฟฟอกอากาศ BioBULB ที่ผลิตประจุลบอยู่แล้วจะช่วยสลายประจุบวกของอากาศ ทำให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพดีขึ้น

ผลดีของประจุลบที่มีต่อร่างกายของเรา ประจุลบ ( Negative Ions ) สามารถที่จะเปลี่ยนอนุมูลอิสระให้กลายเป็น Oxygen ได้ โดยการเข้าไปจับตัวกับอนุมูลนั้น ๆ ซึ่งหากเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ขึ้นภายในร่างกายของเรา จะทำให้ Oxygen ภายในร่างกายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สมองปลอดโปร่งขึ้น ระบบการไหลเวียนโลหิตในร่างกายดีขึ้น อันจะทำให้ร่างกายสามารถขับสารตกค้างต่าง ๆ ออกไปได้ง่ายขึ้น ร่างกายของ เราจึงมีสุขภาพดี ยิ่งร่างกายของเราได้ได้รับประจุลบ ( Negative Ions ) มากเท่าไร จะทำให้เกิดผลดีดังต่อไปนี้
- ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากฝุ่นละอองในอากาศ
- ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
- ช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากความเครียด และโรคซึมเศร้าได้
- ขจัดควันบุหรี่ที่เป็นสารก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
- ขจัดกลิ่นอับ และกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ
- ฟอกอากาศให้บริสุทธิ์ สดชื่น เพิ่มออกซิเจนในอากาศ เสมือนอยู่ท่ามกลางแหล่งธรรมชาติ

ผลการวิจัยถึงคุณประโยชน์ของประจุลบ
Dr. Hansell (1); Country : USA ; Area of Study : Humans
การทดลองได้ข้อสังเกตว่าการได้รับอากาศที่มีประจุลบที่สร้างขึ้น ช่วยลดน้ำหนักและอาการนอนไม่หลับได้ สังเกตว่า อากาศทีเต็มไปด้วยประจุลบแบบ Cation นั้นจะช่วยลดการทำงานของร่างกายและจิตใจที่มีมากเกินไปของเพื่อน ร่วมงานของเค้าได้ หรือ กล่าวได้ว่าอากาศที่เต็มไปด้วยประจุลบชนิด Anion นั้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ ร่างกาย และจิตใจ ที่มีการทำงานมากเกินไปได้


หลอดไฟฟอกอากาศ
หลอดไฟฟอกอากาศ

BAMTEC CONCRETE REINFORCEMENT

|0 ความคิดเห็น
BAMTEC CONCRETE REINFORCEMENT


สำหรับคอลัมน์นี้จะเจาะลึกถึงเทคโนโลยีการก่อสร้างต่างๆจากทั่วโลก เพื่อให้ผู้รับเหมาก่อสร้าง สถาปนิก วิศวกร และผู้ตรวจสอบอาคารในประเทศไทย ได้เห็นและมีโอกาสเริ่มเรียนรู้กับการวิวัฒนาการต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะส่งผลกระทบกับการก่อสร้างในประเทศไทยในอนาคต 
ซึ่งสำหรับครั้งนี้จะนำเสนอเรื่องราวของเรื่องคอนกรีตเสริมเหล็ก ชื่อ BAMTEC ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของบริษัท Hy-Ten Reinforcement ประเทศอังกฤษ ซึ่งได้คิดค้นและพัฒนาระบบนี้ตั้งแต่ปี คศ. 1958 หรือ ประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา จนเป็นที่แพร่หลายในหมู่ประเทศอังกฤษ และ ยุโรป ซึ่งปัจจุบันนั้นมีมาตรฐานการออกแบบ (Design Code) รองรับในหลายประเทศ เช่น BS, EU,DIN เป็นต้น


ซึ่งระบบการก่อสร้างพื้นอาคารระบบ BAMTEC นี้จะเป็นการรวมเอาต่างๆเข้าด้วยกันด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ Finite Element เพื่อให้ผู้ออกแบบ ผู้รับเหมาก่อสร้าง และเจ้าของอาคารได้ประโยชน์สูงสุด เพราะสามารถทำงานได้ด้วยความรวดเร็วได้กว่า 75 % เมื่อเทียบกับการก่อสร้างพื้นอาคารแบบเดิม ไม่มีวัสดุเสียเศษ ทำให้ลดค่าเหล็กเสริมได้กว่า 35 % และยังรวมไปถึงประโยชน์ทางอ้อมต่างๆอีก เช่น ลดการทำงานผิดพลาด ลดการควบคุมตรวจสอบงาน สามารถใช้คนงานที่ไม่ต้องมีทักษะมากเท่าเดิมมาทำงานนี้ก็ได้ และลดการบาดเจ็บหรืออันตรายจากการทำงานต้องก้มๆเงยๆในการติดตั้งเหล็กเสริมคอนกรีตกับที่แบบเดิม


โดยการก่อสร้างแบบ BAMTEC นี้เป็นการเสริมเหล็กแบบ 2 ทางแบบตะแกรงลวด แต่ใช้เหล็กเสริมคอนกรีตที่มีขนาดตั้งแต่ 8 จนถึง 32 มม. ม้วนมาเป็นแผ่นจากโรงงาน กว้าง 15 ม. ยาวถึง 35 ม. ซึ่งเรียกแผ่นตะแกรงนี้ว่าเป็น พรม หรือ BEMTEC Carpet โดยพื้นแบบ BAMTEC นี้จะก่อสร้างกับพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยม หรือ รูปทรงต่างๆได้ หรือ แม้กระทั่งการมีช่องเปิดพื้น (Opening) ได้ตามปกติ



Bamtec_drawing

ซึ่งสามารถยกตัวอย่างได้จากโครงการจริง จากการเสริมเหล็กพื้นตามปกติ จะใช้ปริมาณเหล็กเสริม 175 กก./ลบ.ม. พื้นหนา 300 มม. หากแก้ไขเป็นการก่อสร้างพื้นอาคารด้วย BAMTEC จะลดปริมาณเหล็กเสริมเหลือ 114 กก/ลบ.ม. หรือประหยัดได้ 35 % ซึ่งปริมาณเหล็กเสริมทั้งชั้น คือ 78.75 ตัน และราคาเหล็กเสริมคิดที่ 23 บาท/กก. นั้นก็จะทำให้ประหยัดถึง 631,350 บาท เลยทีเดียว ซึ่งหากพิจารณารวมถึงผลกระทบทางอ้อมด้วยแล้วก็ทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น


ปัจจุบันระบบ BAMTEC นี้มีโปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์และออกแบบพื้น BAMTEC นี้ได้ 4 โปรแกรม และโปรแกรมสำหรับโรงงานผลิต BAMTEC นี้ อีก 1 โปรแกรม เพื่อช่วยให้วิศวกรโครงสร้างและโรงงานผลิตเหล็กเสริม BAMTEC ทำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีชื่อโปรแกรมดังนี้


Constructive Technologies, อังกฤษ เว็บไซต์ http://www.steelpac.co.uk
MULTESUITE อังกฤษ เว็บไซต์ http://www.multisuite.com
Nemetschek เยอรมัน เว็บไซต์ http://www.nemetschek.de
SOFiCAD BAMTEC เยอรมัน เว็บไซต์ http://www.sofistik.com
http://www.ar-soft.ch ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับโรงงานผลิต BAMTEC

ประวัติความเป็นมาของสะพานบีม (Beam Bridges - Design Technology)

|0 ความคิดเห็น
ประวัติความเป็นมาของสะพานบีม (Beam Bridges - Design Technology)

สะพานได้รับการสร้างโดยมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีการออกแบบเริ่มต้นได้ง่ายมากประกอบด้วยต้นไม้วางอยู่ในลำธารหรือแม่น้ำ กับความก้าวหน้าของอารยธรรมและวิธีการที่มีประโยชน์มากขึ้น มีการค้นพบในการสร้างสะพานที่มีพื้นฐานในการใช้ประโยชน์จากหิน, หิน, ปูนและวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ที่จะสร้างสะพานที่แข็งแรงมากขึ้น และในสมัยโรมันเทคนิคสำหรับการสร้างสะพานรวมเสาไม้ที่ตั้งไว้ของคอลัมน์สะพานแล้วเติมช่องว่างคอลัมน์ด้วยวัสดุก่อสร้าง สะพานที่ก่อสร้าง สร้างโดยชาวโรมันจะมีความแข็งแกร่งและมีความแข็งแรงสม่ำเสมอ หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม, ในด้านวัสดุศาสตร์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยการเปิดตัวของวัสดุที่มีคุณสมบัติทางกายภาพเพิ่มขึ้นและเหล็กถูกแทนที่เนื่องจากมีความต้านทานแรงดึงมากขึ้น ปัจจุบันคานหลักของสะพานที่ใช้มี 4 ลักษณะของคานคือ namely beam,arch,cntilever, และsupension

การก่อสร้างสะพานบีม
คานสะพานที่เรียกว่าเป็นสะพานคานขนาดใหญ่เป็นโครงสร้าง ที่เป็นที่นิยมในการก่อสร้างที่ง่ายที่สุดของสะพานทั้วไปมีความแข็งแกร่งและก็เป็นโครงสร้างที่เป็นของแข็งประกอบด้วยคานแนวนอน, ในการก่อสร้างสะพานท่าเทียบเรือที่ต้องทนต่อการรับน้ำหนักของสะพาน และการจราจรขนส่งของยานพาหนะการรับแรงอัดแรงดึงที่กระทำบนสะพาน ในส่วนบนของคานเนื่องจากคานเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อต้านทานการดัดและการบิดเพราะน้ำหนักบนสะพาน เมื่อมีการถ่ายแรงจากการขนส่ง การจราจรบนสะพานคาน, โหลดที่นำไปใช้บนคานจะถูกถ่ายไปยังท่าเรือ ส่วนบนของคอสะพานที่อยู่ภายใต้การบีบอัดให้สั้นลงในขณะที่ส่วนล่างอยู่ภายใต้แรงดึงจึงสามารถยืดและ lengthened โครงข้อหมุนที่ทำจากเหล็กที่ใช้ในการรับน้ำหนักคานซึ่งช่วยให้การกระจายของแรงอัดและแรงดึงได้ดีขึ้น

อนาคตของบีมบริดจ์
ในการวิจัยจะถูกดำเนินการโดยองค์กรเอกชนหลายแห่งและหน่วยงานของรัฐในการปรับปรุงเทคนิคการก่อสร้างและวัสดุที่ใช้ในการคานสะพาน การออกแบบคานสะพาน เช่น reformulated คอนกรีตที่มีลักษณะที่มีประสิทธิภาพสูง, เสริมใยวัสดุผสม,เคมีระบบป้องกันการกัดกร่อนและเป็นการศึกษาของวัสดุที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น คานสะพานแต่ก่อนเน้นการใช้คานคอนกรีตที่รวมความต้านทานแรงดึงเหล็กสูงมากและมีคุณสมบัติในการบีบอัดที่เหนือกว่าของคอนกรีตจึงสร้างสะพานคานแข็งแรงทนทานในรูปแบบของ คานกล่องที่มีการใช้ที่ถูกออกแบบมาดีกว่าที่จะใช้ในการรับแรงบิดและสามารถทำการขยายข้อจำกัด อย่างอื่นของคานสะพาน เทคนิคที่ทันสมัยในการวิเคราะห์องค์ประกอบที่มีข้อจำกัด จะใช้ในการรองรับการออกแบบที่ดีกว่าคานสะพานที่มีการวิเคราะห์อย่างพิถีพิถันของการกระจายความเครียดและแรงบิดและแรงดัดที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
Beam Bridges

จิงจูฉ่าย สุดยอดสมุนไพรจีนบำรุงเลือดลม

|0 ความคิดเห็น
จิงจูฉ่าย สุดยอดสมุนไพรจีนบำรุงเลือดลม



จิงจูฉ่าย



จิงจูฉ่าย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ใคร ที่เคยสั่ง "เกาเหลาเลือดหมู" มาทาน เคยสงสัยกันไหมว่า ในชามเกาเหลาของเราจะมีผักสีเขียวชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่ผักกาดหอม ขึ้นฉ่าย หรือใบตำลึงใส่ชามมาด้วย หลายคนไม่ทราบว่าเจ้าผักชนิดนี้มีชื่อเรียกว่าอะไร แล้วมีสรรพคุณอย่างไร เอ้า...ใครที่ไม่รู้ ตามกระปุกดอทคอมมาเลยค่ะ

เจ้าผักชนิดนี้เรียกว่า "จิงจูฉ่าย" ค่ะ หรือที่ชาวต่างชาติเรียกว่า "เซเลอรี่" (Celery) เป็นผักสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Apium graveolens L. ลักษณะต้น "จิงจูฉ่าย" จะเป็นกอคล้ายใบบัวบก สามารถเจริญงอกงามได้ดีในที่ที่มีแสงแดดรำไร ชื้น ดินโปร่งแต่ไม่แฉะ ชอบอากาศเย็นมากกว่าอากาศร้อน


จิงจูฉ่าย


จิงจูฉ่าย

คุณค่าทางโภชนาการของ "จิงจูฉ่าย" มีไม่น้อยทีเดียวค่ะ เพราะ "จิงจูฉ่าย" 100 กรัม ให้พลังงาน 392 กิโลแคลอรี ประกอบด้วยสารอาหารนานาชนิด คือ โปรตีน, ไขมัน, คาร์โบไฮเดรต, เส้นใย, แคลเซียม, เหล็ก, ฟอสฟอรัส, วิตามินเอ, วิตามินบี6, วิตามินซี และวิตามินอี

มาที่สรรพคุณทางยากันบ้างดีกว่า จุดเด่นของ "จิงจูฉ่าย" คือมีกลิ่นหอม คล้าย ๆ กับตั้งโอ๋ ยิ่งโดนความร้อนจะยิ่งหอม และยิ่งเพิ่มสรรพคุณมากขึ้น โดยกลิ่นหอมของ "จิงจูฉ่าย" มาจากน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในลำต้นและใบนั่นเอง ประกอบด้วยสารไลโมนีน ซิลนีน และสารกลัยโคไซด์ที่มีชื่อว่า อะปิอิน ซึ่ง สารเหล่านี้มีสรรพคุณช่วยปรับสมดุลความดันโลหิต จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดัน แถมยังช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย ส่วนต้นสด และเมล็ดของ "จิงจูฉ่าย" มีโซเดียมต่ำ จึงดีต่อผู้ป่วยโรคไต

นอก จากนี้ ในทางการแพทย์เชื่อว่า "จิงจูฉ่าย" เป็นยาเย็น จึงช่วยบำรุงปอด ช่วยฟอกเลือด เลือดลมหมุนเวียนได้สะดวก คนจีนจึงนิยมนำผักชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารรับประทานใน หน้าหนาว เพื่อช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลให้ร่างกายได้ดีนั่นเอง



ส่วนที่หลายคนสงสัยว่า ทำไมเราจึงมักเห็น "จิงจูฉ่าย" อยู่ในเกาเหลาเลือดหมู นั่นก็เพราะ "จิงจูฉ่าย" มีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาวเลือดได้ดีด้วยค่ะ แต่จริง ๆ แล้ว "จิงจูฉ่าย" ไม่ได้ใช้ทำอาหารได้เพียงแค่ต้มเลือดหมูเท่านั้นนะ เพราะอาหารประเภทแกงจืดทั้งหลาย หรือผัดผัก ผัดฉ่าก็สามารถใช้ "จิงจูฉ่าย" เป็นส่วนผสมที่ลงตัวน่ารับประทานไม่แพ้กัน

เห็นสรรพคุณดี ๆ ของ "จิงจูฉ่าย" ขนาดนี้แล้ว ลองไปหาเมนูเด็ด ๆ มาทำรับประทานกันดูนะคะ

โทรศัพท์มือถือทำให้คุณหลังค่อมจริงหรือ?

|0 ความคิดเห็น
โทรศัพท์มือถือทำให้คุณหลังค่อมจริงหรือ?


ทุกวันนี้ในขณะที่กำลังเดินตามท้องถนน คุณจะเห็นว่ามีสักกี่คนเชียวที่เดินศีรษะตั้งตรงและไ ม่ก้มลงวุ่นอยู่กับ โทรศัพท์มือถือ คำตอบก็คือดูเหมือนจะไม่มีเลย เพราะแต่ละคนก็คงกำลังก้มเลือกฟังเพลงจากไอพอด ส่งข้อความบนโทรศัพท์ เช็คอีเมลจากแบล็คเบอรี่ พอมองไปที่คนเหล่านั้นก็คงจะเห็นแต่หัว แทนที่จะเห็นลูกกะตา
จริงอยู่เทคโนโลยีอาจทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น แต่ Kirsten Lord นักกายภาพบำบัดและกรรมการผู้จัดการของ Edinburgh Physiotherapy Centre บอกว่าการก้มลงใช้อุปกรณ์สื่อสารตลอดเวลาอาจทำให้คุณ หลังค่อมได้ เธอบอกว่าเนื่องจากร่างกายคนเราคือผลผลิตของสิ่งที่เ ราทำในแต่ละวัน อีกทั้งวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปยังทำให้ร่างกายเราเปลี ่ยนไปด้วย ถ้าเราก้มศีรษะลงบ่อยๆ เราก็จะพัฒนาความโค้งของร่างกายไปข้างหน้า ซึ่งจะทำให้กระดูกสันหลังของเราห่อตัวลงมา ไหล่ของเราจะงอ และในเวลาที่ยืนตัวตรงหรือยืดคอ เราจะรู้สึกผิดปกติตรงส่วนนั้นเพราะกล้ามเนื้อบริเวณ นั้นที่เคยใช้ในการยืด ตัวหรือยืดคอได้หดสั้นลงไปเพราะขาดการใช้
ในสมัยก่อนอาการผิดปกติของร่างกายมักเกิดกับท่อนหลัง ส่วนล่าง แต่ในระยะห้าปีที่ผ่านมาปัญหาย้ายไปเกิดที่บริเวณคอ ซึ่งนักกายภาพบำบัดโทษว่าเป็นเพราะเทคโนโลยีปัจจุบัน ที่เราใช้กันอยู่ อีกทั้งพวกเขายังเจอคนไข้ที่ร่างกายมักโดนผลกระทบจาก งานที่ทำ
การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายๆ ปีอาจทำให้คอของบางคนยื่นออกมาโดยไม่รู้ตัวจนกลายเป็ นท่าธรรมชาติของคอไปโดย ปริยาย การยื่นคอไปข้างหน้าเวลาใช้คอมพิวเตอร์ทำให้ส่วนบนขอ งกระดูกสันหลังถูกบีบ เส้นประสาทโดนกดจนทำให้ปวดศีรษะ ซึ่งอาจปวดมากขึ้นระหว่างวัน และการก้มลงมองแล็ปท็อปอาจทำให้มีผลด้านลบต่อการวางท ่าทางของร่างกาย
การนั่งอยู่หน้าจอคอมทำให้ส่วนกลางของแผ่นหลังเกิดอา การรัดตัว หมายความถึงมีความยืดหยุ่นน้อยลงและเป็นอันตรายต่อร่ างกายมากขึ้น ในขณะที่ความเมื่อยและอ่อนล้าของกระดูกซี่โครงที่ติด อยู่กับกระดูกสันหลัง อาจทำให้หายใจลึกๆ ได้ลำบาก
แล็ปท็อป หรือคอมพิวเตอร์แท็บเล็๋ต ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะหากคุณใช้อุปกรณ์เหล่านี้ขณะที่นั่งตัวงออยู ่บนโซฟาและไม่มีแท่น อะไรมารองรับ
การใช้คีย์บอร์ด โทรศัพท์ และแท็บเล็ตต่างๆ ต้องการความเคลื่อนไหวของร่างกายเพียงน้อยนิด ถึงกระนั้น คนจำนวนหนึ่งในสิบเชื่อว่าประสบอุบัติเหตุในขณะที่เด ินและส่งแมสเสจไปด้วย
ในฐานะนักกายภาพบำบัด Kirsten คิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต่อต้านเทคโนโลยี วิธีที่ดีคือรณรงค์ให้คนใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในท่าทางท ี่เอื้อต่อสุขภาพที่ดี ของร่างกายจะดีกว่า เช่น หยุดการใช้สักพักและเปลี่ยนท่าเพื่อให้กล้ามเนื้อและ ข้อต่อได้ผ่อนคลาย
การลุกขึ้นยืนตรงและตั้งคอให้ตรงอย่างสม่ำเสมอ โดยจินตนาการว่ามีเชือกดึงคอของคุณขึ้นมาจากตรงกลางศ ีรษะอาจช่วยได้ ในขณะเดียวกัน พยายามฝึกบีบกล้ามเนื้อบั้นท้ายเพื่อให้กล้ามเนื้อส่ วนนั้นได้หดตัวบ้าง

ชวนทุกบ้าน "บริหารสมอง" ก่อนความจำเลือนหาย

|0 ความคิดเห็น
ชวนทุกบ้าน "บริหารสมอง" ก่อนความจำเลือนหาย

เชื่อได้เลยว่า "อาการหลงๆ ลืมๆ" คงจะเคยเกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ บางครั้งต้องการไปหยิบของบางอย่าง แต่พอเดินไปหาของกลับจำไม่ได้ว่าต้องการอะไร ซึ่งเป็นเรื่องของความจำในระยะเวลาสั้น หรือบางคนทำงานจนเกิดอาการเบลอ ขี้ลืมจนกลายเป็นเรื่องปกติ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นนิสัยก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มักพบอาการนี้ จนก่อให้เกิดเป็น "โรคความจำเสื่อม" ได้
กับเรื่องนี้ "นภาพร ฤทธิวีระกูล" หรือ "พี่หน่อย" หน่วย พัฒนาสุขภาพ ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า หลายคนคิดว่าโรคความจำเสื่อมเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ก็ถือว่าเป็นโรคที่สามารถคุกคามการใช้ชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ระบบต่างๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมลง ถึงแม้ว่าตามธรรมชาติจะมีการพัฒนาสมองตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ตาม แต่สมองของมนุษย์มีการทำงาน โดยแบ่งเป็น 2 ซีก ระหว่างซ้ายกับขวา เมื่อเราทำงานหรือทำกิจกรรมที่ออกแรงไปในข้างใดข้างห นึ่งของร่างกาย ก็อาจส่งผลให้มีบุคลิกภาพในการเคลื่อนไหวที่ไม่ดี รวมไปถึงเรื่องความคิด ความจำของสมองแต่ละซีกให้มีประสิทธิภาพในการทำงานลดล ง
อย่างที่ทราบกันดีว่า สมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่างกายด้านขวา ส่วนสมองซีกขวาจะควบคุมการทำงานของร่างกายด้านซ้าย ขณะเดียวกันสมองจะแบ่งการทำงานออกเป็นระบบความจำ ระบบของประสาทการรับความรู้สึก ระบบการเคลื่อนไหวของร่างกาย ระบบการมองเห็น ระบบการควบคุมด้านอารมณ์และภาวะของจิตใจ ดังนั้นการบริหารสมองจึงเป็นการเสริมสร้างระบบการทำง านให้ปรับความสมดุลของ ร่างกายทั้งสองด้าน หากไม่มีการบริหารสมองเราจะเกิดความเคยชินตามร่างกาย ด้านที่มีความถนัดด้าน ใดด้านหนึ่งเท่านั้น ทำให้สมองอีกซีกไม่มีการพัฒนา
สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ควรมีการบริหารสมอง ส่วนใหญ่จะเป็นในผู้สูงอายุที่หลงๆ ลืมๆ ความ สามารถในการจำลดน้อยลง คือความจำในระยะเวลาสั้นๆ จะทำได้ดี แต่ความจำในระยะเวลาที่ยาวจะทำได้ไม่ดีมากนัก หรือบางคนอาจจำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งการบริหารสมองจะเป็นการกระตุ้นเซลล์ประสาทในสมอง ให้มีการเชื่อมโยงและ ถ่ายทอดข้อมูลแก่กันทั้งซีกซ้ายและซีกขวา เพราะปกติเซลล์สมองของแต่ละคนมีมากกว่า 1 ล้านเซลล์ แม้ว่าการบริหารสมองจะไม่ได้ช่วยให้เซลล์สมองทั้งหมด เกิดการทำงานที่มี ประสิทธิภาพได้ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ทั้งระบบของสมอง ทำให้เกิดการสร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่ดีได้
ทั้งนี้ การเริ่มบริหารสมองตั้งแต่เด็กเป็นทางออกที่ดีที่สุด ในการช่วยชะลออาการหลง ลืมเมื่อเข้าสูวัยชรา หากมีการบริหารอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายมีพัฒนาก ารที่ดีขึ้นและการทำงาน ของระบบต่างๆ ในร่างกายก็ดีขึ้นตาม พี่หน่อยบอกเคล็ดลับการบริหารสมองเพื่อให้สมองทั้งสอ งซีกทำงานไปพร้อมๆ กันว่า เริ่มจากการกระตุ้นเซลล์สมอง ด้วยการดื่มน้ำสะอาด หรือค่อยๆ จิบทีละนิด หากร่างกายขาดน้ำจะทำให้เลือดไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงส่ว นต่างๆ ของสมอง ส่งผลให้การบริหารสมองไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้การบริหารสมองไม่ควรทำในช่วงเวลาที่อิ่มหรือห ิวเกินไป ขณะที่ทำการบริหารสมองต้องทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ควบคุมการหายใจ โดยให้การหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ


ขั้นตอนที่ 1 กระตุ้น การทำงานของเซลล์สมอง ระบบการรับความรู้สึก โดยจะเลือกบริหารที่เป็นปุ่มของเซลล์สมองซึ่งจะอยู่ต ามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณขมับ โดยใช้ปลายนิ้วมือกดเบาๆ ตรงขมับทั้ง 2 ข้าง จากนั้นนวดเป็นวงกลมประมาณ 1 นาที ซึ่งวิธีนี้จะกระตุ้นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ และอีกส่วนหนึ่งที่ควรบริหารอยู่บริเวณกระดูกไหปลาร้ า ใช้วิธีการนวดเป็นวงกลมเหมือนกันแต่จะสลับข้างกัน โดยใช้มือซ้ายกดเบาๆ บริเวณปุ่มกระดูกไหปลาร้าด้านขวา ส่วนอีกมือจะวางไว้บริเวณหน้าท้อง จากนั้นก็ทำสลับข้างกันจนกว่าจะรู้สึกว่าผ่อนคลาย
ขั้นตอนที่ 2 เป็นการบริหารการเคลื่อนไหวร่างกายแบบสลับข้าง ด้วยการวิ่งที่ให้เท้ากับแขนเคลื่อนไหวสลับกัน เช่น ถ้าเริ่มก้าวเท้าขวา ดังนั้นแขนซ้ายก็จะแกว่งตาม หรืออาจบริหารแบบเบาๆ โดยการย่ำเท้าอยู่กับที่ประมาณ 2-3 นาที รวมถึงวิธีการบริหารสมองจากการนับเลขแบบสลับข้างด้วย การนับเลขที่มือ เช่น ถ้ามือข้างช้ายนับ 1 มือข้างขวาก็จะนับ 2 และก็ทำสลับกันไปเรื่อยๆ ตามต้องการ ทั้งนี้การบริการสมองแบบสลับจะช่วยให้กระบวนการทำงาน ของสมองจะเกิดการสมดุล
ขั้นตอนที่ 3 เป็นการคลายความตึงของเส้นประสาท โดยยืดส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ตึง เช่น การยืดแขน ยืดขา และการผ่อนคลายสมองด้วยการใช้นิ้วมือนวดเคาะตั้งแต่ห น้าผากไปจนทั่วศีรษะ ซึ่งท่านี้จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี
อย่างไรก็ตาม พี่หน่อยแนะนำและฝากทิ้งท้ายว่า การ บริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุควรเน้นเป็นท่าที่ง่ายๆ ไม่หักโหมร่างกายจนเกินไป ผู้สูงอายุที่มีโรคความดันสูงควรหลีกเลี่ยงการทำท่าท ี่ต้องก้มหรือลุกขึ้น ยืนเร็วๆ เพราะอาจจะทำให้หน้ามืดได้ ทางที่ดีหากไม่มั่นใจหรือผู้สูงอายุบางคนที่ทรงตัวได ้ไม่ค่อยดีก็สามารถนั่ง ทำได้ การบริหารสมองควรทำอย่างต่อเนื่องทุกวันและสามารถทำไ ด้ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผุ้สูงอายุ ซึ่งเป็นกิจกรรมภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเด็กๆ มีการบริหารสมองร่วมกับคุณตาคุณยาย นอกจากจะช่วยให้สมองเกิดพัฒนาการ ยังช่วยให้ผู้สูงอายุในบ้านจดจำท่าในการบริหารสมองได ้และช่วยให้ท่านมี สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครั วอีกด้วย

มะเขือเทศอาหารวิเศษเพื่อสุขภาพ

|0 ความคิดเห็น
มะเขือเทศอาหารวิเศษเพื่อสุขภาพ





มะเขือเทศฝานบางๆ สีแดงอมส้มสดใสน่ากินมักกลายเป็นเครื่องประดับอาหารจ านอร่อยหลากหลายรายการ เป็นต้นว่าข้าวผัด ยำต่างๆ ของทอด ของว่างต่างๆ โดยที่บางท่านไม่แตะต้องมันเลยสักชิ้น


แต่คุณรู้บ้างไหมว่าถ้าคุณรับประทานมะเขือเทศเพียงวั นละ 1-2 ผลเท่านั้น จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายของคุณมากมายมหาศาลเพียงใด


ต้าน โรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา บำรุงสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัวเยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก บำรุงผิวพรรณ


ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถ้าคุณรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำสม่ำเสมอ วันละ 1-2 ผลทุกวัน สุขภาพของคุณก็จะสดชื่นแข็งแรงและได้ประโยชน์จากสรรพ คุณอันแสนวิเศษของ มะเขือเทศทั้งหมดนั้นอย่างแน่นอน









คอนแทคเลนส์แฟชั่น ทำวัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด

|0 ความคิดเห็น
คอนแทคเลนส์แฟชั่น ทำวัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด


วัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด (สสส.)

เอา กันใหญ่แล้ว!!! สำหรับวัยรุ่นไทย กับการนิยมชมชอบแฟชั่นต่าง ๆ นานา ที่มาจากต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี โดยเฉพาะที่กำลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ อย่างเทรนด์ "ตาเล็ก" ,"ตาชั้นเดียว" หรือแม้กระทั่ง "ดวงตาสีสันต่าง ๆ" ที่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปผ่าตัดให้สิ้นเปลือง เพราะเค้าใช้!!! "คอนแทคเลนส์"

ถึงแม้ที่ผ่านมา จะมีข่าวคราวกรณีที่มีทั้งเด็กตาอักเสบ ตาบวม บางรายจนถึงขั้นตาบอดไปเลย เหตุเพราะใส่คอนแทคเลนส์ผิดวิธี แต่นั่น!! ก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมของแฟชั่นเสริมสวยดวงตาลดลงแต่ อย่างไร กลับยิ่งทวีความนิยมสูงขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะราคาของคอนแทคเลนส์ที่ถูกแสนถูก มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ส่วนระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้

ซ้ำ ร้ายไปกว่านั้นยังสามารถหาซื้อได้ง่าย จากเดิมที่มีขายแต่ร้านแว่นตา หรือจำเป็นต้องแพทย์สั่งเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีวางขายตามแผงค้าตามแหล่งแฟชั่น ตลาดนัด รวมไปถึงการวางจำหน่ายในเว็บไซต์ ทำให้ผู้บริโภคหาซื้อมาสวมใส่ได้ง่ายยิ่งขึ้น และด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้วัยรุ่นไทยกำลังเสี่ยงกับการอันตรายถึงขั้นต าบอดได้...

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วิชัย ประสาทฤทธา ภาควิชาจักษุวิทยา รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า โดยปกติแล้วการสวมใส่คอนแทคเลนส์ หรือเลนส์สัมผัส มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้น้อยมาก หากมีการดูแลรักษาความสะอาดของคอนแทคเลนส์ตามคำแนะนำ อย่างถูกต้อง ส่วนในรายที่เกิดอาการ อาจเป็นเพราะผู้สวมใส่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่อง การรักษาความสะอาด และอาจสวมใส่คอนแทคเลนส์ในเวลานอนหลับ เพราะนั่นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เวลานอนดวงตาได้รับออกซิเจนน้อยลง ออกซิเจนจะไปเลี้ยงกระจกตาได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดการติดเชื้อขึ้น และเนื่องจากเป็นเลนส์สัมผัส ทำให้อาการติดเชื้อมีความรุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็ ว จนถึงขั้นทำให้ตาบอด...

หากยังคงให้ตัวอันตรายอย่าง "คอนแทคเลนส์" หาซื้อได้ง่ายเช่นนี้ เหล่าวัยรุ่นไทยกว่าครึ่งต้องเสี่ยงตาบอดกันเป็นแน่ ด้วย เหตุนี้กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกประกาศควบคุมมาตรฐานคอนแทคเลนส์ (contact lens ) หรือเลนส์สัมผัส โดยจะต้องจัดให้มีฉลากบนภาชนะบรรจุ หรือบห่อและต้องแสดงข้อความภาษาไทยที่อ่านได้ชัดเจน ทั้งนี้จะมีภาษาอื่นด้วยก็ได้ แต่ความหมายต้องตรงกับข้อความภาษาไทย

ส่วน ในแต่ละรายการจะต้องแสดงชื่อคอนแทคเลนส์ และวัสดุที่ใช้ทำ บอกคุณสมบัติของเลนส์ บอกชื่อของสารละลายที่ใช้แช่เลนส์ ระยะเวลาการใช้งาน ให้ละเอียด ยกเว้นคอนแทคเลนส์ ที่ไม่กำหนดระยะเวลาการใช้งาน มีเดือนปีที่หมดอายุ เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ชื่อและสถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ในกรณีที่นำเข้าให้แสดงชื่อผู้ผลิต เมืองและประเทศผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์นั้นด้วย โดยต้องระบุชนิดของเลนส์ให้ชัดเจนว่า เป็นเลนส์ชนิดใช้งานพียงครั้งเดียว หรือชนิดใส่และถอดทุกวัน รวมถึงข้อความว่า โปรดอ่านเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ก่อนใช้ และพิมพ์ข้อความว่า การใช้คอนแทคเลนส์ ควรได้รับการสั่งใช้และตรวจติดตามทุกปีโดยจักษุแพทย์ หรือผู้ประกอบโรคศิลปะ


ที่สำคัญคือ ข้างบรรจุภัณฑ์จำเป็นต้องพิมพ์คำแนะนำ คำเตือน ข้อห้ามใช้และข้อควรระวังในการใช้เลนส์ไว้ว่า การใช้คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธี มีความเสี่ยงต่อการอักเสบ หรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาอย่างถาวรได้ โดยให้แสดงข้อความการห้ามใช้ดังนี้คือ

1. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นานเกินระยะเวลาที่กำหนด

2. ห้ามใช้ร่วมกับบุคคลอื่น

3. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้ว่าจะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม

ควรถอดล้างทำความสะอาดทุกวัน และกำหนดให้พิมพ์ข้อความควรระวัง ผู้ที่ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ ดังนี้ คือ ผู้ที่มีสภาวะของดวงตาผิดปกติ เช่น เป็นต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง หรือกระพริบตาไม่เต็มที่ และให้ใช้น้ำยาล้างเลนส์ที่ใหม่ และเปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่แช่เลนส์ ควรเปลี่ยนตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุก 3 เดือน

แต่ถึงแม้จะมีฉลากอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์แล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเอามาใส่แล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา หากผู้ที่สวมใส่ไม่ใส่ใจในการรักษาความสะอาด และยังคงใส่ผิดวิธี อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน


ซึ่งการสวมใส่ คอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมนั้น ควรสวมใส่ได้ในระยะเวลา 8-12 ชั่วโมงติดต่อกัน โดยหลังจากนั้นต้องดูแลทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาล้างคอ นแทคเลนส์ น้ำยาสลายคราบโปรตีน และน้ำยาแช่ฆ่าเชื้อ โดยคอนแทคเลนส์รายเดือนนั้นมีอายุการสวมใส่ 1- 1 เดือนครึ่ง ขึ้นอยู่กับการดูแลทำความสะอาด หากไม่รักษาความสะอาดให้ดีเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก็อาจจะมีสิ่งสกปรกตกค้างจนต้องเปลี่ยนคู่ใหม ่ แต่หากรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี ก็จะทำให้อายุการใช้งานนานขึ้นไปด้วย

ที่สำคัญที่ต้องล้างมือให้สะอาดและทำให้แห้งก่อนสัมผ ัสเลนส์ การสวมและการเปลี่ยนเลนส์ก็ให้เป็นไปตามระยะที่กำหนด การล้างและการเก็บรักษาเลนส์ก็ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำข องแพทย์ ส่วนภาชนะที่เก็บเลนส์ก็ต้องรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ

ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น ห้ามใส่ขณะว่ายน้ำเพราะอาจทำให้ติดเชื้อที่ตา และต้องถอดทำความสะอาดทุกวัน

หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และให้รีบไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์โดยเร็ว...

เพียง เท่านี้ คุณก็จะปลอดภัยจากการอันตรายที่อาจเกิดจากคอนแทคเลนส ์ได้แล้ว หากแต่หลีกเลี่ยงไม่ใส่เลยน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะการสวยแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึงอะไร น่าจะปลอดภัยกว่า 100% นะคะ




ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์

|0 ความคิดเห็น
ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์




หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหาร อยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน

แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ

ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟั กทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่ง มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลู กหมากของผู้ชายขยายใหญ่ ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อ ยู่ในระดับปกติ

ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้




ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

ได้เห็นประโยชน์ดี ๆ ของ "ฟักทอง" แล้วอย่าลืมหามาทานกันนะคะ
__________________

วิจัยพบสารสกัดใบหม่อนช่วยเพิ่มสมรรถภาพจดจำดีขึ้น

|0 ความคิดเห็น
วิจัยพบสารสกัดใบหม่อนช่วยเพิ่มสมรรถภาพจดจำดีขึ้น
กรม วิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษาวิจัยพบสารสกัดใบหม่อนมีฤทธิ์ต่อสมรรถภาพทางกาย และจิตใจทำให้กล้าม เนื้อต้นขามีความแข็งแรง การเรียนรู้และการจดจำดีขึ้นเตรียมต่อยอดขยายผลสู่กา รผลิตเชิงพาณิชย์ซึ่งจะ เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย
นายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยสมุนไพร ได้ร่วมมือกับคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดำเนินการวิจัย “ฤทธิ์ของสารสกัดใบหม่อนต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิ ตในอาสาสมัครวัยกลางคน และสูงอายุ” โดยศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดใบหม่อนต่อสมรรถภาพทางกาย สมรรถภาพทางจิต การเรียนรู้และการจดจำ ในกลุ่มประชากรอายุตั้งแต่ 55-70 ปี จำนวน 60 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มๆ ละ 20 คน อาสาสมัครกลุ่มที่ 1, 2 และ 3 จะได้รับยาหลอก สารสกัดใบหม่อนขนาด 1,050 มิลลิกรัม/วัน และ 2,100 มิลลิกรัม/วัน ตามลำดับโดยใช้เครื่องมือในการตรวจประเมินการเรียนรู ้และความจำ การประเมินอารมณ์และการประเมินสมรรถภาพทางกายที่เป็น มาตรฐานและใช้กันอย่าง แพร่หลายหลังจากอาสาสมัครรับประทานสารสกัดครั้งแรก 30 นาทีวัดประเมินฟังก์ชันการเรียนรู้และความจำหลังจากน ั้นให้อาสาสมัครรับ ประทานสารสกัดต่อไปตามตารางที่กำหนดจนครบ 3 เดือนทุกๆ เดือนจะนัดอาสาสมัครมาตรวจประเมินผลต่อการเปลี่ยนแปล งฟังก์ชันการเรียนรู้ และความจำสมรรถภาพ ทางกายและจิต
การ เปลี่ยนแปลงทางอารมณ์การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนค อติซอล และการทำงานของระบบประสาทซิมแพทเทติก รวมทั้งติดตามความปลอดภัยของสารสกัดหม่อนในอาสาสมัคร โดยการตรวจประเมินการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยา และเคมีคลินิกทุกเดือน พบว่า การรับประทานสารสกัดใบหม่อนขนาด 1,050 และ 2,100 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน มีความปลอดภัยและมีศักยภาพในการที่จะทำให้ทั้งสมรรถภ าพทางกายและจิตของอาสา สมัครดีขึ้น สารสกัดใบหม่อนมีศักยภาพที่จะทำให้อาสาสมัครมีการทรง ตัวได้ดีขึ้นทำให้กล้าม เนื้อต้นขามีความแข็งแรงมากขึ้น จึงมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงในการหกล้มทำให้อาสาส มัครมีการเรียนรู้และ ความจำชนิดความจำใช้งาน (working memory) เพิ่มขึ้นโดยทำให้สามารถให้ความสนใจต่อสิ่งเร้าเพื่อ นำข้อมูลมาประมวลผลใน กระบวนการระยะต่างๆ ของความจำได้ดี มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการบูรณาการข้ อมูลในกระบวนการเรียน รู้และการจดจำ(cognitiveprocessing)

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวต่ออีกว่า สารสกัดใบหม่อนจึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อกลุ่มผู้ที่มีป ัญหาเรื่องความจำ บกพร่องโดยตรง และกลุ่มเด็กที่มีปัญหาเรื่องความใส่ใจ (attention)นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สารสกัดใบหม่อนยังมีฤทธิ์ในการลดกลุ่มอาการ ซึมเศร้าและกลุ่มอาการ วิตกกังวลในอาสาสมัคร ทั้งนี้ ประสิทธิผลของสารสกัดในการเพิ่สมรรถภาพทางกายและจิตร วมถึงเพิ่มการเรียนรู้ และความจำในอาสาสมัครขึ้นกับปริมาณหรือขนาดของสารสกั ดที่ได้รับต่อวัน และระยะเวลาที่อาสาสมัครบริโภคสารสกัดจึงมีศักยภาพใน การนำไปประยุกต์ใช้ใน รูปผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพผู้สูงอายุทั้งในภาวะปกติเพื ่อสร้างเสริมสุขภาพและ นำไปใช้เสริมการรักษา (adjuvant therapy) ในหลายโรค เช่น ในกรณีที่มีความจำบกพร่อง กรณีซึมเศร้า หรือในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการทรงตัว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแพทย์และสาธารณสุข และสามารถขยายผลสู่การผลิตเชิงพาณิชย์เป็นการส่งเสริ มอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย
นางมาลี บรรจบ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสมุนไพรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย ์กล่าวเพิ่มเติมว่า หม่อน (Morus alba Linn.) วงศ์Moraceae เป็นสมุนไพรทั้งในการแพทย์แผนไทยและจีน จากการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ผ่านมาพ บว่า ใบหม่อนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระลดความบกพร่องในการเรี ยนรู้และความจำที่เกิด จากความบกพร่องของระบบประสาทโคลิเนอร์จิก (cholinergic) ที่จำลองภาวะความจำบกพร่องในภาวะสูงอายุ และโรคอัลไซเมอร์(Alzheimer’s disease) นอกจากนั้นใบหม่อนยังมีสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด ได้แก่กลูโคส, วิตามิน A, B1, B12 และ C และจากการศึกษาความเป็นพิษ ในสัตว์ทดลองและความปลอดภัยในคนสารสกัดหม่อนในขนาดที ่ใช้ในการรักษาก็ไม่ทำ ให้เกิดพิษดังนั้นจึงมีมีศักยภาพสูงในการที่จะพัฒนาเ ป็นอาหารเสริมสุขภาพ เพื่อชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพิ่มสมรรถภาพทางกายและจิตตลอดจนคุณภาพชีวิตได้ด้วยเ หตุนี้กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ โดย สถาบันวิจัยสมุนไพรจึงได้จัดประชุมวิชาการเรื่อง “หม่อนรักษ์คุณภาพชีวิต ส่งเสริมเศรษฐกิจไทย” ในวันที่ 17 กันยายน 2553 ณ โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทบุรี เพื่อเผยแพร่คุณค่าของสมุนไพรหม่อนให้เป็นที่ประจักษ ์ต่อประชาชนได้หันมา นิยมใช้ผลิตภัณฑ์เสริมคุณภาพจากสมุนไพรภายในประเทศ ทดแทนผลิตภัณฑ์สุขภาพประเภทเดียวกันที่นำเข้าจากต่าง ประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกก้าวหนึ่งที่คนไทยจะช่วยส่งเสริมเศรษฐก ิจไทย สนับสนุนนโยบายไทยเข้มแข็งของรัฐบาล

ไขเทคนิค 20 วิธี พาใจหลับสบายเมื่อหัวถึงหมอน

|0 ความคิดเห็น

เลือกสบู่ขัดถูตามต้องการ

|0 ความคิดเห็น
เลือกสบู่ขัดถูตามต้องการ


สบู่ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด มีหลายระดับราคา แต่ถ้าเลือกไม่ถูกชนิด การทำความสะอาดผิวหนังอาจไม่มีประสิทธิภาพ เปลืองสตางค์ เปลืองสบู่ เสียของเปล่า


เมื่อเป็นเช่นนั้น ‘เดลินิวส์ออนไลน์’ นำข้อควรรู้สำหรับการเลือกใช้สบู่ให้เหมาะกับสภาพผิว และความต้องการ

โดยสบู่ทั่วไป ทำจากเกลือของไขมันสัตว์หรือพืช ผสมน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม ทำให้สบู่มีฟองมาก ราคาย่อมเยาว์ เหมาะกับการขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกที่อยู่บนผิวหนัง เช่น ฝุ่นละออง คราบไคล เครื่องสำอาง แต่อาจไม่เหมาะกับผิวบอบบางแพ้ง่าย เนื่องจากจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง กระตุ้นการระคายเคืองมากขึ้น

ส่วน สบู่ใส มักทำจากไขมันและน้ำมันระหุง เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายและผิวแห้ง แต่สบู่ชนิดนี้มักไม่ค่อยมีฟอง ที่เป็นก้อนจะละลายเร็ว ดังนั้น หลังฟอกสบู่แล้วควรวางในที่แห้ง

ต่อมา สบู่ไร้ฟอง มีส่วนประกอบของสารสังเคราะห์ดีเทอร์เจน มีความเป็นด่างน้อย จึงเหมาะกับผู้ที่มีสภาพผิวแพ้ง่าย แต่ถ้าผู้ใช้มีสภาพผิวแห้งร่วมด้วย แนะนำให้ทาครีมอ่อน ๆ หลังอาบน้ำ เพื่อเติมความชุ่มชื่นให้ผิวหนัง

สำหรับ สบู่ไขมันสูง มีส่วนผสมของไขมันและน้ำมันมากกว่าสบู่ชนิดอื่น สามารถขจัดสิ่งสกปรกบนผิวหนังได้อย่างหมดจด แต่ก็เติมความชุ่มชื่นให้ผิวได้ในเวลาเดียวกัน เหมาะกับเจ้าของผิวบอบบางและไวต่อการแพ้

สบู่ดับขัดถู จะมีชิ้นส่วนเล็ก ๆ รวมอยู่ในเนื้อสบู่ เพื่อช่วยขจัดคราบไคล สิ่งสกปรกให้หลุดออกจากผิวหนัง แต่ถ้าผิวหนังกำลังเกิดอาการอักเสบ มีสิว หรือแผล ไม่ควรนำสบู่ชนิดนี้ไปขัดถูบริเวณดังกล่าว

นอกจากนี้ยังมี สบู่ยา สบู่ดับกลิ่น ที่ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนนำมาใช้เพื่อความปลอดภั ยของผิว

เข้าใจสรรพคุณของสบู่กันแล้ว ครั้งหน้าหวังว่า คุณผู้อ่านจะเลือกสบู่ได้อย่างถูกต้อง.