วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรียนรู้เลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับคุณ

|0 ความคิดเห็น
เรียนรู้เลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับคุณ




เรียนรู้เลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับคุณ (ไทยโพสต์)
ช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังมาเยือน หลายคนเตรียมโปรแกรมหลบร้อนในเมือง ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ สถานที่ยอดฮิตของฤดูร้อน จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจากทะเล ในช่วงอากาศร้อนระอุแบบนี้ อย่าประมาทเรื่องแสงแดด ควรเตรียมรับมือกับแสงแดดที่จะมาแผดเผาผิวสวย ๆ ของเราให้หมองคล้ำลงได้

รัตติ ยา ชาติรังสรรค์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วีเอ็มวี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เวชสำอางความงาม "วีเอ็มวี ไฮโปแอลเลอเจนิคส์ (VMV HYPOALLERGENICS)" แนะนำการเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับผิว ดังนี้

การ ใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งแสงแดดแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ UVB และ UVA สำหรับ UVB เป็นแสงที่ทำให้เกิดผิวแดงแสบร้อน ผิวแห้งกร้าน และมะเร็งผิวหนัง ส่วน UVA เป็นแสงที่ทำให้เกิดผิวสีเข้มขึ้น ฝ้า กระ และปัญหาแก่ก่อนวัยจากแสงแดด (Photo-Aging) ครีมกันแดดที่เลือกใช้ควรใช้ครีมที่ปกป้องทั้ง UVB (ดูจากค่า SPF) และ UVA (ดูจากค่า PFA) สำหรับค่า SPF และ PFA ต้องมีเลขสูงเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ควรเลือกให้เหมาะกับ สภาพแวดล้อมที่ต้องเจอ ในชีวิตประจำวัน

แต่นอกจาก UVA และ UVB นอกจากแสงแดดภายนอกอาคารแล้วปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าแล ะปัญหาผิวพรรณยังมีแสง ภายในอาคารและความร้อนต่าง ๆ เช่น แสงอินฟราเรด แสงจากหลอดไฟภายในอาคาร แสงจากจอคอมพิวเตอร์ ความร้อนจากเซาน่า ความร้อนจากเตาอาหาร ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่ปกป้องผิวจากแสงภายในอาคารแ ละความร้อนต่าง ๆ นอกเหนือจากการป้องกันแสงแดด

สารกันแดดในครีมกันแดด แบ่งเป็นสองประเภทคือ Chemical Sunscreen และ Physical Sunscreen สำหรับสารเคมีที่มีคุณสมบัติ Chemical Sunscreen มักเกิดอาการแพ้ หรืออุดตันรูขุมขน (comedogenic) เป็นต้นเหตุให้เกิดสิว ดังนั้นสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย เด็กเล็ก เด็กทารก หรือแม้แต่ผู้ที่ผ่านการทำเลเซอร์ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดประเภท Physical Sunscreen เพราะจะลดโอกาสแพ้หรือระคายเคือง แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนซื้อครีมกันแดดควรทดลองทาบริเวณใต้ท้องแขนทิ้งไว ้ 15-30 นาที หากเกิดผื่น แดง แสบ แสดงว่าแพ้ครีมกันแดดนั้น ๆ

แม้ว่าเราจะใช้ครีมกันแดดปกป้องผิวแล้วก็ตาม แต่ก็กันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00 - 16.00 น. ควรสวมเสื้อแขนยาว ขายาว หมวก แว่นกันแดด ร่มช่วยกรองแสงแดดอีกชั้น หากคุณเล่นกีฬากลางแจ้งหรือว่ายน้ำ ควรเลือกครีมกันแดดประเภท Water Proof หรือ Water Resistance และควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกสองชั่วโมง





อึวันละ 3 หน กันมะเร็งลำไส้ใหญ่

|0 ความคิดเห็น
อึวันละ 3 หน กันมะเร็งลำไส้ใหญ่



สุขนิสัยการขับถ่ายอุจจาระเท่าที่ได้เรียนรู้กันมา ก็จะแนะนำให้เข้าห้องน้ำถ่ายหนักกันอย่างน้อย 1 ครั้งต่อวัน ทั้งยังควรขับถ่ายให้เป็นเวลา แถมระยะหลัง ๆ ก็มีกระแสนาฬิกาชีวิต แนะเรื่องดี ๆ เพิ่มเติมว่า คนเราควรถ่ายอุจจาระในช่วงเวลา 05.00-07.00 น. เพราะเป็นเวลาที่ลำไส้ใหญ่กำลังทำงานได้ดี
หากทำได้อย่างที่กล่าวจนเป็นนิสัย จะห่างไกลปัญหาระบบขับถ่าย แต่ก็ต้องไม่มองข้ามการกินอาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใย หรือไฟเบอร์ และดื่มน้ำอย่าต่ำกว่า 10-12 แก้วทุกวัน เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก้อนอุจจาระไม่แข็ง-ไม่ใหญ่จนทำให้ขับถ่ายลำบาก

อย่างนี้ อวัยวะที่ดูจะมีบทบาทเกี่ยวกับการขับถ่ายอุจจาระที่ส ุด ก็คงต้องเป็นลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีข้อมูลชวนรู้จาก ดร.ทอม อู๋ ดร.ด้านโภชนาการและการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติจากสหรัฐ อเมริกา กล่าวไว้บางช่วงบางตอนในหนังสือ 100 คำถามเจาะลึกเพื่อสุขภาพ แนะนำไว้ว่า หากต้องการลดโอกาสเสี่ยงการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีหน้าตาที่สดใส และกระปรี้กระเปร่า ควรถ่ายอุจจาระวันละ 3 ครั้ง
เหตุผลเพราะลักษณะของลำไส้ใหญ่มี 4 ขยัก มีส่วนขึ้น ส่วนขวาง ส่วนลง และส่วนตรง การถ่ายอุจจาระวันละ 3 ครั้ง ช่วยให้ของเสียไม่คงค้างในร่างกาย ส่วนการขับถ่ายเพียงวันละครั้งจะระบายของเสียออกไปจา กลำไส้ได้แค่ขยักเดียว

ส่วนการจะช่วยให้ระบบขับถ่ายสามารถกำจัดของเสียออกจา กร่างกายทางลำไส้วันละ 3 ครั้ง จำเป็นต้องรับประทานสลัดผักสด 2 มื้อ ร่วมกับน้ำผักและผลไม้อีกสัก 4-6 แก้ว

เคล็ดลับเพื่อดวงตาสดใส

|0 ความคิดเห็น
เคล็ดลับเพื่อดวงตาสดใส


เพื่อดวงตาสดใส
(momypedia)
โดย: พริบพราย

ถ้าต้องการให้ดวงตาส่องประกายความสดใสควรเริ่มตั้งแต ่...

เลือกอาหารที่มีประโยชน์อุดมด้วยวิตามินเอ หาเวลานอนพักผ่อนให้พอเพียง

ถ้า รู้สึกว่าความอิดโรยมาเยือนตาสวยซึ้งของคุณ แช่ถุงชาชงแล้ว แตงกวาฝาน หรือมันฝรั่งฝานแช่ไว้ในช่องฟรีซให้เย็นเจี๊ยบ แล้ววางลงบนเปลือกตานอนพักซัก 10 นาที

วันไหนตื่นขึ้นมาเปลือกตาบวมตุ่ย หาน้ำแข็งก้อนเล็กห่อด้วยผ้าขนหนูวางทาบเปลือกตาเพื่ อช่วยให้ดีขึ้น

ทำความสะอาดอุปกรณ์การแต่งหน้าทุกสัปดาห์

เลือกใช้อายเจลที่มีส่วนผสมของ เอลเดอร์ฟลาวเวอร์ มารีโกลด์ คาโมมายล์ และวิชฮาเซลเพื่อช่วยถนอมรอบดวงตา

บริหารกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาด้วยการ ลืมตากว้างๆมองไปทางซ้ายและขวา ขึ้นบนและลงล่างสลับกัน ทำ 2-3 รอบ

แน่นอนว่าความงามเริ่มต้นจากภายใน รวมทั้งหน้าต่างหัวใจทั้งสองบานของคุณด้วยค่ะ


วิธีแก้หน้ายับยามตื่น

|0 ความคิดเห็น
วิธีแก้หน้ายับยามตื่น


แก้หน้ายับยามตื่น (modernmom)

ได้นอนพักผ่อนทั้งที ตื่นเช้ามาแทนที่หน้าตาจะสดใส แต่ไหงกลับเป็นรอยยับย่น ยู่ยี่จากหมอนกดทับอย่างนี้ ทรมานใจสาวอย่างเต่าน้อยจริง ๆ ค่ะ จากการศึกษาเก็บข้อมูลของเต่าน้อยเลยเก็บมาฝากว่า ถ้าไม่อยากหน้ายับหน้าย่นก็ต้อง

เปลี่ยนปลอกหมอนมาใช้ที่ทำจากผ้าไหมหรือผ้าซาติน เพราะความลื่นของผ้าชนิดนี้จะช่วยลดการเกิดรอยย่นได้ ดียิ่งนัก

เลิกนอนทับหน้าตัวเอง ควรนอนหงาย แต่ไม่ควรนอนด้วยหมอนสูง เพราะแทนที่จะเป็นคุณ กลับจะได้โทษจากแรงโน้มถ่วงของโลกที่ทำให้หน้าคุณหย่ อนยานได้ง่าย

ถ้าลืมตาตื่นมาก็หน้าย่นไปซะแล้ว ให้หาผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นจัด ๆ ประคบหน้า แล้วรอให้เย็นจึงเอาออก รอยยับก็จะจางลงเร็วขึ้นค่ะ


"ท้องผูก" กับ"ยาระบาย" ใช้มาก ระวังจะถ่ายเองไม่ได้อีก

|0 ความคิดเห็น
"ท้องผูก" กับ"ยาระบาย" ใช้มาก ระวังจะถ่ายเองไม่ได้อีก


เชื่อว่าคงยกมือกันเป็นแถว เพราะปัญหาท้องผูกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หญิงหรือชายก็ไม่เว้น
หลาย คนจึงมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ให้ความสนใจที่จะแ ก้ปัญหาภาวะท้องผูก อย่างจริงจัง ซึ่งการปล่อยให้เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรังนั้น อาจทำให้เกิดโรคตามมาได้ เช่น โรคริดสีดวงทวาร เป็นต้น
สาเหตุ ภาวะท้องผูกอาจเกิดจากความปิดปกติทางกายหรือโรคทางสำ ไส้ เช่น รูทวาร ไขสันหลัง มีความผิดปกติของเส้นประสาทที่ควบคุมการถ่าย การอุดตันของสำไส้ มะเร็งลำไส้ หรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายความกังวล ยารักษาโรคจิตและอาการซึมเศร้า เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ภาวะท้องผูกเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุทางกาย พบบ่อยในผู้ที่รับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารน้อย หรือไม่ชอบรับประทานผัก ผลไม้ หรือดื่มน้ำน้อยเกินไป รวมถึงผู้ที่ชอบกลั้นอุจจาระบ่อยๆ
ารรักษา อาการท้องผูกทำได้ 2 วิธี คือ การรักษาโดยการใช้ยา และ การรักษาโดยไม่ใช้ยา แต่วิธีที่ดีกว่า คือ การไม่ใช้ยา แต่อาจจะใช้ได้เฉพาะในกรณีที่ภาวะท้องผูกไม่รุนแรง ข้อแนะนำคือหันมารับประทานอาหารที่มีเส้นใยมากๆ ได้แก่ ผัก ผลไม้ ตัวอย่างเช่น ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผักโขม ข้าวกล้อง พรุน ส้ม มะละกอ เป็นต้น ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลา โดยอาจเป็นช่วงเช้า หรือช่วงเย็นก็ได้ เพื่อให้ลำไส้เกิดความเคยชินกับการขับถ่ายเป็นเวลา

ส่วน การรักษาอาการท้องผูกโดยการใช้ยาระบายนั้น มีข้อมูลที่น่าสนใจจากสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ระบุว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมการใช้ยาระบายมากเกิ นความจำเป็น อย่างบางคนเมื่อเกิดภาวะท้องผูกทีไรก็จะกินยาระบายทั นที หรือผู้หญิงบางคนก็กินเป็นยาระบายเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่ถูกต้องและอาจส่งผลเส ียต่อสุขภาพได้ ควรใช้ยาระบายควรใช้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 1 สัปดาห์ โดยเฉพาะยากลุ่มที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดยาและการเกิดกลุ่มอาการท้องผูก สลับท้องเสีย ซึ่งจะทำให้การทำงานของลำไส้ใหญ่ ลดลงมากกว่าปกติ ระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ ทางที่ดีเมื่อเกิดภาวะท้องผูกและมีความจำเป็นต้องใช้ ยาระบาย ควรเลือกชนิดของยาระบายให้เหมาะสม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
รูปแบบของยาระบาย มีอยู่หลายรูปแบบ ได้แก่
• ยารับประทาน อาจเป็นยาเม็ด เช่น ยาเม็ดไบซาโคดิล ยาเม็ดมะขามแขก ก็ต้องกลืนยาทั้งเม็ด ห้ามบดหรือเคี้ยวก่อนกลืน อาจเป็นยาชง เช่น ยาชงมะขามแขก ซึ่งต้องชงกับน้ำก่อนดื่ม หรืออาจเป็นยาน้ำแขวนตะกอน เช่น ยามิลค์ออฟแมกนีเซีย หรือยาน้ำแขวนละออง เช่น ยาระบายอิมัลชันของน้ำมันแร่และแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งยาน้ำทั้งสองรูปแบบนี้ต้องเขย่าขวดทุกครั้งก่อนร ับประทานยา ส่วนใหญ่แล้วให้รับประทานยาวันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน
• ยาเหน็บทวาร ยาจะเป็นลักษณะแท่งใช้สอดในทวารหนัก วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน เช่น ยาเหน็บไบซาโคดิล ยาเหน็บกลีเซอร์รีน ซึ่งจะมีทั้งขนาดยาสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ยาเหน็บทวารนี้จะหลอมละลายเมื่อโดนความร้อน จึงต้องเก็ยาเหน็บทวารที่ยังไม่ใช้ไว้ในที่เย็น ไม่ให้โดนความร้อนหรือแสงโดยตรง หากในฉลากยาหรือเอกสารกำกับยามีข้อความระบุว่า ให้เก็บยาเหน็บในตู้เย็น ช่องธรรมดา ไม่เก็บในช่องแช่แข็ง
• ยาสวนทวาร เช่น ยาสวนโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งมีทั้งขนาดยาสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ยาจะอยู่ในรูปแบบน้ำและถูกบรรจุไว้ในภาชนะพลาสติกทรง ลูกบอลที่ด้านหนึ่งมีคอ ยื่นออกมาเป็นหลอดปลายแหลม เมื่อจะใช้ก็เปิดฝาที่ปลายคอออก แล้วสอดเข้ารูทวารหนัก บีบลูกบอลดันน้ำยาออกจนหมดแล้วดึงออกลูกบอล กลั้นไว้สักพัก จะรู้สึกปวดและอยากถ่ายอุจจาระ

สรุป ก็คือ ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาระบาย ด้วยการรับประทานผัก ผลไม้ อาหารที่มีกากใยอาหารสูง ดื่มน้ำให้มากขึ้น และออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาระบาย ควรขอคำปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน และที่สำคัญการใช้ยาระบายทุกชนิด ไม่ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้ลำไส้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้ต้องใช้ยาระบายตลอด ไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระได้เองตามปกติ

อาการคันติดต่อกันได้จริงด้วย

|0 ความคิดเห็น
อาการคันติดต่อกันได้จริงด้วย






เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่า จริงๆ แล้วอาการคันนั้นติดต่อกัน และเรียกได้ว่าหากใครสักคนพูดถึงเห็บหรือเหา คนทั้งห้องก็จะเกาตามกันเหมือนเป็นปรากฏการณ์เลยทีเด ียว

นักวิจัยชี้ว่าความรู้สึกคันสามารถดึงดูดได้ด้วยการม องเห็น เช่นเดียวกับการหาว นักวิจัยพบว่าเพียงแค่การดูวิดีโอที่มีใครคนหนึ่งกำล ังนั่งเกาอยู่ นั่นก็พอที่จะโน้มน้าวและเพิ่มปริมาณการคันให้กับคนท ี่ดูวิดีโอนั้น หรือไม่เพียงแค่หยดของเหลวที่กระตุ้นการคันเพียงไม่ก ี่หยดในบรรดาผู้เข้า ทดลอง ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเกาในจุดที่กระตุ้นมากกว่าจุดอ ื่นในร่างกาย


แพทย์ผิวหนังที่ Wake Forest University School of Medicine ในรัฐนอร์ธ แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เชื่อว่าอาการคันติดต่อกันได้เพราะสมองจะไวต่อความรู ้สึกมากเกินไปเมื่อมีคน ข้างๆ กำลังเการ่างกายอยู่ และเมื่อเป็นเช่นนั้น สมองจะตีความหมายแบบผิดๆ ต่อความรู้สึกใดๆ ของร่างกายก็ตามว่ากำลังคัน


อย่างไรก็ตาม ดร. Gil Yosipovitch ผู้นำงานวิจัยชิ้นนี้ ที่ได้ตีพิมพ์ออนไลน์ใน British Journal of Dermatology กล่าว ว่า ถึงแม้ว่าเหล่าบรรดาแพทย์ผิวหนังมักรู้สึกคันตามคนไข ้ หลังจากที่เห็นพวกเขาเกา แต่ก็ยังไม่เคยมีการศึกษาอาการคันที่ติดต่ออย่างเป็น ระบบ


ดร. Gil บอกว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการวิจัยแนะว่ามีกลไกของสมองส ่วนกลางที่รับผิดชอบต่อ การก่อให้เกิดความรู้สึกอยากเกา ทั้งๆ ที่ไม่มีตัวกระตุ้นอาการคัน และยังเป็นไปได้ว่าการส่งข้อมูลของการรับความรู้สึกจ ากบริเวณต่างๆ ไปยังสมอง ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะเกี่ยวกับอาการคัน อาจถูกตีความผิดว่าเป็น "อาการคัน"

นักวิจัยได้ให้อาสาสมัคร 25 คนดูชุดคลิปวิดีโอที่มีความยาวห้านาที โชว์ภาพของคนที่กำลังเกาแขนของตัวเอง หรือไม่ก็คลิปที่มีคนนั่งเฉยๆ โดยที่นักวิจัยได้ให้สารละลายฮิสตามีน (สารเคมีที่ถูกปลดปล่อยภายในร่างกายจากปฏิกิริยาภูมิ แพ้) เพื่อไปกระตุ้นอาการคันบนแผ่นแปะผิวหนัง หรือไม่ก็ให้สารละลายเกลือที่ไม่มีอันตรายสองถึงสามห ยดแก่อาสาสมัคร


ผลปรากฏว่าอาสาสมัครมีแนวโน้มที่จะเกาเป็นสองเท่าเมื ่อดูคนอื่นกำลังเกา ในวิดีโอ เมื่อเทียบกับการดูวิดีโอของคนที่ไม่ได้เกา โดยที่ความรู้สึกคันเกิดขึ้นทั้งในคนที่สภาพร่างกายแ ข็งแรงและในคนไข้ที่ เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis)


นอกจากนี้ ผลวิจัยคล้ายกันชี้ว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น ลิง มีการส่งต่ออาการคันเช่นเดียวกับมนุษย์ นักวิจัยจึงเชื่อว่าอาการคันที่ส่งต่อจากบุคคลหนึ่งไ ปยังบุคคลหนึ่งอาจมีราก เหง้าของการวิวัฒนาการจากในอดีต ในช่วงเวลาที่มนุษย์ค่อยๆ พัฒนาตัวเองจนต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคมที่ใ กล้ชิดกัน


นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะใช้ผลที่ได้จากการวิจัยนี้เพ ื่อพัฒนาหนทางใหม่ๆ รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคคันเรื้อรังหรือโรคผิวหนังอื่ นๆ

เปลี่ยนยาเม็ดที่ขม ให้เป็นรสหวาน

|0 ความคิดเห็น
เปลี่ยนยาเม็ดที่ขม ให้เป็นรสหวาน

งานวิจัยล่าสุด ใส่สารประกอบตัวใหม่ในยาเม็ดให้การทำงานของต่อมรับรส ขมในปากมีประสิทธิภาพลดลง

นักวิจัยได้คิดค้นสารประกอบใหม่ที่จะใส่เข้าไปในยาเม ็ดต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของต่อมรับรสขมภา ยบริเวณลิ้นลดลง ซึ่งเหล่านักวิจัยหวังว่าจะสามารถช่วยให้การกินยาไม่ เป็นปัญหาที่น่าหนักใจ ของใครหลายคนอีกต่อไป และในอนาคตถ้าเป็นไปได้จะทำการศึกษาเกี่ยวกับการเพิ่ มรสชาติในอาหารที่มีรส ขมอย่างผักใบเขียวต่างๆ อีกด้วย

จากการประชุมของ The American Chemical Society's Nationalหรือสมาคมเคมีแห่งชาติอเมริกันที่แคลิฟอร์เน ีย มีข้อสรุปและข่าวสารเกี่ยวกับสารประกอบใหม่ที่จะเป็น ประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ที่กินยายากและผู้ที่เซนซิทีฟต่อรสชาติที่ข ม โดยสารประกอบใหม่ที่ว่านี้คือ bitterness blocker หรือที่เรียกว่า GIV3616 ซึ่งเป็นสารที่จะไปปิดกั้นรสชาติขม สามารถนำสารประกอบตัวใหม่นี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอื ่นๆรวมถึงไดเอทโซดา เพื่อเพิ่มรสชาติให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังหวังว่าจะสามารถนำไปใช้กับผักใบเขียวที่ มีรสชาติขมอีกด้วย

คนส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกที่ไวต่อรสชาติขมในยาเม็ด สารทดแทนความหวานที่ให้พลังงานต่ำ และในอาหารทั่วๆไป นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยของ Givaudan Flavors Corporation กล่าวว่าในการคิดค้นสารประกอบใหม่ขึ้นมานี้ เพื่อที่จะทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกดีในการรับประทาน อาหารหรือยามากขึ้น โดยการใส่รสชาติอื่นที่ดีกว่าเข้าไปปิดกั้นและแทนที่ รสชาติขม

GIV3616 หรือสารประกอบเพื่อปิดกั้นรสชาติขมนี้ ไม่ได้มีการคิดค้นขึ้นมาครั้งแรก แต่เป็นการพัฒนาจากตัวต้นแบบตัวแรกที่ชื่อว่า GIV3727 ซึ่งตัวต้นแบบนี้ใช้เพื่อปรับปรุงรสชาติของสารให้ควา มหวานแทนน้ำตาลเช่น น้ำตาลเทียมหรือSucralose (น้ำตาลโมเลกุลคู่ที่ผลิตได้จากน้ำตาลซูโครส) แต่ประโยชน์ของ GIV3616หรือสารประกอบตัวใหม่จะมีศักยภาพและคุณสมบัติ ที่มากขึ้นกว่าเดิม ตือสามารถละลายได้อย่างรวดเร็วในอาหารและเครื่องดื่ม

ถั่ว สุดยอดอาหาร ชะลอความแก่

|0 ความคิดเห็น
ถั่ว สุดยอดอาหาร ชะลอความแก่


ถั่ว สุดยอดอาหาร ชะลอความแก่ (Twenty-Four Seven)

ข่าวดีสำหรับใครที่ชอบกินถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสงแบบไทย ๆ หรือถั่วแบบฝรั่งอย่างอัลมอนด์ พิทาชิโอ วอลนัต รวมถึงเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ใส่ปรุงอาหารและขนมต่าง ๆ


เพราะ เป็นที่รู้กันดีว่า "ถั่ว" นั้นให้โปรตีน ไขมัน และพลังงานสูง สาว ๆ บางคนกินถั่วนับเม็ดเป็นอาหารว่างแทนการกินอาหารหนัก ๆ เพราะไม่ต้องการอ้วน การกินถั่ววันละนิดละหน่อยจะช่วยเสริมสารอาหารดี ๆ อย่างคาดไม่ถึง เพราะในถั่วมีทั้งเส้นใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อย่างวิตามินอี และมี Linolenic Acid ช่วยบำรุงผิวหนังและเส้นผม นั่นล่ะจึงเป็นสุดยอดการชะลอความชรา

ถั่ว


สำหรับผลดีต่อสุขภาพก็มีโอเมก้า 3 ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ นอกจากนี้ อย.ของอเมริกา ยังบอกว่า ทานถั่ววันละ 1 กำมือ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย


ปรับสมดุลด้วยอายุรเวท..หลักง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้

|0 ความคิดเห็น
ปรับสมดุลด้วยอายุรเวท..หลักง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้



อายุรเวท เป็น แนวทางการรักษาแบบโบราณ ที่เน้นการปรับสมดุลและการประสานร่วมกันระหว่างร่างก ายกับสิ่งต่างๆ รอบตัวเรา โดยมีหลักการว่า “สรรพสิ่งรอบตัวเราล้วนเป็นอยู่กับเรา” ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการไขความจริงแห่งธรรมชาติ และช่วยเราเปิดขุมทรัพย์แห่งศักยภาพพลังการรักษาอันไ ร้ขีดจำกัด

ความจริงเราต่างก็รู้จักคุ้นเคยกับอายุรเวท หรือวิทยาศาสตร์แห่งชีวิตนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เราไม่รู้ตัว เช่น เมื่ออากาศเย็นลง เราก็จะสวมเสื้อผ้าเพิ่มความอบอุ่น ดื่มเครื่องดื่มหรือกินอาหารที่ร้อน นั่นคือเรากำลังรู้จักปรับสมดุลระหว่างความเย็นและคว ามร้อน แต่ถ้าเราไม่ฟังและไม่ตอบสนองต่อความต้องการของร่างก าย ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่สมดุลของร่างกาย เช่น การเดินออกไปตากฝนโดยไม่มีร่มหรือเสื้อกันฝนทุกวัน เราก็จะเป็นหวัด ไอ และมีไข้

อายุรเวทจึงเป็นการอธิบาย ธรรมชาติหรือสภาวะต่างๆ เช่น ร้อน เย็น เปียก แห้ง ฯลฯ เป็นการวัดความไม่สมดุลของร่างกายเพื่อประโยชน์ในการ รักษาโรค เช่น ถ้ามีผู้ป่วย 3 คนที่เป็นโรคเดียวกัน คือ ไมเกรน

คนแรกมีผิวหนังและริมฝีปากแห้ง รูปร่างผอมบาง มีอาการปวดหัวอย่างหนัก แนวทางก็อายุรเวทก็จะให้การบำบัดโดยการใช้น้ำมันร้อน และดื่มชาสมุนไพรร้อน เพื่อต่อต้านความแห้งกร้าน ช่วยให้ระบบประสาทและอาการหงุดหงิดสงบลง
คนที่สองมีความรู้สึกว่าดวงตาร้อนผ่าว มีอาการปวดหัวรุนแรงและมีไข้สูง เขาก็จะได้รับคำแนะนำให้ใช้ยาสมุนไพรประคบเย็น และเครื่องดื่มเย็น เพื่อลดไข้และความร้อนในร่างกาย
ส่วนคนสุดท้ายมีอาการปวดหัวหนักหน่วงซ้ำๆ กัน และพบเลือดคั่ง จะได้รับยาสมุนไพรชูกำลังแบบเจือจาง เพื่อปรับสมดุลให้ความรู้สึกหนักและล้าของร่างกายบรร เทาลง

การที่ผู้ป่วยทั้งสามเป็นโรคเดียวกัน แต่ได้รับการรักษาที่แตกต่างกันไปตามความต้องการและส ภาพร่างกายของแต่ละคน ก็คือการใช้หลักอายุรเวทในการปรับสมดุลให้ร่างกายนั่ นเอง ซึ่งนอกจากการปรับสมดุลธาตุพื้นฐานต่างๆ แล้ว อายุรเวทยังรวมไปถึงการเลือกและดูแลด้านอาหารการกิน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ อายุ และสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาโรคที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง และช่วยให้สุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ

หลักอายุรเวทยังตรวจวัดลักษณะของธาตุต่างๆ ด้วยการออกกำลังกาย แล้วนับอัตราการเต้นของชีพจรต่อนาที นำมาเทียบผลกับตารางดังนี้
อัตราชีพจรต่อนาที ลักษณะธาตุ สมดุลกับสิ่งต่อไปนี้
60-70 ธาตุน้ำและธาตุดิน อาหารร้อน(อุ่น) มื้อเบาๆ, เครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ, การเดินเร็ว

70-80 ธาตุไฟ อาหารและเครื่องดื่มเย็น, เดินเล่นอย่างไม่เร่งรีบหรือช้าเกินไป
ในสวนที่มีต้นไม้หรือใต้แสงจันทร์

80 ขึ้นไป ธาตุดินและธาตุลม อาหารและเครื่องดื่มร้อน(อุ่น), เน้นการออกกำลังแบบ
ผ่อนคลายและทำให้สงบ

ดัง นั้นอายุรเวทจึงเป็นวิทยาศาสตร์ที่สามารถนำมาใช้ได้จ ริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเคล็ดลับการดูแลุขภาพขั้นพื้นฐานแบบง่ายๆ เพียงแต่เราต้องหมั่นสังเกตตัวเอง เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่เป็นอยู่ในตัวเอง เพียงเท่านี้ชีวิตก็จะมีความสุขได้ยาวนาน





แก้ปัญหาผิวที่มากับหน้าร้อน

|0 ความคิดเห็น
แก้ปัญหาผิวที่มากับหน้าร้อน



ผดผื่นคัน ไม่ว่าจะเกิดจากแมลงสัตว์กัดต่อยไปจนถึงผิวไหม้เพราะ ถูกแดดเผา รักษาได้ค่ะ แล้วร้อนนี้คุณจะได้เผยผิวสวยได้อย่างมั่นใจ
หน้าร้อนเวียนมาอีกครั้ง หลายคนถวิลหา แต่อากาศร้อนกลับนำมาซึ่งความหงุดหงิดรำคาญ เราไม่ได้พูดถึงคนข้างบ้านที่ชอบตัดหญ้าทุกครั้งที่ค ุณออกมาสูดอากาศ บริสุทธิ์หน้าบ้าน แต่เรากำลังพูดถึงผิวไหม้จากการถูกแดดเผา ผดผื่นคันเนื่องจากอากาศร้อน และแมลงกัดต่อยที่คอยรบกวนความสุขในยามหน้าร้อน และด้วยตัวยาสูตรพิเศษตำรับนี้จะทำให้คุณหายจากอาการ ดังกล่าวเป็นปลิดทิ้ง จะกลับไปนอนอาบแดดได้อย่างสบายใจ
1. ผดผื่นคัน
ผิวขาดความยืดหยุ่น ซีดจาง และแพ้ง่ายมักมีเหงื่อออกน้อย (เหงื่อออกเป็นกลไกตามธรรมชาติที่ทำให้อุณหภูมิร่างก ายเย็นลง) จึงทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงมากหากถูกแสงแดดมากเกินไป ดังนั้นหากผิวรู้สึกร้อนเกินไปหรือเกิดผื่นคัน ควรรีบหลบเข้าในที่ร่มทันที

ผดผื่นคันคล้ายผื่นลมพิษ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงเล็กๆ หรืออาจมีตุ่มน้ำเล็กๆ อยู่เป็นปื้นๆ มีอาการคันมากบางรายไม่มีผื่น แต่มีอาการแสบร้อนจนต้องเกา ซึ่งไม่ควรเกาเด็ดขาด

ทางแก้ สวมเสื้อผ้าหลวมๆ ที่ตัดเย็บจากผ้าฝ้าย แคนดิซ การ์ดเนอร์ แห่งสถาบันผิวหนังนานาชาติ (The International Dermal Institute) กล่าว “เสื้อผ้าใยสังเคราะห์ที่คับแน่นยิ่งทำให้เกิดผดผื่น คันและมีอาการคันมาก ขึ้น เนื่องจากผิวไม่สามารถถ่ายเทความร้อน ชาใช้รักษาผดผื่นคันได้ผลชะงัด แต่อย่านำไปดื่ม”

แคนดิซแนะให้นำถุงชาคาโมไมล์ไปแช่น้ำร้อน (ชามีสรรพคุณแก้อักเสบ) จากนั้นนำน้ำชาดังกล่าวไปเทในน้ำเย็นสำหรับอาบ แช่ตัวในน้ำนั้นนาน 15 นาที หรือใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดๆ แช่ในน้ำชาเย็นๆ แล้วบิดให้แห้ง นำไปซับบริเวณที่เป็นผดผื่นคัน คริสโตเฟอร์ แฮนซาร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทิเบตแนะ “วิธีนี้จะช่วยให้ผิวเย็นลง เนื่องจากคาเฟอีนในชามีฤทธิ์เป็นยาแก้ปวดที่ช่วยลดอา การบวม
2. ผิวไหม้เนื่องจากถูกแดดเผา
คาถาที่ชาวออสซี่ท่องขึ้นใจ ‘สวมเสื้อแขนยาว สวมหมวกกันแดด และทาครีมกันแดด’ ผิวไหม้เนื่องจากถูกแดดเผาทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้ อน และเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดระหว่าง 11 โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมง แต่หากถูกแดดในช่วงนี้นานเกินไป ก็อย่าใช้วิธีที่คนโบราณเชื่อกันว่าให้นำเนยหรือน้ำม ันพืชทาผิวบริเวณที่ถูก แดดเผา เพราะจะยิ่งทำให้ผิวที่ไหม้เกรียมแย่ลง

ทางแก้ “น้ำ แข็งเป็นตำรับยาประจำบ้านที่เหมาะกับผิวไหม้เนื่องจา กแดดเผา” การ์ดเนอร์กล่าว “นำน้ำแข็งก้อนห่อในผ้าขนหนู ประคบผิวที่ถูกแดดเผาเพื่อให้ผิวบริเวณนั้นเย็นลง” จากนั้นเปิดก๊อกในน้ำเย็นไหลผ่านผิวบริเวณดังกล่าว

แฮนซาร์ดแนะให้ใช้แอปเปิ้ลเคี่ยวจนเปื่อย แอปเปิ้ลมีสารเพกตินที่ช่วยลดการอักเสบและวิตามินเอ ดี อี และซี ช่วยรักษาผิวไหม้ที่เกิดจากแดดเผาและคืนความชุ่มชื่น ให้ผิว รวมถึงกรดอะมิโนตามธรรมชาติมีสรรพคุณเป็นเหมือน SPF ช่วยปกป้องผิวที่เสียไม่ให้เสียมากขึ้นไปอีก เนื่องจากมีฤทธิ์ทำให้ผิวเย็น ทาแอปเปิ้ลลงบนผิว ทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง

สำหรับรายที่มีอาการรุนแรง มีแผลพุพอง เลือดออก หรือปวดแสบปวดร้อน นั่นอาจเป็นไปได้ว่าผิวไหม้ถึงผิวชั้นที่ 3 ถ้าเป็นเช่นนี้ควรไปพบแพทย์
3. ต่อและผึ้งต่อย
เหล็กไนจากผึ้งและต่อทำให้เกิดอาการปวด ในรายที่มีอาการรุนแรงจะถึงขั้นเกิดอาการแพ้ อาการบวม แดง และระคายเคืองที่เกิดขึ้นเพราะแมลงฝังสิ่งแปลกปลอมที ่ร่างกายไม่รู้จักเข้า สู่ผิว

ทางแก้ ใช้ทีทรีออยล์เจือจางกับน้ำเย็นจัดเล็กน้อยทาบริเวณท ี่ถูกต่อย ทำซ้ำทุก 5 หรือ 10 นาทีจนกว่าอาการปวดจะหาย หัวหอมมีสรรพคุณเป็นยาแก้อักเสบ ช่วยลดอาการปวดอย่างได้ผล นำหัวหอมมาผ่าครึ่ง วางตรงบริเวณที่ปวด ใช้คีมหรือเล็บหยิบเหล็กไนออก ระวังอย่าบีบเหล็กไน เพราะอาจเป็นการบีบถุงน้ำพิษเข้าสู่ร่างกายเร็วขึ้น ทำให้เกิดการติดเชื้อ จากนั้นประคบน้ำแข็ง (ice pack) เพื่อลดอาการบวมและระคายเคือง วุ้นว่านหางจระเข้หรือน้ำมันหอมระเหยคาโมไมล์หรือลาเ วนเดอร์เจือจางกับน้ำทา บริเวณที่ถูกต่อยก็ช่วยได้เช่นกัน
4. แมลงกัด
สิ่งไม่น่าพิสมัยที่มากับหน้าร้อนได้แก่สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างแมลงหรือตัวริ้น ตัวเหลือบและมด แมลงกัดทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง เป็นผื่นแดง มีอาการปวดแสบ

ทางแก้ ไล่แมลงต่างๆ โดยการนำน้ำมันหอมระเหยกลิ่นซิทรัส (citrus) เจือจางในน้ำมันพื้นฐาน (carrier oil) แล้วนำมาถูนวดผิว แมลงเกลียดกลิ่นเลมอน แต่หากถูกแมลงกัดแล้ว ก็มีวิธีบรรเทาอาการคันและระคายเคือง โดยใช้ว่านหางจระเข้ น้ำแข็งประคบ หรือแช่ตัวในอ่างอาบน้ำที่มีส่วนผสมของชาคาโมไมล์ หากกลัวติดเชื้อ ให้หยดทีทรีออยล์หรือน้ำมันยูคาลิปตัสหนึ่งหยดลงบนบร ิเวณที่ถูกกัด หากอาการไม่ดีขึ้น มีอาการคลื่นไส้ วิงเวียนหรือปวดศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์ เนื่องจากคุณอาจแพ้สารจำพวกแอนตี้ฮิสตามิน
5. แพ้ครีมกันแดด
ครีมกันแดดมีส่วนผสมของสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ได้ อาการที่พบคือเป็นผื่นคัน แสบและบวม ซึ่งเป็นผลมาจากสารเคมีที่พบในครีมกันแดดบางชนิด ปฏิกิริยาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อสารเคมีเปลี่ยนพลังงา นแสงแดดเป็นพลังงานความ ร้อน “ผิวบางประเภทไม่สามารถทนต่อความร้อนและค่า SPF สูงๆ ได้ ยิ่งครีมกันแดดมีส่วนผสมของสารเคมีมากเท่าไร ก็ยิ่งก่อให้เกิดอาการแพ้มากเท่านั้น” การ์ดเนอร์กล่าว

ทางแก้ หากเกิดผื่นคันภายในหนึ่งชั่วโมงหลังทาครีมกันแดด ให้รีบอาบน้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อให้ผิวสดชื่นและเป็นการ ชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออก ไป และควรเลือกซื้อครีมกันแดดที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติเช ่น สังกะสีและไทเทเนียมไดออกไซด์ ซึ่งก่อให้เกิดความระคายเคืองน้อยกว่า

ว่าน หางจระเข้มีสรรพคุณเป็นเลิศในการรักษาแผลที่เกิดจากแ มลงสัตว์กัดต่อย ช่วยลดอาการบวม รักษาแผลกัดต่อย เนื่องจากมีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิค (salicylic acid) ซึ่งเป็นตัวยาบรรเทาอาการปวดเช่นเดียวกับที่พบในแอสไ พริน


น้ำเชื่อมเมเปิ้ล สุดยอดอาหาร ป้องกันมะเร็ง

|0 ความคิดเห็น
น้ำเชื่อมเมเปิ้ล สุดยอดอาหาร ป้องกันมะเร็ง

นักวิทยาศาสตร์เผยน้ำเชื่อมเมเปิ้ล จัดเป็นสุดยอดอาหารเหมือน บล็อคโคลี่ บลูเบอร์รี่ และปลาที่เต็มไปด้วยโอเมก้า 3 ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

ผลการทดสอบพบว่า น้ำเชื่อมเมเปิ้ลที่ผ่านวิธีการต้ม จะพบสารที่ในการจัดการกับโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทั้งยังมีผลช่วยยับยั้งมะเร็งและการอักเสบ

สารโพลีฟีนอลที่อยู่ในน้ำหวานที่สามารถละลายน้ำ ส่วนประกอบนี้สามารถขัดขว้างเอ็นไซม์ที่เปลี่ยนแปลงค าร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาล เป็นแนวทางใหม่ที่จะจัดการเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งยังพบสารสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันและการเสื่อมอายุข องเซลล์ของร่างกาย ที่ไม่พบในน้ำหวานจากธรรมชาติอื่นๆ

ดร.นาวินดรา ศรีราม ผู้นำการวิจัยของมหาวิทยาลัยโรดไอแลนด์ กล่าวว่า เราไม่ทราบว่าสารในน้ำเชื่อมเมเปิ้ลมีส่วนช่วยให้สุข ภาพดี แต่เราทราบว่าน้ำเชื่อมเมเปิ้ลให้สารอาหารที่หลากหลา ยที่ต้องยกให้เป็นสุดยอดของอาหาร ทั้งนี้สารโพลีฟีนอลยังพบในอาหารอื่น เช่น ไวน์ ชา และผลเบอร์รี่
.................................................. .........

มารู้จักน้ำเชื่อมเมเปิ้ล
น้ำเชื่อมเมเปิ้ลนั้นทำมาจากน้ำเลี้ยงต้นเมเปิ้ลซึ้ง มีความหวานตามธรรมชาติอยู่ ชนิดของต้นเมเปิ้ลที่ใช้ในการทำน้เชื่อมก็สามารถใช้ไ ด้ทั้งเมเปิ้แดงและเมเปิ้ลดำ น้ำหวานของต้นเมเปิ้ลเกิดจากการเปลี่ยนแป้งในหน้าหนา วให้เป็นน้ำน้ำตาลในฤดูใบไม้ผลิทำให้น้าเลี้ยงลำต้นม ีรสชาติหวานขึ้น การนำน้ำหวานภายในต้นเมเปิ้ลมาใช้โดยการเสียบท่อเข้า ไปในลำต้นและปล่อยให้ไหลลงถังและรวบรวมไปยังหม้อต้มเ พื่อใช้ความร้อนทำให้น้ำระเหยออกจนเป็นน้ำเชื่อมที่เ ข้มข้น เมืองควินเบก ประเทศแคนนาดาเป็นผู้ผลิตน้ำเชื่อมเมเปิ้ลที่สูงที่ส ุดในโลก ซึ่งเป็น 85 เปอร์เซ็นของผลผลิตโดยรวบของทั้งโลก และยังมีเทศกาลเมเปิ้ลไซรัปที่จะจัดราวๆเดือน มีนาคม-เมษายนของทุกปี

ความจริงเกี่ยวกับโบท็อกซ์และฟิลเลอร์

|0 ความคิดเห็น
ความจริงเกี่ยวกับโบท็อกซ์และฟิลเลอร์


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

หากจะพูดถึงศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า แน่นอนว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะคิดถึงการฉีดโบท็อกซ์ และฟิลเลอร์เป็นอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว เพราะทั้งสองวิธีนี้เป็นวิธียอดนิยมที่ทำให้ผู้หญิงท ี่มีปัญหาเรื่องริ้วรอย บนใบหน้า สามารถกลับมามีผิวหน้าตึงกระชับได้อย่างไม่น่าเชื่อเ ลยทีเดียว

และด้วยความที่โบท็อกซ์ และ ฟิลเลอร์ ให้ผลลัพธ์ในการทำให้ใบหน้าเต่งตึงไม่ต่างกันเลย จึงทำให้หลายครั้ง ผู้หญิงหลายคนก็เข้าใจผิดว่ามันคือเทคโนโลยีชนิดเดีย วกันซะอย่างนั้น และทำให้เกิดความสับสนเอาได้ง่าย ๆ วันนี้ กระปุกดอทคอมก็เลยนำเรื่องราวเกี่ยวกับโบท็อกซ์และฟิ ลเลอร์มาฝากกันอีกครั้ง เพื่อให้ผู้หญิงเราได้เข้าใจถึงความแตกต่าง และการทำงานของเทคโนโลยีทั้งสองอย่างถูกต้อง และสามารถใช้บริการได้อย่างเหมาะสมนั่นเองค่ะ

เริ่ม ต้นที่โบท็อกซ์กันก่อน สำหรับการฉีดโบท็อกซ์นั้น เป็นวิธียกกระชับผิวหน้าที่จะแพทย์จะฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน ซึ่งเป็นสารพิษที่ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเข้า ไปใต้ชั้นผิวหนัง และแน่นอนว่า เมื่อมันถูกนำมาใช้กับผิวบริเวณตีนกา หรือหน้าผากที่มีรอยย่นแล้ว ก็จะทำให้ผิวที่หดเกร็งอยู่นั้นคลายตัว อีกทั้งยังมีการเจือจางตัวยาผสมกับ โบทูลินัม ท็อกซิน ไปกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิ วอีก กลายเป็นตัวช่วยให้ผิวเต่งตึงไร้ริ้วรอยอย่างสมบูรณ์ แบบเลยทีเดียว

ส่วนการฉีดฟิลเลอร์นั้น เป็นการฉีดเสริมส่วนที่ขาดหายไปในชั้นผิวหนัง เช่น รอยแผลเป็นขนาดเล็ก หลุมสิว ร่องแก้ม ตีนกา ให้ดูเต็มและเต่งตึงขึ้นมาได้ โดยฟิลเลอร์จะเข้าไปเสริมคอลลาเจน และไฮยาลูรอนแนนใต้ผิว ทำให้ผิวในส่วนที่เป็นร่องลึกลงไป กลับมายืดหยุ่น เรียบเนียนเท่ากับผิวบริเวณโดยรอบได้ จึงทำให้ใบหน้าเต่งตึงอ่อนเยาว์ขึ้นมาได้อย่างไม่ต้อ งสงสัย และนอกจากนี้ ยังใช้ในการเสริมจมูก เสริมแก้บตอบ และเติมริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มอีกด้วย

ข้อแตกต่างของโบท็อกซ์ กับฟิลเลอร์ จึงอยู่ตรงที่โบท็อกซ์นั้น เป็นการฉีดเพื่อ "ลด" การหดเกร็งของกล้ามเนื้อ แต่ฟิลเลอร์นั้นเป็นการฉีดสารเข้าไป "เพิ่ม" และเติมเต็มผิวบริเวณร่องลึกให้ตื้นขึ้นมานั่นเอง ดังนั้น แม้ว่ามองภายนอกแล้ว เราจะไม่ค่อยเห็นความแตกต่างระหว่างคนที่ฉีดโบท็อกซ์ กับฟิลเลอร์มากนัก เพราะให้ความเต่งตึงของผิวเหมือนกัน แต่ในความรู้สึกของผู้ที่ได้รับการรักษา จะค่อนข้างแตกต่าง เพราะผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์ ถูกลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าลง จึงทำให้ไม่สามารถยิ้มหรือขมวดคิ้วได้อย่างเต็มที่ โดยจะรู้สึกตึง ๆ บริเวณใบหน้าตลอดเวลา แต่สำหรับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์กลับสามารถยิ้มและเกร็งใบ หน้าได้ตามปกติ แต่ใบหน้าก็จะดูไม่เป็นธรรมชาติเท่ากับผู้ที่ฉีดโบท็ อกซ์เท่าใดนัก

และนั่นก็คือข้อแตกต่างระหว่างโบท็อกซ์ กับฟิลเลอร์ ที่เรานำมาบอกเล่าให้ฟังกันวันนี้ แต่ถ้าหากอยากจะถามว่า วิธีใดจะดีกว่ากันนั้น ก็คงไม่อาจจะตัดสินได้ เพราะขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคน และผลลัพธ์ที่ค่อนข้างแตกต่างในความรู้สึกของผู้เข้า รับบริการด้วย ซึ่งหากจะให้สรุปข้อแตกต่าง เพื่อเปรียบเทียบ ก็สามารถแยกออกมาได้หลัก ๆ ดังนี้

โบท็อกซ์

สารที่ใช้ คือ โบทูลินัม ท็อกซิน หรือสารพิษชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดการคลายตัวและเป็นอั มพาตบริเวณกล้ามเนื้อที่ถูกฉีดเข้าไป

เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ผู้ฉีดจะไม่สามารถยิ้ม เกร็งใบหน้า หรือขมวดคิ้วได้เหมือนเดิม เพราะกล้ามเนื้อจะตึงมาก

ให้ผลลัพธ์ที่ดี ใบหน้าดูเป็นธรรมชาติ เพราะสารโบทูลินัม ท็อกซินจะเข้าไปทำปฏิกิริยากับกล้ามเนื้อเท่านั้น ไม่มีการเสริมเติมใด ๆ

สารจะละลายหมดไปภายใน 5-6 เดือน ซึ่งผู้ฉีดจะสามารถกลับมายิ้มเต็มแก้มได้ ขมวดคิ้วได้อีกครั้ง แต่ริ้วรอยก็จะกลับมา

ฟิลเลอร์

สารที่ใช้ คือ คอลลาเจน หรือ ไฮยาลูรอนแนน ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่อยู่ในชั้นผิวของคนอยู่แล้ว ไม่เป็นอันตรายกับผิว

เมื่อฉีดเข้าไปแล้ว ผู้ฉีดจะสามารถยิ้มและเกร็งใบหน้าได้ตามปกติ แต่จะรู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้อแปลกปลอมอยู่ภายในผิวใน สัปดาห์แรก ๆ ที่ฉีดเท่านั้น

ให้ผลลัพธ์ที่ดี ใบหน้าดูเป็นธรรมชาติ แต่การฉีดเสริมขึ้นมาก ๆ อาจทำให้ผิวดูบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น การฉีดร่องแก้มให้ดูเต็ม เป็นต้น

สารละลายหมดไปภายใน 5-6 เดือน โดยจะค่อย ๆ ปรากฎริ้วรอยเดิมชัดเจนจนกว่าสารจะละลายไปหมด

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นการฉีดโบท็อกซ์ หรือฟิลเลอร์ก็ตาม สาว ๆ จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และต้องเลือกสถานที่ที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยสู งเป็นสำคัญ เพื่อที่จะไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง หรืออาจเสี่ยงหน้าพังจากการศัลยกรรมที่ไม่ได้มาตรฐาน ได้

ผิวสวยใสง่าย ๆ ด้วยสูตรธรรมชาติ

|0 ความคิดเห็น
ผิวสวยใสง่าย ๆ ด้วยสูตรธรรมชาติ


ผิวสวยใสง่าย ๆ ด้วยสูตรธรรมชาติ (Momypedia)

ผิวสวยใสง่าย ๆ ด้วยสูตรธรรมชาติแบบบ้าน ๆ ที่คุณเองก็สามารถทำเองได้โดยไม่ต้องพึ่งสถานเสริมคว ามงาม หรือไปสปาให้เปลืองเงินแต่อย่างใด ว่าแล้วลองมาดูกันหน่อยดีกว่าค่ะว่ามีสูตรอะไรบ้าง

สูตรความงามแบบธรรมชาติ ด้วยน้ำมะนาวช่วยให้ใบหน้าสะอาดหมดจด

น้ำมะนาวนี่ละค่ะ นำมาผสมกับไข่ขาวสามารถทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างดี สำหรับสาวผิวมัน บีบน้ำมะนาวผสมกับไข่ขาว 1 ฟอง ตีไข่ขาวให้เป็นฟองและเทลงกระทะพร้อมน้ำมะนาวตั้งไฟอ ่อน ๆ จนกระทั่งขึ้นฟูหนา ทิ้งไว้ให้เย็นนำมาทาทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 2-3 นาที และเช็ดออกด้วยสำลีชุบน้ำหมาด ๆ

สูตรความงามแบบธรรมชาติ ด้วยใบบัวบกช่วยชะลอวัย

ใบบัวบกที่แสนดีจะเป็นผู้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจ นและอีลาสติน ถ้าอยากจะยืดระยะเวลาความเต่งตึงไว้นานหน่อยไปตลาดซื ้อใบบัวบกสด ๆ มาปั่นหรือตำให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำใช้สำลีชุบน ้ำพอกหรือทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกทำทุกวันก่อนนอนนะคะ

สูตรความงามแบบธรรมชาติ ด้วยน้ำตาลขัดผิวพรรณช่วยให้ผิวสดใสเปล่งปลั่ง

เราใช้น้ำตาลทรายเม็ดใหญ่ ๆ เป็นสครับขัดผิวได้ค่ะ ด้วยน้ำตาลทราย 1 ถ้วยผสมครีมอาบน้ำในบ้านประมาณ 2 ช้อนชา นำมานวดให้ทั่วตัว บริเวณไหนแห้งมากก็นวดให้ละเอียดและนานกว่าส่วนอื่นห น่อย เช่น ข้อศอก หัวเข่า ล้างออกด้วยน้ำเย็น ผิวพรรณจะสดใสเปล่งประกาย

หรือชโลมผิวด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว ใช้น้ำมะนาว 1 ถ้วย ผสมกับน้ำผึ้ง 2 ถ้วย หรือประมาณเอาเองก็ได้ค่ะว่า อัตราส่วน 1 ต่อ 2 ผสมให้เข้ากันล้างเนื้อล้างตัวพอสะอาด นำน้ำผึ้งผสมมะนาวให้ทั่วเรือนร่างทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นกับสบู่เช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูให้แห้ งทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ถ้าเป็นสาวผิวแห้งเติมน้ำในส่วนผสมเสียหน่อยค่ะ

สูตรความงามแบบธรรมชาติ ด้วยข้าวโอ๊ตช่วยถนอมมือทำให้มือนุ่มขึ้น

ใช้ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับนม 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกันพอเข้ากันได้ดีแล้วนำมาทาถูมือทั้งสองข้างล้าง ออกแล้วทำซ้ำอีกรอบ จะช่วยให้มือทั้งขาวขึ้นและนุ่มขึ้น สำหรับคนที่กลัวแพ้ก็ทดลองใช้ทีนะนิดก่อนก็ได้ค่ะ


โยคะงู เทรนด์การออกกำลังกายแบบใหม่

|0 ความคิดเห็น
โยคะงู เทรนด์การออกกำลังกายแบบใหม่


โยคะงู เทรนด์การออกกำลังกายแบบใหม่ (ไทยโพสต์)

การ ออกกำลังกายด้วยโยคะนั้นมีหลายแบบ แต่หลายคนคงยังไม่ทราบว่าหนึ่งในนั้นมีโยคะงู ซึ่งเป็นเทรนด์การออกกำลังกายแบบใหม่ ที่สร้างความหวาดเสียวให้กับผู้เล่นเป็นอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดกลับนำผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงมาสู่คุณสาว ๆ อย่างมหาศาล

คะวารี คูมารา ครูผู้สอนโยคะงู กล่าวว่า ผู้เล่นต้องเผชิญหน้ากับความกลัว และพบกับความสุขแบบใหม่ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ผ่านการออกกำลังกายแบบใหม่ที่เรียกกันว่าโยคะงู เพราะพวกเราต้องเชื่อมต่อกับความกลัวระหว่างคนและงู และคุณเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว เพราะนี่เป็นเรื่องจริงของการใช้ งูเหลือม และงูหลาม รวมทั้งงูข้าวโพด ซึ่งนอนขดเป็นวงกลมภายใต้ผ้าคลุม เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนโยคะงู และพวกมันก็กำลังคอยเวลาที่จะเข้ามาร่วมเรียนกับคุณ

พร้อมกันนี้ คะวารีกล่าวว่า คุณจะลืมโยคะที่ใช้พลังและโยคะต้นแบบไปได้เลย ถ้าหากคุณต้องการเป็นผู้นำของคนอื่น เพราะโยคะงูนี้เป็นแนวใหม่ล่าสุด และเป็นเรื่องที่ผิดปกติมากที่สุดก็ว่าได้ โดยเฉพาะห้องเรียนที่เปิดสอนอยู่ในเมือง หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า "คูมารา ศาสตร์แห่งการรักษาด้วยงู" เธอกล่าวว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของโยคะ "คูนดาลินี" หรือโยคะม้วน พูดง่าย ๆ ว่า โยคะคูนดาลินีนั้นเป็นศาสตร์หนึ่งที่ผสมผสานระหว่างส ่วนต่าง ๆ ของร่างกายกับระบบการหายใจ การตั้งจิตสมาธิ รวมถึงการสวดมนต์ภาวนาเข้าไว้ด้วยกัน

สำหรับวัตถุประสงค์ของการเรียนโยคะงูนั้น คือ การลงลึกไปสู่จิตวิญญาณ เพื่อเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณและธรรมชาติของโลกเข้ าไว้ด้วยกัน โดยใช้ความเป็นมิตรและการบำบัดจากงู และต้องได้รับคำแนะนำจากเราเท่านั้น เพราะการเอาชนะธรรมชาติเรื่องของการไม่ชอบงูได้นั้น จะช่วยเปิดระบบจักระของคุณ เพื่ออนุญาตให้พลังงานไหลผ่านเข้าไปสู่ร่างกาย ซึ่งจะช่วยปรับปรุงพื้นที่ทุกส่วนในชีวิตของคุณให้ดี ขึ้น และจะดีมากหากเรื่องนี้ไปได้ไกลในทุก ๆ ที่

หลัก สูตรแรกมี 8 ขั้นตอนหลักของการทดลอง ที่สอดคล้องกับ 8 ระบบภายในร่างกายเพื่อหาจุดสำคัญทั้ง 8 ร่วมกัน โดยเริ่มจากโยคะการฝังเข็มจากภาคตะวันออก ซึ่งระบบจักระเป็นศูนย์รวมของพลังงานในร่างกาย โดยจะไหลผ่านเข้าไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในลักษณะแนวตั้ง หรือพูดง่าย ๆ ว่าจากแนวของกระดูกสันหลังไปสู่กลางศีรษะนั่นเอง ส่วนความเชื่อในเรื่องของการที่พลังงานจะสามารถไหลเข ้าไปสู่จุดทั้ง 8 ในร่างกายได้นั้น บางคนอาจเกิดการอุดตันได้ในบางจุด จนทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น มันอาจจะทำให้เกิดความไม่สมบรูณ์ และเกิดความผิดพลาดจนไม่สามารถทำสิ่งที่ฝันได้สำเร็จ ก็เป็นได้

และความวิตกกังวลเหล่านี้สามารถทำให้ระบบจักระในร่าง กายเกิดการอุดตันได้ สำหรับการเอาชนะความวิตกกังวลได้นั้น ก็จะช่วยให้พลังงานในชั้นต่าง ๆ ทำงานได้อย่างอิสระ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้งู ซึ่งเริ่มขั้นตอนแรกโดยการจับจุดของจักระ ที่ตั้งอยู่บริเวณโคนของกระดูกสันหลัง หลังจากนั้น คะวารีจะเทน้ำมันที่มีกลิ่นหอมลงบนหน้าผาก และพวกเราก็จะเริ่มทำการออกกำลังกายบริเวณอุ้งเชิงกร าน

หลังจากนั้นก็ไล่ไปสู่หัวเข่า ลักษณะท่าทางนั้นคล้ายกับอีการ้อง และมีกิ่งไม้ติดที่บริเวณลิ้น ขณะเดียวกันผู้ฝึกเองต้องหายใจเข้าออกอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วยอาการหอบและปั๊มลมหายใจเข้าไปสู่บริเวณท้อ งน้อย ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมันเป็นเร ื่องยากนั่นเอง ดังนั้น งูจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับท่าโยคะ "คูนดาลินี" เพราะวิธีนี้เชื่อว่าพลังงานจะเกิดจากการนั่งนิ่ง ๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า การม้วนกระดูกสันหลังนั้นเป็นท่าเลียนแบบงูนั่นเอง และจุดสำคัญของโยคะประเภทนี้ จะช่วยผ่อนคลายและทำให้พลังในร่างกายไหลเวียนได้สะดว ก เพราะความเครียดและกรรมพันธุ์เป็นสิ่งที่สร้างความวุ ่นวายให้กับชีวิต หลังจากการฝึกโยคะงูแล้ว ก็จะมีการนั่งสมาธิไปพร้อมกับการฟังเพลง เพราะโยคะประเภทนี้ค่อนข้างรุนแรงและหนักหน่วง

พร้อม กันนี้ คะวารีก็ได้กล่าวว่า ความกังวลนั้นจะส่งผลต่อสุขภาพ โดยเฉพาะประชาชนประมาณ 7 ล้านคนในสหราชอาณาจักรที่ประสบปัญหาต่าง ๆ จากความกังวล และปัญหานี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ การเรียนโยคะงูนั้นก็เช่นกัน โดยเฉพาะเวลาที่พวกเรานั่งล้อมวง ครูสอนโยคะได้เตือนพวกเราว่า เมื่อไรที่เราลืมตา เขาก็จะนำงูพันคอและเดินไปรอบ ๆ วงล้อมที่พวกเรานั่งอยู่ แต่หลังจากที่ลืมตานักเรียนก็ได้เห็นงูทั้งหมด 11 ตัววางอยู่ในตะกร้า โดยมีงูเหลือม 3 ตัว งูหลามยักษ์ 4 ตัว และงูข้าวโพดตัวเล็กอีก 4 ตัว พวกเขาทำเสียงขู่เลียนแบบงูหลังจากที่งูถูกนำออกไป ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า นักเรียนจะรู้สึกปลอดโปร่งเมื่อไม่มีงูอยู่ในบริเวณท ี่เรียนโยคะ ท้ายนี้ครูผู้สอนจึงได้กล่าวว่า ถ้าคนกลัวงูจะทำให้พวกเขากลัวจิตวิญญาณของตนเองด้วย เพราะงูจะเป็นตัวที่เชื่ยมโยงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจไปสู่มนุษย์นั่นเอง


ไดเอ็ตชิลล์ ๆ สไตล์อาทิตย์อุทัย

|0 ความคิดเห็น
ไดเอ็ตชิลล์ ๆ สไตล์อาทิตย์อุทัย


Okinawa Diet ไดเอ็ตชิลล์ ๆ สไตล์อาทิตย์อุทัย (Lisa)

แผน ไดเอ็ตแบบโอกินาว่านั้นมีรากฐานมาจากอาหารการกินของช าวโอกินาว่า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีอายุยืนที่สุดในโลก และมีค่าเฉลี่ย BMI (ดัชนีมวลกาย) ค่อนข้างต่ำ (20.4 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของคนทั่วไป 18.5-24.9) แผนไดเอ็ตนี้ไม่ได้รับรองว่า คุณจะอายุยืนเกินร้อยปี แต่เป็นแผนที่ดีสำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักด้วยโภชนากา รที่สมดุล

แคลอรีน้อย ๆ

การจำกัดแคลอรีก็ยังเป็นเรื่องสำคัญ แต่คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกหิวโหย มีรายงานว่า ชาวโอกินาว่ากินน้อยกว่าคนญี่ปุ่นทั่วไปประมาณ 500 แคลอรี แต่แคลอรีที่เขารับเข้าไปนั้นล้วนแต่อุดมด้วยสารอาหา รและทำให้อิ่มเพียงแค่ 80% เท่านั้น

ดังนั้น แผนการไดเอ็ตแบบโอกินาว่าจึงต้องใช้เวลา 8 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนเข้ากับไลฟ์สไตล์ดังกล่าว โดยที่น้ำหนักจะค่อย ๆ ลดสัปดาห์ละประมาณครึ่งปอนด์ (รวมเป็น 4 กิโลกรัม หากคุณทำสำเร็จ) อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายก็สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง หรือขี่จักรยาน ก็สามารถทำให้ร่างกายคุณเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประ สิทธิภาพควบคู่ไปด้วย

ปริมาณเท่าเดิมแต่อาหารเปลี่ยนไป

เราบอกไปข้างต้นว่า แคลอรีจะต้องน้อยลง แต่ปริมาณอาหารนั้นยังคงเท่าเดิม สิ่งที่เปลี่ยนไปคือประเภทของอาหาร แต่ละมื้อจะต้องประกอบไปด้วยอาหารสี่กลุ่มคือ

เฟเธอร์เวท : มีแคลอรีน้อยที่สุด ได้แก่ ผักใบเขียวเป็นอาหารหลัก
ไลท์เวท : มีแคลอรีสูงขึ้นมาอีกนิด ได้แก่ ข้าวไม่ขัดสี คู่กับอาหารหลัก
มิดเดิลเวท : แคลอรีปานกลาง เช่น เนื้อแดง เนื้อปลา เนื้อไก่ไม่ติดหนัง กินได้บ้างแต่ไม่มากนัก
เฮฟวี่เวท : แคลอรีสูงที่สุด ได้แก่ อาหารต่าง ๆ ทั้งที่มีมันและอาหารทอดกินได้บ้างเฉพาะบางมื้อ

ออกกำลังกายก็ยังสำคัญอยู่

ทั้งนี้ แผนการไดเอ็ตดังกล่าวยังต้องใส่จิตวิญญาณของซามูไรเข ้าไปด้วย นั่นคือกินช้า ๆ เพ่งสมาธิไปที่รสและสัมผัสของอาหาร นี่จะทำให้คุณอิ่มเร็วกว่าเดิม และการใช้ภาชนะเล็ก ๆ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่อาจจะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วขึ้ นด้วย

ข้อดี

นอกจากจะช่วยลดน้ำหนัก โภชนาการที่ดียังทำให้ร่างกายคุณแข็งแรงและไม่มีโรคภ ัย
การจำกัดแคลอรีแต่โภชนาการไม่เสียสมดุลอาจทำให้คุณอา ยุยืน
อาจกลายเป็นไลฟ์สไตล์การกินตลอดชีวิตเลยก็ได้

ข้อเสีย

ไม่เหมาะกับคนที่ใจร้อนอยากลดน้ำหนักเร็ว ๆ เพราะเป็นแผนในระยะยาวมากกว่า
หากคุณคนตัดสินใจจะกินอาหารแบบญี่ปุ่นเลย ก็ต้องคอยระวังโซเดียมที่อาจให้ผลข้างเคียงคือความดั นโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดด้วย