วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ดื่มอย่างไร ไม่ให้หมดสนุก

|0 ความคิดเห็น
ดื่มอย่างไร ไม่ให้หมดสนุก

ข้อมูลจากเดลี่เมล์ออนไลน์ได้แนะนำการดื่มในช่วงเทศก าลคริสต์มาส เพื่อไม่ให้ช่วงคริสมาสต์มาสกร่อยเพราะดื่มมากเกินไป



ฮาร์เรย์ สตีท นักสะกดจิตและเควิน เรค ได้เขียนหนังสือเล่มใหม่เกี่ยวกับวิธีการดื่มให้สนุก เพื่อให้แน่ใจว่าจะสนุกและไม่เสียการควบคุม



จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า คนทั่วไปจะดื่มมากขึ้นหากมีการถาม แต่เราจะจัดการในการดื่มดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงเทศกาล ในงานปาร์ตี้มันเป็นเรื่องยากที่เราจะต่อต้านสิ่งล่อ ใจ เพราะธรรมชาติมนุษย์ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและ อยากที่จะทนแรงกดดันนั้น


ตั้งขีดจำกัดของตัวเอง
ก่อนที่คุณจะออกไปงานเลี้ยง ใช้เวลาสักครู่ในการวางแผนการดื่ม คุณลองคิดว่าคุณจะไปที่ไหน ไปทำอะไร คุณจะไปดื่มมากเท่าไร พิจารณาว่าปริมาณที่การดื่มที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ นั้นคือ 60 ออนซ์ 80 ออนซ์ หรือแค่ 2-3 แก้วไวน์ และจงให้ความสำคัญกับขีดจำกัดในการดื่มของคุณ



วิธีให้ลดการดื่มมากโดยไม่รู้ตัว เริ่มจากแตะข้างมือด้านที่มีเนื้อมาก 20 ครั้ง ต่อจากนั้นใช้นิ้วตบใต้กระดูกไห้ปลาร้าเบาๆและกดคางล งไป ทำประมาณ 10 ครั้ง นี้เป็นจุดฝังเข็มช่วยให้ช่องคอปิดและรู้สึกยากที่จะ ดื่มมากขึ้น

เมื่อคุณรู้สึกอ่อนล้ามันจะทำให้คุณอยากดื่มเพื่อผ่อ นคลายเมื่อเลิกงาน ลองหันมาผ่อนคลายวิธีง่ายกว่าแทน โดยการใช้นิ้วกดที่กระดูกแถวเบ้าตาและนวดเป็นรูปตัว ′U′ หรือตัว ′V′ และนำนิ้วอีกนิ้วกดลงไปบนกระดูกและวาดเป็นวงกลมเบาๆป ระมาณ 10 ครั้ง และทำย้อนกลับทิศทางกลับมา คุณจะรู้เบาจนตัวลอยเลยที่เดียว และไม่มีผลกระทบเหมือนการดื่ม
ดื่มน้ำเปล่าช่วย
ควรดื่มแอลกอฮอล์สลับกับน้ำเปล่า โทนิค โซดา หรือ น้ำผลไม้ เพื่อลดการสูญเสียน้ำจากร่างกายจากร่างกาย และนี้เป็นสาเหตุสำคัญของอาการเมาค้าง ทั้งยังจะช่วยประหยัดเงินอีกด้วย


รู้จักปฎิเสธ
บ้างที่การกดดันให้ดื่มนั้นเพื่อจะแกล้งให้คุณเมา คุณต้องเข้มแข็งถ้าคุณไม่ต้องการดื่มมากเพียงแค่สั่น หัวและบอกว่าไม่ ลองคิดดูถ้ามีกาแฟอร่อย แล้วมีใครสักคนกินมันไปสัก 5 ลิตร คนนั้นคงจะเสียสติ เช่นเดียวกับการกินแอลล์กอฮอลที่มาก ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่ดีและไม่อยากดื่มมาก แค่พูดว่า ′ไม่′


ดื่มแล้วดูไม่ดี
หากคุณยังรู้สึกต่อต้านสิ่งล่อใจ จำไว้ว่าแอลกอฮอล์จะทำให้คุณ....
มันทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ ทำให้ผิวแห้ง ปวดหัว
มันทำให้ใบหน้าคุณอ้วนและบวม
มันจะสะสมเซล์ลูไลท์
ไวน์แก้วใหญ่มีแคลอรี่เทียบเท่ากับช็อคโกแลต 1 แท่ง
มันทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวทำให้หน้าคุณแดง
ร่างกายคุณรู้ดีที่สุด
ร่างกายบอกเราว่าจะนำเอาอะไรเข้าไปในร่างกายขนาดไหน ถ้าคุณไม่รู้จะหยุดดื่มเมื่อไรลองถามร่างกายดู คุณลองยืนและกางขาออกให้เท้าห่างกัน 9 นิ้วและขนานกัน ยืนให้ตรงให้น้ำหนักทั้งสองข้างเท่ากัน ในเวลาปกติร่างกายจะเอนไปข้างหน้า แต่ถ้าเมื่อใดร่างกายเอนไปข้างหลังคุณควรหยุดดื่ม


อีกวิธีคือใช้นิ้วหัวแม่มือถูกบนบัตรเคดิตด้านเรียบถ ้ามันถูได้ง่ายก็แปลว่า คุณยังดื่มได้ แต่หากคุณรู้สึกหนืดๆ มีแรงเสียดท้านมากหมายถึงคุณควรหยุดดื่ม

9 สัญญาณอันตราย... ปวดศีรษะ

|0 ความคิดเห็น

"ม.อ็อกซ์ฟอร์ด"เผย ทานยา "แอสไพริน" วันละนิด ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

|0 ความคิดเห็น
"ม.อ็อกซ์ฟอร์ด"เผย ทานยา "แอสไพริน" วันละนิด ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง

นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้เปิดเผยข้อมูลการวิจัยว่า การกินยาแอสไพรินติดต่อกันเป็นเวลานาน และในปริมาณน้อย อาจจะลดโอกาสเสี่ยงในการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งได้ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญจากหลายฝ่ายเตือนว่าการศึกษาดังกล ่าวยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนที่เพียงพอในการแนะนำให้คน ปกติเริ่มบริโภคยาดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการเลือดออก และปัญหาอื่นๆก็ตาม

โดยผลการศึกษาซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซด์ของนิตยสารทางกา รแพทย์ "แลนเซ็ท" เมื่อวันอังคารนี้ นายแพทย์ปีเตอร์ ร็อธเวลล์ แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดและคณะ ทำการตรวจสอบรายงาน 8 ฉบับ ที่ได้ทำการศึกษาผู้ป่วยมากกว่า 25,000 ราย ซึ่งผลการศึกษาสรุปว่าสามารถลดความเสี่ยงในการเสียชี วิตจากโรคมะเร็งโดยรวมได้ถึง 20%

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางราย กล่าวว่า ผลการวิเคราะห์ดังกล่าวมองแต่เพียงด้านคุณประโยชน์ขอ งแอสไพรินในการลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งแต่เพียง อย่างเดียว ในขณะที่กลุ่มอื่นกล่าวว่า มันยังขาดข้อแนะนำที่ดีพอต่อการใช้ในคนที่มีสุขภาพดี และยังขาดถึงผลดีต่อการนำไปใช้กับสตรี

โดยกลุ่มผู้ทำการทดลองซึ่งเป็นเพศชาย จะรับประทานยาแอสไพรินปริมาณอย่างน้อย 75 มิลลิกรัม ติดต่อกันทุกวัน เพื่อรักษาอาการที่เกี่ยวกับหัวใจ โดยเปรียบเทียบกับผู้ใช้ยาประเภทอื่น หรือมีการอาการอย่างอื่น ซึ่งเฉลี่ยแล้วการศึกษาครั้งนี้ใช้เวลาอย่างน้อย 4 ปี

นักวิจัยได้ใช้ข้อมูลจากศูนย์มะเร็งแห่งชาติ เพื่อติดตามผลการรักษาหลังการศึกษาสิ้นสุดลง แม้ว่าพวกเขาจะไม่มั่นใจนักว่าจำนวนผู้ป่วยที่ยังคงใ ช้ยาแอสไพรินต่อ หรือผู้ป่วยในกลุ่มเปรียบเทียบจำนวนเท่าใดที่เพิ่งเร ิ่มใช้

นักวิจัยกล่าวว่า อัตราความเสี่ยงของการเสียชีวิตลดลง 20% ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคล ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้เสียชีวิตลดลง 40% มะเร็งปอดลดลง 30% มะเร็งต่อมลูกหมาก 10% และมะเร็งหลอดอาหาร 60%

ส่วนอัตราการลดในกรณีผู้ป่วยมะเร็งตับอ่อน กระเพาะ และสมอง ค่อนข้างยากที่จะแสดงจำนวนที่แท้จริง เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจากอาการเหล่านี้ค่อนข้างน้อ ย

มีเพียง 1 ใน 3 ของผู้เข้ารับการศึกษาเป็นสตรี ซึ่งไม่เพียงพอต่อการคำนวณถึงผลการศึกษาการใช้ยาแอสไ พรินต่อโรคมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งรังไข่ โดยผลการศึกษาพบว่า การรับประทานยาจำนวนมากกว่า 75 มิลลิกรัม ติดต่อกันทุกวัน ไม่มีผลต่อโรคนี้แต่อย่างใด

นายอีริค จาคอบส์ นักระบาดวิทยาจากสถาบันมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า นี่เป็นผลการศึกษาที่สำคัญอย่างยิ่ง และกล่าวว่าผลการศึกษาครั้งนี้ ระบุถึงผลของยาแอสไพรินที่มีต่อความเสี่ยงจากการเสีย ชีวิตจากโรคมะเร็งว่า "มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้"

ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆกลับเห็นว่าผลการศึกษาดังกล่าวยั งไม่มีข้อมูลที่ดีพอต่อแพทย์ที่จะแนะนำให้ผู้ป่วยของ ตนรับปนะทานยาแอสไพริน

"ผมเชื่อว่าเราไม่ควรนำผลการศึกษาครั้งนี้เพื่อนำไปใช ้ในการรักษาผู้ป่วย" ดร.เรย์มอนด์ ดูบัวส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันมะเร็ง จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส กล่าว

โดยเขาแสดงความกังวลว่า การศึกษาครั้งนี้ออกแบบให้ศึกษาแต่เพียงความเสี่ยงที ่เกิดขึ้นกับหลอดเลือดหัวใจ ดังนั้นกลุ่มผู้ป่วยที่ถูกเปรียบเทียบ อาจจะมีความแตกต่างในสิ่งที่กระทบต่อความเสี่ยงในการ เกิดมะเร็ง อย่างเช่น ประวัติของคนในครอบครัวที่เคยป่วยด้วยโรคมะเร็ง นอกจากนั้น เขายังตั้งข้อสงสัยถึงข้อสรุปของความเสี่ยงในการเกิด โรคมะเร็งนอกเหนือจากช่วงระยะเวลาที่พวกเขาทำการศึกษ าอีกด้วย

นายเอ็ด ยัง หัวหน้าหน่วยข้อมูลสุขภาพแห่งอังกฤษกล่าวว่า "เราแนะนำให้บุคคลที่ต้องการรับประทานยาชนิดนี้เป็นปร ะจำควรเข้าขอคำปรึกษาจากแพทย์ก่อน"

ผมร่วง...ปัญหาที่แก้ได้ของคุณพ่อบ้าน

|0 ความคิดเห็น
ผมร่วง...ปัญหาที่แก้ได้ของคุณพ่อบ้าน

"นพ. ดำเกิง ปฐมวาณิชย์"
แน่นอนแล้วว่าเมื่ออายุมากขึ้น สิ่งต่างๆ ในร่างกายของคนเราย่อมร่วงโรยไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะ "เส้นผม" ที่กำลังเป็นปัญหาของคุณผู้ชายหลายๆ บ้าน และเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกหนี เพราะนับวันผมยิ่งร่วงบาง จนทำให้ขาดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต
กับประเด็นปัญหานี้ "นพ. ดำเกิง ปฐมวาณิชย์" ที่ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวให้ความรู้ว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผมร่วงผมบางจะเกิดขึ้ นกับผู้ชายมากกว่า ผู้หญิง ซึ่งสาเหตุหลักๆ กว่าร้อยละ 96 เกิดจากพันธุกรรม ส่วนที่เหลือจะเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อหรือต่อมไทรอยด์ ผมร่วงจากการได้รับยาบางชนิด ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เป็นโรคผิวหนัง ได้รับอุบัติเหตุที่บริเวณศีรษะ ซึ่งอาการดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลกระทบในระยะยาวเช่นเด ียวกับผมร่วงจากพันธุ กรรม เพราะหากอาการทุกอย่างดีขึ้น ผมก็จะสามารถงอกขึ้นมาใหม่เป็นปกติได้
นพ. ดำเกิง ยังบอกอีกว่า มีอีกสาเหตุที่น่ากลัวไม่แพ้กับการเกิดผมร่วงจากพันธ ุกรรม คือ ผมร่วงชนิดเป็นหย่อมๆ (Alopecia areata) หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า "โรคกินผม" ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอาการผมร่วงผมบางที่พบมากเป ็นอันดับสองรองจากพันธุ กรรม โดยจะมีอาการผมหรือขนร่วงเป็นวงกลมหรือวงรี พบได้ทั้งบริเวณหนังศีรษะ และส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น คิ้ว หนวด เครา ขนหน้าอก ฯลฯ บางรายผมอาจร่วงมากจนล้านทั้งศีรษะ ซึ่งเป็นโรคที่ทางการแพทย์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เกิดจากสาเหตุใด
"ผู้ชายบางคนก็มีความกังวลว่า การใส่หมวกหรือหมวกกันน็อกนานๆ หรือต้องใส่หมวกทำงานทั้งวัน อาจทำให้ผมร่วงผมบางได้ ซึ่งถือว่าป็นความเชื่อที่ผิด เพราะการใส่หมวกไม่สามารถก่อให้เกิดอาการผมร่วงผมบาง ได้ แต่อาจจะมีอาการคันจากเชื้อราบนหนังศีรษะแทน" ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกผมกล่าว
การสังเกตอาการผมร่วงสามารถทำได้ง่ายๆ นพ. ดำเกิง แนะนำว่า หากพบว่ามีผมร่วงประมาณ 2-3 เส้น ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีผมร่วง 50 เส้นขึ้นไปต่อวันหรือในการสระผมแต่ละครั้ง ต้องรีบไปพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเส้นผม เพื่อตรวจดูความผิดปกติและหาสาเหตุของอาการดังกล่าว และอย่าชะล่าใจกับเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ เพราะหากมีความรุนแรงมากก็อาจจะรักษาให้หายได้ยาก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อการมีบุคลิกภาพที่ดี


ขอบคุณภาพประกอบจาก http:// 1bp.
ขณะเดียวกัน "พญ. กุลกานต์ อมรพัฒนา" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่ง กล่าวว่า ถึงแม้ปัญหาผมร่วงผมบางจะเกิดขึ้นกับผู้ชายด้วยสาเหต ุพันธุกรรมเป็นส่วนใหญ่ แต่ผู้หญิงก็สามารถพบเจอกับปัญหาดังกล่าวนี้ได้เช่นก ัน รวมถึงอาการผมร่วงที่เกิดขึ้นหลังการคลอดบุตร โดยมีสาเหตุมาจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เป็นตัวสร้ างการเจริญเติบโตของ เส้นผมลดลง แต่ผมจะกลับมางอกใหม่หลังจากคลอดได้ประมาณ 6-7 เดือน ซึ่งอาจจะมีปริมาณผมน้อยกว่าเดิม
ดังนั้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่ง จึงแนะวิธีการรักษาอาการผมร่วงผมบางว่า ในทางการแพทย์สามารถรักษาได้ 2 วิธี คือ 1. การใช้ยา ซึ่งมีทั้งการรับประทานยา และการบำรุงรักษาภายนอก โดยการทาโลชั่นบำรุงเส้นผมตามที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแน ะนำ และ 2.การผ่าตัดปลูกรากผมซึ่ง เป็นวิธีที่สามารถรักษาโรคผมร่วงผมบางได้ผลดีที่สุด แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
"การรับประทานยาและการทา โลชั่นอาจะมีทั้งผลดีและผลเสีย เพราะการรับประทานยาแก้อาการผมร่วงบางชนิด อาจจะมีผลข้างเคียงที่ทำให้สมรรถภาพทางเพศของผู้ชายล ดลง หากหยุดใช้ยาสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายก็จะกลับมาเป็นเ หมือนเดิม ส่วนการทาโลชั่นก็สามารถก่อให้เกิดลูกผมขึ้นมากบริเว ณหน้าผากหรืออาจมีหนวด เคราที่หนาขึ้น อีกทั้งยังมีข้อควรระวังสำหรับผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจ ริญพันธุ์หรือตั้งครรภ์ ในการใช้โลชั่นบำรุงเส้นผม อาจทำให้ทารกในครรภ์เสี่ยงมีอวัยวะผิดปกติได้"
อย่างไรนั้น พญ. กุลกานต์ ยังกล่าวแนะนำทิ้งท้ายว่า มี วิธีที่เป็นตัวช่วยสำหรับคนที่มีผมบางนอกเหนือจากวิธ ีของแพทย์ เช่น การใส่หมวก การใช้ผ้าคลุมหรือผ้าโพกหัว การโกนศีรษะ หรือแม้แต่การสัก หากมีความจำเป็นจริงๆ ซึ่งอาจจะได้ผลดีในช่วงแรกๆ เพราะหากสีที่ใช้สักไม่ดีมันจะเปลี่ยนเป็นสีอื่นได้ใ นภายหลัง ทางที่ดีควรดูแลสุขภาพกายให้ดีก่อน ด้วยการรับประทานผักผลไม้และทำจิตใจให้สดใส แม้ความเครียดจะไม่ใช่สาเหตุหลักๆ ของผมร่วง แต่ก็อาจทำให้เกิดอาการนั้นได้ หากมีจิตใจที่อยู่ในภาวะตึงเครียด ฉะนั้น ถ้าสุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี สุขภาพผมก็จะดีตามมาเอง

วิจัยชี้ “ตะขบ” แคลเซียม-โพแทสเซียมสูง! ลดเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ป่วยเบาหวานเลี่ยง “ลิ้นจี

|0 ความคิดเห็น
วิจัยชี้ “ตะขบ” แคลเซียม-โพแทสเซียมสูง! ลดเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ป่วยเบาหวานเลี่ยง “ลิ้นจี

วิจัยพบ “ตะขบ” สุดยอดผลไม้ไทย! ประโยชน์เพียบ ใยอาหาร-แคลเซียม-โพแทสเซียม สูง ชี้ดูดซับคอเรสเตอรอลดี ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ เส้นเลือดสมองแตก เตือนคนคุมน้ำหนัก ผู้ป่วยเบาหวานเลี่ยง “ลิ้นจี่-องุ่น” น้ำตาลมาก แนะกิน “มะพร้าวอ่อน-ลูกตาลอ่อน” แทน
นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากการที่กลุ่มวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ กองโภชนาการดำเนินการศึกษาวิจัย เรื่อง “ปริมาณใยอาหาร น้ำตาล และแร่ธาตุในผลไม้” โดยการเก็บตัวอย่างผลไม้จำนวน 30 ตัวอย่าง จากท้องตลาด 5 แห่งในเขต กทม.และปริมณฑล โดยเก็บตัวอย่างละ 2 กิโลกรัม มาวิเคราะห์ใน 2 ส่วน คือ 1.วิเคราะห์น้ำตาลและน้ำ 2.วิเคราะห์ใยอาหาร โปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุ ซึ่งจากผลการศึกษา พบว่า ผลไม้ในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม มีน้ำเป็นส่วนประกอบ 76-94 กรัม มีใยอาหาร 0.5-6.3 กรัม มีน้ำตาลรวม 3-18 กรัม และมีพลังงาน 33-97 กิโลแคลอรี ผล ไม้ที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ ตะขบ 6.3 กรัม ฝรั่งแป้นสีทอง 3.3 กรัม ลูกหว้า 3.3 กรัม และฝรั่งกิมจู 3.1 กรัม ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่ ลิ้นจี่พันธุ์ค่อม 18 กรัม องุ่นดำไร้เมล็ด (ลูกใหญ่) 15 กรัม ลิ้นจี่จักรพรรดิ 13 กรัม สละ 13 กรัม และองุ่นแดง (ลูกใหญ่) 13 กรัม และผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย ได้แก่ เนื้อมะพร้าวอ่อน 3 กรัม ลูกหว้า 5 กรัม ลูกตาลอ่อน 5 กรัม ราสเบอร์รี 6 กรัม และแคนตาลูป (เขียว) 6 กรัม ผลไม้ส่วนใหญ่มีพลังงานน้อย เพราะมีน้ำเป็นองค์ประกอบค่อนข้างมาก จากการศึกษาครั้งนี้พบ ตะขบและมะม่วงเขียวเสวย (ดิบ) มีพลังงานมากกว่าผลไม้อื่นคือมี 97 และ 87 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม
นพ.สมยศ กล่าวอีกว่า สำหรับปริมาณแร่ธาตุ โซเดียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ในผลไม้ 100 กรัม พบว่า มีโพแทสเซียม 106-773 มิลลิกรัม โซเดียม 0.7-19.8 มิลลิกรัม แคลเซียม 0.3-108 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 0-60.7 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มี โพแทสเซียมสูง ได้แก่ ตะขบ 773 มิลลิกรัม เชอรี่นอก 486 มิลลิกรัม เนื้อมะพร้าวอ่อน 381 มิลลิกรัม และน้ำมะพร้าวอ่อน 330 มิลลิกรัม ส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมสูง คือ ลูกท้อสด มีโซเดียม 19.8 มิลลิกรัม ราสเบอร์รี 16.7 มิลลิกรัม ตะขบ 12.8 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง คือ ตะขบ มีแคลเซียม 108 มิลลิกรัม ผลไม้ที่มีฟอสฟอรัสสูง คือ ลูกหว้า มีฟอสฟอรัส 60.7 มิลลิกรัม ตะขบ 51.7 มิลลิกรัม
“จากการศึกษาครั้งนี้ พบ ตะขบ ฝรั่ง และ ลูกหว้า เป็นผลไม้ที่มีใยอาหารสูง ส่วนผลไม้ที่มีน้ำตาลมาก เช่น ลิ้นจี่ และ องุ่น อาจเป็นผลไม้ที่ควรระวัง หรือต้องห้ามสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน แต่แนะนำให้กิน เนื้อมะพร้าวอ่อน หรือ ลูกตาลอ่อน ทดแทนได้ เพราะมีน้ำตาลน้อย ส่วนผลไม้ที่มีโซเดียมน้อย จะเป็นผลดีต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ ขณะที่ปริมาณโพแทสเซียมในผลไม้จัดเป็นแร่ธาตุหลักที่ พบ ซึ่งหากมีมาก อาจช่วยป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังบางชนิดได ้ รวมการเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้เช่นกัน” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

ดูให้รู้ ศัตรูคู่บ้าน

|0 ความคิดเห็น
ดูให้รู้ ศัตรูคู่บ้าน

เป็นอีกหนึ่งวันที่ 'มุมสุขภาพ' มีเรื่องราวจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ที่กล่าวถึงบ้านสารพัดพิษ ทำให้เกิดอาการแพ้บ้าน-แพ้ที่ทำงาน จนหลาย ๆ คนเจ็บป่วยบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยในตอนต่อไปนี้ นพ.กฤษดา พร้อมเผยให้รู้ถึงแหล่งกบดานเชื้อโรคร้าย...

ยามย่างเท้าเข้าในแต่ละบ้าน ถ้าทำใจว่างดีๆท่านอาจสัมผัสได้ว่าบ้านใดอบอุ่นน่าอย ู่รู้สึกร่มเย็นสบาย ไม่ได้ต้องเปิดแอร์แต่ก็เย็นกายเย็นใจได้ หรือบางบ้านเข้าไปแล้วสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแข็งๆดูมี คลื่นแห่งความอึดอัดอยู่โดยรอบช่วยตอบโจทย์ได้ว่าคนท ี่อยู่นั้นเป็นอย่างไร

แต่สำหรับเชื้อร้ายที่อาศัยบ้านที่รักของเราเป็นแหล่ งกบดานนั้น มันจะทำตัวเนียนมากจนยากจะรู้ยิ่งถ้าอยู่ด้วยกันมานา นในบ้านก็ยิ่งแยกยาก แต่หากได้ไปบ้านที่สะอาดกว่าสบายกว่าก็จะเริ่มรู้สึก ได้ วิธีแก้บ้านเป็นพิษนี้ก็ง่ายๆครับไม่ต้องถึงกับย้ายบ ้าน แค่ช่วยกันหาตัวการที่สร้างพิษให้บ้านตามสถานที่ต่อไ ปนี้แล้วมีการจัดระเบียบเสียใหม่ก็จะได้บ้านที่รักกล ับคืนมาแล้วครับ

อย่าง "พรมและผ้าม่าน" เป็นของเก็บเชื้อประจำบ้านก่ออาการ “ภูมิแพ้” โดยไม่ทราบสาเหตุ ถ้าป่วยด้วยจามไม่หาย ผื่นลายตามตัว คันคะเยอ ขอให้นึกถึงผู้ร้ายจากพรมที่บ้าน,ม่านที่ร้อยและคอยด ูแผ่นผ้าปูในรถไว้ด้วยครับ ถ้าจำเป็นต้องมีขอให้ติดที่กรองอากาศเอาไว้ช่วยด้วยก ็จะดี เพราะการมีพรมไม่เหมาะกับอากาศบ้านเราเลยครับ จะกลายเป็นตัวจับฝุ่นจนวุ่นไป ยิ่งถ้าได้ปูพรมหมดในบ้านก็ยิ่งเป็นการสร้าง “สวนสัตว์” ทั้งเชื้อโรคและเชื้อราชั้นดีเลยครับ ต้องคอยจับเอามาตากแดดบ้างหรือจ้างทำความสะอาดพรมกัน เป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ดีครับ จะได้ไม่ต้องรับสภาพสวนสัตว์เปิดกลายๆ ในบ้านตัวเอง

ส่วน "ผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอน" ตามซอกซอนเก็บ “ไรฝุ่น” และ “เศษกายมนุษย์” เอาไว้ ใช้ไปนานไม่กี่ปีหมอนประจำหัวจะหนักอมไปด้วยอณูของสอ งอย่างนี้จนเต็มมีน้ำหนักเกือบเท่าตัวหมอนเอง และเมื่อตัวเองนอนทับลงไปแต่ละครั้งก็จะได้รับเศษซาก อารยธรรมสองอย่างนี้เข้าไปเต็มรัก มักทำให้เจ็บป่วยด้วยไอและภูมิแพ้ไม่หายกลายเป็นโรคด ื้อแพ่งน่ารำคาญไปได้

ขณะที่ "แปรงสีฟันและบริขารร่างกายทั้งหลาย" ไม่ว่าจะที่โกนหนวด,หวี เก็บไว้ให้ดีก็จะมีสัตว์เลี้ยงเสี่ยงโรคมาอยู่เป็นเพ ื่อนเยอะ เผลอๆที่แปรงเข้าไปแต่ละครั้งนั่นแหละเอาเชื้อโรคกลั บเข้าไปในตัวชั้นดี เพราะเชื้อฟันผุจากแปรงสีฟันสามารถฝ่าฟันเข้าไปถึงลิ ้นหัวใจทำให้วายไปได้ รวมถึงเชื้อจากตัวและหนังหัวก็ทำให้เกิดตาแดงอักเสบ เป็นแผลมีฝีหนองไม่หาย และอาจกระจายแฉะไปทั่วร่างกาย ได้เป็นท้าวแสนลายคล้ายๆท้าวแสนปม

แล้วยังต้องดู "โถส้วมและม่านห้องน้ำ" ตัว “กระจาย” เชื้อเผื่อแผ่ไปทั่วห้องเป็นอย่างดี แค่กดที่คันชัก(โครก)หลังใช้เสร็จก็ช่วยแพร่ละอองของ เสียสกปรกไปได้ไกล เหมือนกับระเบิดปรมาณูแห่งสิ่งปฏิกูลไปทั่วห้องน้ำ ซึ่งอาวุธชีวภาพเหล่านี้มีความสามารถสูงอาจพุ่งจากโถ ส้วมไปติดแปรงสีฟัน,แก้วน้ำ,กระดาษชำระไปจนถึงม่านพล าสติกที่มีจีบซอกมุมเยอะ เปรอะไปด้วยรอยคราบดำ เป็นอารยธรรมส่วนบุคคลที่มีผลต่อสุขภาพ เวลาเข้าอาบน้ำแต่ละครั้งก็ต้องนั่งผวาราวกับฝ่าดงเช ื้อ

"ชั้นวางรองเท้า" คู่เก่าและคู่เก่งช่วยกันเร่งเก็บเชื้อเข้าไว้ ใช่แต่เชื้อโรคแต่พ่วงด้วยเชื้อราสิงสาราสัตว์นานาพั นธุ์น่าพรั่นพรึง ซึ่งตามคอนโดอีกทั้งอพาทเมนต์มักเน้นการเก็บแบบ “ชั้นรวม” ซึ่งสวมแต่ละครั้งท่านอาจได้เชื้อเอื้ออาทรจรมาจากบา ทาอื่นด้วย ช่วยผสมโรงกับเชื้อที่เท้าตัวเองเร่งให้ป่วยเร็วขึ้น แต่ถ้าไม่อยากมึนกับเชื้อสหบาทา ขอให้หาเวลาพาเกือกคู่ใจไปอาบแดด เอ๊ย...ตากแดดไว้สักวันละครั้ง ก็จะช่วยยั้งไม่ให้กลายเป็น “ดงเชื้อ” ทุกเมื่อที่สวมได้ครับ

แม้แต่ "ผ้าขี้ริ้ว" และสรรพผ้าสารพัดประโยชน์ที่ใช้เช็ดถู ดูเป็นของใกล้ตัวแต่น่ากลัวกว่าที่คิด เหมือนผู้ร้ายโรคจิตที่คอยคิดจะทำร้ายอยู่ได้เรื่อย เพราะผ้าเปื่อยๆเหล่านี้ทำตัวเหมือน “รังเชื้อ” ที่ปนเปื้อนไปกับมือขึ้นไปที่หน้าถ้าทำกับข้าวก็ลงไป ในอาหารกินกลับเข้าไปในตัวได้ ในร้านอาหารขายดีมักใช้ผ้าสีตุ่นนี้สารพัด ทั้งจัดเช็ดโต๊ะ,เช็ดจาน,เช็ดเขียง,เรียงอีโต้ และมีดหั่นอาหารรวมถึงช้อนส้อมเผลอๆก็ใช้ผ้าผืนเดียว กันนี้เป็นสูตรเด็ดเช็ดเครื่องกินให้อร่อย ยิ่งถ้าปล่อยในช่วงไวรัสตับระบาดอาจติดเชื้อตับอักเส บกันได้ง่ายๆเลยครับ เรียกว่าผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งนี่ versatile ได้ไกล utilize ได้สะดวกตั้งแต่ก้นครัวจนถึงตัวเราทีเดียว ฟังแล้วน่าเสียวไส้อยู่ไม่น้อย

อย่ามองข้าม "แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์" เผลอๆสกปรกกว่าสุขาเพราะว่านานทีปีหนถึงจะล้างเช็ดกั นเสียที หรืออาจไม่มีโอกาสสัมผัสน้ำเลยก็ได้เพราะคิดว่าถ้าเส ียก็เปลี่ยนทีเดียวเลย แต่ขออย่าลืมว่าตื่นมาเราก็ใช้มันทำงานหัวไม่วาง ร่างเอกสารตอบเมลกันจนถึงดึกดื่นแถมตื่นมาเป็นระยะเช ็คเมลอีกหางก็ไม่เว้น เลยเป็นที่เก็บเชื้อสกปรกจากมือ อีกทั้งคือที่เก็บเชื้อหวัดไวรัสสารพัดที่ออกมาจากลม หายใจ ไอรด จามใส่ ยิ่งถ้ารกด้วยก็สกปรกได้ขั้นกว่าจนน่ากลัวว่าวันหนึ่ งอาจต้องฉีดบาดทะยักกันไว้ก่อนใช้คอมพิวเตอร์ของคนที ่ไม่รู้จัก

การรักษาบ้านคือการรักษาตัวเองด้วย ถ้าช่วยบ้านให้ปลอดโรคได้บ้านก็จะให้สุขภาพดีเป็นการ ตอบแทนแล้วเมื่อนั้นความสุขในบ้านก็จะสมบูรณ์ขึ้น ไม่ต้องทนอยู่กับอาการประหลาดที่รักษาไม่หายเสียที เพราะมีอะไรก็ลืมนึกถึงบ้านไปว่าเราได้จัดให้มันเป็น “ที่ชอบ” ของเชื้อด้วยหรือเปล่า ทำให้สมาชิกบ้านเราเจ็บป่วยไม่สบาย บ้านหมอแทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สอง

ที่จริงต้องแก้ให้ถูกจุดหยุดผู้ร้ายใกล้ตัวให้ได้ในบ ้านเรานั่นเองครับ สำหรับวิธี “บำบัดบ้าน” นอกจากการเช็ดถูสะอาดแล้วอยากให้ “ลดของแต่งบ้าน” ลงคงเหลือแต่ที่จะเป็นเพราะพอนานไปก็จะเห็นว่าของที่ สะสมไว้คือ “ที่เก็บฝุ่น” ชั้นดีนั่นเอง แล้วอีกข้อหนึ่งก็คือถือว่าบ้านก็เหมือนอีกชีวิตหนึ่ ง ซึ่งสักครั้งในสัปดาห์ให้เปิดม่านรับแสงผ่านเข้ามาช่ วยให้บ้านมีชีวิตชีวาและฆ่าเชื้อไปในตัวด้วย แค่ช่วยคิดถึงบ้านได้ดังนี้การมีบ้านเปี่ยมสุขก็อยู่ ไม่ไกลเลยครับ สำหรับบ้านที่ดีแค่คิดถึงก็สุขใจแล้ว

--@@--

ทราบกันแล้วว่าแหล่งกบดานเชื้อโรคอยู่ที่ไหน หมั่นดูแลรักษาความสะอาดบ่อย ๆ ถ้าไม่อยากอยู่ร่วมกับเชื้อโรค.


ชาช่วยยั้บยังการสะสมไขมัน

|0 ความคิดเห็น
ชาช่วยยั้บยังการสะสมไขมัน

ผลวิจัยพบว่าการบริโภคชาจะช่วยยั้บยั้งความเสียหายขอ งเลือดที่เชื่อมโยงกับไขมันในอาหารที่นำไปสู่โรคเบาห วานชนิดที่ 2 ได้



ในการศึกษา โดยให้หนูกินอาหารที่มีไขมันสูงและอาหารปกติ และแบ่งสองกลุ่มเป็นกลุ่มย่อยๆอีก
ต่อจากนั้นให้เครื่องดื่มที่ไม่เหมือนกันในแต่ละกลุ่ ม มีน้ำเปล่า ชาดำ ชาเขียว ในเวลา 14 สัปดาห์
กลุ่มที่ดื่มชาทั้งสองชนิดยั้บยั้งการเพิ่มของน้ำหนั กตัวและการสะสมของไขมันหน้าท้องเนื่องจากการกินอาหาร ไขมันสูง

แต่ชาดำนั้นช่วยลดอัตรายของไขมันในเลือดได้ดีกว่า



การศึกษาของมหาวิทยาลัยโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ที่ถูกเผยแพร่ในในวารสารเกษตรและเคมีอาหาร
พบว่าการเพิ่มขึ้นของคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือดสูง และ การต่อต้านอินซูลิน โรคเบาหวานชนิดที่ 2
จะมีผลต่อการผลิตสารอินซูลิน โรคอ้วนในประเทศตะวันตกเพิ่มขึ้นส่งผลให้คนจำนวนไม่น ้อยมีการต่อต้านอินซูลลิน



8 ใน 10 ของชาวอังกฤษที่ดื่มชา ดร.แครี่ ลุกตัน ผู้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมชาดำ กล่าวว่า การศึกษาพบข่าวดีสำหรับผู้ดื่มชาดำ ′แม้ว่าผลการวิจัยจำเป็นต้องได้รับการยืนยันในการศึก ษาของมนุษย์การศึกษาครั้งนี้พบว่าชาช่วยป้องกันไม่ให ้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ ในระดับน้ำตาลในเลือด, การแพ้น้ำตาลกลูโคสดื้อต่ออินซูลินและการควบคุมระดับ ไขมันในหลอดเลือดอาหารไขมันสูง



ชาดำสามารถต่อต้านอินซูลินและลดคอเลสเตอรอลในเลือด การดื่มชายังเชื่อมโยงกับการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
โรคมะเร็งและโรคพาร์กินสัน จากงานวิจัยอื่นๆ บ่งบอกว่าการดื่มชาเป็นประจำเป็นเวลา 10 ปีจะช่วยเพิ่มมวลกระดูกได้

แต่แตกต่างกับโกจิเบอรี่ที่เป็นที่นิยม และถูกยกย่องให้เป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงสามารถต่อต้า นริ้วรอย ป้องการการเป็นมะเร็งทั้งที่ไม่มีการพิสูจน์ยืนยันผล


ศาสตราจารย์ เอ็มเมริโอ มาติเนส แห่งมหาวิทยาลัยแกรนนาดา เตือนว่าเบอรี่เป็นเพียงแฟชั่นเท่านั้น

ผิวสวยด้วยน้ำมันมะพร้าว

|0 ความคิดเห็น
ผิวสวยด้วยน้ำมันมะพร้าว

นอกจากจะใช้หมักผมให้นุ่มสลวยเงางามแล้ว น้ำมันมะพร้าวยังนำมาทาผิวได้ และให้ผลดีไม่แพ้โลชั่นราคาแพง

โดยหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ให้ใช้น้ำมันมะพร้าว 2-3 หยดลูบไล้ให้ทั่วผิวที่ยังเปียกน้ำอยู่ เพราะน้ำมันมะพร้าวจะผสมกับน้ำบนผิวแล้วทาง่าย ไม่เหนียว ทำให้ผิวไม่มันเยิ้ม น้ำมันมะพร้าวมีสารแอนติอ็อกซิแดนท์ที่ช่วยป้องกันริ ้วรอยก่อนวัย ซึมซาบสู่ผิวง่ายและไม่ทิ้งคราบ ทาเป็นประจำทุกวันจะทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน นอกจากนี้ยังนำน้ำมันมะพร้าวมาผสมน้ำตาลแล้วใช้ขัดหน ้า ขัดผิวได้ด้วย.

4 เหตุผลที่ควรกินผลไม้สดมากกว่าดอง

|0 ความคิดเห็น
4 เหตุผลที่ควรกินผลไม้สดมากกว่าดอง
2 วันที่ผ่านมา 'มุมสุขภาพ' นำเรื่องราวของผลไม้ดองที่ดูยังไงก็เห็นว่า มีผลเสียมากกว่าคุณประโยชน์ แม้จะจริงอยู่ ที่ผลไม้ดองมีรสชาติเฉพาะตัว หวานตัดเปรี้ยว และกลิ่นชวนกินที่ทำให้น้ำลายสอ แต่กินมากก็ไม่ดีต่อสุขภาพ

เมื่อเป็นเช่นนั้น ควรเลือกกินผลไม้สด ๆ เป็นหลัก ขณะที่ผลไม้ดองอาจเลือกกินบ้างในบางโอกาส และควรเลือกที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ และเชื่อถือได้

สำหรับเหตุผลที่ควรกินผลไม้สดมากกว่าผลไม้ดอง มีให้เห็นชัด ๆ อยู่ 4 ข้อ คือ ข้อแรกได้น้ำและความหอมอร่อย เนื่องจากผลไม้สดมีน้ำเป็นองค์ประกอบโดยทั่วไปร้อยละ 85-95

เหตุผลต่อมา ในผลไม้สดอุดมด้วยเกลือแร่ เช่น แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส และคุณประโยชน์อีกข้อ ในผลไม้มีวิตามิน ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ วิตามินบี รวม วิตามินซี ที่สำคัญวิตามินนั้นจะมีมากเมื่อผลไม้สุกคาต้น

โดยวิตามินเอ ช่วยให้สายตาไม่ฝ้าฟางในที่มืด พบมากในผลไม้สีแดง ส้ม เหลือง ส่วนวิตามินซี เสริมให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ลดโอกาสเป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์มีความต้องการ วิตามินซีสูง เพื่อพัฒนาร่างกาย ผลไม้ที่พบวิตามินซีสูง เช่น มะขามป้อม ฝรั่ง มะม่วง มะเขือเทศ

อย่างไรก็ตาม วิตามินก็สูญสลายได้ง่าย หากทิ้งในอากาศนาน ๆ และจะละลายไปกับน้ำด้วย

ส่วนเหตุผลที่ควรกินผลไม้สดมากกว่าดอง ประการสุดท้าย คือ ผลไม้สดเป็นแหล่งรวมกากอาหารที่ดี ส่งผลระบบลำไส้ทำหน้าที่บีบตัวได้ดี และขับถ่ายสะดวก ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ไม่ทำให้ท้องผูก.

หมดปัญหาน้ำตาลแข็งเป็นก้อน

|0 ความคิดเห็น
หมดปัญหาน้ำตาลแข็งเป็นก้อน
หากน้ำตาลที่เก็บไว้แข็งรวมกันเป็นก้อน แก้ไขโดยใส่เปลือกส้ม เปลือกมะนาว แอปเปิ้ลฝาน หรือขนมปังแผ่นลงไปในโถน้ำตาลทราย จะทำให้น้ำตาลนุ่มเพราะจะดูดซับความชื้นจากเปลือกผลไ ม้และขนมปังเอาไว้ แต่ต้องเอาออกภายใน 3 วัน ไม่อย่างนั้นน้ำตาลจะละลาย

แถมให้อีกสำหรับวิธีทำให้น้ำตาลทรายใช้ได้นาน ต้องเก็บไว้ในพาชนะที่ปิดปากสนิท เช่น ขวดแก้วหรือโถกระเบื้อง เพื่อกันมด แมลง และวางโถน้ำตาลไว้ในที่มืด ห่างจากความร้อน จะช่วยยืดอายุการใช้งาน.

ร่วงแล้วไม่ล่วงลับ แก้‘ผมร่วง’เห็นผล

|0 ความคิดเห็น
ร่วงแล้วไม่ล่วงลับ แก้‘ผมร่วง’เห็นผล

ปัญหาผมร่วง ทำเอาเจ้าของศีรษะเป็นกังวล ใครเป็นแล้วได้รับคำแนะนำทางไหนเป็นต้องรีบทดลอง แต่จะให้ผลน่าพอใจ แก้ไขได้จริงหรือไม่ ไม่พ้นต้องลองด้วย(หัว)ตัวเองก่อนอยู่ดี ดังนั้นวิธีแก้ผมร่วงแบบไหนดี ไม่มีใครการันตีได้ แต่ ‘มุมสุขภาพ’ เล็งเห็นทางแก้ที่ลงลึกถึงปัญหา ดีกว่าจะมาลองใช้แชมพูอวดสรรพคุณแก้ผมร่วง ซึ่งอันที่จริงแก้ที่ปลายเหตุ ช่วยประคองอาการให้ทุเลาเท่านั้น

สำหรับการแก้ผมร่วง ด้วยการใช้ยา เป็นยากินชื่อ ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) ออกฤทธิ์โดยลดระดับฮอร์โมน DHT ตัวการทำให้ผมบาง ศีรษะล้านแบบกรรมพันธุ์ ยานี้ใช้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ห้ามผู้หญิงเด็ดขาด

โดยผลข้างเคียงที่สามารถพบได้ คือ ความต้องการทางเพศกับการแข็งตัวของอวัยวะเพศลดลง แต่พบได้น้อยกว่าร้อยละ2 ขณะที่ผลข้างเคียงรองลงไปก็คือ ปริมาณน้ำอสุจิลดลง

ยาอีกชนิดใช้ได้ผลในเพศหญิง ชื่อ ไมนอกซิดิล โลชั่น (Minoxidil Lotion) ใช้ทาหนังศีรษะบริเวณที่มีผมเส้นบางๆ ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็มีผลข้างเคียง อย่างเกิดระคายเคืองหนังศีรษะบริเวณที่ทายา อาจมีขนขึ้นที่ใบหน้า เมื่อหยุดยาแล้ว อาการข้างเคียงหายไปได้ ควรใช้ยานี้ต่อเนื่องนาน 1 ปี ภายใต้การดูแลของแพทย์

อีกวิธีแก้ผมร่วงให้ใช้การผ่าตัดปลูกผมโดยย้ายเส้นผมสุขภาพดีที่มีรากผมติดอยู่จากที่หนึ่งไ ปปลูกอยู่ในอีกที่หนึ่งบนศีรษะของตนเอง แบ่งการผ่าตัดปลูกผมเป็น 2 แบบ คือ แบบ Follicular Unit Extraction (FUE) ฝังเส้นผมประมาณ 1 ถึง 2 เส้นลงในรูผมของคนไข้บริเวณที่ต้องการจะปลูก ส่วนอีกแบบ เรียกว่า มินิกราฟ (minigraft) ฝังเส้นผมประมาณ 3 ถึง 4 เส้นลงไปแทน

อย่างไรก็ตาม วิธีที่กล่าวไปนั้น ผู้ที่ประสบปัญหาผมร่วงควรนำไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยว

ช าญเพื่อความปลอดภัยและผลการรักษาที่ชัดเจน.

เลือกชนิดสีดูชนิดห้อง

|0 ความคิดเห็น
เลือกชนิดสีดูชนิดห้อง
การทาสีในห้องใดห้องหนึ่งต้องเลือกสีให้เหมาะกับชนิด ของห้อง เพราะสีต่างชนิดกันย่อมมีคุณสมบัติที่ต่างกัน

ห้องครัวและห้องน้ำเลือกสีที่มีคุณสมบัติทนต่อความชื้นและการลอกล่อน หรือสีชนิดกึ่งเงาที่กันเชื้อรา เพดานไม่ต้องเลือกสีที่ติดแน่นและทนน้ำมากเท่าสีทาผนัง เพราะเป็นส่วนที่ไม่ค่อยถูกทำลาย แต่ควรเลือกสีที่ค่อนข้างทึบจะได้ตัดแสง

ส่วนทางเข้า บันได และห้องที่ใช้บ่อยๆ เช่น ห้องรับแขก ควรเลือกสีอะคริลิก 100 เปอร์เซ็นต์ ที่มีคุณสมบัติทำความสะอาดง่าย เพราะจะติดแน่นทนทานและเช็ดล้างคราบสกปรกง่าย

การเลือกสีที่เหมาะกับห้องนอกจากจะทำให้สีติดทนนานแล ะทำความสะอาดง่ายแล้ว ยังประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวเพราะไม่ต้องทาสีซ่อมบ ่อย.

อัศจรรย์งีบกลางวัน กัน“สมองแก่”

|0 ความคิดเห็น
อัศจรรย์งีบกลางวัน กัน“สมองแก่”

'มุมสุขภาพ'
วันนี้เตรียมเรื่องราวของการนอนกลางวันหลังกินข้าวแล ้วหนังท้องตึง หนังตาหย่อน เห็นควรให้งีบหลับก่อนเริ่มงานภาคบ่าย...เอ๊ะ! อย่างนี้จะเหมาะหรือ เจ้านายเล่นงานเอาได้นะ แต่เรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ American Board of Anti-aging medicine เตรียมเหตุผลสำคัญมาให้ชี้แจงกับเจ้านาย....

@@@@


ชีวิตที่ว่าแสนสั้นอยู่แล้วนี้เราใช้ไปกับการนอนถึงห นึ่งในสามหรือราว 25 ปี เรียกว่านอนกันจนเป็นมืออาชีพ ยิ่งถ้าเป็นนักงีบระดับแกรนด์แสลมก็ยิ่งแจ่ม มีความสามารถเก็บเล็กผสมน้อยค่อยเก็บสแปร์ไปจนได้มาก ชั่วโมง(งีบ)กว่าเพื่อนร่วมงาน นับว่าเป็นการทำ CSR(Corporate self responsibility) ให้กับชีวิตอย่างหนึ่ง ซึ่งนายคงไม่ปลื้มนัก!

แต่กระนั้นการนอนกลางวันก็ยังเป็นของรักสำหรับหลายท่ านเพราะงีบบ่ายๆนั้นแสนสบาย บรรยากาศเป็นใจ คลายเครียดคลายทุกข์ได้ รู้สึกสุขเหมือนเมื่อเด็กๆ ปราศจากพันธะผูกพัน

แต่ว่าไปก็มีเรื่องน่าคิดที่ช่วยยืนยันคำแก้ตัว เอ๊ย...ความคิดของผมอยู่มากนะครับ สำหรับบุคคลที่ได้ผลดีจากการนอนก็มีอาทิ พระอานนท์พุทธอนุชาผู้บรรลุอรหัตผลในพระอิริยาบถกึ่ง นั่งกึ่งนอน, สมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯที่ทรงได้เพลงบุหลันลอยเลื่อน มาขณะทรงพระสุบิน, ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร ที่ได้ “น้ำตาแสงใต้” ออกมาขณะหลับ หรือจะนายนักเคมีชาวเยอรมันที่ไปฝันเห็นงูกินหางตัวเ องเข้าแล้วเอามาตีโจทย์เป็นสูตรโครงสร้างเคมีที่ไม่ค าดคิดได้ เสียดายเยอรมันไม่มีหวยแบบไทย

มีเหตุให้นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์แห่งสหรัฐ อเมริกาได้หาทาง “ถอดรหัส” อัจฉริยะนี้ออกมาว่าก้อนสมองนี้แอบซ่อนพลังที่คาดไม่ ถึงอะไรไว้อีกบ้าง โดยจำกัดวงให้แคบลงมาที่เรื่องที่ผมถนัดนั่นเอง คือเรื่อง “งีบ” ครับ

หลับกลางวันที่มากกว่า “ฝันหวาน”

นักวิจัยชั้นนำของโลกเอามาเป็นประเด็นไขสมองนะครับ เพราะสำหรับผมการงีบกลางวันก็เหมือนกับการทำตามใจตัว หลังกินข้าวอิ่ม ธรรมชาติก็ร้องให้ไขม่านปิด หนังตาหนักแล้วก็หาที่พักให้สบาย ยิ่งได้มุมเสายิ่งดี ใช้สิงสู่ได้ นายไม่เห็น

บำเพ็ญตนเป็นผีเฝ้าเสาอยู่นานพอดูสมัยอยู่ในออฟฟิศ ทำตัวกินอิ่มนอนหลับอย่างนี้ในขณะที่พอจะมีเวลาน่ะคร ับ ไม่อย่างนั้นจะรู้ตัวดีว่าจะเริ่มอาการ “งอแง” เริ่มตั้งแต่ มึนหัวตึ้บ รู้สึกลอยๆ หัวตื้อไปจนรู้สึกหงุดหงิดจิตเหวี่ยง เสี่ยงกับการถูกนอยด์กลับอยู่เหมือนกันซึ่งมันจะไม่ค ่อยรู้ตัวเลยเวลาง่วงจัด แต่ถ้าลงได้หลับล่ะก็เป็นคนละคนทีเดียว กลายเป็นเด็กตาใส

ใครใช้อะไรก็จ๊ะจ๋าไม่อิดออดเพราะได้นอนพอ แต่ถ้านอนไม่อิ่มนี่จะคนละเรื่องทีเดียวครับ สำหรับพิษจากการอดนอนนอกจากอิดโรยแล้วก็จะทำให้การทำ งานไร้ประสิทธิภาพ แถมเจ้าตัวมีสภาพไม่ต่างจากผีดิบ ตาเบิกโพลง แต่สมองโล่งโบ๋

ทีมนักวิจัยจากเบิร์กลีย์จึงได้ร่วมมือกับนักวิจัยฝั ่งอังกฤษในการไขปัญหานิทราระหว่างวันว่ามันมีดีอย่าง ไรที่ช่วยคนได้ ก็ได้ความดังต่อไปนี้....
1)ช่วยจัดระเบียบความจำ ย้ำให้แน่นขึ้น
2)ทำให้จำต่อเนื่อง เป็นเรื่องตกผลึกได้

เตือนภัยคนกินหวาน ระวังสมองเฉื่อย ความต้านทานต่ำ

|0 ความคิดเห็น
เตือนภัยคนกินหวาน ระวังสมองเฉื่อย ความต้านทานต่ำ



คงเป็นข่าวร้ายพอสมควร สำหรับบรรดา "ชมรมคนรักความหวาน" ที่ชื่นชอบ "น้ำตาล" เป็นชีวิตจิตใจ

เพราะผลวิจัยทางการแพทย์สรุปออกมาแล้วว่า มีภยันตรายที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ความหวานนั้นมากมายที เดียว

แต่ ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขที่เฝ้าต ิดตามสถานการณ์เกี่ยว กับการบริโภคน้ำตาลของคนไทยทำให้พบว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเพิ่มเฉลี่ยจากคนละ 12 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2526 กลายเป็นคนละ 29 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2545

เรียกว่า เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2 เท่าตัว

ซ้ำ ร้ายดัชนีที่เกิดขึ้นยังเป็นแนวโน้มเดียวกันกับการบร ิโภคน้ำตาลในรูปแบบขนม ลูกอมและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ซึ่งปรากฏชัดเจนกับเด็กรุ่นใหม่ที่กระแสบริโภคถูกกระ ตุ้นโดยการโฆษณา

"จาก ข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพ เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควร นอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้วการรับประ ทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตส จะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโ รคเบาหวาน

"ผู้ ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้ การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไ รด์ในเลือดสูง อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็ นวัยทำงานก็จะทำงานไม่ มีประสิทธิภาพ" นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลถึงอันตรายจากการบริโภ คน้ำตาล เมื่อติดตามพิษร้ายที่เกิดจากความหวานต่อไป ก็ทำให้ได้ข้อมูลอีกด้วยว่า การรับประทานอาหารรสหวานมากไป
จะทำให้เด็กอิ่มและตัดโอกาสที่เด็กจะได้รับสารอาหารอ ื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย
ผล การศึกษาในปี พ.ศ.2546 พบว่าเด็กกลุ่มอายุ 6-15 ปี ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากถึง 23 % สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 10 % กว่าเท่าตัว ตรงนี้บ่งชี้ว่า สถานการณ์การกินหวานในเด็กไทย อยู่ในขั้นที่ควรร่วมกันแก้ไขโดยด่วน

"ในความเป็นจริงนั้น การติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของช ีวิต โดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็ก ติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่ วงขวบปีแรก เริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณค วามหวานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์( Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจ และอยากกินหวาน ทำให้อ้วนได้เร็ว

"ดัง นั้น นี้ กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประ ชาชนในเรื่องนี้อย่าง จริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืด แทนนมรสหวานหรือนมปรุงรสส่ง เสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวาน และรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไท ยรอดพ้นจากการบริโภค ความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย


ที่มา สสส.

6 สมุนไพรที่ลำไส้ต้องการ

|0 ความคิดเห็น
6 สมุนไพรที่ลำไส้ต้องการ




ทำ งานเหนื่อยๆ ลำไส้ของเราก็อยากได้อาหารบำรุงเหมือนกันนะ และสมุนไพรทั้ง 6 ชนิดคือคำตอบที่กระเพาะและลำไส้ต้องการให้เราไปเสริม สุขภาพของมัน
ใบแมงลัก น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักเป็นยาช่วยย่อยชั้นเซียน ลำไส้ใครไม่ค่อยทำงานจนท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองชิมใบแมงลักสักสี่ห้าใบแล้วจะติดใจ

พริกสด ความเผ็ดซู่ซ่าของพริกคืออยากกระตุ้นให้ร่างกายหลั่ง น้ำลายออกมา จากนั้นเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้อ่อนตัวลง กระเพราะกับลำไส้จะได้ไม่ต้องทำงานโหลดจนเกินไป

หอมแดง แค่กินหอมแดงอย่างเดียว ลำไส้คุณก็ยิ้มแล้ว เพราะเท่ากับซื้อหนึ่งได้ถึง สี่ ได้แก่สารฟลาโวนอยส์ ไกลโคไซต์ เพคติน และกลูโคคินิน 4 สารบำรุงลำไส้และช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร คุ้มกว่านี้มีอีกไหม

ใบกระเพรา ถึงชื่อเสียงของกระเพราจะมืดมนไปมาก ตั้งแต่ผักกระเพราถูกตั้งชื่อว่าผักสิ้นคิด แต่สรรพคุณของมันยังแจ่มเหมือนเดิม โดยเฉพาะสรรพคุณในการขับน้ำดีในกระเพราะอาหารมาช่วยย ่อยอาหารที่เรากินเข้า ไป

ตะไคร้ ให้เคี้ยวกิน แต่กินยากเกินไปหน่อย แต่ถ้าทำเป็นชาตะไคร้ หรือซอยบางๆกินกับยำ คงไม่ลำบากมากเกินไปสำหรับคนรักสุขภาพ สรรพคุณของตะไคร้เริ่ดไม่แพ้ใบกระเพรา คือช่วยขับน้ำดีออกมาย่อยอาหารเหมือนกัน สาวๆที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยไม่ควรพลาด

กระเทียม มี สูตรเด็ดเคล็ดลับสำหรับคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยมาฝา ก ให้เอากระเทียมมา 5 กลีบแล้วสับละเอียด กินทันทีหลังอาหาร กระเทียมจะช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารจอมขี้เกียจของ คุณยอมย่อยอาหารมื้อ นั้นแต่โดยดี ถ้ากินทุกวันไม่นานอาการอาหารไม่ย่อยก็จะหายไปเอง

งีบหลับ 'นาทีทอง' ช่วยสมองจำดี

|0 ความคิดเห็น
งีบหลับ 'นาทีทอง' ช่วยสมองจำดี

ติ่งสมองที่หน้าตาคล้าย “ม้าน้ำ” เรียกว่า “ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus)”

เมื่อไม่อาจทานทนกับความง่วงและหนังตาหนักๆ จงงีบหลับเสียเถิด สมองจะได้รับประโยชน์ แถมตื่นแล้วยังกระปี้กระเปร่า ซึ่ง นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ American Board of Anti-aging medicine บอกเล่าเอาไว้ตั้งแต่คืนวาน อย่างนี้ไปติดตามภาคต่อกันเลย

@@@

เพราะความนึกคิดและความจำของคนนี้จะถูก “ป้อน” ใส่เข้าในช่องสมองอย่างแนบแน่นขึ้นใน “ช่วง” ระหว่าง “หลับลึก(Deep sleep)” กับ “ฝัน(Dreaming sleep)” ช่วงนี้เปรียบเสมือน “นาทีทอง” ที่ต้องรู้ไว้เพราะเป็นหัวใจที่ทำให้การงีบหลับกลางว ันมีความหมายขึ้น จะได้ใช้แก้ตัวกับนายได้

เพราะอาสาสมัครที่ได้นอนเป็นเวลาชั่วโมงครึ่งก็ตื่นข ึ้นมาทำข้อสอบได้ดียิ่งกว่าคนที่ไม่ได้นอน โดยงานวิจัยได้ตัดตัวช่วยอื่นๆเช่นความสบายไม่เหนื่อ ยล้าจากการได้นอนออกไป จนรู้ได้ว่าผลดีที่กล่อมสมองให้เป็นของอัศจรรย์ได้นั ้นมาจากการงีบโดยตรง

ที่สำคัญ การงีบหลับยังทำสมองให้เหมือนช่องเก็บ “จดหมาย”

สูตรสำเร็จการงีบที่ดีก็น่าจะเป็น หนึ่งชั่วโมงครึ่งตามงานวิจัย แต่ในความเห็นผมว่าไม่เสมอไปครับ ควรจะปรับให้ได้ตามไลฟสไตล์ของเราแต่ละคนมากกว่า พูดง่ายว่า “ไม่มีสูตรสำเร็จ”

บางคนนอนเบ็ดเสร็จ 20 นาทีก็กะปรี้กะเปร่าเพราะหลับลึกได้ ผิดกับคนที่ “นอนได้” เหมือนกันแต่ไม่ลึกและมีฝันว้าวุ่นก็จะรู้สึกว่านอนก ็เหมือนไม่ได้นอน ขาดทุนนิทราไป

เพราะการนอนที่ดูเหมือนเรื่องง่ายเอาเข้าจริงก็มีกฏ กติกา มารยาทต้องรู้ไว้อยู่บ้าง เช่นว่าถ้านอนไม่หลับเกิน 15 นาทีให้ลุกขึ้นมาดีกว่า อย่าออกกำลังกายก่อนนอน และที่สำคัญคือการนอนไม่สามารถชดเชยได้ทั้งต้นและดอก ไม่มีบอกนอนดึกแล้วมานอนซ่อมวันรุ่งขึ้น สมองจะไม่รับรู้ด้วย ดังที่ ดร.แม็ทธิว วอล์คเกอร์หนึ่งในผู้วิจัยได้กล่าวไว้ว่าสมองจะใช้เว ลาเรียนรู้ในแต่ละวันมาก หากได้นอนกลางวันมันจะเหมือนกับการ “จัดระเบียบ” ข้อมูลข่าวสารให้เข้าที่เข้าทางขึ้นในติ่งหนึ่งของสม องที่เรียกว่า “ฮิปโปแคมปัส(Hippocampus)”

เจ้าติ่งสมองส่วนนี้ผมชอบเรียกว่า “ม้าน้ำ” เพราะหน้าตามันเหมือนใช่หยอกอยู่ดูจากรูปที่หามาให้ด ูได้ครับ

ซึ่งผมเองหลับตานึกตาที่ท่านอาจารย์วอล์คเกอร์แห่งตั กสิลา เอ๊ย...ยูซีเบิร์กลีย์ท่านบอกแล้วก็เห็นภาพ “ตู้จดหมาย” ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ หรือท่านจะลองนึกถึงช่องเก็บจดหมายในอีเมลท่านก็ได้ค รับ

สมองมีช่องเก็บจดหมายย่อมๆไว้ตู้หนึ่ง ซึ่งถ้าเก็บไว้ทุกอย่างตั้งแต่เกิด ตั้งแต่โน้ตขอตังค์แม่, เมลง้อแฟน, เมลอ้อนกิ๊ก, แผ่นพับโฆษณา,ซองกฐินผ้าป่า,เปียแชร์และอีกสารพัด ตู้จะต้องรับภาระแออัดขนาดไหน คงล้นแล้วล้นอีกไม่มีทีเก็บ บุรุษไปรษณีย์มาก็ส่ายหน้าเพราะว่าจดหมายเก่าก็ยัง “ปลิ้น” ออกมายังไม่ได้ล้างป่าช้า หนำซ้ำของใหม่ก็ทยอยเข้ามามาก ชวน “บ้า” ได้ง่ายๆ

เมื่อมันเป็นในหัวคนถึงทำให้บางคนถึงขั้น “สติแตก” ไปไงครับ เพราะเหลือที่จะรับข้อมูลข่าวสารที่กระหน่ำเข้ามาจนแ ม้ขณะลมหายใจนี้ เลยสำแดงออกมาแบบบ้าๆบอๆ

เพราะสมองรวนโอเวอร์โหลด แต่ก็มีผู้ที่เข้ามาโปรดเอาไว้ก่อนไม่ให้สัญญาวิปลาส ไปเสียก่อนนั่นก็คือ “การนอน” ที่ว่านี้ เดชะบุญที่ธรรมชาติสร้างการนิทราเข้ามาเป็นพระเอกในห ัวใจเรา ให้เข้ามาเป็นฮีโร่ยามสมองร้องขอ

เพราะว่าถ้าได้ “หลับลึก” ดีเป็นระยะก็จะทำให้สมองได้จัด “ช่องจดหมาย” ของตัวได้ว่าจะเอาเรื่องไหนเข้าเรื่องไหนออก เหมือนกับช่องรังนกเก็บจดหมายในออฟฟิศ เรื่องกระจิริดก็เอาออก แยกไปใส่โฟลเดอร์สัพเพเหระจิปาถะมโนสาเร่ ก็ว่าไป ส่วนเรื่องไหนสำคัญต้องการการ “ตกผลึก” ก็จะฝึกให้เก็บเอาไว้ในแฟ้มสมองอย่างมีระเบียบพร้อมท ี่จะเรียกใช้ได้

ทั้งหลายทั้งปวงนี้เกิดขึ้นขณะ “นิทรา” เท่านั้นเอง

ซึ่งถึงตอนนี้บางท่านอาจสงสัยว่าแล้วทำไมต้องเป็น “กลางวัน” ซึ่งเป็นเวลาที่อาจไม่สะดวกนักเพราะเจ้านายไม่รักไม่ ปลื้ม

ขออย่าลืมครับว่าการนอนกลางคืนของคนปัจจุบันนั้นมัน “คุณภาพด้อย” กว่าแต่ก่อนมาก มีทั้งเสียง,แสงแยงตาแถมยังนอนดึกแล้วมีเครียดอีก หลายท่านจึงมีอาการนอนไม่หลับเป็นเสมือนเพื่อนสนิท ซึ่งพิษมันจะออกในช่วงกลางวันให้หนักหัว เหนื่อยง่าย ง่วงหาวนอนตอนประชุมหรือที่น่ากลัวสุดก็คือ “หลับใน” ตอนขับรถ

ซึ่งการได้งีบกลางวันอย่างมีคุณภาพจะเหมาะกับท่านเหล ่านี้มากหรือแม้แต่คนที่หัวถึงหมอนตอนกลางคืนหลับฟื้ ดีอยู่แล้ว ถ้าได้นอนกลางวันอีกสักนิดก็จะคิดอ่านการงานได้ดีขึ้ น ช่วย “จัดกลุ่ม” ความจำได้เป็นระยะ

เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่ต้องคอยกด “บันทึก(Save)” งานไว้เป็นระยะกันหาย สมองจะจดจำได้ง่ายครับถ้ามีช่วงพักเบรกให้นอนกลางวัน ด้วย และก็ช่วยท่านที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองได้นอนกลางคืนหลับ ดีหรือเป็นสมาชิกชมรมนิทราชาคริตคือหลับๆตื่นๆ ก็จะได้ฟื้นศักยภาพสมองอีกครั้งเมื่อได้นอนกลางวัน

วิธีสังเกตง่ายๆว่าท่านต้องการ “งีบกลางวัน” เพื่อจัดสรรช่องจดหมายในสมองหรือไม่ให้ดูจากอาการ “ง่วง” ก็ได้ครับ สำหรับคนที่ไม่ได้หาเรื่องนอนจริงๆถ้ายิ่งง่วงกลางวั นบ่อยๆก็แปลว่าสมองร้องขอแล้ว อย่ารอเพิกเฉยทีเดียวครับ สงสารสมองที่เหมือนเครื่องร้อนต้องการผ่อนบ้าง แม้จะไม่ได้จ้างมานอนก็ตาม.

อยากขาว! อย่าซี้ซั้วกิน “ทรานซามิน” ระวังผลข้างเคียงสุดผวา

|0 ความคิดเห็น

อยากขาว! อย่าซี้ซั้วกิน “ทรานซามิน” ระวังผลข้างเคียงสุดผวา 
 กลูต้าไธโอน (Glutathione) หลบไป ชั่วโมงนี้ตัวใหม่มาแรง ทรานซามิน (Transamin) เม็ดละไม่ถึงสิบบาทกำลังฮอตฮิตสุดๆ !
โดยเฉพาะในแวดวงชาวเกย์ กะเทย ผู้หญิง เนรมิตผิวขาวจั๊วะหลังกินเพียงไม่กี่เม็ด จากการที่มาตรการรัฐสั่งคุมเข้มการขายยากลูต้าไธโอน ส่งผลให้ราคาขยับขึ้นแพงลิ่ว ยาทรานซามินที่มีราคาถูก เห็นผลเร็วกว่า และหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา จึงมีบทบาทสนองคนอยากขาวอย่างเอิกเกริกในสังคม
ยาอะไร้จะดีไปเสียหมด ประเด็นร้อนน่าผวาระวังอย่างนี้ต้องไปคุยกับ ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เป็นการด่วน !!

คุณสมบัติแท้จริง เพื่อหยุดเลือด เรื่องผ่าตัด
 
 หมอสุวิรากร อธิบายว่า “ยาทรานซามินหรือยาทรานซามิค แอซิด (Tranexamic acid) ยาตัวนี้มีฤทธิ์ทำให้เลือดเเข็งตัว เช่น เวลาผู้หญิงมีประจำเดือนเยอะๆ เขาก็จะใช้ตัวนี้ หรือเวลาผ่าตัด และเลือดออกเยอะ โดยมากใช้ร่วมกับการผ่าตัดทางเดินปัสสาวะ จะใช้เป็นยาฉีดเข้าไปให้เลือดแข็งตัว ไม่ให้เสียเลือดมาก หรือพวกหมอฟันจะที่ใช้เวลาผ่าตัดเพื่อห้ามเลือด” คุณหมอ ผู้ควบตำแหน่งประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประ เทศไทย ให้ข้อมูล
โดยสรุปข้อบ่งใช้ของยา ทรานซามิน คือ เพื่อรักษาในผู้ป่วยเลือดออกง่าย ใช้ในการเตรียมผ่าตัดในกรณีที่คนไข้มีแนวโน้มเลือดออ กง่าย ไม่มีข้อบ่งใช้ในเรื่องผิวขาว หรือรักษาฝ้า โดยอนุญาตให้นำมาผสมในเครื่องสำอางไม่เกิน 3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นยาอันตราย ใช้ในการช่วยให้เลือดแข็งตัวเป็นหลัก
“แต่มีผลข้างเคียงที่ทำให้ขาวคือ ทำให้เม็ดสีลดความเข้มลงได้บ้าง แต่หากรับประทานต่อเนื่องจะมีอาการข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสียได้ (ประมาณ > 10%) ที่สำคัญคือ อาจทำให้เกิดลิ่มเลือด เพราะเป็นยาห้ามเลือดเพื่อให้เลือดแข็งตัว อาจส่งผลให้เส้นเลือดอุดตัน ยาไปสะสมในตับและไต”
เชื่อว่าคุณทั้งหลายอ่านมาถึงบรรทัดนี้ต้องมีความผวา กับยาทรานซามินไม่มากก็น้อยใช่ไหมคะ
คุณสมบัติแถม ยับยั้งการทำงานของเม็ดสี แต่มีผลข้างเคียง..

 

ทรานซามินแรกเริ่มเดิมทีมาจากญี่ปุ่น
คุณหมอเผย “ทรานซามินเริ่มมาจากญี่ปุ่น เพราะเขาทำการศึกษาเยอะมาก
คนญี่ปุ่นถ้าสังเกต จะมีพิกเมนต์ (Pigment-เม็ดสี ธาตุในร่างกายที่ทำให้คนมีผิวต่างๆ) ตรงแก้ม เป็นพวกฝ้า เขาจะมีปัญหากับตรงนี้ ส่วนทรานซามินใช้ผสมในเครื่องสำอางของญี่ปุ่นมานานแล ้ว ทางญี่ปุ่นเขาศึกษาว่า ใช้แล้วยับยั้งการทำงานของเม็ดสีได้ เขาจึงนำมาใช้เป็นยาทาเพื่อรักษาฝ้ามากกว่ากิน”
ส่วนในเมืองไทยพบว่า มีการศึกษาโทษของยาทรานซามินเช่นกัน
“ทางโรงพยาบาลรามา ธิบดีเขามีการศึกษามานานแล้วเมื่อประมาณ 5-6 ปี ก่อน ห่วงว่ายาจะมีผลอะไร กับการแข็งตัวของเลือดหรือไม่ จึงทำการศึกษาในผู้ที่เป็นฝ้า 30 คน ให้ทานยาขนาด 1,500 มิลลิกรัม ระยะเวลา 6 เดือน ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของการแข็งตัวของเลือด แต่สรุปว่าไม่สามารถยืนยันผลการรักษาฝ้าและผลข้างเคี ยงได้เพราะจำนวนผู้ที่ เข้าศึกษามีจำนวนน้อย และผู้ที่เข้าร่วมศึกษาเป็นผู้ที่แข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีโรคตับ ไต โรคระบบเลือด และสมอง แต่สำหรับในรายที่มีโรคประจำตัว หมอไม่แนะนำอย่างยิ่ง”
ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ รู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นในเว็บไซต์ขายกันโจ๋งครึ่ม
“ตรงนี้หมอไม่ค่อยสบายใจเลย ความที่เป็นยา ฉะนั้นจึงทำให้มีผลข้างเคียงได้ ดังนั้นคนที่มีโรคเลือดห้ามอยู่แล้ว คนเป็นโรคตับ โรคไต ห้าม คนที่มีแนวโน้มว่าจะมีเลือดแข็งตัวได้ง่าย ห้าม ฉะนั้นการที่เราซื้อยากินเอง หรือสั่งทางเว็บไซต์ มีอันตรายแน่นอน หมอขอเตือนด้านนี้นิดหนึ่ง”
ในวงการแพทย์ ทรานซามินใช้ในกรณีคนที่เป็นฝ้า หรือในรายที่ทำเลเซอร์ เนื่องจากหลังยิงเลเซอร์จะดำก็จะให้ใช้ แต่พวกนี้จะใช้ในระยะสั้น คุณหมอเล่าคุณประโยชน์ของทรานซามินในเชิงการแพทย์ว่า
“และอีกการศึกษาที่ญี่ปุ่น บอกว่า ลดการอักเสบได้ ใช้ในการรักษาของคนที่เป็นลมพิษที่เฉียบพลัน(Angioed ema) ให้การรักษาอยู่ 8-34 เดือน ไม่พบว่ามีผลต่อการทำงานของตับ และระบบแข็งตัวของเลือด อันนี้เรียกว่าปลอดภัย ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้
แต่ไม่ได้ปลอดภัยสำหรับคนทั่วไปที่จะเอาไปใช้กินเพื่ อทำให้ผิวขาว เป็นปกติประจำวัน กินต่อเนื่องกันเป็นปี เพื่อให้ขาว อันนี้ไม่ปลอดภัย”
อย่างไรก็ตาม คุณหมอ บอกว่า ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ ลองคิดดูยาทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หากเลือดไปแข็งตัวตามส่วนต่างๆของร่างกาย โทษนั้นใหญ่หลวง
“สมมติว่าเราทานแล้วเลือดไปแข็งตัวที่ขา เส้นเลือดก็จะไปอุดตัน ทำให้ปวดขา หรือหากแข็งตัวที่สมอง หรือหัวใจ ยิ่งอันตรายเพิ่มขึ้นไปอีก”
สุดท้ายหมอสุวิรากรย้ำด้วยว่า
“ทราน ซามินเป็นยาไม่ใช่อาหารเสริม ไม่ควรซื้อทานเอง มีผลต่อการเเข็งตัวของเลือด ดังนั้นไม่ใช่วิตามินทานเพื่อให้ผิวขาว มีอันตรายและโทษมากมาย”
คุณสมบัติเด่น ซื้อง่ายราคาถูก เลยแซงกลูต้าฯ

  

“กลูต้าไธโอนสำหรับฉีดไม่ ถูกต้องตามกฎหมาย ที่มาที่ไปของตัวยาฉีดไม่มีการนำเข้าที่แท้จริง ดังนั้นเราจะไม่รู้หรอกว่ามาตรฐานการผลิตนั้น ผลิตที่ไหน ผลิตได้มาตรฐานหรือไม่ และอะไรที่เป็นยาฉีดจะอันตรายอยู่แล้ว
เพราะบางคนแพ้สารกัน บูดที่อยู่ในยาฉีดก็มี หรือหากผลิตไม่ได้มาตรฐานมีพวกเชื้อโรคเข้าไปนิดเดีย วทำให้อันตรายได้” คุณหมอ ชี้แจงถึงเหตุที่ทำให้วัยรุ่นหันไปนิยมกินยาทรานซามิ น เพราะหาซื้อง่ายกว่ากลูต้าไธโอนนั่นเอง
“บางรายฉีดยาแล้วอาจ แพ้ เสียชีวิตในคลินิคได้เลย เพราะเวลาแพ้จะแพ้เเบบเฉียบพลัน ยาฉีดทุกประเภทมีสิทธิ์แพ้ได้หมด ดังนั้นเลี่ยงจากการฉีดมาเป็นการกินซึ่งผสมอยู่ในอาห ารเสริม แต่ว่าต้องทานในปริมาณสูงไม่ใช่ว่าจะผิวขาวปุ้บปั้บ แต่จะค่อยๆ ขาวขึ้นมากกว่า”
ไม่ให้ครองใจคนอยากขาวได้อย่างไร ราคาถูกแสนถูกกว่ากลูต้าไธโอน แถมหาซื้อง่ายใต้ฟ้าเมืองไทย
“เมืองไทยกฎหมายค่อนข้างอ่อน ถ้าเป็นต่างประเทศต้องมีใบสั่งซื้อยา ขนาดพวกโร แอคคิวเทน (Ro-accutane) พวกกรดวิตามินเอ ต้องเฉพาะหมอผิวหนังเท่านั้นที่สั่งได้ แต่ที่เมืองไทยก็หาซื้อได้เกลื่อนกลาดทั่วไป”
::หมอแนะ ทางออกปลอดภัยสำหรับสาวอยากขาว

 

หากเราเมินยาทรานซามิน เพราะมีความน่ากลัวสูง ดังนั้นจะมีสารตัวใดทำให้ผิวขาวเด้งได้บ้าง คุณหมอตอบว่า
“จะมีสารเยอะมากที่เป็นไวท์เทนนิ่ง (Whitening) เช่น วิตามินซี โค เอ็นไซม์ คิวเท็น (Coenzyme Q10) อาร์บูติน(Arbutin) พวกนี้เป็นไวท์เทนนิ่งทั้งหมด แล้วแต่ว่าจะออกฤทธิ์ต้านการทำงานของเม็ดสีที่จุดไหน AHA ก็จัดเป็นไวท์เทนนิ่ง เพราะมีคุณสมบัติเป็นตัวทำให้ผิวหลุดลอกเร็วขึ้นก็ทำ ให้ผิวขาวขึ้น สารกันแดด ก็จัดเป็นไวท์เทนนิ่ง เพราะทำให้ผิวทำปฏิกริยากับแสงยูวีน้อยลง”
หรือแม้แต่การการทำทรีตเมนต์เพื่อผิวใส การผลักวิตามิน หรือเลเซอร์ ก็ช่วยให้ขาวได้ในแวดวงความงาม
คุณหมอแนะนำให้ทานสารพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) สารต้านอนุมูลอิสระ ประสิทธิภาพชวนน่ากิน ไม่น่ากลัว ช่วยทำให้เซลล์ผิวฟื้นฟูดีขึ้น หากโดนแดดจะไม่ค่อยคล้ำ จึงช่วยทำให้ผิวขาวขึ้น
“ทานผัก ผลไม้ ให้เยอะๆ ประเภทพวกที่มีวิตามินซี อี เอ หรือพวกอาหารเสริม ซึ่งทานต่อเนื่องในปริมาณพอเหมาะที่ทาง อย.รับรอง ทำให้ขาวขึ้นได้อาจได้ผลช้านิดหน่อย แต่ปลอดภัยกว่า” ช้าแต่ชัวร์เริ่ดกว่าเยอะ
*ทากันแดดเวิร์กสุด เลี่ยง UVA ขาวดีไม่มีภัย

 
  
คุณหมอขอฝากถึงผู้บริโภคทั้งหลายว่า
“ต้องหาข้อมูล ความรู้ และมีความชั่งใจ ในโฆษณาชวนเชื่อ อะไรก็ตามควรทานแล้วมีประโยชน์มากกว่าโทษน่าจะดีกว่า สิ่งใดที่เราทานเข้าสู่ร่างกายมักมีผลต่อกลไกในร่างก าย สิ่งใดอันตรายถ้าไม่จำเป็นเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง
การมีผิวขาวไม่ได้จำ เป็นต่อชีวิตมาก เพราะไม่ได้เป็นอะไรที่คอขาดบาดตาย มันไม่ใช่โรค” คุณหมอให้ข้อคิดและอยากให้เปลี่ยนค่านิยมผิวขาวเสียใ หม่
“ดังนั้นถ้าให้หมอแนะนำ หากอยากผิวขาวจริง ควรป้องกันดีกว่า คือ หลบแดด อย่าไปตากแดด ควรใส่หมวก พกร่ม ทากันแดด เพราะจัดอยู่ในประเภทไวท์เทนนิ่ง ทาง่ายทาทั้งตัวได้
หากออกแดดเยอะจริงๆ อย่างน้อย SPF 30 ขึ้นไป แต่หากกลัวดำจริงๆ จะดูแต่ SPF อย่างเดียวไม่ได้ ต้องป้องกันยูวีเอด้วย สาเหตุที่ดำเพราะยูวีเอ
SPFแทนค่าป้องกัน เฉพาะ ยูวีบี ดังนั้น SPF อย่างเดียวไม่ได้ต้องดูว่าป้องกันยูวีเอได้ด้วย ปัจจุบันนี้ยากันแดดส่วนใหญ่จะบอกว่า SPF เท่าไหร่แล้วจะมี PA ก็เป็นค่าการปกป้องของยูวีเอ”
แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องทำตัวประหนึ่งแวมไพร์กลัวแสงแด ดที่สว่างชอบ ความมืดแสงจันทร์ซะทีเดียว คุณหมอฝากว่า ควรตื่นเช้าออกมารับวิตามินดี จากแสงแดดยามรุ่มอรุณ เพื่อการรักษาภาวะสมดุลของระดับแคลเซียมในเลือดและใน กระดูก
“ปัจจุบันนี้เราพบ ว่าคนไทยขาดวิตามินดีกันเยอะ เพราะเรากลัวแดดกันสุดๆ วิตามินดีได้จากแสงแดด ดังนั้นต้องรับแดดช่วงเช้า ก่อน 9 โมงเช้า ยูวีจะไม่แรงมาก ไม่ทำให้ดำ
หากเป็นในต่างประเทศ จะให้เลี่ยงแดดช่วง 10 โมงเช้าถึงบ่ายสอง แต่ถ้าดูค่ากันแดดยูวีอินเดกซ์ (UV Index) จะพบว่าแสงแดดในปัจจุบันนี้กระทั่งสี่โมงเย็นของไทย ยูวีก็ยังสูงอยู่
ผิวขาวใสจริงแต่อันตรายรอบด้าน จะน็อก หรือช็อก เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สู้ผิวไม่ต้องขาวมากแต่เนียนสะอาดแถมปลอดภัยหายห่วงด้วยจ้า

รวมเคล็ดลับบริหารสมอง

|0 ความคิดเห็น
รวมเคล็ดลับบริหารสมอง
อยากมีความจำที่เป็นเลิศ แม้ยามแก่ชราก็ไม่หลงๆ ลืมๆ ไปตามวัย ก็ต้องบริหารสมองเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพด้านการจดจำแล ะการประมวลผล ส่วนหน้าที่ของสมองในด้านการควบคุมการทำงานร่างกายนั ้นต้องดูแลจากอาหารการกินและสุขภาพ

สำหรับเคล็ดลับการบริหารสมอง ทำได้ไม่ยาก มีทั้งเข้าคอร์สเรียนรู้สิ่งที่สนใจเพิ่มเติม เช่น สนใจการถ่ายภาพก็จัดสรรเวลาไปเรียนถ่ายภาพ หรืออยากฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาเกาหลี ก็หาโอกาสไปเรียนจนสื่อสารได้ สร้างผลงานศิลปะ ด้วยการวาดภาพและระบายสี

เล่นเกมส์ประเภทประเทืองปัญญา เช่น ปริศนาอักษรไขว้ โซดูกุ ความยาก-ง่ายต้องเหมาะสมกับวัย รวมถึงหมั่นคิดคำนวณหาผลลัพธ์ทางคณิตศาสตร์ อ่านหนังสือ นิยาย หรือข่าวให้หลากหลายประเภท โดยควรอ่านเป็นประจำทุกวัน

เรียนรู้ความหมายของศัพท์ที่ถูกต้องจากพจนานุกรม อย่างน้อยวันละ 1 คำ และจดจำชื่อหรือคำศัพท์ซึ่งต้องใช้บ่อย ๆ ให้เป็นหมวดหมู่

อย่าละเลยอาหารมื้อเช้า และอย่าให้ขาดอาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า อย่าหายใจสั้น ฝึกสูดลมหายใจเข้า-ออก ลึกๆ ยาวๆ ถือเป็นการฝึกสมาธิไปด้วย

ไม่ควรตั้งหน้าตั้งตาดูโทรทัศน์ติดต่อกันหลายชั่วโมง หากเลี่ยงไม่ได้ ให้หากิจกรรมอื่นๆ มาทำระหว่างดูโทรทัศน์ หาเพลงคลาสสิกฟังช่วยพัฒนาสมองมากกว่าเพลงแนวอื่นๆ โดยท่วงทำนองที่ควรหามาฟัง คือ โมซาร์ด,โซนาตา และเปียโน คอนเซอร์โต

ฝึกใช้มือและเท้าด้านที่ไม่ถนัดทำกิจกรรมแทนด้านที่ถ นัด จะได้พัฒนาสมองไปทั้งสองซีก ใช้ชีวิตอย่างมีจินตนาการและมีความคิดสร้างสรรค์

ไหน ๆ คนเราเกิดมามีสมองแค่ชิ้นเดียว แถมเป็นอวัยวะสำคัญที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ ดูแลให้ดีด้วยการบริหารสมองด้วยวิธีต่าง ๆ ข้างต้น คงไม่ใช่เรื่องยาก ถือเสียว่า แก่ตัวไป แก่แต่ตัว ส่วนสมองไม่แก่ตาม.

ทองเหลืองสดใสใช้ ‘ผง’ในบ้าน

|0 ความคิดเห็น
ทองเหลืองสดใสใช้ ‘ผง’ในบ้าน

ภาชนะทองเหลืองที่เก็บไว้ไม่ได้ใช้เป็นเวลานานมักจะเ ป็นคราบดำ หรือสีหมองไม่สดใส ถ้าจะขัดก็ต้องใช้เวลานาน เดลินิวส์ออนไลน์จึงนำเคล็ดลับขัดทองเหลืองมาฝาก

เพียงใช้ผงชูรสและผงซักฟองผสมน้ำพอเปียก พอกทิ้งไว้ที่ภาชนะทองเหลืองสักครู่ จากนั้นใช้ผ้าหรือแปรงขัดออก ภาชนะทองเหลืองก็จะสะอาดสดใสเหมือนเป็นของใหม่โดยไม่ ต้องเสียเงินซื้อน้ำยาขจัดคราบหรือเปลืองแรงและเวลาข ัด นอกจากนี้ยังใช้วิธีนี้ได้กับคราบไหม้ที่ก้นหม้อหรือ กระทะอีกด้วย.

ว่าด้วยเรื่อง "วิตามินซี" ที่ทุกบ้านไม่ควรมองข้าม

|0 ความคิดเห็น
ว่าด้วยเรื่อง "วิตามินซี" ที่ทุกบ้านไม่ควรมองข้าม

 
 
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยน แปลงบ่อย เดี๋ยวสะบัดร้อน สะบัดหนาว บางทีก็มีฝนตกไม่เลือกฤดูให้งวยงงกันเล่น ทำให้คุณพ่อคุณแม่ รวมถึงลูกน้อยป่วยเป็นไข้ไปตาม ๆ กัน ซึ่งหลายคนมักเลือกยาเป็นตัวหลักในการรักษา แต่วันนี้เรามีอีกทางหนึ่งในการฟื้นไข้มาฝากกัน ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว และทำได้ไม่ยาก

โดยวิธีข้างต้นนี้ ภญ.กรรณิการ์ เอกศักดิ์ ให้ ความรู้ว่า ไข้หวัดเป็นโรคที่เป็นกันได้ทุกเพศทุกวัย การรับประทานทานอาหารที่ย่อยง่าย และผลไม้ที่ให้วิตามินโดยเฉพาะวิตามินซีสูง ถือเป็นตัวยาชนิดหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายไข้ได้เร็ วขึ้น เนื่องจากวิตามินซีจะเป็นตัวเข้าไปเสริมสร้างภูมิต้า นทานของร่างกายให้แข็ง แรงนั่นเอง

"วิตามินซีมีประโยชน์มากมาย ช่วยเสริมภูมิต้านทาน เป็นตัวสร้างคอลลาเจนในเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง กระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด ซึ่งช่วยสมาน และซ่อมแซมเนื้อเยื่อบาดแผลให้หายเร็วขึ้น ตลอดจนรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน และช่วยคลายเครียดอีกด้วย" เภสัชกรหญิงกล่าวถึงประโยชน์ของวิตามินซีที่คนส่วนให ญ่มองข้าม

อย่างไรก็ดี หลาย ๆ บ้านอาจสงสัยว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าร่างกายต้องการวิตามินซีเพิ่ม แล้ว กับคำถามนี้ เภสัชกรหญิงบอกว่า ให้สังเกตจากการเป็นหวัด หรือภูมิแพ้บ่อย ๆ นั่นหมายความว่า ภูมิต้านทานในร่างกายไม่สมบูรณ์พอ ผิวพรรณซูบซีด ไม่เปล่งปลั่ง หรือบางท่านที่เครียดมีผลให้เป็นโรคกระเพาะ ไมเกรน เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ หรือบ้านที่ชอบสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ วิถีการดำเนินชีวิตของบุคคลเหล่านี้ ต้องการวิตามินซีมากกว่าคนทั่วไป

"ปริมาณวิตามินซีที่ทุกบ้าน ควรได้รับต่อวันคือ 60 มิลลิกรัม เทียบง่าย ๆ คือ ทานส้มสด 1 ผลให้วิตามินซี 20 มิลลิกรัม ต้องทานให้ได้ 3 ผลต่อวัน หรือทานจากผักสด ผลไม้ต่าง ๆ ซึ่งแต่ละชนิดก็ให้ประมาณวิตามินซีแตกต่างกัน ผักที่ให้วิตามินซีมากหน่อย เช่น บลอคโคลี หรือผลไม้สดที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม สับปะรด ฝรั่ง มะขาม หรืออื่น ๆ เช่น กล้วย ผักกาดกรอบ หัวหอม" เภสัชกรหญิงให้คำแนะนำ

ไม่เพียงแต่การรับประทานที่ย่อยง่าย และผลไม้ที่ให้วิตามินแล้ว เภสัชกรรายนี้ให้คำแนะนำว่า การฟื้นไข้ได้เร็ว ต้องดูแลร่างกายให้ดีควบคู่ไปด้วย เช่น อาบน้ำอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ การจิบน้ำอุ่น หรือน้ำผึ้งผสมมะนาวให้ชุ่มคอ ลดการระคายเคือง ระวังเรื่องการสั่งน้ำมูกอย่าสั่งแรง ๆ เพราะจะทำให้เชื้อเข้าสู่โพรงไซนัสหรือหูชั้นใน และเกิดการอักเสบมากขึ้น ถ้าเป็นเด็กเล็กควรใช้ลูกยางดูดน้ำมูกเพื่อช่วยให้หา ยใจสะดวกขึ้น

เอาเป็นว่า ช่วงนี้อากาศเย็นเป็นพิเศษ ด้วยความห่วงใย ทีมงานขอให้ทุกบ้านดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับ เพื่อสุขภาพที่ดีตลอดปีกระต่ายทองนี้^_^

6 ของใช้ใกล้ตัวในบ้าน ที่สาวภูมิแพ้ต้องหมั่นทำความสะอาด

|0 ความคิดเห็น


6 ของใช้ใกล้ตัวในบ้าน ที่สาวภูมิแพ้ต้องหมั่นทำความสะอาด

เมื่อเอ่ยถึง โรค “ภูมิแพ้” หลายคนต้องร้อง ‘อ๋อ’ ออกมาดังๆ ก็แหม มันใกล้ตัวเหลือเกินนี่คะ โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ๆ รถแยะ อากาศเสีย ผู้คนเป็นโรคนี้กันเยอะ... ถึงกับได้ฉายาว่าเป็นโรคฮิตคนเมืองกันเลย
ทว่าจะโทษอากาศเสีย มลพิษแย่ อย่างเดียวก็ใช่ที่ เพราะแท้จริงแล้ว ยังมีปัจจัยใกล้ตัวอีกหลายอย่าง ที่เป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดโรค โดยเฉพาะ ‘บ้าน’ คุณเอง ที่อาจเป็นสถานที่ก่อโรคได้ โดยที่คุณเองก็ไม่รู้ตัว


 “หลายคนทนทุกข์ทรมาน และหาวิธีป้องกัน รักษาโรคภูมิแพ้ และหอบหืดมาหลายปี โดยที่ไม่รู้ว่า ที่มาของโรคเหล่านั้น แท้จริงแล้วเกิดจากสิ่งใกล้ตัวของพวกเขาเอง” นายแพทย์ Clifford Bassett ผู้อำนวยการศูนย์โรคหอบหืดและภูมิแพ้ New York ระบุ
ว่าแล้วเราจึงขอชวนมาสำรวจ ‘บ้าน’ สถานที่ใกล้ตัวสุดๆ ของคุณว่ามีสิ่งใดบ้างหนอ? … ที่อาจเป็นปัจจัยให้เกิดโรคภูมิแพ้
1) ยางกันลื่นในห้องน้ำ-พรมเช็ดเท้า
 
 พรมเช็ดเท้า และยางกันลื่นในห้องน้ำ ของใช้ที่ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องมี แต่ทราบหรือไม่ว่าสิ่งนี้แหละ ถือเป็นแหล่งสะสมฝุ่น เพาะพันธุ์เชื้อรา อันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ได้เป็นอ ย่างดี
“อาการแพ้ทั้งหลาย เกิดจากการถูกกระตุ้น จากเชื้อโรคต่างๆ ที่มีการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากความชื้นในบริเวณนั้นๆ ดังนั้นควรแน่ใจว่า พรมเช็ดเท้าที่ใช้ในบ้านควรจะแห้งจริงๆ” คุณหมอ Bassett ให้ข้อมูล พร้อมอธิบายต่อว่า สำหรับผู้ที่อยากห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ ควรดูแลตัวเองด้วยการ ซักทำความสะอาดพรมเช็ดเท้าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เช่นเดียวกับ ยางกันลื่นในห้องน้ำที่ควรทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้ง แล้วตากแดด ผึ่งลม ให้แห้งสนิทก่อนนำกลับมาใช้งานต่อ

2) กระถางต้นไม้ ... ในห้องนอน

 

“ต้นไม้ในกระถางเล็กๆ ทั้งหลาย มีสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้มากถึง 70% และหากคุณต้องนอนสูดดม สารกระตุ้นภูมิแพ้ จากต้นไม้เหล่านั้นทั้งคืน ในช่วงเช้าคุณอาจต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเจ็บคอ คัดจมูก และไอ” Christopher Rondolph แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้ จากโรงพยาบาล Yale - New Haven ระบุ พร้อมแนะให้คุณ รีบขนย้ายบรรดาไม้ดอก ไม้ประดับแสนสวยทั้งหลาย ไปไว้ส่วนอื่นของบ้านเถอะค่ะ แล้วเชื้อราในห้องนอนของคุณจะลดปริมาณลงถึง 60% เลยทีเดียว

3) เครื่องซักผ้า
 
 คุณหมอ Rondolph ให้ข้อมูลต่อว่า บริเวณขอบยางกันซึม ของเครื่องซักผ้านั้น ถือเป็นที่อยู่อาศัยยอดฮิตของเชื้อราเลยหล่ะ เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่แค่เครื่องซักผ้าของคุณจะเต็มไปด้วยเชื้อรา แต่เสื้อผ้าที่คุณใส่ก็ยังโดนหางเลขมีเชื้อราติดสอยห ้อยตามมาด้วย ... บรื๋อ!! ลองนึกภาพดูสิ ว่าหากเสื้อผ้าที่คุณต้องใส่อยู่ทุกวันเต็มไปด้วยเชื ้อรา มันจะสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ได้มากแค่ไหน
งานนี้คุณหมออธิบาย วิธีแก้ไขมาว่า ควรตากผ้าที่ซักแล้วในที่มีแดดแรงๆ จนแห้งสนิท รวมถึงหมั่นทำความสะอาดเครื่องซักผ้า โดยการตั้งโปรแกรมการซัก ให้เครื่องซักผ้าทำงานไปตามปกติ แต่ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าและผงซักฟอกลงไป และหากเครื่องซักผ้าคุณมีระบบซักด้วยน้ำร้อน ก็ตั้งให้ร้อนสุดเลยค่ะ ให้เครื่องได้แกว่งน้ำสะอาดไปมาจนทั่วเครื่อง เมื่อเสร็จสิ้นการซักจึงเปิดฝาเครื่องซักผ้า และช่องใส่ผงซักฟอก ทิ้งไว้ จนแห้งสนิท

4) เทียนหอม

 
 สาวๆ ที่ชอบจุดเทียนหอม คงต้องฟังกันหน่อย เพราะงานวิจัยจากสถาบันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาระบุว่า เจ้าเทียนหอมทั้งหลายน่ะ ถึงจะมีแสงสว่างสวย ล่อใจให้อยากจุด ทว่าการเผาไหม้ของมัน กลับปล่อยมลพิษทางอากาศเป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุผลนี้ Dr. James Wedner หัวหน้าศูนย์ป้องกันโรคภูมิแพ้ แห่งมหาวิทยาลัย Washington University School of Medicine จึง ออกมาให้ข้อมูล ที่สอดคล้องกันว่า ก๊าซพิษที่เทียนหอมปล่อยออกมา สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อตา และจมูกได้ง่าย เรียกได้ว่า เมื่อจุดเทียนหอม คุณอาจเกิดอาการน้ำมูกน้ำตาไหลได้ แม้ปกติคุณจะไม่ใช่คนแพ้ง่ายก็ตาม ดังนั้น หากอยากสร้างบรรยากาศโรแมนติกด้วยเทียนหอม ให้ลองเปลี่ยนมาเป็น หลอดไฟกำลังวัตต์ (watts) ต่ำๆ ที่ให้แสงอ่อนสวย บวกกับบุหงากลิ่นหอม มาเพิ่มความผ่อนคลายจะดีกว่า

5) หน้าต่าง และประตู
 
 เพราะสารก่อภูมิแพ้ จะเจริญเติบโตได้เร็วในสถานที่ปิด อากาศไม่ถ่ายเท ดังนั้นควรเปิดประตู และหน้าต่างเสียบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องนอน ควรเปิดหน้าต่างอย่างน้อยวันละ 15 นาที เพื่อให้แสงแดดสาดส่อง และอากาศถ่ายเทได้สะดวก ซึ่งนั่นถือเป็นการลดสารก่อภูมิแพ้ได้ดีเยี่ยม ที่สำคัญ หากบ้านคุณมีผู้สูบบุหรี่อยู่ด้วย ยิ่งต้องหมั่นเปิด เพราะมีรายงานทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัย California ระบุว่า การที่คุณอยู่ในบ้านที่มีควันบุหรี่ แล้วไม่เปิดประตู หรือหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศ แค่เพียง 4 วัน ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ จะมีอาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด

6) ตุ๊กตาขนปุกปุย
 
“ตุ๊กตาขนนุ่มทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ดึงดูดฝุ่นละออง และสารก่อภูมิแพ้ที่ลอยอยู่ในอากาศได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอง คือแหล่งเพาะพันธุ์เห็บ ไร ชั้นดี” Neeti Gupta ผู้อำนวยการสถาบันก่อภูมิแพ้ East Windor, NJ ระบุ พร้อมกระตุ้นเตือนคุณสาวๆ ทั้งหลายว่า หากอยากกอดตุ๊กตาขนปุยอย่างสบายใจ ต้องหมั่นซักทำความสะอาดให้ได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง
ทว่าหลายคนอาจทำใจ ไม่ได้ เพราะซักบ่อยครั้ง มีหวังน้องตุ๊กตาแสนรัก เยินไวแหง๋ๆ ... ผู้อำนวยการสถาบันก่อภูมิแพ้ฯ จึงเสนออีกวิธีที่ดูเก๋ แถมแปลกอย่าบอกใคร นั่นคือ ถ้าช่องแช่แข็งในตู้เย็นบ้านคุณใหญ่พอ ก็ให้จับน้องตุ๊กตุ่นของคุณเข้าไปแช่ในนั้นสัก 1 คืน แค่นี้ก็เป็นการกำจัดไรฝุ่นได้แล้วหล่ะ
“ไรฝุ่นจะหายไปเมื่อสัมผัส กับอากาศที่หนาวเย็น และแห้ง ดังนั้นมันเป็นวิธีที่เยี่ยมมากในการกำจัดไรฝุ่นทั้ง หลาย” ผู้อำนวยการ Gupta ให้ข้อมูล
เรียบเรียงจาก ไอวิลเลจ

 

ชงกาแฟให้อร่อย

|0 ความคิดเห็น
ชงกาแฟให้อร่อย

ใครๆ ก็ชงกาแฟได้ แต่กาแฟที่อร่อย ไม่ใช่ใครก็ชงได้ เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ จากเดลินิวส์ ออนไลน์ จะช่วยทำให้กาแฟของคุณกลมกล่อมรสดีขึ้น

หากเป็นกาแฟสำเร็จรูปให้นำไปต้มด้วยไฟอ่อนๆ 2 นาที แทนการชงด้วยน้ำร้อน ส่วนแก้วที่จะใช้ดื่ม ก่อนเติมกาแฟลงไปให้นำน้ำร้อนใส่แก้วเอาไว้ก่อนเพื่อ ให้แก้วร้อน ช่วยรักษาอุณหภูมิของกาแฟไม่ให้เปลี่ยนรสชาติ เมื่อจะเติมกาแฟที่ต้มแล้ว ก็ให้เทน้ำร้อนในแก้วทิ้งไป

เวลารินกาแฟให้รินสูงๆ เพื่อให้อากาศเข้าไปในน้ำกาแฟ จะทำให้รสชาติดีขึ้น ที่สำคัญควรดื่มกาแฟร้อนให้หมดภายใน 20 นาทีหลังชงเสร็จ เพราะถ้าใช้เวลามากกว่านี้กาแฟจะเริ่มไม่อร่อย.

เครื่องซักผ้าใช้ทนนาน

|0 ความคิดเห็น
เครื่องซักผ้าใช้ทนนาน

วิธีดูแลรักษาเครื่องซักผ้าให้ใช้ได้ทน คุ้มค่ากับเงิน แค่เสียเวลาและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นอีกนิด เครื่องซักผ้าก็จะใช้ได้นานขึ้น

เริ่มจากเวลาซักผ้า อย่าใส่ผ้าลงเครื่องมากจนแน่น เพราะจะลดประสิทธิภาพในการซักของเครื่อง ทำให้ผ้าไม่สะอาด และเครื่องซักผ้าก็จะมีอายุการใช้งานสั้นลง อีกทั้งไม่ควรใส่ผงซักฟอกเยอะเกินไป เพราะตะกอนตกค้างของผงซักฟอกอาจทำให้เครื่องซักผ้าเส ียได้

ส่วนภายนอกของเครื่องซักผ้าให้ทำความสะอาดด้วยน้ำสบู ่อ่อนๆ เป็นประจำเดือนละครั้ง และเปลี่ยนสายยางของเครื่องซักผ้าทุกๆ 5 ปี เพื่อป้องกันการรั่วซึม.

สวยแบบประหยัดด้วยน้ำนม

|0 ความคิดเห็น
สวยแบบประหยัดด้วยน้ำนม

น้ำนมสามารถนำมาทำความสะอาดผิวได้ โดยใช้นมสดชุบสำลี แล้วเช็ดผิวหน้า โดยเฉพาะเครื่องสำอางบริเวณตา เพราะน้ำนมเป็นคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนและจะช่วยทำให้ผิว สดชื่น

ผลิตภัณฑ์จากน้ำนม เช่น โยเกิร์ตก็ช่วยให้ผิวสวยใส เพียงพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตสักครู่แล้วล้างออกด้วยน้ำอ ุ่น อาจเพิ่มประสิทธิภาพโดยผสมกับน้ำผึ้ง กรดแลคติคในโยเกิร์ตและสารแอนติ-แบคทีเรียในน้ำผึ้งจะช่วยต่อต้านแบคทีเรียซึ่งเป็นสา เหตุหนึ่งของการเกิดสิว

นอกจากนี้นมผงและเม็ดอัลมอนด์บดละเอียดก็ยังเป็นสครั บทำความสะอาดผิวชั้นเยี่ยมที่อ่อนโยนเพราะมาจากธรรมช าติล้วนๆ ไม่มีสารเคมีเจือปน.

หายหวัดในหนึ่งวัน

|0 ความคิดเห็น
หายหวัดในหนึ่งวัน


โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่จะเป็นหวัดปีละ 3 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 9 วัน ซึ่งเท่ากับป่วยปีละเกือบหนึ่งเดือน! แต่มีวิธีบรรเทาอาการป่วยที่น่าเบื่อนี้ได้ภายในหนึ่ งวันเท่านั้น

เมื่อตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่สงสัยว่าจะเป็นหวัดให้ดื ่มน้ำหรือน้ำผลไม้มากๆ เพื่อป้องกันการเจ็บคอหรือคัดจมูก ถ้าเจ็บคอให้กลั้วคอด้วยน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมเกลือครึ ่งช้อนชา จะช่วยลดการอักเสบ ล้างเมือกในคอ อีกทั้งยังกำจัดแบคทีเรียรวมถึงไวรัส และอย่าลืมทำให้จมูกสะอาดปราศจากน้ำมูกเสมอโดยใช้สเป รย์สำหรับพ่นจมูก

พยายามทานยาแก้หวัดภายในสองชั่วโมง โดยไปหาเภสัชกรเพื่อจัดยาให้ตรงกับอาการ ถ้ามีอาการไอร่วมด้วย อาจไม่จำเป็นต้องทานยาแก้ไอหรืออมยาอม แค่ทานน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะโดยอาจผสมลงในน้ำชา อาการจะดีขึ้น

หกชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการให้พักผ่อนอยู่บ้าน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและร่างกายจะได้พักผ่อนอย่า งเต็มที่ ระหว่างนั้นพยายามดื่มน้ำมากๆ ถ้าจะอาบน้ำควรอาบน้ำอุ่นแทนน้ำเย็น

หากดีขึ้นแล้วให้ออกกำลังกายเบาๆ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทานอาหารที่มีโปรตีนเช่น ข้าวแดง ปลา ถั่ว

ถ้าตื่นเช้ามายังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ เพราะอาจจะเป็นไข้หวัดใหญ่หรือโรคติดเชื้อ แต่หากดีขึ้นแล้วให้พักผ่อนอยู่กับบ้านอีกวันเพื่อให ้แน่ใจว่าหายจากอาการหวัดจริงๆ.

ติดตั้งแอร์ เกี่ยวอะไรกับฮวงจุ้ย

|0 ความคิดเห็น
ติดตั้งแอร์ เกี่ยวอะไรกับฮวงจุ้ย


condensing
เคยบอกไว้ เวลาจะติดตั้งแอร์ตัวนอก ด้านหลังควรให้ห่างจากผนังประมาณ 1 ฟุต และด้านหน้า 1.5 เมตร ต้องไม่มี อะไรมาบังทางเป่าลมร้อนออก เพื่อแอร์ตัวนอกจะได้ดูดลมเข้า ระบาย ความร้อนได้สะดวก… แอร์จะได้ทำงาน เบาตัว ไม่กินไฟ ไม่พังเร็วแต่ฮวงจุ้ยที่จะพูดถึงในวันนี้ เป็นฮวงจุ้ยอีกอย่าง…ก็อย่างที่รู้กัน แอร์มี 2 ส่วน ในบ้าน กับนอกบ้านตัวที่อยู่ในบ้าน…แอร์ทำให้ห้องเราเย็นได้ ด้วยการฉีดน้ำยาแอร์ให้กลายเป็นก๊าซ เพื่อจะดูดซับความร้อนภายในห้องดซับเสร็จ น้ำยาแอร์จะอุ้มความร้อนไหลตามท่อแอร์…ไปยังแอร์ตัวนอก แอร์ตัวนอกจะรับช่วงเอาความร้อนมาถ่ายทิ้งอีกที
แอร์จะกินไฟแค่ไหน จึงขึ้นอยู่กับว่าแอร์ตัวนอกถ่ายความร้อนทิ้งได้ดี ขนาดไหน?แอร์ ที่เราใช้กันส่วนใหญ่ จะใช้อากาศเป็นตัวพาความร้อนไปถ่ายทิ้ง… ด้วยการใช้พัดลมดูดอากาศเย็น ให้พัดผ่านแผงน้ำยาแอร์ที่อุ้มความร้อน ดูดลมเย็นมาซับความร้อนไปให้พ้นจากคอมเพรสเซอร์ คอมฯแอร์ถึงเขาจะออกแบบมาให้กันแดดกันฝนได้…แต่จะให้คอมฯ ดูดลมเย็นเอาความร้อนไปทิ้งได้ดี…ต้องมีฮวงจุ้ย
หนึ่ง ไม่ควรวางคอมฯตากแดด ยิ่งวางคอมฯบนดาดฟ้า หรือระเบียงบ้านที่ถูกแดดเผา…ดาดฟ้า ระเบียงทำจากปูน ถูกแดดเผา อากาศบริเวณนั้นจะร้อน ร้อนแบบไม่ธรรมดา…ร้อนมากๆ ถ้าไม่เชื่อลองไปยืนบนปูนตากแดดดูได้เจออย่างนี้ แทนที่คอมฯจะได้ดูดลมเย็นมาซับความร้อน…กลับต้องดูดความร้อนมาซับความร้อนลมร้อนซับความร้อนไปทิ้งได้ไม่มาก…คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนัก คอมฯทำงานหนัก ซดไฟฟ้ามากกว่าคอมฯทำงานน้อย ยิ่งประเภทติดแอร์ใกล้ๆ กันหลายตัว ติดแบบให้คอมฯพ่นลมร้อนเข้าหากัน… คอมฯระบายความร้อนได้ไม่ดี แอร์กินไฟ อยู่คอนโดฯติดแอร์กันเป็นแถวเรียงกันเป็นชั้น…คอมฯแอร์ชั้นล่างพ่นลมร้อนลอยขึ้นชั้นบน คอมฯแอร์ที่อยู่ชั้นบนๆ หาระบายความร้อนได้ไม่ดี
สิ่งเหล่านี้เป็นฮวงจุ้ยที่เจ้าของแอร์ทุกคนต้องเลี่ยง…ช่วยประหยัดเงินค่าไฟได้ 20-25 เปอร์เซ็นต์ทีเดียวครับ คอมฯแอร์วางตากแดด ก็ให้จัดหาร่มเงา เช่น เอากระถางต้นไม้มาวางบังแดด แต่อย่าเอามาบังทางลม…ห้ามบังทั้งทางดูดลมเข้าและทางพ่นลมออก คอมฯพ่นลมร้อนใส่กัน…ทำท่อบังคับให้ลมร้อนพ่นออกไปทางอื่น หรือหันเปลี่ยนทิศ วางคอมฯหนีลมร้อน และจะให้คอมฯระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้น ควรล้างแอร์ปีละ 2 ครั้ง…หรือมากกว่านั้นสำหรับบ้านที่อยู่ติถนน หรือมีฝุ่นละอองมาก

การติดตั้งท่อน้ำแอร์ที่ถูกต้อง(หรือว่าเค้าทำตามกันมากัน)

|0 ความคิดเห็น

การติดตั้งท่อน้ำแอร์ที่ถูกต้อง(หรือว่าเค้าทำตามกันมากัน)


ท่อน้ำยาแอร์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการติดตั้ง เครื่องปรับอากาศแบบแยก การเลือกขนาดท่อมีขนาดเล็กเกินไปจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาเช่นประสิทธิภาพการ ทำงาน ภาพของเครื่องหรือความดันลดต่ำลงใน (Pressure Drop) ระหว่างท่อมากเกินไป ฯลฯ ดังนั้นในการเลือกขนาดท่อ Liquid ที่จะต้องพิจารณา
1 เส้นผ่าศูนย์กลางท่อแก้ปัญหาท่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง
2 ความยาวของท่อส่งความยาวของการแก้ปัญหาท่อ
3 จำนวนแห่งอุปกรณ์หมายเลขของข้อต่อเช่นข้อศอก
4 ความเร็วของเหลวความเร็วในการเคลื่อนย้ายของสารทำความเย็น
การเลือกวิธีการแก้ปัญหาท่อควรจะได้รับเลือกจากซอฟต์แวร์ที่มีอากาศปรับ อากาศ แต่ถ้าคุณไม่ทราบว่าพวกเขาสามารถหา ขนาด ประมาณคำนวณจากขนาดของแผนภูมิแก้ปัญหาท่อโดยทั่วไปความดันตกข้ามช็อต (Suction Line Pressure Drop) 2 PSI/100 FT และความดันลดในการส่งมอบ (Discharge Line PressureDrop) 4 PSI/100 FT

นอกจากการเลือกใช้ขนาด ท่อน้ำยาที่ถูกต้องแล้ว การเดินท่อน้ำยายังต้องทำอย่างถูกหลักการอีก ด้วยจึงจะทำให้เครื่องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบท่อน้ำยาต้องทำความสะอาดให้ดีและ แห้งและในการเดินท่อน้ำยาต้องคำนึงถึงความเร็วของไอน้ำยาให้มากพอที่จะพา น้ำมันหล่อลื่น กลับคอมเพรสเซอร์ด้วย ดังนั้นในการติดตั้งคอนเด็นซิ่งและอีวาพอเรเตอร์ในระดับที่ต่างกันจะ ต้องคำนึงถึง
1. การติดตั้งอีวาพอเรเตอร์ต่ำกว่าคอนเด็นซิ่ง จะมีผลให้น้ำมันกลับเข้าคอมเพรสเซอร์น้อยเพราะ คอมเพรสเซอร์อยู่สูงกว่า ดังนั้นการเดินท่อด้านดูดต้องคำนึงถึงความดันตกคร่อมและเรื่องน้ำมัน กลับด้วย
2. การติดตั้งคอนเด็นซิ่งต่ำกว่าอีวาพอเรเตอร์
จะ มีผลให้ความดันตกลงเพราะคอมเพรสเซอร์ต้อง อัดน้ำยาขึ้นที่สูง ดังนั้นการเดินท่อด้านส่งต้องคำนึงถึงความดันตกคร่อมจากความเสียดทานและ การเดินท่อในแนวดิ่ง
การเดินท่อน้ำยาด้านดูดเมื่อตำแหน่งการวางอีวาพอเรเตอร์และคอนเด็นซิ่งอยู่ในลักษณะต่างๆ เป็นดังนี้
1. เมื่อคอนเด็นซิ่งอยู่เหนืออีวาพอเรเตอร์

ให้ ทำที่กักน้ำมัน(Oil Trap) เพื่อให้แน่ใจว่า น้ำมันที่อยู่ในระบบจะไหลกับขึ้นไปยังคอม เพรสเซอร์ การทำที่กักน้ำมันควรทำให้ใกล้ อีวาพอเรเตอร์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. เมื่อคอนเด็นซิ่งอยู่เหนืออีวาพอเรเตอร์ให้ทำที่กักน้ำมันทุกๆช่วงความสูง 4.5 ม. ทั้งนี้เพื่อให้เก็บกักน้ำมันเอาไว้ในขณะ ที่คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานอีกครั้ง น้ำมัน จากที่กักน้ำมันนี้จะถูกดูดไปหล่อลื่นคอม เพรสเซอร์ได้ทันที (ไม่ควรเดินท่อในแนวดิ่งสูงเกินกว่า 15 ม.)
การเดินท่อน้ำยาต่อระบบ ทำความเย็นยาวเกิน 10 เมตร จะต้องเติมน้ำมันหล่อลื่นเพิ่มเติมเพื่อ ชดเชยผลของฟิล์มน้ำมันที่ตกค้างผิวด้านในของท่อดูด ตามอัตราตารางต่อไปนี้ต่อทุกๆความยาว 1 เมตรที่เดิน การเติมน้ำมันให้ดูจาก OIL SIGHT GLASS (ถ้ามี) โดยให้อยู่ในช่วง 1/2 ถึง 3/4 ของ OIL SIGHT GLASS
ท่อน้ำมันเชื้อเพลิงอัตราส่วนขนาดทุกความยาว 1 เมตร
3 / 8 7.5 มม.
1 / 2 10 มม.
5 / 8 20 มม.
3 / 4 30 มม.
7 / 8 40 มม.
50 มม. 1-1/8

เมื่อ ของเหลวผ่านผนังท่อ, ผนัง ควรห่อด้วยฉนวนกันความร้อนหรือเยื่อบุ ซึ่งจะสามารถลดการสั่นสะเทือนของท่อดูดต้องหุ้มฉนวนตลอดความยาวของท่อ ฉนวนกันความร้อนท่อต้องได้รับการคุ้มครองที่มีความหนาน้อยกว่า 1 / 2 นิ้วมักจะไม่จำเป็นต้องส่งฉนวนกันความร้อนท่อ ยกเว้นกรณีที่ท่อผ่านบริเวณที่อุณหภูมิสูงเช่นห้องหม้อไอน้ำหรือแดดร้อน ฉัน ควรใช้ฉนวนกันความร้อนที่มีความหนาไม่น้อยกว่า 3 / 8 นิ้วปกจัดส่งสินค้าที่มีและต้องเพิ่มความหนาของฉนวนกันความร้อนสูญญากาศใน หนาพิเศษอย่างน้อย 3 / 4 นิ้ว

ทำไมแอร์ไม่เย็น ตอนที่3

|0 ความคิดเห็น

ทำไมแอร์ไม่เย็น ตอนที่3

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์ไม่เย็นนั้น ก็คือ”น้ำยาแอร์รั่ว“เป็นสาเหตุที่มักพบได้บ่อยครั้ง เนื่องมาจากน้ำยาแอร์รั่วซึมออกมาตามรอยต่อต่างๆของระบบท่อน้ำยา  น้ำยาไม่มี หรือพร่องไป แอร์ก็ไม่เย็น แล้วจะรู้ได้ไงว่าแอร์น้ำยารั่ว วิธีที่จะทราบได้ก็ต้องใช้เครื่องมือวัดแรงดันน้ำยาครับ หรือเกจ์น้ำยา แรงดันน้ำยาต้องอยู่ที่ประมาร 60-75 pisg. ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ครับ อีกข้อสังเกตุง่ายๆก่อนที่จะวัดแรงดันก็คือ ให้สังเกตุบริเวณรอยต่อ และข้อต่อต่างๆของท่อน้ำยา ไม่ว่าจะเป็นรอยเชื่อมหรือบริเณเซอร์วิสวาล์ว จะมีคราบน้ำมันเปื้อนอยู่ เซอร์วิสวาล์วนี่แหละตัวดีเลยหล่ะ รั่วประจำครับ อาจเพราะขันไม่แน่น หรือแน่่นมากไปทำให้แฟลแเตกแล้วน้ำยาก็รั่วซึมออกมาได้ครับ
   ที่เล่ามาทั้ง 3ตอนนั้นเป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้แอร์ไม่เย็นและอีกอย่างที่ลีมไม่ได้เลยก็คือต้องเช็คด้วยทุกครั้งว่าแอร์สกปรกหรือเปล่า ทั้งคอร์ยเย็นและคอร์ยร้อน มันส่งผลอย่างมากในการระบายความเย็น และระบายความร้อน
   ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะวิเคราะห์จากข้อมูลที่ได้รับจากการเช็คค่าต่างของแอร์แล้ว ความรู้และประสบการณ์ของช่างแต่ละคนนั้น ก็เป็นอีกย่างที่จะทำให้เราสามารถรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงว่า ทำไมแอร์ไม่เย็น ทั้งยังสามารถซ่อมแซมได้ตรงจุดที่สุดครับ

ทำไมแอร์ไม่เย็น ตอนที่2

|0 ความคิดเห็น

ทำไมแอร์ไม่เย็น ตอนที่2

หลังจากเปิดแอร์แล้ว และตั้งรีโมทให้อยู่ในโหมดทำความเย็นเรียบร้อยแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องตรวจเช็คก็คือชุดคอนเด็นซิ่งว่าทำงานเป็นปกติหรือไม่ สิ่งแรกที่เราสามารถสังเกตุได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือวัดใดๆเลยก็คือ ชุดคอนเด็นซิ่งทำงานแล้วหรือยัง พัดลมระบายความร้อนทำงานไหม แล้วลมที่ออกมานั้นอุ่นไหม เกิดเสียงที่ดังจนผิดปกติหรือไม่ เหล่านี้เป็นอาการที่เราสังเกตุแล้วนำมาวิเคราะห์สาเหตุได้นะครับ
    ถ้าชุดคอนเด็นซิ่งยังไม่ทำงาน แสดงว่าเกิดการชำรุดเสียยหายของวงจรไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าแล้ว สายไฟฟ้าอาจชำรุดก็ได้ ให้เราปิดแอร์และปิดเบรคเกอร์แอร์ก่อนทำการตรวจเช็คทุกครั้ง
    ถ้าชุดคอนเด็นซิ่งทำงานแล้วแต่ลมที่ออกมาไม่อุ่นเลย นั้นแสดงว่าCompressor ไม่ทำงาน อาจเกิดจากการชำรุดของวงจรไฟฟ้า ชุดช่วยสตาร์ทของคอมเพรศเซอร์ชำรุด คอมเพรสเซอร์เสีย (ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังเรื่องการตรวจเช็คคอมเพรสเซอร์ และการเปลี่ยนคอมฯครับ)
   ถ้าชุดคอนเด็นซิ่งทำงานแล้ว พัดลมทำงานแล้ว คอมเพรสเซอร์ก้ทำงานแล้วเช่นกัน แต่ลมที่ออกมาก็ยังไม่อุ่นเหมือนเดิม ฟันธง!!  น้ำยารั่วแน่นอนครับ นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์ไม่เย็นที่ผมได้พบเจอและทำการซ่อมแซมอยู่เป็นประจำ

ทำไมแอร์ไม่เย็นตอนที่ 1

|0 ความคิดเห็น

ทำไมแอร์ไม่เย็นตอนที่ 1 

 

นั่นซินะ ทำไมแอร์ไม่เย็น เป็นคำถามที่มักได้ยินเสมอเวลาที่ผมออกไปพบลูกค้า ที่โทรมาแจ้งซ่อม คำตอบที่พอจะนึกได้ในตอนนั้นก็คือ เดี๋ยวผมขอตรวจเช็คก่อนนะครับ ก็แน่ล่ะครับ ใครจะเดินผ่านแอร์แล้วบอกได้เลยว่าทำไมแอร์ไม่เย็น ไม่ใช่ช่างเทวดานะ  ดังนั้นเราก็จะมาตรวจเช็คกันว่ามันเป็นอะไรถึงไม่เย็น
      -แอร์เปิดหรือยัง แล้วอยู่ใน โหมดทำความเย็นหรือเปล่า 
      หลายครั้งหลายคราวที่ผู้ใช้เองไม่รู้เรื่องนี้ ก็โทรมาแจ้งที่ร้านว่าแอร์ไม่เย็น แต่พอไปถึงก็เปิดแอร์ตามปกติ แล้วปรับรีโมทให้อยู่ใน Mode ทำความเย็น แอร์ก็ทำงานตามปกติ ที่รีโมทแอร์นั้นไม่ว่าจะเป็นแบบไร้สาย หรือแบบมีสายก็จะมีปุ่มปรับอันนี้เสมอ ยกเว้นที่เป็นแบบ”Analog”  จะไม่มีปุ่มปรับอันนี้
      ** Mode cool คือ โหมดทำความเย็น รีโมทจะเป็นตัวสั่งให้ชุดคอนเนซิ่งทำงาน(ตัวข้างนอกบ้าน)
      **Mode dry คือ โหมดไม่ทำความเย็น ชื่อก็บอกแล้วครับว่าแห้ง ไม่ทำความเย็นแน่นอน รีโมทจะไม่สั่งให้ชุดคอนเด็นซิ่งทำงาน ดังนั้นหากรีโมทตั้งอยู่ในโหมดนี้ แอร์ก็จะไม่เย็นแน่นอนครับ
      ปัญหาเล็กน้อยที่ไม่ควรมองข้ามไปครับ สำหรับผู้ใช้แอร์เองแนะนำให้อ่านคู่มือการใช้งานอย่างละเอียดครับ หากไม่เข้าใจอย่างให้โทรไปถามศูนย์บริการของแอร์ที่เราซื้อมานั้นแหละครับ ส่วนช่างที่ติดตั้งนั้นก็ควรแนะนำวิธีใช้รีโมทแอร์ให้กับลูกค้าบ้าง ลูกค้าจะได้ใช้เป็นครับ

วิธีง่ายๆช่วยยืดอายุแอร์

|0 ความคิดเห็น

วิธีง่ายๆช่วยยืดอายุแอร์


เครื่องปรับอากาศ(ต่อไปขอใช้คำว่า”แอร์”นะครับ) หากขาดการบำรุง ดูแลทำความสะอาดที่ดี และสม่ำเสมอ ก็จะมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำความเย็นทีลด]งอายุการใช้งานที่สั้นลง และนั้นก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นกับการซ่อมแซม แต่เราก็ต้องยอมรับข้อหนึ่งว่า เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นมีอายุการใช้งาน
โดยเฉพาะแอร์ซึ่งค่าอะไหล่และค่าซ่อมแซมค่อนข้างสูงที่เดียว ดังนั้นเพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อายุการใช้งานที่ยาวขึ้น ขอแนะนำวิธีเล็กๆน้อยๆที่ทำได้ไม่ยากครับ
  1.ล้างแผ่นกรองอากาศทุกเดือน อันนี้ก็แล้วแต่ความถี่ในการใช้แอร์ถ้าเปิดทุกวันก็ควรล้างทุกเดือน แต่ถ้าไม่ค่อยได้เปิดก็ 2-3เดือนล้างทีก็ได้ เรื่องล้างแผ่นกรองอากาศบางคนอาจละเลย ไม่ล้างก็ได้ไม่เห็นสกปรกเลย อันนี้ผิดครับ เพราะถ้าปล่อยให้แผ่นกรองอากาศสกปรกหรืออุดตันแล้วนั้นการหมุนเวียนของอากาศที่เข้าในเครื่องก็น้อยลงส่งผลให้การระบายความเย็นก็ไม่ดี สารทำเย็นก็กลายเป็นไอไม่หมด
(อ่านเรื่องนี้ในบทความ“หลักการทำงานวงจรน้ำยา”) ทำให้Compressor ทำงานหนักขึ้น
  2.ไม่ควรวางของขวางทางลมกลับ(Return air)ก็คือตรงบริเวณที่มีแผ่นกรองอากาศนั้นแหละครับคือช่องลมกลับเพราะจะทำให้การหมุนเวียนอากาศไม่ดี
  3.ไม่วางของกีดขวางทางระบายความร้อน ของชุด Condensing unitเพราะจะทำให้การระบายความร้อนไม่ดี ความร้อนจะทำให้ Compressor ร้อนขึ้นและอาจเสียหายได้
   4.หมั่นตรวจเช็คท่อระบายน้ำทิ้ง ว่าน้ำไหลสะดวกดีหรือไม่ หากไม่แสดงว่าเกิดการอุดตันที่ท่อระบายทิ้งแล้ว ต้องทำการล้างท่อทันที
   5.ตรวจเช็คจุดเชื่อมต่อของท่อน้ำยา ว่ามีคราบน้ำมันหรือไม่ หากมีนั้นหมายถึงเกิดการรั่วซึมของน้ำยาแอร์ ให้ตรวจเช็คแรงดันน้ำยาทันที่ว่าลดลงหรือไม่ ถ้าลดลงก็รีบหารอยรั่วและทำการซ่อมแซมทันที
   6.ล้างใหญ่ทุกๆ 6เดือนหรือ 1ปี อันนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับการบำรุงรักษาแอร์ ดูการล้างใหญ่ในบทความ“ล้างแอร์ 450บาท โฆษณาชวนเชื่อ???”
   ลักษณะที่บ่งบอกว่าแอร์ยังอยู่ในสภาพการทำงานที่เป็นปกตินั้นดูได้ด้วยตาเปล่า คือจะมีน้ำเกาะบริเวณท่อด้านกลับที่Condensing unit และลมที่ออกมาจาก Condensing unit จะอุ่นๆหรือร้อน เป็นวิธีช่วยสังเกตเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่เห็นว่ามีน้ำเกาะท่อด้านกลับลมที่ออกมาร้อนก็จะไม่ตรวจเช็คด้วยเครื่องมือวัดนะ

หลักการทำงานของวงจรน้ำยา

|0 ความคิดเห็น
หลักการทำงานของวงจรน้ำยา


 เป็นบล๊อกเกี่ยวกับระบบปรับอากาศแล้ว ก็ต้องมีเรื่องที่สำคัญที่ลืมไม่ได้เลยครับ ก็คือหลักการทำงานของแอร์ ในบทความนี้ขอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ “วงจรน้ำยา”กันก่อนครับ ก่อนที่จะไปรู้ลึก รู้จริงในเรื่องอื่นๆกันต่อไปครับโดยหลักการ ทำงานของวงจรน้ำยาส่วนประกอบที่สำคัญนั้นได้แก่
   1.Compressor
   2.Condenser
   3.Filter drier
   4.Capillary tube
   5.Evaporator
    นี่เป็นส่วนประกอบสำคัญในวงจรน้ำยา ซึ่งแต่ละตัวมีหน้าแต่แตกต่างกันไป แต่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน หากขาดส่วนใดส่วนหนีง หรือส่วนประกอบไหนชำรุดเสียหายก็ จะทำให้วงจรน้ำยาทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเรามาเริ่มทำความเข้าใจกันเลยนะครับ
    วงจรน้ำยาเริ่มต้นที่ Compressor ทำหน้าที่อัดน้ำยาซึ่งมีสถานะเป็นไอแรงดันสูงประมาณ 250-300 pisg. ผ่านท่อไปยัง Condenser ที่หน้าที่ควบแน่นน้ำยาที่เป็นไอให้กลายเป็นของเหลว โดยการระบายความร้อนออกจากน้ำยา และผ่านอุปกรณ์ลดความชื้นและกรองเศษอื่นที่ไม่ใช้น้ำยา ก็คือ drier Filter หลังจากนั้นน้ำยาก็ไหลผ่านท่อออกจากชุด Condensing unit ไปยัง Fan coil unit    ก่อนที่จะน้ำยาจะผ่านเข้าสู่ Fan coil unit น้ำยาจะถูกลดแรงดันลงด้วย Capilary tube เกลือแค่ปรมาณ40-70psig.  อุณหภูมิลดลงเหลือแค่ 4-6 องศาเซลเซียล และเปลี่ยนสถานะเป็นไอด้วยการใช้พัดลมระบายความเย็นออกมา และน้ำยาในสถานะเป็นไอก็ถูกดูดกลับสู่Compreesser และเริ่มต้นวงจรน้ำยาอีกครั้งหนึ่ง
     อย่างไรก็ตามวงจรน้ำยาอาจ มีอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นมาตามลักษณะแอร์ที่เปลี่ยนไป ขนาดบีที่ยูที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้ส่วนประกอบต่างๆเปลี่ยนประเภทไป แต่ทั้งนี้ลักษณะและลำดับขั้นก็เหมือนเดิมนะจ๊ะ
  

เลือกเครื่องปรับอากาศอย่่างไรให้คุ้มค่า

|0 ความคิดเห็น
การเลือกเครื่องปรับอากาศเครื่องปรับอากาศโดยทั่วไปแบ่งออกได้ดังนี้ :

  1.แบบติดหน้าต่าง หรือ WINDOW TYPE เป็นประเภทที่รวมอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ในชุดเดียว และติดแขวนไว้ที่ช่องหน้าต่างหรือผนังห้อง โดยเป่าลมเย็นให้เข้าห้อง พร้อมกับมีส่วนระบายความร้อนออกมาด้านนอก แบบนี้ตัวเครื่องจะมีขนาด ประมาณ 0.7-2.5 ตัน เครื่องปรับอากาศประเภทนี้เหมาะกับห้องที่ติดตั้งวงกบหน้าต่าง มีกระจกช่องแสงปิดตาย บานกระทุ้งหรือบานเกล็ด
ข้อดี : การติดตั้งเคลื่อนย้ายสะดวกและรวดเร็ว
ข้อเสีย : หากเครื่องมีขนาดใหญ่เกินไปจะมีปัญหาในการติดตั้ง เพราะบริเวณช่องหน้าต่างไม่สามารถรับน้ำหนักมากได้ – กินไฟสูงและมีเสียงดังกว่าทุกประเภทเพราะการสั่นสะเทือนของตัวเครื่อง
  2.แบบแยกส่วน หรือ SPLIT TYPE เป็นแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด ที่เรียกว่าแยกส่วนเพราะได้แยกเอาส่วนที่เป่าลมเย็นออกจากตัวเครื่องระบาย ความร้อน โดยมีขนาดตั้งแต่ 1- 50 ตัน ติดตั้งได้ทั้งที่ใต้เพดานหรือบนพื้นราบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสวยงามและความเหมาะสมกับห้อง
ข้อดี : ไม่ค่อยมีเสียงดังรบกวน เหมาะกับห้องนอนที่ต้องการความเงียบ
ข้อเสีย : มีความยุ่งยากในการติดตั้ง เพราะต้องคำนึงถึงการเดินท่อระหว่างเครื่องที่แยกส่วน
 1. ขนาดที่เหมาะสมกับห้องที่ต้องการติดตั้ง สามารถดูได้จากตาราง ขนาดพื้นที่ห้องเทียบความสูงของห้องปกติ ( ไม่เกิน 3เมตร ) พื้นที่ห้องตามความสูงปกติ ขนาดเครื่องปรับอากาศ
*B.T.U. ย่อมาจาก BRITISH THERMAL UNIT
  2. คำนึงถึงการใช้งานหรือวัตถุประสงค์ของห้องต่างๆ เช่น
- ห้องที่มีพื้นที่จำกัด เช่นห้องชุด คอนโดมิเนียม ควรใช้แบบแขวนใต้ฝ้าเพดาน
- ห้องนอน ควรเน้นประเภทที่เงียบเป็นพิเศษ และให้ความแม่นยำในการควบคุมอุณหภูมิเพื่อการพักผ่อนยาวนานตลอดคืน
- อาคารขนาดใหญ่ นิยมใช้เป็นระบบปรับอากาศส่วนกลาง หรือ CENTRAL AIR
นอกจากนี้ต้องคำนึง เรื่องการวางระบบโครงสร้าง ภายนอก ภายใน รวมถึงระบบไฟฟ้า และพื้นที่ในการเดินท่อต่างๆ
  3. พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ ( ดูจากฉลากที่ติดมากับตัวเครื่อง )
ควรเลือกประเภทที่ประหยัดพลังงานไฟฟ้า โดยดูจาก ค่า EER ( ENERGY EFFICIENCY RATIO )
ค่าที่ได้ควรเท่ากับ10 หรือมากกว่า ค่า EER ยิ่งมากเท่าไรก็จะประหยัดไฟฟ้ามากขึ้น
ค่า EER ตั้งแต่ 7.6 ลงไป ถือว่าอยู่ในระดับ 1 มีเกณฑ์ต่ำ
ค่า EER ตั้งแต่ 7.6-8.6 ถือว่าอยู่ในระดับ 2 มีเกณฑ์พอใช้
ค่า EER ตั้งแต่ 8.6-9.6 ถือว่าอยู่ในระดับ 3 มีเกณฑ์ปานกลาง
ค่า EER ตั้งแต่ 9.6-10.6 ถือว่าอยู่ในระดับ 4 มีเกณฑ์ดี
ค่า EER ตั้งแต่ 10.6ขึ้นไป ถือว่าอยู่ในระดับ 5 มีเกณฑ์ดีมาก

  4. ราคาและการบริการหลังการขาย
ปัจจุบันเครื่องปรับอากาศส่วนใหญ่มีมาตราฐานใกล้เคียงกันมาก ดังนั้นการพิจารณาอาจเปรียบเทียบจากจำนวนปีที่ใช้งานกับราคาของเครื่อง และใช้กระแสไฟน้อยที่สุดแต่ให้ความเย็นมากที่สุด รวมถึงการรับประกันสินค้าและบริการหลังการขาย

  5.การเลือกตำแหน่งติดตั้งที่เหมาะสม
-บริเวณที่สามารถระบายความร้อนได้สะดวก
-ไม่โดนฝนสาดได้ง่าย
-บริเวณที่ไม่ถูกแสงแดดส่องโดยตรงตลอดเวลา
-บริเวณที่สามารถปล่อยให้เสียงและลมร้อนเป่าออกมาได้ โดยไม่รบกวนบริเวณข้างเคียง
-ตำแหน่งติดตั้งควรมีโครงสร้างแข็งแรง หรือใกล้คานหรือเสา เพื่อรับน้ำหนักตัวเครื่องได้ดี
-ตัวเครื่องควรยกระดับให้พ้นจากพื้นดินอย่างน้อย 10 เซนติเมตร หรือพ้นจากระดับที่น้ำท่วมถึง และในบริเวณที่สามารถซ่อมบำรุงได้ง่าย

  3.แบบเครื่องชนิดทำน้ำเย็น หรือ WATER CHILLER ระบบนี้ใช้น้ำเป็นตัวกลางในการสร้างความเย็น เหมาะใช้กับอาคารขนาดใหญ่ ตัวเครื่องมีน้ำหนักตั้งแต่100 ตันขึ้นไป
  ข้อดี กินไฟน้อยกว่าประเภทอื่น

  ข้อเสีย : – มีความยุ่งยากในการติดตั้งมาก และต้องเตรียมโครงสร้างให้แข็งแรง 4.แบบเคลื่อนที่ได้ หรือ PORTABLE TYPE เป็น ระบบที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สะดวกในการนำไปใช้งาน ตัวเครื่องมีขนาดกระทัดรัด เคลื่อนย้ายได้ง่าย เนื่องจากติดตั้งตัวล้อไว้ที่ฐาน
ข้อดี : – เคลื่อนย้ายไปทุกที่ได้สะดวก น้ำหนักเบา ใช้งานง่ายและกินไฟน้อย
ข้อเสีย : – ใช้ได้กับห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ประมาณ 10-13 ตารางเมตร

ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ  

แอร์มีกี่ประเภท

|0 ความคิดเห็น
แอร์มีกี่ประเภท


   มาดูกันว่าเครื่องปรับอากาศที่เราคุ้นหน้าคุ้นตานั้น เขาแยกประเภทและมีชื่อเรียกกันว่าอย่างไรบ้างนะ โดยทั่วไปแล้วเครื่องปรับอากาศแบ่งออกใด้หลายประเภท หลายชนิด ยิ่งทุกวันนี้ก็มีการออกแบบเครื่องปรับอากาศออกมารุ่นใหม่ๆ มากมายตามความต้องการของผู้บริโภค
    ดังนั้นเพื่อง่ายต่อความเข้าใจ ขอยกตัวอย่างการแบ่งประเภทโดยลักษณะการติดตั้งดังนี้ครับ



  1.แบบติดผนัง (Wall type)
เป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทันสมัยและประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง  เหมาะสำหรับติดตั้งในห้องนอน หรือห้องนั่งเล่นที่ทีพื้นที่ไม่มากนัก เพราะแอร์ประเภทนี้BTU ยังน้อยอยู่ที่9,000BTU- 30,000BTU เท่านั้น
  2.แบบตั้งแขวน(Ceiling & Floor type)
แอร์ประเภทนี้ได้รับความนิยมจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ ด้วยคุณลักษณะที่สามารถติดตั้งได้ทั้งแขวนใต้เพดาน หรือตั้งที่พื้นก็ได้ ราคาที่ไม่แพงมากนักมี่ให้เลือกหลายยี่ห้อ หลายรุ่น แล้วแต่งบประมาณที่ท่านมีอยู่ แอร์ประเภทนี้มีขนาดตั้งแต่ 9,000BTUจนถึงขนาด 60,000BTU  ติดตั้งได้ทุกพื้นที่ที่เราต้องการไม่ว่าจะป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น ฯลฯ แตข้อเสียก็มีบ้างก็คือเรื่องเสียงดังก็ต้องยอมรับว่าเสียงค่อนข้างดังเพราะมีพัดลมส่งลมเย็นที่ใหญ่ขึ้นกว่าแบบติดผนังมากพอสมควร(แต่ผมไม่แนะนำให้ติดตั้งแอร์แบบนี้ที่ห้องนอน เพราะเสียงที่ดังอาจรบกวนคุณได้ แต่ก็มี่บางรุ่นที่เงียบก็มีเหมือนกันนะครับ ต้องค่อยๆเลือกดูครับ)
    3.แบบซ่อนฝ้า(Conceal duct type)
   แอร์ประเภทนี้จะติดตั้งซ่อนอยู่บนฝ้าเพดาน และต่อท่อลมจากแฟนคอล์ยไปจ่ายยังจุดที่ต้องการได้เลย มองไม่เห็นตัวแฟนคอล์ย จะโชว์เฉพาะหัวจ่ายลม(Supply air grille) และช่องลมกลับ(Return air grille) นิยมติดตั้งในห้องพัก ห้องนั่งเล่น หรือห้องอื่นที่ต้องการโชว์งานตกแต่งภายใน ไม่ต่องการให้มองเห็นตัวแอร์ ราคาของแอร์ประเภทนี้ไม่สูงมากนัก แต่มักมีราคาสูงกับเรือ่งอูปกรณ์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นท่อลม หัวจ่ายลม ช่องลมกลับ
   4.แอร์หน้าต่าง(Window type)
   แอร์ประเภทนี้ไม่รวมอยู่ในแอร์ประเภทแยกส่วน(split type) เพราะคอล์ยร้อนและคอล์ยเย็นรวมอยู่ในก้อนเดียวกัน ไม่ได้แยกจากกันเหมือนสามปประเภทแรก ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันแล้ว เพราะเสียงดัง (ดังมาก จริงๆผมเห็นในบ้านเก่าๆที่ติดตั้งมานาน) อาจเคยเห็นกันบ้างไม่มากนัก