แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องยนต์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องยนต์ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิเคราะห์ระบบไฟฟ้าในรถจากค่าที่อ่านได้จากโวลท์มิเตอร์

|0 ความคิดเห็น
วิเคราะห์ระบบไฟฟ้าในรถจากค่าที่อ่านได้จากโวลท์มิเตอร์
- ขณะดับเครื่องค่าควรอยู่ประมาณ 12-12.8 โวลท์ ถ้าต่ำกว่า12 ถือว่าผิดปกติอาจมีสาเหตุมาจากแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม(เก็บไฟไม่อยู่ )หรือไดชาร์จชาร์จไฟได้ไม่เต็มที่(ดูในหัวข้อตรวจสอบไดชาร์จ)

- วิธีตรวจสอบว่าแบตเสื่อมหรือไม่ทดสอบได้โดยหลังจากขับรถปกติมาจอดและดับ เครื่องประมาณ 1 นาทีค่าที่อ่านจากมิเตอร์ต้องมีค่าระหว่าง 12-12.8 โวลท์ หลังจอดไว้(4-6ชั่วโมง)หรือข้ามวันค่าที่อ่านได้ต้องประมาณ 12-12.8 โวลท์ เท่าเดิมถือว่าปกติ ถ้ามีค่าต่ำกว่านี้มากๆเช่น11.5-11.9 แบตเตรี่เริ่มเก็บไฟไม่อยู่แต่ยังพอไหว แต่ถ้าต่ำกว่า 11.5 โวลท์ลงไป ถือว่าอันตรายเพราะถ้าจอดทิ้งสัก 2 วันอาจสตาร์ทไม่ติด(ถ้าอายุแบตเตอรี่ยังใหม่ก็อาจจะเกิดจากมีกระแสไฟฟ้า รั่วลงกราวด์แนะนำเข้าร้านให้ช่างไฟฟ้ารถยนต์ตรวจสอบครับ) ***อายุแบตเตอรี่ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 18-24 เดือน แล้วแต่การดูแล*** ตรวจสอบไดชาร์จจากการอ่านค่าจากโวลท์มิเตอร์ ให้ทำการติดเครื่องยนต์แล้วอ่านค่าจากโวลท์มิเตอร์ค่าปกติจได้ดังนี้

1.ที่รอบเครื่องยนต์ 1000 รอบต่อนาที(รอบเดินเบา) จะต้องมีค่าประมาณ13.5-13.8 โวลท์ ถ้ามีค่าต่ำกว่านี้เช่น 12.8-13.4 โวลท์ไดชาร์จเริ่มมีปัญหาคือชาร์จไฟได้ไม่เต็มที่ ถ้าต่ำกว่า12.8 โวลท์แสดงว่าไดชาร์จไม่ชาร์จกระแสไฟฟ้าให้กับแบตเตอริ่ และถ้าต่ำกว่า12 โวลท์ถือว่าขณะนั้นระบบไฟฟ้าในรถดึงกระแสไฟฟ้าแบตเตอรี่มาใช้งานเพียงอย่าง เดียวให้ทำการตรวจซ่อมไดชาร์จ

2.ที่รอบเครื่องยนต์ 2000-2500 รอบต่อนาที จะต้องมีค่าประมาณ13.8-14.7 โวลท์ อาจมากกว่านี้ได้เล็กน้อยแต่ต้องไม่เกิน 15 โวลท์ถ้ามากกว่า 15 โวลท์อาจมีสาเหตุมาจากเรกกูเตอร์(วงจรควบคุมแรงดันของไดชาร์จ)อาจมีปัญหา ผลเสียคือแบตเตอรี่อาจเสื่อมเร็วเพราะถูกชาร์จด้วยแรงดันที่สูงเกิน ทำให้เกิดความร้อนสูงในแบตฯถ้าร้อนมากๆจะทำให้น้ำกลั่นเดือดได้

ทดสอบว่าไดชาร์จจ่ายกระแสเพียงพอหรือไม่ สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้ทำตามข้อ1และ2 แล้วทำการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทุกอย่างเช่นไฟหน้า,แอร์,ที่ปัดน้ำฝน,เครื่อง เสียง ฯลฯ แรงดันที่วัดได้ต้องเหมือนกับค่าปกติในข้อ 1 และ 2 ถ้าค่าที่วัดได้ตกลงมากแสดงว่าไดชาร์จจ่ายกระแสไม่พออาการนี้อาจไม่เกิดขึ้น กับรถเดิมๆแต่จะมีผลในรถที่ติดตั้งเครื่องเสียง แรงๆผลเสียคืออาจทำให้ไดชาร์จทำงานตลอดเวลาทำให้อายุการใช้งานต่ำลง

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การสลับยาง

|0 ความคิดเห็น
การสลับยาง
     ควรมี การสลับยาง กับรถที่เราใช้อย่างน้อย ทุกๆ10,000 กิโลเมตร สำหรับ รถขับเคลื่อน 2 ล้อทั่วไป และ ทุกๆ 4,000 กิโลเมตร สำหรับ รถที่ขับเคลื่อน 4 ล้อ และนี่คือ รูปแบบของการ สลับยาง ในแต่ละประเภทของ รถยนต์ โดยแบบเป็น 2 ประเภท หลักๆ ดังนี้ ...

การสลับแบบ 4 ล้อ
  • สำหรับ รถขับเคลื่อนล้อหน้า การสลับยาง จะทะแยง จากหลังไปหน้า ตามรูป ที่ (1) หรือ อาจจะเลือกการ สลับยาง แบบกากบาท แบบรูปที่ (2) ก็ได้ 
  • สำหรับ รถที่ขับหลัง หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็ให้ สลับยาง จากหน้าไปหลัง ดังรูปที่ (3)
  • และหาก ล้อรถ ของท่าน ใส่ยางเป็นแบบชนิด มีทิศทางการหมุนทางเดียว ก็ต้องใช้การ สลับยาง แบบในรูปที่ (4)
  • และสำหรับรถที่ใส่ล้อ และ ยาง ที่มีขนาด หน้า-หลัง ไม่เท่ากัน และดอกยางไม่เป็นชนิดแบบมีทิศทาง การสลับยาง ก็ควรใช้แบบที่ (5)   
 
การสลับยาง แบบ 5 วง ( รวมยางอะไหล่ )
     การ สลับยาง แบบใช้ ยางอะไหล่ ด้วยนี้  ก็เพื่อต้องการปรับดอกยาง ให้มีขนาด ที่เท่าๆ กัน ทั้ง 5 เส้น  แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละค่ายรถด้วย ที่จะมีล้อและ ยางอะไหล่ ใส่ติดมา เป็นแบบเดียวกัน กับที่เราใส่อยู่หรือไม่ ? แต่ที่จะพูดถึงนี้ เป็นยางแบบไม่มีทิศทาง  ก็ให้ทำการ สลับยาง ตามรูปแบบที่ (6) และ (7) ได้

ดอกยาง

|0 ความคิดเห็น
ดอกยาง

"ยาง" เป็นอุปกรณ์สำคัญยิ่งของรถ หากปราศจากยางก็เหมือนคนไม่ใส่รองเท้า การเลือกซื้อยางจึงน่าจะมีความรู้ความเข้าใจช่วยประกอบการตัดสินใจบ้าง จะได้ไม่ต้องฟังคำแนะนำกึ่งยัดเยียดจากผู้จำหน่ายเพียงฝ่ายเดียว

บทความนี้ ขอนำท่านผู้อ่านเข้าสู่โลกของดอกยางรถยนต์ ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่งที่กำลังจะเปลี่ยนยางรถอยู่พอดี

ปัจจุบันยางรถยนต์ส่วนใหญ่เป็นยางแบบ "จู๊บเลส" (TUBELESS) คือไม่ต้องใช้ยางใน (ยกเว้นยางรถบรรทุกและรถแทรกเตอร์) แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ยางรถสำหรับทางเรียบ (ON ROAD) และยางสำหรับทางลุย(OFF ROAD) ส่วนจะแบ่งย่อยออกเป็นยางทางเรียบกึ่งลุยวิบาก ยางสำหรับลุยทรายหรือลุยหิมะโดยเฉพาะนั้น ก็แล้วแต่บริษัทผู้ผลิตยางจะระบุไว้เป็นการจำเพาะ

อย่างไรก็ตาม ลักษณะของรถก็กำหนดลักษณะของยางไว้แล้วในตัว เช่น รถเก๋ง รถสปอร์ต รถปิกอัพธรรมดา ต้องใส่ยางทางเรียบ รถจี๊ป รถวิบากขับเคลื่อน 4 ล้อ ต้องใช้ยางทางลุย เป็นต้น

เมื่อก้าวเข้าสู่ร้านจำหน่ายยางรถยนต์ สิ่งแรกที่เรียกหาคือ ขนาดของยางที่มีวงในเดียวกับวงล้อรถ ส่วนหน้ากว้างและความสูงของแก้มยางก็เป็นเรื่องต้องพอเหมาะพอดีกับแรงม้าของรถ ซึ่งขนาดของยางและสมรรถนะก็มีระบุไว้บริเวณโดยรอบแก้มยางแล้ว ทว่าสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมคือ ลักษณะการออกแบบ หรือลวดลายของดอกยางว่าดีหรือด้อยต่างกันตรงไหน ก่อนตัดสินใจเชื่อตามคำโฆษณาของยางรุ่นนั้นๆ ทั้งนี้ผู้เขียนขอวิพากย์ดอกยางอย่างละเอียดต่อไป จะผิดถูกอย่างไร เชื่อถือได้หรือไม่ ขอได้โปรดใช้วิจารณญาณพิจารณาดู

ยางแต่ละเส้นประกอบด้วยลวดลายดอกยาง 3 แห่ง คือ หน้ายาง มุมยาง และแก้มยาง แต่ละแห่งมีหน้าที่สร้างความฝืดยึดหน่วงป้องกันการลื่นไถลมากน้อยต่างกันตามสภาพถนนที่แข็ง แห้ง เปียก ร่วน ทุกกรณีเมื่อมีการส่งกำลังไปที่ล้อและยางเพื่อขับเคลื่อนตัวรถ หรือห้ามล้อเพื่อหยุดรถให้ทันเหตุการณ์ (ดูภาพประกอบ ชุด 1)

ดอกยางบริเวณหน้ายาง ทำหน้าที่สัมผัสสร้างความฝืดกับผิวถนน เพื่อการขับขี่บังคับรถได้ดังใจบนถนนที่แข็ง ส่วนดอกยางบริเวณมุมยางและแก้มยางทำหน้าที่สร้างความฝืดเสริมให้กับหน้ายางเมื่อขับเคลื่อนบนทางร่วนซุยที่ล้อและยางจมลงไปบางส่วน

การออกแบบดอกยางที่บริเวณหน้ายางมักอาศัยร่องลึกรูปแบบต่างกัน 3 ร่องแนวเป็นอย่างน้อยประกอบกันเพื่อสร้างดอกยาง ซึ่งร่องแนวทั้ง 3 นี้มีคุณสมบัติเฉพาะตัวคือ

ร่องแนวตรงตลอดรอบเส้นยาง เพื่อสร้างดอกยางแนวตรงที่มีคุณสมบัติในการยึดเกาะถนนขณะเลี้ยวโค้งและรักษาทางตรงอย่างมั่นคง
ร่องแนวขวาง เพื่อสร้างดอกยางแนวขวางที่ช่วยขับเคลื่อนและหยุดรถไม่ให้ลื่นไถล
ร่องแนวเฉียง โค้ง เว้า หรือซิกแซก เพื่อสร้างดอกยางที่ช่วยยึดเกาะถนนตอนเลี้ยวโค้ง ช่วยขับเคลื่อนและหยุดเฉลี่ยกัน


ทั้งนี้แนวร่องและรูปแบบต่างๆ ยังทำหน้าที่ระบายน้ำให้ออกจากผิวหน้าของดอกยางอย่างรวดเร็วเมื่อมีการบดทับบนผิวถนนเจิ่งน้ำ

ส่วนการออกแบบยางที่บริเวณมุมยางและแก้มยางนั้น ก็อาศัยร่องลึกแนวขวาง หรือเฉียงลากเลยจากหน้ายางขึ้นมาทางแก้มยางเล็กน้อย อาจเพิ่มเติมเหลี่ยมหลุมหรือลิ่มหยักตื้นๆ โดยรอบมุมยาง รวมทั้งมีอักษรตัวนูนบอกยี่ห้อ บอกรุ่น และบอกขนาดรอบๆ แก้มยาง ซึ่งล้วนช่วยสร้างความฝืดยึดเกาะถนนตอนเข้าโค้งแรงๆ หรือขับเคลื่อนลุยจมในทางร่วนซุยได้ดี

อนึ่งดอกยางบางแบบจะมีรูหรือขีดร่องเล็กๆ ที่มีความลึกประมาณครึ่งหนึ่งของร่องดอกยางอยู่ตามบริเวณหน้ายาง เพื่อทำหน้าที่เตือนการสึกหรอของยาง กล่าวคือ เมื่อรู หรือขีดเหล่านี้หายไปหมดเมื่อใดก็ควรเปลี่ยนยางใหม่เมื่อนั้น (ดูภาพประกอบ ชุด 1)

ยางอะไหล่ต้องพร้อม

|0 ความคิดเห็น
ยางอะไหล่ต้องพร้อม

           ยางรถยนต์ยุคใหม่มีโอกาสรั่วน้อยมาก ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปก็ไม่น่าเกิน1-2 ครั้ง/ปี ยางอะไหล่จึงมักไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือตรวจสอบเหมือนยางเส้นที่ใช้งานจึงควรเติมลมยางอะไหล่ไว้มากหน่อย คือ 40 ปอนด์/ตารางนิ้วเมื่อต้องการใช้ยางอะไหล่ ถ้าแรงดันลมที่มีอยู่สูงเกินไปก็แค่ปล่อยออกให้เท่าปกติ
{mospagebreak}
หน้า 3
การบำรุงรักษายางรถยนต์
  รถยนต์ที่สามารถวิ่งอยู่บนถนนได้อย่างสมบูรณ์นั้น ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยอุปกรณ์มีความสำคัญยิ่งทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น  เครื่องยนต์ เกียร์ เบรก ระบบช่วงล่าง และยาง รถยนต์

    แต่วันนี้เราจะขอพูดเรื่องของยางรถยนต์ และวิธีการบำรุงรักษา เพราะยางรถเปรียบเสมือนรองเท้า ที่เราสวมใส่ ถ้ารองเท้าไม่พอดี อาจจะทำให้ผู้ใส่เกิดอาการเจ็บเท้าหรือเดินไม่ถนัด ทำให้เสียบุคลิกในการเดินได้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยางรถยนต์ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนของรถยนต์ เพราะยางรถยนต์จะต้องหมุนไปตลอด เมื่อรถยนต์เคลื่อนที่ยางรถยนต์ทำหน้าที่ รองรับน้ำหนักรถ และน้ำหนักบรรทุก ลดแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือน ทำหน้าที่ส่งแรงม้าจากเครื่องยนต์ สู่พื้นผิวถนนและยึดเกาะถนนในการเข้าโค้ง ยางรถยนต์ จะมีประโยชน์และให้สมรรถนะสูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับ การใช้งาน และการดูแลบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้รถมีความปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย อีกด้วย การตรวจยางในชั้นพื้นฐานที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ก็คือ เรื่องการวัดลมยางหรือการสูบลมยาง สาเหตุที่ต้องวัด หรือสูบ หรือเติมลมยางเข้าไปเนื่องจาก ยางรถยนต์ของรถแต่ละประเภท แรงดันของลมในยาง จะไม่เท่ากันซึ่งต้องดูถึงสภาพของรถที่ท่านใช้ด้วย อย่างเช่น รถยนต์นั่งต้องการความนิ่มนวลในการขับขี่ ส่วนยางของรถบรรทุก ต้องมีความสามารถในการรับ น้ำหนักบรรทุก นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงขนาดของยาง และจำนวนชั้นของผ้าใบ ถ้ายางที่มีจำนวนชั้นผ้าใบน้อย ถ้าเติมลมมากไป อาจจะทำให้ยางระเบิดขึ้นมาได้
 ข้อควรปฏิบัติบำรุงรักษายางรถยนต์

    1. ตรวจเช็คลมยางทั้ง 4 ล้อ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
    2. ควรสูบ หรือเติมลมยางมาตรฐานที่ทางโรงงานผู้ผลิตกำหนด (ขณะที่ยางเย็น)
    3. การเพิ่ม หรือลดลงยางให้มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักบรรทุก
    4. เมื่อขับรถออกต่างจังหวัด หรือใช้ความเร็วสูง ควรเพิ่มลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว
    5. อย่าลดลมยางในขณะที่ฝนตกหรือวิ่งบนถนนเปียก เพราะอาจจะทำให้ การยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพการรีดน้ำของดอกยางลดลงด้วย

แรงดันลมยาง

|0 ความคิดเห็น
แรงดันลมยาง
     แรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่น    มีระบุไว้บนสติกเกอร์ที่ตัวรถยนต์หรือคู่มือประจำรถยนต์  ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้วสำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้อุปกรณ์ตรวจเช็คแรงดันลมยางที่ได้มาตราฐานและวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก  ( ขับไปไม่เกิน2-3 กม. ) และไม่ควรใช้เพียงสายตาในการเดาแรงดันลมยางโดยดูจากการยุบตัวของ แก้มยางเพราะ   แม้ลมยางจะอ่อนลง 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว  ก็อาจมองไม่เห็น ความแตกต่าง
    หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย-ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตรา เร่งลดลง  จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น   และหากลมยางอ่อนมากๆ  จะทำให้ โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการลึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของยางมากกว่าแนวกลาง
   บางคนอ่อนแล้วอาจคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า   จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆซึ่งเป็นความคิดที่ผิด  เพราะแรงดันลมยางที่มากเกิน ไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง   จากหน้าสัมผัสที่ลดลง   กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเลี่ยงต่อการระเบิด   และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา
    หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย-ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตรา เร่งลดลง  จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น   และหากลมยางอ่อนมากๆ  จะทำให้ โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการลึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของยางมากกว่าแนวกลาง
   บางคนอ่อนแล้วอาจคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า   จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆซึ่งเป็นความคิดที่ผิด  เพราะแรงดันลมยางที่มากเกิน ไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง   จากหน้าสัมผัสที่ลดลง   กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเลี่ยงต่อการระเบิด   และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา
     แรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่น    มีระบุไว้บนสติกเกอร์ที่ตัวรถยนต์หรือคู่มือประจำรถยนต์  ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้วสำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้อุปกรณ์ตรวจเช็คแรงดันลมยางที่ได้มาตราฐานและวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก  ( ขับไปไม่เกิน2-3 กม. ) และไม่ควรใช้เพียงสายตาในการเดาแรงดันลมยางโดยดูจากการยุบตัวของ แก้มยางเพราะ   แม้ลมยางจะอ่อนลง 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว  ก็อาจมองไม่เห็น ความแตกต่าง

ดอกยาง

|0 ความคิดเห็น
ดอกยาง

               ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านยานยนต์ได้ถูกพัฒนาไปมาก ทำให้รถยนต์ทั่วไปมีความเร็วสูงขึ้น อันนี้เป็นผลมาจากการ พัฒนา ประสิทธิภาพด้านเครื่องยนต์ และ ระบบพลศาสตร์ นอกจากความเร็วสูงขึ้นแล้ว น้ำหนักของรถยนต์ปัจจุบันก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ก็เป็นผลมาจาก อุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวก และ อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ที่เพิ่มขึ้นในรถ
................ดังที่กล่าวมาแล้ว ทำให้บทบาทหน้าที่ของยางในปัจจุบันต้องรับภาระสูงขึ้น ทั้งนี้เนื่องมาจาก หน้าที่หลักๆ ของยางคือ รองรับน้ำหนักของรถทั้งหมด ควบคุมและถ่ายทอดแรงขับ อัตราการเร่ง แรงเบรก การเลี้ยว การเข้าโค้ง นอกจากนี้สามารถลดอาการสั่นสะเทือนที่เกิดจากสภาพของผิวถนนที่ผิดปกติ 
................จากสภาพการใช้งานต่างๆ กัน การเลือกใช้ดอกยางให้ถูกต้องและ เหมาะสมกับการใช้งานนั้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ลายดอกยางจึงได้ถูกคิดค้นและออกแบบให้มีลักษณะที่แตกต่างกัน แบบดอกยางที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 แบบใหญ่ๆ ดังนี้
................1. rib pattern (ดอกยางแบบริบ) เหมาะกับสภาพพื้นผิวถนนที่มีความเรียบและต้องการความเร็วสูง นิยมใช้กับ รถบรรทุก และรถบัส ลักษณะของดอกยางแบบนี้ จะเป็นร่องฟันปลาขนานกัน หลายๆ ชั้นรอบเส้นรอบวงของยาง

 คุณสมบัติเฉพาะ
  • เป็นแบบที่มีความต้านทานของยางในขณะที่หมุนกลิ้งไปต่ำ
  • มีความต้านทานในการลื่นไถลออกด้านข้างมาก
  • ลดเสียงดังของยาง

...............2. lug pattern (ดอกยางแบบลัก) เหมาะกับสภาพพื้นผิวถนนที่ไม่เรียบ นิยมใช้กับรถบรรทุก ลักษณะของดอกยางแบบนี้จะเป็นร่องหยาบๆ ขวางตัดหน้ายาง ไปตามเส้นรอบวงของยาง คล้ายฟันตะกุยไปตามพื้นผิวถนน


 คุณสมบัติเฉพาะ
  • ใช้ได้ดีเมื่อมีการเสียดสี
  • มีความต้านทางสูงในขณะที่หมุนกลิ้งไปบนพื้นถนน
  • มีความต้านทานในการลื่นไถลน้อย
  • มีเสียงดังของดอกยางมาก
..............3. rib and lug pattern (ดอกยางแบบผสม) เหมาะกับการขับขี่ภายใต้สภาพถนนที่ขุรขระไม่เรียบ นิยมใช้กับ รถบัสและ รถบรรทุก เป็นการนำเอารูปแบบของดอกยางทั้งสองแบบ ทั้งแบบริบ และ แบบลัก รวมกัน

 คุณสมบัติเฉพาะ
  • ดอกยางบริเวณตรงกลางจะถูกออกแบบให้เป็นแบบริบ เพื่อให้มีการลื่นไถลที่ต่ำ ส่วนบริเวณของยางจะถูก ออกแบบให้เป็นแบบลัก เพื่อเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่และการเบรกที่ดี
 
 
.............4. block pattern (ดอกยางแบบบล็อก) นิยมใช้กับยางลุยหิมะแต่ในปัจจุบันยางเรเดียลใช้กับรถยนต์นั่ง ลักษณะ รูปแบบดอกยางถูกแบ่งเป็นบล็อกอิสระ

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด แบตเตอรี่ไม่มีไฟจะทำอย่างไร ?

|0 ความคิดเห็น
เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด แบตเตอรี่ไม่มีไฟจะทำอย่างไร ?


ปัญหาฉุกเฉินอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ใช้รถมักจะประสบอยู่บ่อยๆ ก็คือ แบตเตอรี่ไฟหมด สาเหตุอาจ เกิดขึ้นได้หลายประการ เช่น

เปิดไฟแสงสว่างทิ้งไว้เป็นเวลานาน
ใช้รถเป็นระยะทางสั้น ๆ หรือจอดทิ้งไว้นานเกินไปจนไฟชาร์จไม่เพียงพอ
แบตเตอรี่เสื่อมคุณภาพ หรือชำรุด
ใช้มอเตอร์สตาร์ทมากเกินไปจนแบตเตอรี่ถูกจ่ายไฟออกจนหมด



วิธีการพ่วงแบตเตอรี่จะปฎิบัติอย่างไร?

1. เปิดฝากระโปรงรถขึ้นแล้วตรวจดูสภาพภายนอกของแบตเตอรี่ว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ

2. ปิดสวิตซ์อุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมด เช่นเครื่องปรับอากาศ ระบบเครื่องเสียง ไฟแสงสว่างและเสื่อนคันเกียร์ไปตำแหน่งเกียร์ว่าง หรือ (N) หรือ (P) แล้วใส่เบรคมือ
3.คีบสายพ่วงแบตเตอรี่ข้างหนึ่ง(สายพ่วงสีแดง) ลงที่ขั้วบวกของแบตเตอรี่ที่นำมาพ่วงแล้วคีบปลายสายอีกข้างหนึ่ง(สายพ่วงสีแดง)ไว้กับขั้วบวกของแบตเตอรี่ในรถคันที่ไม่มีไฟ



4.คีบสายพ่วงแบตเตอรี่ข้างหนึ่ง (สายพ่วงสีดำ) ลงที่ขั้วลบ ของแบตเตอรี่ที่นำมาพ่วงแล้วคีบปลายสายอีกข้างหนึ่ง(สายพ่วงสีดำ)ไว้กับขั้วลบ ของแบตเตอรี่ในรถคันที่ไม่มีไฟ
ข้อสังเกต : ขั้วแบตเตอรี่ที่เป็นขั้วบวกจะมีฝาครอบพลาสติกหรือยางสีแดงหุ้มไว้ และขนาดของขั้วแบตเตอรี่ขั้วบวกจะมีขนาดใหญ่กว่าขั้วลบ
ข้อสังเกต : สายพ่วงแบตเตอรี่ควรจะเป็นสายไฟที่มีขนาดใหญ่ ถ้าสายพ่วงแบตเตอรี่เล็กอาจทำให้สตาร์ทไม่ติดได้





5. สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถที่นำมาพ่วงแล้วเร่งเครื่องค้างไว้
6. สตาร์ทรถของท่าน ถ้ามอเตอร์ยังทำงานช้าอยู่ให้ตรวจสายพ่วงว่าจุดต่อแน่นในลักษณะโลหะสัมผัสกับโลหะดีหรือไม่ ?
7. เมื่อเครื่องยนต์ติด ปลดสายพ่วงด้านขั้วลบออกจากรถคันที่ไม่มีไฟก่อนแล้วจึงปลดด้านขั้วลบออกจากคันที่นำมาพ่วง และ ถอดสายพ่วงด้านขั้วบวกออกจากรถคันที่ไม่มีไฟแล้วจึงปลดออกจากคันที่นำมาพ่วง
ข้อควรระวัง : เวลาคีบสาย หรือ ถอดสายแบตเตอรี่แล้วไม่ควรให้ขั้วบวกและขั้วลบแตะโดนกันเพราะจะทำให้แบตเตอรี่เกิดลัดวงจรอาจทำให้เกิดอันตรายได้

รักรถ...ต้องอ่านเคล็ดลับดูแลรถ ?

|0 ความคิดเห็น
รักรถ...ต้องอ่านเคล็ดลับดูแลรถ ?

เมื่อเครื่องยนต์ร้อนจัดจะมีไฟ้เตือนโชว์ขึ้นมาหรือเข็มวัดอุณหภูมิสูง ถึงตัว H ย่อม
แสดงว่าเกิดความผิดปกติในระบบระบายความร้อนให้รีบ นำรถเข้าข้างทางเปิดไฟ
ฉุกเฉินและห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในทันทีเพราะภายในหม้อน้ำ ที่ร้อนจัดจะมีแรงดันสูงน้ำร้อนอาจจะ พุ่งขึ้นมาซึ่งเป็นอัตรารายได้ และในขณะที่เครื่องยนต์ยังร้อนอยู่ห้ามเติมน้ำลงไปในหม้อน้ำ
หรือระบบระบายความร้อนอย่างเด็ดขาดเพราะอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วอาจทำให้เครื่องยนต์
ของท่านเสียหายได้


กระจกส่งหลังที่อยู่ในห้องโดยสาร ผู้ขับขี่สามารถเลือกใช้งานได้สอง ตำแหน่ง คือ

การขับรถตอนกลางวัน (ตำแหน่งปรกติ)
ตำแหน่งที่ใช้ สำหรับขับตอนกลางคืน เมื่อท่านปรับปุ่มเปลี่ยนตำแหน่งไปยังขับตอน กลางคืน กระจกจะช่วยลดแสงสะท้อนจาก ไฟใหญ่หน้าของรถที่วิ่งตามหลังมาเพื่อไม่ให้รบกวนสายตาท่านได้ และในขณะเดียวกันท่านก็ยัง สามารถใช้กระจกส่องหลังได้ตามปรกติอีกด้วย



สัญญาณไฟเตือนระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก มีลักษณะเป็นตัวหนังสือ ABS
ติดอยู่บนแผงหน้าปัด โดยปกติไฟเตือนนี้จะสว่างนาน 2-3 วินาที เมื่อคุณบิดสวิตช์
กุญแจไปยังตำแหน่ง On (II) และ Start (III) แต่ถ้าไฟ ABS สว่างขึ้นมาในเวลาอื่น
แสดงว่าระบบ ABS ผิดปกติ ควรนำรถเข้าศูนย์ฮอนด้าทันทีแม้ว่าไฟเตือนนี้จะ
สว่างขึ้นในขณะขับขี่ระบบเบรกธรรมดายังสามารถทำงานได้ตามปกติ แต่ระบบ ABS
จะไม่ทำงาน ดังนั้นคุณจึงควรขับขี่ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง

|0 ความคิดเห็น
เคล็ดลับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง

ไม่ทราบว่าคุณ ๆ ควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าน้ำมันกันยังไง แต่ที่ California ผู้ใช้รถก็จ่ายไม่เบา จนมีผู้รู้สอนเคล็ดลับการเติมน้ำมัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้รถจ่ายเงินอย่างคุ้มค่า ผู้รู้ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการน้ำมันกว่า 31 ปี เล่าว่าเขาทำงานที่คลังน้ำมันแห่งหนึ่งใน San Jose , CA ซึ่งมีคลังเก็บ 34 คลัง ขนาดบรรจุรวม 16,800,000 แกลลอน  ที่นั่นแต่ละวันจะจ่ายน้ำมันประมาณ 4 ล้านแกลลอน ตลอด 24 ชม. โดยวันหนึ่งจ่ายน้ำมันดีเซล อีกวันหนึ่งจ่ายน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันรถยนต์เกรดต่าง ๆ สลับกัน 
เขาบอกว่า จงเติมน้ำมันตอนเช้าขณะที่อุณหภูมิบนพื้นดินยังเย็นอยู่ อย่าลืมว่าปั๊มน้ำมันทุกแห่งมีถังน้ำมันฝั่งอยู่ใต้ดิน เมื่อพื้นดินยิ่งเย็น น้ำมันยิ่งควบแน่น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น น้ำมันก็จะขยายตัวตาม ดังนั้น หากเติมน้ำมันช่วงบ่ายหรือเย็น คุณจ่ายค่าน้ำมัน 1 แกลลอน แต่ได้มาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ธุรกิจค้าน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นน้ามันเบนซิน ดีเซล น้ำมันสำหรับเครื่องบินเอทานอล หรือผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆ อุณหภูมิและความถ่วงจำเพาะ มีบทบาทสำคัญ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศา หมายถึงเงินมหาศาลในธุรกิจนี้ แต่ปั๊มน้ำมันไม่มีการชดเชยอุณหภูมิให้ลูกค้า 

เคล็ดลับอีกอย่างคือ ควรเติมน้ำมันเมื่อน้ำมันในรถเหลือครึ่งถัง (แหล่งข้อมูลบางแห่งแนะนำว่า เติมน้ำมันแค่ครึ่งถังก็พอ จะได้ลดน้ำหนักบรรทุกและประหยัดน้ำมัน ทั้งนี้และทั้งนั้น ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเองก็แล้วกัน - หมายเหตุผู้แปล) เหตุผลคือ น้ำมันบรรจุในถังยิ่งมาก เนื้อที่ว่างสำหรับไอระเหยก็ยิ่งน้อย เพราะน้ำมันระเหยเป็นไอเร็วกว่าที่คุณคาดคิด ในคลังเก็บน้ำมันจะมีอุปกรณ์ภายในถัง ทำหน้าที่เป็นเพดาลลอยขึ้นลงตามระดับน้ำมัน ทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างน้ำมันกับอากาศ ลดไอระเหยของน้ำมันให้น้อยที่สุด รถขนส่งน้ำมันเมื่อมาบรรทุกน้ำมัน จึงเติมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ผิดกับที่ปั๊มน้ำมันซึ่งไม่มีการชดเชยอุณหภูมิ
ข้อเตือนใจอีกข้อหนึ่ง ขณะที่คุณขับรถเข้าปั๊ม ถ้าเห็นรถบรรทุกกำลังถ่ายน้ำมันเข้าสู่ถังเก็บใต้ดิน จงอย่ารีบร้อนเติมน้ำมันช่วงเวลานั้น เพราะตอนลงของสิ่งแปลกปลอม ซึ่งปรกติจะตกตะกอนอยู่ใต้ถัง ถูกปั่นป่วนจนลอยตัว หากคุณเติมน้ำมัน ช่วงเวลานั้น อาจมีโอกาสดูดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่รถคุณได้ 
โปรดแบ่งปันเคล็ดลับเหล่านี้ให้ทั่วถึง เพื่อทำให้เกิดอิทธิพลขึ้น เราจำต้องส่งข้อมูลเหล่านี้ให้เข้าถึง ผู้ใช้น้ำมันจำนวนนับล้าน ซึ่งก็ไม่ยาก  ผู้เป็นต้นคิดส่งให้เพื่อนฝูง 30 ราย หากแต่ละรายส่งต่ออีก 10 คน(30 x 10 = 300)...300 คนส่งต่ออีก 10 คน (300 x 10 = 3,000) ...ทำเช่นนี้เป็นลูกโซ่ต่อเนื่อง พอถึงลูกโซ่ข้อที่ 6 ข้อมูลก็จะถึงมือผู้ใช้น้ำมัน 3 ล้านคน หาก 3 ล้านคนนั้นตื่นตัวพร้อมกัน ต่างส่งต่ออีก 10 คน ก็จะมี 30 ล้านคนรับรู้ข้อมูลนี้ จากจุดนี้ก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ลองทายดูว่าจะเป็นเท่าไร 300 ล้านแน่ะ  ฉะนั้นโปรดเริ่มลงมือส่งให้ญาติมิตร 10 คน คงเสียเวลาไม่มากใช่ไหม?

ขณะเติมน้ำมัน อย่าให้เด็กปั๊มตั้งหัวฉีดอยู่ในตำแหน่งไหลเร็ว (ในอเมริกาเจ้าของรถต้องลงมือเติมเอง) หากคุณสังเกต จะเห็นว่ากลไกเหนี่ยวมี 3 ระดับ คือ low, middle, และ high เมื่อตั้งในระดับไหลช้า จะเกิดไอระเหยของน้ำมันน้อยที่สุด หากตั้งในระดับไหลเร็ว น้ำมันบางส่วนจะกลายเป็นไอระเหย และถูกสูบย้อนกลับไปยังถังใต้ดิน นั่นหมายถึงคุณจ่ายเงินมากกว่าที่ควร