วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

9 วิธีกระชับรูขุมขน

|0 ความคิดเห็น
9 วิธีกระชับรูขุมขน


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ผิวหน้าที่เนียนละเอียดและรูขุมขนที่เล็กกระชับ เป็นผิวหน้าในฝันของสาว ๆ หลาย ๆ คน ทำให้แต่งหน้าได้ดูเนียนสวย หรือแม้จะไม่แต่งหน้าเลยก็ยังดูดี แต่จะทำอย่างไรให้ใบหน้าของเรามีเนียนละเอียดแบบนี้บ ้าง ลองมาดู 9 วิธีช่วยกระชับรูขุมขนกันดีกว่าค่ะ

1. รักษาความสะอาด

การ รักษาความสะอาดของผิวหน้าเป็นวิธีพื้นฐานสุด ๆ แต่กลับสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ในการทำให้รูขุมขนดูเล็กลงและกระชับขึ้น การทำความสะอาดผิวหน้า เป็นการกำจัดความมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกที่มักเข้าไ ปอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้รูขุมขนดูกว้างและทำให้ผิวหน้าไม ่เรียบค่ะ

2. ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง

ล้าง หน้าวันละ 2 ครั้ง ในเวลาเช้าหนึ่งครั้งและอีกครั้งในตอนเย็น เพื่อเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้า โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ไม่ทำให้ห น้าแห้งตึง และผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรเย็น นอกจากจะช่วยคืนความสดชื่นแล้วยังทำให้รูขุมขนดูกระช ับด้วย

3. ไม่เข้านอนทั้งที่ยังแต่งหน้าอยู่

ไม่ ว่าจะเหนื่อยหนักขนาดไหน ห้ามเข้านอนทั้ง ๆ ที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่บนผิวหน้าเป็นอันขาด หากเข้านอนทั้งที่ยังไม่ล้างเครื่องสำอางให้เรียบร้อ ย นอกจากจะทำให้เครื่องสำอางลงไปอุดตันรูขุมขนได้ง่ายแ ล้ว ยังทำให้ผิวหน้าดูไม่สดชื่นเมื่อยามตื่น และหากทำเป็นประจำจะทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ดูแก่กว่าวัย เกิดเป็นผลเสียต่อผิวหน้าในระยะยาวด้วย ผิวหน้าที่หนักจากเครื่องสำอางที่แต่งลงไปทั้งวัน ย่อมต้องการพักผ่อนและหายใจบ้าง จึงต้องเช็ดเครื่องสำอางและล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนนอนค่ะ

4. สครับผิว

การส ครับผิว เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนได้เป็นอย ่างดี ในหนึ่งสัปดาห์ควรสครับผิวให้ได้ 1-2 ครั้ง การสครับผิวเป็นการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกที่อยู่ที่ผิวชั้นนอก ซึ่งมีโอกาสเข้าไปอุดตันรูขุมขนให้หลุดออกไป นอกจากนี้ยังช่วยเผยผิวข้างใต้ที่สดใสให้ขึ้นมาแทนที ่ด้วยค่ะ

5. มาส์กหน้า

สาว ๆ หลายคนมาส์กหน้าหรือพอกหน้าเพื่อช่วยให้ผิวกระชับขึ้ น โดยมาส์กนั้นก็มีให้เลือกใช้หลายสูตร ซึ่งล้วนช่วยบำรุงผิวทั้งนั้น อย่างไรก็ตามต้องระวังมาส์กประเภทช่วยควบคุมความมัน หรือโคลนพอกหน้าที่ช่วยดูดซับน้ำมันส่วนเกินออกจากผิ วหน้า เพราะสำหรับมาส์กประเภทนี้หากทำบ่อยเกินกว่าสัปดาห์ล ะครั้ง จะทำให้ผิวของคุณแห้งได้ง่ายค่ะ

6. มาส์กหน้าด้วยไข่ขาว

การ มาส์กหน้าด้วยวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องซื้อผลิตภัณฑ์ที่ม ีราคาแพง เพียงใช้ไข่ขาวในการมาส์กหน้า โดยทาไข่ขาวที่ใบหน้าและทาย้ำเป็นพิเศษบริเวณที่มีสิ วเสี้ยน จากนั้นใช้กระดาษเช็ดหน้าแปะทับลงไป รีดให้ติดกับผิวหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วจึงลอกกระดาษ ไข่ขาวดึงสิวเสี้ยนและสิ่งสกปรกออกมาจากรูขุมขน ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้นได้ นอกจากนี้โปรตีนในไข่ขาวยังช่วยบำรุงผิว และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทั้งยังช่วยดูดซับความมันส่วนเกินบนผิวหน้าได้อีกด้ว ย

7. มาส์กหน้าด้วยมะเขือเทศ

มาส์ กมะเขือเทศเป็นอีกสูตรมาส์กที่ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน เพียงฝานมะเขือเทศเป็นแผ่นบาง ๆ คัดเมล็ดออกแล้วแปะไว้ให้ทั่วผิวหน้า หรือจะบดแต่เนื้อมะเขือเทศแล้วใช้อกหน้าไว้ก็ได้ กรด AHA วิตามินเอและซี ในมะเขือเทศจะช่วยทำความสะอาดรูขุมขน ทำให้หน้ากระจ่างใส และยังมีสารที่ช่วยกระชับรูขุมขนได้ด้วย

8. ใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน

แผ่น ลอกสิวเสี้ยน เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้คุณมีผิวที่สะอาดขึ้นได้ในเว ลาอันรวดเร็ว กาวเหนียว ๆ ที่ค่อย ๆ แข็งตัวจะจับเอาสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนออกมา ทำให้รูขุมขนดูเล็กลงทันตาเลยทีเดียว แต่ข้อควรระวังคือห้ามใช้ถี่เกินไป เพราะจะทำให้ผิวบางและเป็นการรบกวนผิวมากเกินไปได้เช ่นกัน

9. ใช้ครีมสำหรับลดกระชับรูขุมขน

ปัจจุบัน นี้มีครีมสำหรับกระชับรูขุมขนให้เลือกใช้มากมาย ลองเลือกใช้แบบที่เหมาะกับผิวหน้าของคุณ ส่วนใหญ่คนที่มีรูขุมขนกว้างมักจะเป็นคนผิวมัน เพราะฉะนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์กระชับรูขุมขนที่มีเนื้ อบางเบา หรือแบบเนื้อเจลเพื่อให้ซึมซับง่าย และไม่ทิ้งความมันส่วนเกินไว้บนใบหน้า โดยใช้ทุกครั้งหลังจากล้างหน้าหรืออาบน้ำ ซึ่งเป็นเวลาที่รูขุมขนเปิด และผิวหนังจะซึมซับครีมบำรุงได้ดีที่สุดค่ะ

สำหรับ สาว ๆ ที่มีรูขุมขนกว้าง แต่อยากให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนขึ้นอย่างลืมนำกลับไปใ ช้กันดูนะคะ การแต่งหน้าช่วยให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนได้ในส่วนหนึ่ ง อีกส่วนที่สำคัญก็คือการบำรุง และรักษาความสะอาดของผิวหน้านั่นเอง อย่าลืมกลับไปดูแลใบหน้าของคุณเพื่อผิวที่กระชับเนีย นสวยนะคะ

แพทย์เตือน...ทำสีผมเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหนังศีรษะ

|0 ความคิดเห็น
แพทย์เตือน...ทำสีผมเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหนังศีรษะ


แพทย์เตือน...ทำสีผมเสี่ยงต่อโรคมะเร็งหนังศีรษะ (ไทยโพสต์)


เรื่องความสวยความงามกับวัยรุ่นเป็นของคู่กัน โดยเฉพาะแฟชั่นการทำสีผมที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นใ นกลุ่มวัยรุ่น โดยจะสังเกตได้จากการที่ผลิตภัณฑ์ทำสีผมยี่ห้อต่าง ๆ แข่งกันปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อออกมาเอาใจลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบน้ำหรือแบบโฟม ที่เห็นผลทันทีหลังการทำสีผม อย่างไรก็ตามแม้ว่าการทำสีผมนั้นจะช่วยเสริมบุคลิกให ้ดูดี แต่ก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ทำสีผมได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งหนังศีรษะ โรคภูมิแพ้ หรือแม้แต่โรคผมร่วง ฯลฯ

นายแพทย์สุวินัย บุษราคัมวงษ์ แพทย์สาขาอายุรกรรม แผนกประกันสังคม รพ.กล้วยน้ำไท 1 กล่าวว่า การทำสีผมบ่อย ๆ นั้นอาจทำให้เส้นผมที่ผ่านสารเคมีนั้นไม่แข็งแรงหลุด ร่วงได้ง่าย และยังทำให้เกิดอันตรายต่อใบหน้าหรือระคายเคืองต่อหน ังศีรษะส่งผลให้ผิวหนัง เป็นแผลได้ รวมทั้งก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้โรคหนังศีรษะแห้งและที่ส ำคัญอาจทำให้เป็นโรค มะเร็งหนังศีรษะได้

เนื่องจากในน้ำยาย้อมผมนั้นประกอบด้วยสารเคมีที่มีฤท ธิ์เป็นกรดและด่าง 5 ตัวหลัก ๆ ด้วยกันเช่น

สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไชด์ ซึ่งเป็นสารฟอกสีผมและฆ่าเชื้อโรค จึงมีฤทธิ์ในการทำลายเส้นผมกัดสีผมและหนังศีรษะ ก่อให้เกิดอาการอักเสบและระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ตลอดจนทำให้เส้นผมแห้งเสียได้

สารฟีนิลินไดอะมี หรือสีย้อมผมชนิดถาวรนั้นเป็นสารเคมีอันตราย เมื่อดูดซึมเข้าสู่หนังศีรษะแล้ว อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง และหากสะสมอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งหนังศีรษะได้

แอมโมเนีย ซึ่งเป็นตัวช่วยให้สีย้อมผมติดผมนั้น ขณะเดียวกันสารดังกล่าวยังมีฤทธิ์เป็นกรดและด่าง ที่สามารถกัดเส้นผมและหนังศีรษะได้ จึงเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมเสียผมร่วง และทำให้รากผมอ่อนแอลง หรือ

สารซิลเวอร์ไนเตรต ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติในการปกปิดผมขาว โดยตัวสารนี้เมื่ออยู่บนหนังศีรษะ จะทำปฏิกิริยากับอากาศแล้วเปลี่ยนให้เส้นผมกลายเป็นส ีดำ ซึ่งสารตัวดังกล่าวมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดการระคาย หากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้ และสารตัวสุดท้ายอย่าง

เลดอะซีเตด ซึ่งเป็นสารตะกั่วที่ใช้ในครีมปกปิดผมขาว ชนิดที่ไม่ต้องล้างออก เช่นเดียวกับสารซิลเวอร์ไนเตรต และเนื่องจากสารตะกั่วนี้มีคุณสมบัติคล้ายกับสารตะกั ่วที่ผสมในน้ำมันในอดีต ดังนั้นหากสะสมในร่างกาย อาจทำรายสมองและประสาทสัมผัสได้ ที่สำคัญสารนี้ยังจัดอยู่ในสารก่อมะเร็งด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามสารเคมีที่ประกอบอยู่ในน้ำยายืดผมและดัด ผมนั้น สามารถก่อให้เกิดอันตรายกับหนังศีรษะได้เช่นเดียวกัน กับน้ำยาย้อมสีผม เพราะส่วนผสมที่ใช้นั้นจะคล้ายคลึงกัน ประกอบกับการดัดหรือยืดผมนั้นต้องใช้ความร้อนร่วมด้ว ย จึงทำให้เส้นผมอ่อนแอและเปราะบางลงได้ เช่นเดียวกับการทำสีผมนั่นเอง

พร้อมกันนี้คุณหมอกล่าวว่า ยาย้อมสีผมที่อยู่ในรูปของน้ำกับยาย้อมสีผมที่มีลักษ ณะเป็นโฟมที่ออกใหม่ล่า สุด และเห็นผลทันทีหลังการทำสีผมนั้น สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อหนังศีรษะได้เท่า ๆ กัน แต่ตัวที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อหนังศีรษะน้อยที่สุดนั ้น เป็นน้ำยาย้อมสีผมที่อยู่ในรูปแบบโฟม เนื่องจากมีส่วนประกอบของสารเคมีน้อยกว่าน้ำยาย้อมสี ผมที่อยู่ในรูปแบบน้ำ และขั้นตอนในการหมักผมนั้นใช้เวลาน้อยกว่ายาย้อมสีผม รูปแบบเดิม ๆ

ดังนั้น จึงทำเส้นผมผ่านสารเคมีน้อยลง จึงทำให้โอกาสเกิดสารตกค้างบนเส้นผมและหนังศีรษะ น้อยลงกว่ายาย้อมสีผมที่อยู่ในรูปของน้ำนั่นเองถึงแม ้ว่าการย้อมสีผมนั้นจะ ส่งเสียผลต่อสุขภาพ แต่ก็มีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีผมหงอกก่อนวัย หรือผมหงอกเป็นบางบริเวณจากการถูกสัตว์กัดหรือต่อย และยังช่วยปรับบุคลิกให้ดูดีได้ด้วย

คุณหมอได้มีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่มีความจำเป็นต้องทำส ีผมว่าอันดับแรก ควรเลือกน้ำยาย้อมสีผมที่ไม่มีอันตรายรุนแรงเช่น ไม่มีส่วนผสมของเกลือ หรือสารเคมีที่อันตรายอย่างสารตะกั่ว และปรอทเป็นส่วนประกอบหลัก และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากได้รับการอนุญาตจาก อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) หรือควรเลือกซื้อตามร้านจำหน่ายที่สะอาดและปลอดภัยไว ้ใจได้ และที่สำคัญไม่ควรย้อมสีผมบ่อยเกินปีละ 9 ครั้ง เพราะมีการวิจัยแล้วว่าอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ ส่วนผู้ที่ไม่แนะนำให้ทำสีผมนั้น เป็นกลุ่มของผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ หรือผู้ที่เป็นมะเร็งอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม คุณหมอกล่าวว่า ควรหลีกเหลี่ยงหรือทำสีผมให้น้อยที่สุด เพราะจะส่งผลดีต่อสุขภาพเส้นผม และที่สำคัญควรดูแลเส้นผมไปพร้อม ๆ กับการบำรุงจึงจะดีที่สุด เพราะวิธีนี้จะช่วยให้เส้นผมอยู่คู่กับหนังศีรษะของเ ราได้ตลอดไป

แบล็คราสเบอร์รี่สุดยอดอาหาร

|0 ความคิดเห็น
แบล็คราสเบอร์รี่สุดยอดอาหาร




แบล็คราสเบอร์รี่ช่วยขัดขว้างเซลล์มะเร็งได้ เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและกรดเอลลาจิก ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยโอไฮโอ ได้ทำการทดลองโดยให้หนูที่เป็นเนื้องอกลำไส้ใหญ่และเ นื้องอกหลอดอาหารรับ

แบล็คราสเบอร์รี่เป็นอาหาร แสดงให้เห็นว่าสารสกัดจากแบล็คราสเบอร์รี่ช่วยชะลอกา รเจริญเติบโตมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหารและได้ทำการประเมินผลข้างเคียงในมนุษย์เมื่อรับประทา น

แบล็คราสเบอร์รี่กับผู้ที่เป็นมะเร็งลำไส้และมะเร็งห ลอดอาหารแล้ว
แบ ล็คราสเบอร์รี่เป็นผลไม้ฉ่ำน้ำเหมือนราสเบอร์รี่แต่ห วานน้อยกว่า ต้นกำเนิดมาจากทางอเมริกาเหนือและถูกนำไปปลูกยังอังก ฤษเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
__________________

ปวดส้นเท้า ฤาจะเป็นพังผืดส้นเท้าอักเสบ?

|0 ความคิดเห็น
ปวดส้นเท้า ฤาจะเป็นพังผืดส้นเท้าอักเสบ?



พังผืดส้นเท้าอักเสบ (หมอชาวบ้าน)
สารานุกรมทันโรค นพ.สุรเกียรติ อาซานานุภาพ

พังผืด ส้นเท้าอักเสบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของอาการปวดส้นเท้า มีอาการที่เป็นลักษณะเฉพาะคือ รู้สึกปวดส้นเท้าใน 2-3 ก้าวแรกที่ลุกขึ้นเดินหลังตื่นนอนตอนเช้า และหลังจากเดินต่อไป 2-3 นาทีก็จะทุเลาไปเอง โรคนี้อาจเป็นเรื้อรัง แต่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด

ชื่อภาษาไทย : พังผืดส้นเท้าอักเสบ

ชื่อภาษาอังกฤษ : Plantar fasciitis

สาเหตุ

พังผืดที่ส้นเท้าทำหน้าที่คล้ายตัวกันกระแทกของกระดู กเท้า ถ้าหากมีแรงกดดันต่อพังผืดนาน ๆ หรือซ้ำ ๆ ก็ทำให้เกิดการอักเสบได้

แรงกดดัน อาจเกิดจากการมีน้ำหนักถ่วง (เช่น คนอ้วน ยกของหนัก) หรือเกิดจากการวิ่ง เต้นรำ เดินขึ้นบันได หรือยืนนาน ๆ

นอกจากนี้ อาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น กล้ามเนื้อน่อง หรือเอ็นร้อยหวายขาดความยืดหยุ่น โครงสร้างเท้าผิดปกติ (ส้นเท้าแบน หรือมีความโค้งสูง) ใช้รองเท้าที่ไม่เหมาะ (เช่น พื้นรองเท้าบาง ส้นสูง ส้นแข็ง ขาดความยืดหยุ่น)

โรคนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน (ซึ่งอธิบายสาเหตุไม่ได้) และโรคข้ออักเสบ เช่น โรคปวดข้อรูมาตอยด์

อาการ

มี ลักษณะเฉพาะ คือ รู้สึกปวดส้นเท้าคล้ายถูกมีดปักใน 2-3 ก้าวแรกที่ลุกขึ้นเดินหลังตื่นนอนตอนเช้า และหลังจากเดินต่อไป 2-3 นาทีก็จะทุเลาไปเอง บางครั้งอาจรู้สึกปวดเวลาเดินขึ้นบันได ยืนหรือเดินบนปลายเท้า หลังจากยืนนาน ๆ หรือหลังจากลุกขึ้นยืนจากท่านั่ง

มักจะปวดเพียงข้างเดียว อาการอาจค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อย หรือเกิดขึ้นฉับพลันรุนแรงก็ได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะบอกไม่ถูกว่าอะไรเป็นเหตุกระตุ้ นให้ปวด เนื่องเพราะอาการมักจะเกิดหลังจาการเกิดปัจจัยกระตุ้ น (เช่น วิ่งออกกำลังกาย ยืน หรือเดินบนปลายเท้า เปลี่ยนรองเท้าใหม่) 12-36 ชั่วโมงไปแล้ว

อาการปวดอาจเป็นเพียงเล็กน้อยน่ารำคาญ หรือปวดรุนแรงก็ได้

ส่วนมากจะเป็นอยู่นาน 2-3 เดือน ก็ทุเลาไปเอง บางรายอาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นต่อเนื่องอยู่เรื่อย ๆ

การแยกโรค

อาการปวดบริเวณส้นเท้าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น

ข้อเท้าอักเสบ มักมีอาการปวดที่ข้อเท้า อาจมีอาการบวมแดงร้อนที่บริเวณข้อเท้าร่วมด้วย

ข้อเท้าแพลง หรือกระดูกส้นเท้าแตก มักมีประวัติเดินเท้าพลิกมาก่อน หากขยับข้อเท้าจะรู้สึกปวดมาก

กระดูกส้นเท้างอก เกิดจากผลึกหินปูนงอกออกมาจากกระดูกส้นเท้า มักจะเจ็บที่ส้นเท้าเวลาเดินลงน้ำหนักทุกครั้ง ตลอดทั้งวัน

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการแสดงเป็นหลัก ได้แก่ อาการปวดส้นเท้า 2-3 ก้าวแรกที่เดินหลังตื่นนอนตอนเช้า โดยไม่มีบวมแดงร้อนที่ส้นเท้า

ในรายที่เป็นเรื้อรังหรือปวดรุนแรง แพทย์จะทำการเอกซเรย์หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อตรวจหาสาเหตุให้ชัดเจน

การดูแลตนเอง

ถ้ามีอาการปวดส้นเท้า โดยไม่มีอาการข้ออักเสบ หรือข้อบวมแดงร้อน ควรปฏิบัติตัวดังนี้

หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า และกิจกรรมที่ทำให้อาการปวดกำเริบ เช่น ยกของหนัก วิ่ง เดิน หรือยืนนาน ๆ หรือใส่รองเท้าส้นสูง

ประคบด้วยน้ำแข็งวันละ 3-4 ครั้ง ๆ ละ 15-20 นาที

บริหารส้นเท้า

ควร พบแพทย์ ถ้าไม่ทุเลาภายใน 2 สัปดาห์หรือปวดรุนแรง มีอาการบวมแดงร้อนที่ข้อเท้า หรือโครงสร้างเท้าผิดปกติ เช่น ส้นเท้าแบนหรือมีความโค้งสูง

การรักษา

นอกจากแนะนำข้อปฏิบัติตัว (ดังกล่าวไว้ในหัวข้อ "การดูแลตนเอง") แล้ว แพทย์อาจให้กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) และอาจต้องให้ยาป้องกันโรคกระเพาะ (เช่น ยาเม็ดโอเมพราโซล) กินร่วมด้วย ถ้าได้ผลอาจต้องให้นาน 6-8 สัปดาห์ หากไม่ได้ผลอาจต้องใช้ยาสตีรอยด์ฉีดเข้าพังผืดส้นเท้ า

บางรายอาจต้องทำกายภาพบำบัด หรือใช้อุปกรณ์ แก้ไขภาวะผิดปกติของเท้า (เช่น รองเท้า เทปพันเท้า)

บางรายอาจใช้เฝือกใส่เวลาเข้านอน เพื่อยืดกล้ามเนื้อน่องและพังผืดส้นเท้า

ส่วนน้อยที่อาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด

ภาวะแทรกซ้อน

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากอาการปวดเรื้อรัง ทำให้รู้สึกรำคาญหรือทรมาน

การดำเนินโรค

ส่วนมากจะเป็นอยู่นาน 2-3 เดือน ก็ทุเลาไปเอง บางรายอาจเป็น ๆ หาย ๆ หรือเป็นเรื้อรังอยู่เรื่อย ๆ

การป้องกันโรค

โรคนี้อาจป้องกันได้ด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้

ลดน้ำหนัก (ถ้าน้ำหนักเกิน)

อย่าเดินเท้าเปล่าบนพื้นที่แข็ง

เลือกสวมใส่รองเท้าที่พื้นหนา แต่มีความยืดหยุ่น หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง

เวลาเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย ควรทำการอบอุ่นร่างกายก่อน และอย่าใส่รองเท้ากีฬาที่เสื่อมสภาพ

ก่อนลุกจากเตียงหลังตื่นนอน ควรทำการบริหารยืดพังผืดส้นเท้า โดยการจับนิ้วเท้าเหยียดขึ้น

ความชุก

โรคนี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของอาการปวดส้นเท้า พบได้บ่อยขึ้นตามอายุที่มากขึ้น มักพบในคนอ้วน นักกีฬา ผู้ที่ทำงานหนักหรือสวมใส่รองเท้าไม่เหมาะสม

ชาเขียวต้านมะเร็งในคนได้จริงหรือ

|0 ความคิดเห็น
ชาเขียวต้านมะเร็งในคนได้จริงหรือ




ยุคสมัยนี้ใครไม่รู้จักชาเขียวนับว่าเชยเต็มที เรียกว่าร้านขายเครื่องดื่มหรือร้านสะดวกซื้อแทบทุกร ้าน
ต้องมีชาเขียวพร้อมดื่มสารพัดรสชาติไว้จำหน่าย ทั้งๆ ที่สมัยก่อนคนไทยเรารู้จักแต่ชาจีน ชาอังกฤษ ชาดำเย็น ชาเย็น


แต่ปัจจุบันนี้จะหาชาพวกที่ว่าแบบพร้อมดื่มยังหายากก ว่าหาชาเขียว คนส่วนใหญ่รู้ว่าการดื่มชาเขียวส่งผลดีต่อสุขภาพ ตั้งแต่โบราณกาลมีการใช้ชาเป็นทั้งเครื่องดื่มและเป็ นยา ชาเขียวซึ่งเป็นชาที่ไม่ผ่านการหมักประกอบด้วยสารหลา ยชนิดที่เป็นประโยชน์ ต่อร่างกาย ตัวสำคัญคือสารโพลีฟีนอล พระเอกของสารในกลุ่มนี้มีชื่อว่า ”คาทาชิน” เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งพบมากในชาเขียว งานวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่าสารคาทาชินยับยั้งการเจริญ เติบโตของเซลมะเร็งผิว หนัง ปอด ช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ตับอ่อนและเต้านม

แต่การศึกษาในมนุษย์ทั้ง ในแง่ระบาดวิทยาและการวิจัยในระดับคลินิกยังไม่มีข้อ สรุปที่ชัดเจน ณ เวลานี้ว่าชาเขียวช่วยป้องกันการเป็นมะเร็งหรือช่วยล ดความเสี่ยงในการเกิด มะเร็ง รวมถึงไม่สามารถยับยั้งหรือรักษาโรคมะเร็งในคนได้แต่ อย่างใด จำเป็นต้องรอการวิจัยทางคลินิกแบบสุ่มและควบคุมตัวแป รต่างๆ ในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันจะมีบางรายงานที่สนับสนุนแต่ด้วยความห ลากหลายของตัวแปรต่างๆ ในงานวิจัยเหล่านั้นจึงยังไม่สามารถสรุปได้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกาและสมาคมโ รคมะเร็งแห่งประเทศ สหรัฐอเมริกาจึงยังไม่มีคำแนะนำอย่างเป็นทางการว่าการบริโภคชาสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งประเภ ทต่างๆ ในคนได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่าง ไรก็ดี หากจะบริโภคชาเขียวเพื่อบำรุงสุขภาพในด้านอื่นๆ โดยหวังผลจากคุณสมบัติการต่อต้านอนุมูลอิสระ ก็มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับชาเขียวที่อยากให้รับรู้รั บทราบ จากงานวิจัยของไทยพบว่า สภาวะที่เหมาะสมต่อการสกัดสารคาทาชินจากการชงชาเขียว คือ ที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที โดยใช้อัตราส่วนของใบชาที่เหมาะสมคือใบชา 1 กรัมต่อน้ำ 150 มิลลิลิตร จะทำให้ได้สารคาทาชินออกมาในน้ำชามากที่สุด แต่ในอุตสาหกรรมการผลิตชาเขียวพร้อมดื่มมีกระบวนการฆ่าเชื้อที่มักใช้อุณหภูมิสูงกว่า 120 องศาเซลเซียส ทำให้สารคาทาชินบางส่วนมีการสลายตัว


นอก จากนั้นในการผลิตมักมีการเติมน้ำตาลเพื่อให้รสชาติดี ยิ่งขึ้น ซึ่งน้ำตาลจะทำปฏิกิริยากับสารคาทาชินส่งผลต่อการคงต ัวของสารคาทาชินเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นวิธีการเก็บและการขนส่งที่ไม่ถูกต้องก็ ยังมีผลให้สารคาทาชินสลายตัวเช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้ามีเวลาเพียงพอก็ชงเองกินเองตามวิธีที่บอกก็จะส่งผ ลดีต่อสุขภาพมากกว่า ซื้อชาเขียวพร้อมดื่มกินนะครับ...เชื่อผมซิ

"นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ"


ปวดหัว ปวดท้อง สิ่งที่คุณกินนั่นแหละช่วยได้!

|0 ความคิดเห็น
ปวดหัว ปวดท้อง สิ่งที่คุณกินนั่นแหละช่วยได้!



แทนการหยิบยามากิน ลองเดินเข้าไปดูของกินในครัวก่อนดีไหม เพราะอาหารหลายอย่างให้วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารอื่น ๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดหลายอย่างที่รบกวนคุ ณ

1. ปวดหัวไมเกรน

งานวิจัยด้านอาหารชี้ว่า การกินปลาที่มีไขมันสูงซึ่งอุดมด้วยไขมันอย่างโอเมก้ า-3 อาจช่วยให้ร่างกายลดการสร้างพรอสตาแกลนดินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดอาการอักเสบและเจ็บปวด

2. ปวดประจำเดือน

การสร้างพรอสตาแกลนดินส์ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เก ิดอาการปวดประจำเดือน เพราะเมื่อพรอสตาแกลนดินส์ถูกปล่อยเข้าไปในเนื้อเยื่ อ มดลูกก็จะมีปฏิกิริยาตอบสนองโดยมีอาการเกร็งกระตุก ลองกินโอเมก้า-3 ที่ช่วยยับยั้งการหลั่งของพรอสตาแกลนดินส์ และหลีกเลี่ยงเนื้อแดงและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีกรด Arachidonic ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการสร้างพรอสตาแกลนดินส์

3. ปวดข้อ

วิตามินซีอาจช่วยชะลอการเสื่อมของข้อต่อได้ การศึกษาวิจัยจากศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยบอสตัน แสดงว่า ผู้ป่วยโรคไขข้อที่กินวิตามินซีจำนวนมากมีแนวโน้มน้อ ยกว่าถึงสามเท่าที่จะมี อาการปวด หรือบาดเจ็บข้อ เมื่อเทียบกับคนที่กินวิตามินซีน้อยกว่า คุณสมบัติในการต้านแอนตี้ออกซิเดนท์ของวิตามินอาจช่ว ยไม่ให้อนุมูลอิสระทำ ร้ายร่างกายเพิ่มขึ้น วิตามินซียังมีบทบาทสำคัญในการสร้างคอลลาเจน ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกอ่อนและกระดูก

4. อาการจุกเสียดจากกรดไหลย้อน (Heartburn)

ขิงอาจช่วยทำให้กล้ามเนื้อด้านล่างของหลอดอาหารแข็งแ รงขึ้น มันเป็นเสมือนวาล์วที่กั้นไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นมา และหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงที่อาจทำให้การทำงานของกล ้ามเนื้อหลอดอาหาร อ่อนแอ อาหารรสจัด หรือมีกรดสูงก็อาจทำให้เกิดอาการจุกเสียดได้

5. ท้องผูก
ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยสูงช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงาน ปกติ ลองกินเส้นใยอาหารให้ได้วันละ 20-35 กรัม และเพิ่มการกินช้า ๆ อย่างเช่น 4-5 กรัมต่อวัน ในวันแรก ๆ ไม่เช่นนั้นคุณอาจเกิดอาการไม่สบายท้องได้ และให้ดื่มน้ำเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองแก้วต่อวัน ที่จะช่วยผลักให้เส้นใยอาหารไปตามลำไส้