แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องเสียง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องเสียง แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การต่อแอมป์บลิด

|0 ความคิดเห็น
เรื่องต่อลำโพงกี่ดอกแล้วได้กี่โอห์มบ้าง
วันนี้นั่งว่างๆเลยนึกทำรูปขึ้นมาให้ดูครับ
เชิญชมครับ


เรื่องมอนิเตอร์

|0 ความคิดเห็น
การทำมอร์นิเตอร์นั้นจุดสงค์หลักก็เพื่อต้องการฟังเสียงของดนตรีอื่นๆ หรือแม้กระทั้งเสียงของเราเอง
เพื่อที่จะได้บรรเลงขับกล่อมให้พร้อมเพียงกันและถูกต้องเป๊ะๆ เหมือนกับเปิดแผ่นยังไงยังงั้นให้มากที่สุด
อ่านไปเรื่อยๆนะครับมีสาระไม่มีสาระบ้าง อย่าถือสากัน
นายพี ("พี"อีกหละ 555 ตัวละครนี้มาบ่อยจัง)
นายพี ได้ตะเวนดู ฟังงานเครื่องต่างๆ มากมาย จนพบและเจอระบบการจัดมอนิเตอร์ซึ่งสามารถก็จำแนกออกได้ ดังนี้ คือ
1.การใช้มิคเซอร์เพียงตัวเดียว (ขอโทษหากภาษาที่เขียนมันบ้านๆนะครับ เอาหลักการมากคงไม่ได้)


ออกนอกเรื่องมอนอเตอร์มามากแล้ว555 บอกแล้วมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง 555(อีกที)
เพราะฉนั้นวงใหญ่ๆเขาจึงมีซาวด์ประจำตัวเพื่อมาทำเสียงในจุดนี้
กระนั้นก็เถอะ ถึงระบบนี้จะมีซาวด์มาด้วยก็ตาม แต่ส่วนมากแล้วมิคเฮาท์มักจะอยู่หลังๆ  ซาวด์ก็ไม่ได้ยินเสียงบนเวทีอยู่ดี เขาจึงมีระบบนี้ขึ้นมา(ถูกผิดอย่าว่ากันนะแต่ผมเข้าใจอย่างนี้)



แบบนี้สัญญาณจะถูกแยกออกเป็น2ทางคือ
1.ส่งไปมิคบนเวที(มิคมอนิเตอร์)
    การมิคมอนิเตอร์คือมิคแค่เพียงเสียงมอนิเตอร์บนเวทีเท่านั้น จะเพิ่มจะลดอะไรก็ไม่มีผลต่อพีเอ ส่วนมากในจุดนี้เขาจะให้ซาวด์ศิลปินเป็นคนไปทำ คือวงของคุณอยากฟังเสียงยังไงพวกคุณก็ทำให้กันฟังอยากงั้นหละ 5555++(ล้อเล่นนะครับ อันที่จริงคือเขาจะได้รู้ว่าจุดต่างๆบนเวทีควรเพิ่มควรลดอะไร และเมื่อนักดนตรีต้องการอะไรจะได้สื่อสารกันง่ายขึ้น)
2.ส่งไปมิคที่มิคเฮาท์(มิคพีเอ)
คงพอแค่นี้นะครับสำหรับเรื่องมอนิเตอร์
ขอแถมนิ๊ดหนึ่งครับ อันนี้มิคกัน3ที่เลย
คือ
1.มอนิเตอร์
2.พีเอ
3.มิเพื่อการบันทึกเสียง หรือเพื่อการส่งถ่ายทอดสดครับ
บ๊าย ๆ

การต่อ สปีกค่อนตามแบบของ"ผมเอง"

|0 ความคิดเห็น
วันนี้เป็นวันที่มีเวลาว่าง ก็เลยเอาสปีกค่อนตัวผู้ที่ได้รับการอนุเคราะห์จาก "พี่ละอ่อน" เป็นธุระในการจัดซื้อที่บ้านหม้อแล้วส่งไปให้ถึงบันไดบ้าน และสาย 4X2.5 จากท่าน kamen ในราคามิตรภาพ มาดำเนินการต่อเพื่อรองรับงานในฤดูหนาว นั่งพิจารณาอยู่พอสมควรก็เลยได้แนวทางการต่อ เพราะโดยปกติที่เห็น จะใช้สายไฟ 2 เส้นต่อกันแล้วโยงระหว่าง 1+ กับ 2+ และ 1- กับ 2- นั่นจะทำให้การขันน๊อตลำบากและเสี่ยงต่อการช๊อต แต่ถ้าใครจะต่อเป็น 2 ทางก็ไม่ว่ากัน โดยการเอา 1+คู่กับ 1- หรือ 2+ คู่กับ 2- แต่ดูขั้วตรงตูดแอมป์แต่ละยี่ห้อให้ดีๆนะครับ เมื่อเสร็จถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วจะอุดด้วย ซิลิโคนเพื่อกันน้ำ เหมือนของพี่ K-ONE MUSIC ก็ตามสบายครับ
ดังจะอธิบายให้เข้าใจ ตามขั้นตอนตามลำดับ ต่อไป

(ไม่ได้เอามะพร้าวมาขายสวน หรือสอนวัวให้กินหญ้า )

ผู้รู้แล้วก็ไม่เป็นไร สำหรับผู้ไม่รู้เชิญทัศนา ณ บัดนี้


ใช้คัตเตอร์กรีด(บาก)ระหว่างขั้ว 1+ กับ 2+ ให้ลึกตามภาพ



ตัดสายไฟให้ ขั้วบวกสั้นกว่าขั้วลบ ประมาณ 1 นิ้ว เพื่ออะไรนั้น ดูต่อไป



ปลอกสายไฟขั้วบวก แล้วแบ่งเป็นสองง่าม เหมือนตัว Y เพื่อที่จะสอดลงรู ขั้ว 1+ กับ 2+ ทั้งสองข้างบัดกรีเพื่อความแข็ง ตามภาพ

ปลอกสายที่จะทำขั้วลบให้ได้ประมาณ 1 นิ้วแล้วแบ่งเป็นสองง่าม เหมือนตัว Y จากนั้นตัดข้างหนึ่งให้สั้นเท่ากับ
ขั้วบวกที่ทำเสร็จแล้ว อีกข้างก็เอาปลอกสายไฟที่ลอกออกสวมเข้าที่เดิมกันช๊อต บัดกรีปลายสายเพื่อความแข็ง




เมื่อสายทั้งสองข้างเสร็จตามขั้นตอน ก็จะได้ดั่งภาพ พร้อมประกอบเข้ากับตัวสปีกค่อน



นำขั้วบวกประกอบเข้าก่อน โดยต่อที่ขั้ว 1+ กับ 2+



จากนั้นนำขั้วสั้นของสายที่จะทำขั้วลบต่อเข้ากับขั้ว 1- หรือ 2- ตามแต่ถนัด



ที่เหลืออีกขั้วคงไม่ต้องบอกว่าจะไปต่อที่ไหน?


หลังจากต่อเสร็จเรียบร้อยความสวยงาม และความสะดวกก็จะได้ดั่งรูป
แต่มันก็เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เมื่อขั้นตอนทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย
แต่ดั่น..ลืม "ใส่ปลอก" นี้สิ




สิ่งที่ทำมาทั้งหมดต้องรื้อออกแล้วประกอบใหม่ เพราะความไม่สังเกตุก่อนประกอบ นี่คือขั้นตอนทั้งหมด

ลำโพงนีโอไดเมี่ยม เป็นอย่างไร ???

|0 ความคิดเห็น
ลำโพงนีโอไดเมี่ยม เป็นอย่างไร ???
แม่เหล็กลำโพง จากเฟอร์ไรต์ถึงนีโอไดเมี่ยมปฎิบัติการทางเสียงประสิทธิภาพสูง

เมื่อเสียงเพลงคือมนต์เสน่ห์ที่ขับขานจากภายนอกสู่ภายใน เสียงเพลงและดนตรี มิใช่อาหารที่ต้องรับประทานครบทั้ง 3 มื้อ มิใช่สิ่งจำเป็น แต่..ทำไมมนุษย์ต้องมีเพลงในหัวใจ ทำไมหัวใจต้องขับขานบทกวีอยู่ภายใน ทำไมไม่ใช้ชีวิตแบบเดียวกับเดรัจฉาน ที่กินเพื่ออยู่ไม่ต้องสะสมทรัพย์ ไม่ต้องสร้างบ้าน ไม่ต้องลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ฯลฯ
และเพลงที่ฟังนั้นต้องดี ไพเราะ บ่งบอกได้ถึงภาวะอารมณ์ต่าง ๆ เครื่องเสียงที่เป็นตัวถ่ายทอดเสียง จึงถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน แม้บางเวลา มันถูกกระชากให้ลดความหนาของเสียงไปบ้าง ให้อึกทึกเกินไปบ้าง ให้บางไปบ้าง ด้วยมายาจริตและมายาพาณิชย์ แต่ไม่กี่วันมันก็เดินทางไปสู่ความชัดเจน มันเหมือนขุมทรัพย์ทางจิตวิญญาณที่มนุษย์มีลายแทงอยู่ใน DNA ที่วันหนึ่งเขาต้องถูกกระแสจิตภายในเรียกร้องให้แสวงหา การคิดค้นให้การถ่ายทอดเสียงดนตรีมาดีมีประสิทธิภาพ จึงเป็นศาสตร์และศิลปะอันเสมือนขุมทรัพย์ที่ปลายฟ้า..

ย้อนรอยที่มาของลำโพง
นี่มิใช่การพูดถึงเนื้อหาของลำโพงในเชิงประวัติศาสตร์ แต่จะเป็นการพูดบริบทของมันว่าเริ่มต้นมาจากการที่ อะเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ คิดเรื่องตัวถ่ายทอดเสียง(Transducer)ได้เมื่อปี ค.ศ.1876 เขาคิดเรื่องตัวถ่ายทอดเสียงเพื่อมาใช้ในการติดต่อโทรศัพท์


ตัวถ่ายทอดเสียงในโทรศัพท์อันดับแรกสุดแสดงไว้ในรูปที่ 1 โดยเมื่อสัญญาณถูกจ่ายเข้าขดลวดโซลินอยด์ มันทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น เกิดเป็นคลื่นเสียงอะนาล็อก เสียงที่เกิดขึ้นมาจากการสั่นของแผ่นเหล็กบางๆ ที่เป็นไดอะแฟรม(ไดอะแฟรมในยุคแรกจึงหมายถึงแผ่นสั่นของหูโทรศัพท์) ในตอนแรกนั้นสัญญาณที่ได้ออกมาเป็นไปในลักษณะของสัญญาณเร็กติฟาย เพราะมีการสั่นในด้านเดียว หรือแบบยูนิโพล่าร์
การใช้แผ่นเหล็กเป็นตัวสั่นเพื่อกำเนิดเสียงหรือตัวถ่ายทอดสัญญาณแบบมูฟวิ่ง-ไอรอน เป็นการยากที่จะทำให้เสียงออกมามีความชัดเจน การทำให้เสียงออกมากว้าง ดัง ต้องทำตัวถ่ายทอดเสียงให้มีขนาดใหญ่ ท่านคงเคยเห็นภาพของโทรศัพท์โบราณแบบที่มีหูฟังขนาดใหญ่นี้จากภาพเก่า ๆ หรือในภาพยนตร์ย้อนยุค ตัวถ่ายทอดเสียงของโทรศัพท์ขนาดใหญ่นี้เองที่ถูกเรียกว่า "ลาวด์สปีคเกอร์" (Loudspeaking)(อ้างจากข้อเขียนของ จอห์น วิตคินสัน จากหนังสือ Loudspeaker and Headphone Handbook ฉบับพิมพ์ครั้งที่3 หน้า44, ค.ศ.2001)

เสียงของลำโพงแบบนี้มาจากมาตรฐานของกลไกให้เสียงแหลมๆ มันจึงถูกแทนที่ด้วยขดลวดที่เรียกว่า "มูฟวิ่งคอยล์มอเตอร์" (Moving-coil motor)
คำว่า "มอเตอร์" หมายถึงอุปกรณ์ที่เคลื่อนที่ เคลื่อนไหวขยับได้ มอเตอร์ของลำโพงในปัจจุบันจึงหมายถึง ชุดวอยซ์คอยส์นั่นเอง
ปี ค.ศ.1898 ตัวถ่ายทอดเสียงแบบมูฟวิ่งคอยล์ ถูกคิดค้นโดย เซอร์ โอลิเวอร์ลอร์ด แต่ข้อด้อยของตัวถ่ายทอดเสียงแบบนี้คือ ต้องมีภาคขยายสัญญาณเข้ามาร่วมด้วยจึงจะขับเสียงออกมาได้ ลำโพงแบบมูฟวิ่งคอยล์ จึงถูกนำไปใช้ควบคู่กับการพัฒนาหลอดสุญญากาศหรือหลอดเทอร์มิโอนิค มันจึงไปมีบทบาทในวงการวิทยุ(Wireless)
ลำโพงแบบมูฟวิ่งคอยล์ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเมื่อ 'ไรซ์' และ 'เคลล็อก' สร้างลำโพง Radola104 ขึ้นในทศวรรษ 1920 เป็นลำโพงแบบ แอ็กตีฟ คือมีเครื่องขยายคลาส A กำลังขับ 10 วัตต์ บรรจุอยู่ภายในตัวตู้ขนาดหน้าตัด 610ตารางมิลลิเมตร ขับลำโพงที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 152 มิลลิเมตร ภาคขยายทำให้เกิดสนามไฟฟ้าผลักขดลวดให้เคลื่อนที่ แม่เหล็กถาวรที่จะขับเสียงออกมาได้นั้นต้องมีความเข้มพอ จึงใช้ขดลวดฟิลด์คอยล์เหนี่ยวนำเพิ่มเพื่อทำให้การเคลื่อนที่ของมูฟวิ่งคอยล์เคลื่อนที่ได้ 2 ทางและกำลังเสียงออกมามากขึ้นเหมือนโช้คที่มีความนิ่มนวล เมื่อนำมาใช้กับวงจรขยายเสียงที่มีไฟเลี้ยงสูงๆ

หลายท่านอาจจะเคยเห็น ลำโพงบางยี่ห้อที่นำมาโชว์ในงานเครื่องเสียงมีการเสียบไฟเข้าตัวลำโพงแล้วทำให้เสียงดังเพิ่มขึ้นและถือว่าเป็นที่ชื่นชอบของนักฟังเพลงจากเทริ์นเทเบิ้ล ทั้งที่ความจริงแล้ว ลำโพงดังกล่าวเป็นของโบราณที่สุด แต่มีการนำเอาความโบราณมาบอกขายว่านี่คือ สุดยอดลำโพงแมกเนติกฟิลด์
ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีของแม่เหล็กขึ้นมาใช้เพื่องานเสียงในทศวรรษ 1930 ฟิลด์คอยล์ จึงถูกแทนที่ด้วยแม่เหล็กรุ่นใหม่ที่ทำมาจากเฟอร์ไรต์ ดังนั้นลำโพงในรุ่นต่อมาจึงมีรูปร่างที่คล้ายกับลำโพงในยุคปัจจุบัน โดยเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของลำโพงราคาถูกที่มีองค์ประกอบพื้นฐานที่สุด สามารถดูได้จากรูปที่ 2 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบการทำงานในลักษณะตีปะทะเพื่อให้เกิดเสียง แต่ลำโพงในยุคใหม่ใช้การกระพือเสียงจากกรวยลำโพง โดยแม่เหล็กแผ่กระจายออก ส่งสนามแม่เหล็กไปยังขดลวด(คอยล์) คอยล์เป็นตัวรับสัญญาณกระแสไฟฟ้าของเสียงจากภาคขยายสัญญาณเสียง จึงเรียกคอยล์ในเลาต่อมาว่า "วอยซ์คอยล์"


ปัญหาของลำโพงแบบเฟอร์ไรต์ ก็คือการรั่วไหลของสนามแม่เหล็ก ดังแสดงภาพเอาไว้ใน รูปที่ 10 เมื่อดูรูปที่ 10ก ลำโพงเป็นชนิดที่ใช้วอยซ์คอยล์กลมในทางปฎิบัติมันจะให้สนามแม่เหล็กออกมาเป็นรูปวงกลมทอรอยด์ มีแม่เหล็กถาวรอยู่กลาง สังเกตว่าสนามของทอรอยด์ไม่ได้วิ่งเข้าจุดตรงกลาง ต้องขยับฟลักซ์แม่เข้าใกล้กัน ในขณะที่ลำโพงเฟอร์ไรต์เดิมๆนั้นมีฟลักซ์เหมือนอย่าง รูปที่10 ข. ทำให้ฟลักซ์จำนวนมากไหลหนีออกจากจุดกลางกลายเป็นการรั่วของสนามแม่เหล็ก(Leakage) การแก้ปัญหาคือเพิ่มขนาดของวอยซ์คอยล์ให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้น ดังวิธีการในรูปที่ 10ค. ใส่วอยซ์คอยล์ เอาไว้ด้านนอกตัวแม่เหล็ก สร้างขั้วโพลพีซนำฟลักซ์ให้มีทิศทางกระทำโดยตรงต่อสนามไฟฟ้าของวอยซ์คอยล์ เพื่อลดการรั่วของสนามแม่เหล็กลงไปจำนวนหนึ่ง
แต่หากนำไปเปรียบเทียบกับนีโอไดเมี่ยม ความแตกต่างในเรื่องพลังงานแม่เหล็กมีความเด่นชัดมาก แม่เหล็กพลังสูง (High-energy magnetic materials) ของ Neodymium iron boron ทำให้แม่เหล็กแบบนี้มีขนาดเล็กกว่าทำให้ใช้กับวอยซ์คอยล์ขนาดเล็กได้ ให้ค่าการรั่วไหลของแม่เหล็กน้อยกว่า เพียงแต่ราคาแพงกว่าเท่านั้น
รูปที่ 11 เป็นการแสดงวงจร แม่เหล็กที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ซิมมูเลตออกมา เมื่อนำเอาแม่เหล็กนีโอไดเมี่ยมมาสอดเข้าไปในวอยซ์คอยล์ อ้างอิงจากการทดสอบของจอห์น บอร์วิกค์ ที่ทำการทดสอบกับลำโพงวูฟเฟอร์ขนาด200มิลลิเมตร(ลำโพง 8 นิ้ว) แสดงให้เห็นถึงการรั่วไหลของสนามแม่เหล็กน้อยมากในขณะที่พลังงานสูงมากไม่น้อยกว่า 20 เท่าของเฟอร์ไรต์

เตรียบพบกับลำโพงนีโอดีเมี่ยมพันธุ์ไทย
เมื่อฐานการผลิต ลำโพงนีโอดีเมี่ยมที่ส่งขายประเทศสหรัฐอเมริกา ขยายฐานมาอยู่ในประเทศไทย จึงเป็นโชคดีของคนไทยที่จะได้ทดสอบ ทดลอง ลำโพงนวัตกรรมใหม่นี้ ในราคาถูกลง เป็นราคาที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้
อย่างน้อยตอนนี้มีวางตลาดอยู่ 2 เจ้า คือ P.Audio กับ GIP แน่นอน ตลาดเสียงกลางแจ้งตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ฝุ่นตลบแน่นอนคอยดูความสะใจครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้.....

POWER AMPLIFIER TAFN D-TECH series

|0 ความคิดเห็น
d-tech คือ อะไร
D-TECH คือเทคโนโลยีชั้นนำที่ใข้ในเพาเวอร์แอมป์ของ TAFN ทุกรุ่น ที่ทำให้มีกำลังขับมาก โดยสูญเสียพลังงานน้อยที่สุด D-TECH คือ เพาเวอร์แอมป์ ที่มีภาคขยาย และภาคจ่ายไฟเป็นแบบ ดิจิตอล สวิทซ์-โหมด เทคโนโลยีชั้นนำที่ไม่เคยมีมาก่อน สามารถส่งกำลังขับได้สูงๆ โดยที่คุณภาพเสียง ใส สะอาด ไม่ผิดเพี้ยน กำลังไม่ตก มีระบบการป้องกัน ที่สมบูรณ์แบบ น้ำหนักเบา และขนาดเล็ก
 
คุณสมบัติของดิจิตอลเพาเวอร์แอป์ใหม่ของทาฟน์ (TaFn)
D-TECH ใข้ภาคจ่ายไฟ (power supply) เป็นแบบเทคโนโลยีสวิทซ์-โหมดชั้นนำ ในกรณีที่ไฟตก ไฟเกิน ไฟฟ้าไม่เสถียร กำลังขับที่ออกมายังเสถียรเหมือนปกติ เพราะว่า D-TECH ใช้ระบบการฟีดแบล็คเร็ว (fast-feedback system) ในกรณีที่ไฟดับหรือเกิดการกระขากของไฟที่รุนแรงจนเครื่องดับ ระบบซอฟท์สตาร์ท (soft-start) จะเริ่มทำงานทันทีเมื่อเครื่องเริ่มทำงานใหม่ เสียงจะค่อยๆดัง จะไม่เกิดเสียงดังทันทีทันใดเป็นระบบการป้องกันภายในเครื่อง และ ลำโพงไม่ให้เกิดการเสียหาย
 
เนื่องจาก D-TECH ใช้วงจรพิเศษ ที่ทำให้เอ้าพุทอิมพีแดนซ์ (output impedence) ต่ำมาก เพราะฉะนั้นแดมปิ้งแฟ็กเตอร์จะสูงมาก (high damping factor) จึงบังคับดอกลำโพงได้ดีกว่า เสียงเบส ที่ออกมาเหมือนจริงและแน่น แม้ว่าเพาเวอร์แอมป์ถึงจุดคลิป (clip) แดมปิ้งแฟกเตอร์ (damping factor) ยังสูงอยู่ เสียงที่ออกมายังแน่น และไม่เบลอ
ในกรณี ที่เกิดการ โอเวอร์โหลด (overload) หรือ เกิดการช็อต (short circuit) ระบบ AGC (Automatic gain control) ของ D-TECH จะจำกัดกระแสเอ้าท์พุท โดยอัตโนมัติ ทำให้เพาเวอร์แอมป์สามารถป้องกันระบบภายใน ไม่ให้เกิดการเสียหายอย่างสมบูรณ์ โอกาสที่เสียหายมีน้อยมาก ระบบ AGC (Automatic gain control) จะทำการวัดกระแสที่ออกมาตลอดเวลา และถ้ากระแสเกินจุดที่เครื่องกำหนด ระบบจะทำการลดสัญญาณเอ้าท์พุทโดยอัตโนมัติ เพื่อกระแสจะไม่เกินจุดที่กำหนด แม้ว่า จะเกิดการโอเวอร์ โหลด (overload) หรือช็อต (short circuit) แค่ไหนก็ตาม

เพาเวอร์แอมป์ D-TECH ใช้เทคโนโลยีดิจิตอลสวิทซ์-โหมด ที่สูญเสียพลังงานไปเป็นความร้อนน้อยมาก และสามารถนำพลังงานที่ส่งกลับมาจากลำโพง เอาไปใช้ใหม่ โดยที่ D-TECH สร้างความร้อนน้อยมาก ทำให้ไม่ต้องใช้ฮีทซิ้งค์ขนาดใหญ่ และระบบ ระบายความร้อนขนาดใหญ่ จึงทำให้เครื่องขยายเสียงมีขนาดเล็ก ประหยัดพลังงาน และเครื่องทนทาน
การเปรียบเทียบเทคโนโลยีต่างๆในการสูญเสียพลังงานเป็นความร้อน

Class-AB สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 50%

Class-H สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 30%

Class-TD สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 10-15%

 D-TECH สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 5%
พาเวอร์แอมป์ D-TECH สูญเสียพลังงาน เป็นความร้อนแค่ 5% เมื่อเปรียบเทียบกับ Class AB สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 50% , Class-H สูญเสียพลังงานเป็นความร้อนประมาณ 30% และ Class-TD สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 10 - 15%

เนื่องจากการสูญเสียพลังงานเป็นความร้อนน้อย จึงทำให้เพาเวอร์แอมป์ดิจิตอล D-TECH ใช้ไฟประมาณ 50% ดังนั้นจึงทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าและยังประหยัดค่าติดตั้งในส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น สายไฟ เบรคเกอร์ เป็นต้น

D-TECH ทำได้ อย่างไร? เราออกแบบดิจิตอลเพาเวอร์แอมป์ชั้นนำ และออกแบบภาคจ่ายไฟ ดิจิตอล สวิทซ์-โหมด เป็นพิเศษ เมื่อรวมการออกแบบทั้ง 2 อย่างนี้แล้วทำให้เครื่องขยายเสียงมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และประสิทธิภาพสูง

บริษัท TAFN ผลิตเพาเวอร์แอมป์ ดิจิตอล 2 ซีรีย์ ได้แก่ D-TECH SERIES และ I-POWER SERIES ซึ่งใช้เทคโนโลยี D-TECH เป็นหัวใจสำคัญ ของเครื่อง

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มาเปลี่ยนไฟในห้องโดยสารโครโนสเป็นแบบ แอล อี ดี

|0 ความคิดเห็น

เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์มาก่อนเลยครับ สิ่งที่ต้องใช้ก็มี หลอดแอลอีดี แบบสี่ขา หลอดนึง 5-7 บาทแล้วแต่ร้านและ ก็จำนวนที่ซื้อครับ (ส่วนสีแล้วแต่ตามใจชอบ) อาร์ 1 k โอห์ม หรือ 510 โอห์ม หรือ10, 20 โอห์ม 1/4 w ตะกั่ว หัวแร้ง สายไฟ หางปลา และที่ขาดไม่ได้เลยก็แผ่นปริ้นสำหรับเสียบหลอดไฟครับ ของผมได้มาในราคาแผ่นละ 30 บาท แต่ขอแนะว่าถ้าติดเรื่องราคา ก็อย่าทำเลยดีกว่าครับ ราคาค่อนข้างสูงครับ



หาของได้ครบแล้ว ก็ลงมือกันเลยดีกว่าครับ เริ่มจากไฟที่บานประตูก็แล้วกัน ก่อนอื่นก็แงะฝาครอบไฟออกมาตอนแงะออกให้แงะด้านข้างซ้ายหรือ ขวาก็ได้ครับ แต่แงะดีๆค่อยๆแงะให้เดือยที่ฝาครอบพ้นร่องที่ขบอยู่กับโคมก่อนแล้วค่อยงัดออก ไม่งั้นหักแน่นอน ซึ่งผมก็ทำหักไป แล้ว 2 อัน


หลังจากงัดฝาออกได้แล้วก็จะเจอหลอดไฟหรี่แบบเสียบถึงออกมาตรงๆเลย

แล้วก็หากระดาษค่อน ข้างแข็งสักหน่อยมาตัดเป็นแบบให้ได้พอดีโคม พอได้แล้วก็เอาไปทาบกับแผ่นปริ้นท์ตัดให้ได้ตามขนาดแบบ ก่อนจะตัดแผ่นปริ้น ก็ให้เอาหลอดไฟมาเสียบดูซะหน่อยแล้วเอากระดาษที่ทำเป็นแบบไว้มาทาบดูซะหน่อยว่าจะตัด ให้ตรงกับรูไหนที่แผ่นปริ้น หรือไม่ให้ตรงกับรูไหน

ตอนตัดแผ่นปริ้นให้ตัดใหญ่กว่าแบบสักเล็กน้อยเผื่อไว้สำหรับตอนแต่งลบมุมให้เรียบร้อยจะได้พอดี กับโคม

ต่อไปก็เอาไปพ่นสีซะก่อนมันจะได้ดูกลมกลืนกับแผงประตู (แต่ของผมไม่ได้พ่นสีเพราะวันที่อยากทำมากๆยังไม่ได้ ซื้อสีเตรียมไว้เลย) พอสีแห้งก็เอามาเสียบหลอด เสียบอาร์ (ดูขั้วบวก ขั้วลบของหลอดไฟดีๆ)

ของผมต่อแบบขนาน หรือใครจะต่อ แบบอนุกรมก็ได้นะครับไม่มีใครว่า แต่วางแผนดีๆว่าจะวางหลอดไฟ วางอาร์อย่างไรไฟถึงจะเดินได้ครบวงจร ที่ผมต่อแบบขนาน เพราะว่าถ้าหลอดใดหลอดหนึ่ง ขาดหลอดที่เหลือก็ยังติดอยู่ แต่ถ้าต่อแบบอนุกรมหลอดใดหลอดหนึ่งขาดแล้ว มันจะดับหมดทั้งวงจร

เสร็จแล้วก็ลองใส่กับโคมแล้วแง้มๆดูด้านหลังว่าจะต่อสายไฟอย่างไรที่ต่อแล้วไม่ให้สายมันขัด แล้วก็ไม่ให้มันช๊อตกัน หลังจากที่คิดได้แล้วว่าจะ ต่อสายไฟอย่างไรก็เอาหางปลามาตัดเอาเฉพาะส่วนปลายเชื่อมกับสายไฟที่ เตรียมไว้อย่าให้ยาวมากและก็อย่าให้สั้นเดี๋ยวตอน ติดตั้งจะทำงานลำบาก [/BLUE](ของผมเอาสายไฟจากปลั๊กที่ซื้ออะไหล่มือสองแล้ว ได้ปลั๊กติดมาด้วยมาใช้เพราะสายทองแดงข้างในมัน เต็มดีกว่า และฉนวนก็บางกว่าของในบ้านเราทำ)

ด้านหลังแผงไฟต่อสายไฟ กับเดินวงจรแบบนี้

เสร็จแล้วก็ต่อ เข้ากับโคมเลยครับเช็คก่อนว่าไฟมาขั้วไหนซ้ายหรือขวา ผมไม่แน่ใจครับจำไม่ได้ ถ้าต่อผิดข้างไฟไม่ติดครับ หรือถ้ามีมัลติมิเตอร์เอามาวัดโวลท์ดูก็ได้ครับเอาปลายสายมัลติมิเตอร์จิ้มที่ ขั้วไฟข้างละเส้นสาย สีแดงคือขั้วที่ไฟมา ถ้าจิ้มถูกขั้วเข็มมัลติมิเตอร์จะขึ้นมาทางขวามือในสเกลไม่เกิน 12 โวลท์ แต่ถ้าจิ้มผิดขั้ว เข็มมัลติมิเตอร์จะตกสเกลไปทางซ้ายมือ หรือจะเอาหลอดแอลอีดีต่อก็ได้ครับแต่ให้ต่อผ่านอาร์ก่อน ไม่งั้นหลอดไหม้

เสียบหางปลาเข้าขั้วเสร็จแล้วก็เก็บแผงให้เรียบร้อย เช็คไฟดูว่าติดทุกดวงหรือเปล่า แล้วใช้ปืนกาวเนี่ยะแหละครับแต้มไว้ 4 จุดกันเคลื่อน

พอกาวแห้งก็ใส่ฝาครอบ แล้วก็นั่งชื่นชมผลงาน) อื่ม....ดูดีขึ้นแฮะ แต่ถ้าได้พ่นสีเทาที่แผ่นปริ้นก่อนใส่หลอด น่าจะดูดีกว่านี้อีกไม่น้อยเลย โดยเฉพาะรุ่น 5 ประตูจะดูดีมากๆ เหมือน หลายๆท่านว่าคนขับรุ่น 5 ประตูจะหน้าตาดีกว่า คนขับรุ่น 4 ประตู รถก็น่าจะเหมือนกันเนาะ

แต่อย่าชื่นชมนานยังเหลืออีกไฟประตูอีก 3 บานที่ต้องทำรีบๆทำให้เสร็จแล้วจะดู ดีขึ้นกว่าเก่าอีก

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฟังเพลงอย่างนักเล่นเครื่องเสียง

|0 ความคิดเห็น
ฟังเพลงอย่างนักเล่นเครื่องเสียง

ประโยชน์ของการฝึกการฟังที่ถูกต้องก็คือการฝึกให้ประสาทหูได้รู้จักแยกแยะเสียงในลักษณะต่าง ๆ ออกจากกัน ซึ่งถ้าหูของคนเราสามารถแยกแยะรายละเอียดของเสียงได้ดีเพียงใด ก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงวิญญาณของเพลงที่ฟังได้มากเท่านั้น ในโลกของดนตรีนั้นศิลปินผู้สรรค์สร้างงานเพลงได้อาศัย "เสียง" เป็นสื่อในการถ่ายทอดความหมายไปยังผู้ฟัง ไม่ว่าผู้แต่งจะเป็นคนเชื้อชาติใด ภาษาใด แต่ "เสียง" ซึ่งเป็นภาษาดนตรีที่ถูกใช้ในการสื่อสารกันนั้นถือว่าเป็นภาษาสากล
การเรียนรู้ในเรื่องของการฟังก็เหมือนการเรียนรู้ภาษาสากลของดนตรีนั่นเอง
การได้เรียนรู้ถึงความหมายของการฟังที่ถ่องแท้ จะทำให้การเล่นเครื่องเสียงของเราบรรลุถึงเป้าหมายที่แท้จริง การหยิบเพลงของศิลปินขึ้นมาฟังก็เหมือนกับการเสพงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ซึ่งเครื่องเสียงก็เป็นเพียงเครื่องมือในการถ่ายทอดงานศิลปะชิ้นนั้นออกมาให้เราเสพ บทเพลงหรืองานศิลปะดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดออกมาได้ตรงตามความหมายของผู้สรรค์สร้างมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องเสียงซึ่งเป็นตัวถ่ายทอดส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับ "วิธีการปรับแต่งให้ชุดเครื่องเสียงเหล่านั้นอยู่ในสภาวะที่สามารถถ่ายทอดงานศิลปะออกมาได้หมดจดที่สุด" นั่นเอง

(1) อิมเมจ หรือ ตัวเสียง หมายถึง รูปลักษณ์หรือเสียงที่ให้รูปทรงเป็นชิ้นดนตรีหรือเครื่องเสียงที่มีคุณภาพดี จะต้องสามารถให้รูปทรงของชิ้นดนตรีที่ชัดเจนขึ้นรูปเป็นสามมิติ (9) และมีสัดส่วน (10)ที่สมจริง
(2) ซาวนด์สเตจ หรือ เวทีเสียง หมายถึง อาณาเขตโดยรอบที่อิมเมจหรือตัวเสียง (1)ทั้งหมดเรียงตัวอยู่ในอากาศ ลักษณะความกว้าง-แคบหรือตื้น-ลึกของเวทีเสียงจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของชุดเครื่องเสียง และการปรับแต่งตำแหน่งลำโพงและการปรับแต่งสภาพอะคูสติกในห้องฟังเป็นสำคัญ
(3) ไดนามิก-คอนทราสต์ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงความดังอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงของชิ้นดนตรีได้ต่อเนื่องละเอียดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ก้าวกระโดด ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการสี เป่า และร้อง ลักษณะการบรรเลงของนักดนตรีที่กระทำต่อเครื่องดนตรีบางประเภทนั้นสามารถให้ได้ทั้งไดนามิก-คอนทราสต์และไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ (4)
(4)ไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของระดับความดังอย่างรวดเร็ว หรือสัญญาณเสียงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นลักษณะของการเปลี่ยนระดับความดังจาก 0 เดซิเบลขึ้นไปจนถึงจุดพีคสุดของสัญญาณอย่างรวดเร็วมาก ๆ ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการตี ทุบ หรือเคาะที่นักดนตรีกระทำต่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ เครื่องเสียงที่ดีนั้นต้องสามารถตอบสนองสัญญาณในลักษณะดังกล่าวที่ให้สปีดรวดเร็วสมจริง
(5) หัวเสียง (Impact) หมายถึง สัญญาณเสียงแรกที่เครื่องดนตรีถูกกระทำ เครื่องเสียงที่มีคุณภาพดีจะต้องให้หัวเสียงที่ประกอบด้วยความชัดเจนและความเร็ว ในส่วนของความชัดเจนนั้นก็คือต้องให้ตัวเสียงที่มีความเข้ม มีมวลอิ่ม และมีขนาดที่สมจริง เช่น หัวเสียงที่เกิดจากการเคาะเหล็กสามเหลี่ยมจะให้ตัวเสียงที่มีขนาดเล็กกว่าหัวเสียงที่เกิดจากการย่ำกระเดื่องกลอง ส่วนความเร็วของหัวเสียงนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางของความถื่มาถึงหูของเรา เช่น เสียงย่ำกลอง ซึ่งอยู่ในย่านเสียงทุ้มจะเดินทางมาถึงหูของเราช้ากว่าเสียงเคาะเหล็กสามเหลี่ยมซึ่งอยู่ในย่านเสียงสูง เหล่านี้ เป็นต้น
(6) ความกว้างของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากซ้ายสุดของเวทีเสียงไปจนถึงชิ้นที่อยู่ขวาสุดของเวทีเสียง เพลง ๆ เดียวกันจากแผ่นซีดีแผ่นเดียวกันก็อาจจะให้ความกว้างของเวทีเสียงต่างกันได้เมื่อฟังจากชุดเครื่องเสียงต่างกัน เครื่องเสียงที่ให้เวทีเสียงกว้างมาก ๆ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะคุณภาพของเวทีเสียง (2) ย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับความลึก (7) ด้วย การแยกลำโพงทั้งสองข้างให้ถ่างออกจากกันจะเป็นการเพิ่มระยะความกว้างให้กับเวทีเสียง แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างถูกแยกห่างกันมากเกินไปจะทำให้ความเข้มข้น ( 8 ) ของชิ้นดนตรีบริเวณกลาง ๆ เวทีเสียงเจือจางลง
(7) ความลึกของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากระนาบของแถวชิ้นดนตรีที่อยู่ด้านหน้าลงไปถึงด้านหลัง เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นต้องสามารถให้ความลึกของชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ ที่แผ่กว้าง ไม่ใช่หุบเข้าหาตรงกลางเวที การดึงลำโพงทั้งสองข้างให้เข้าใกล้ชิดกันจะทำให้ความลึกของเวทีเสียงชัดเจนขึ้น แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างวางชิดกันเกินไป ชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ จะเบียดกระจุกกันอยู่บริเวณกลางเวที ไม่แผ่กระจายออก
( 8 ) ความเข้มข้น กับ ความบอบบาง หมายถึง ความหนาแน่น หรือความเจือจางของมวลเนื้อเสียงของชิ้นดนตรี พิจารณาที่อิมเมจ หรือตัวเสียง (1) ที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นความรู้สึกว่าชิ้นดนตรีเหล่านั้นคงอยู่ในอากาศด้วยความชัดเจนมากน้อยเพียงใด ถ้ามากขนาอที่รู้สึกจะเหมือนกับ "มองเห็น" ชิ้นดนตรีนั้น ๆ ลอยอยู่ในอากาศได้ชัดเจนก็บอกได้ว่าชิ้นดนตรีนั้นมีเนื้อเสียงที่เข้มข้น แต่ตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกแต่เพียงเลา ๆ เหมือนกับว่าเสียงชิ้นดนตรีนั้นลอยอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บอกได้ไม่ชัดเจนนัก ก็คือชิ้นดนตรี นั้นให้เสียงที่มีมวลเนื้อบอบบางนั่นเอง
(9) ความเป็นสามมิติ หมายถึง ภาพลักษณ์ของเวทีเสียงที่เกิดจากการจัดเรียงของชิ้นดนตรีขึ้นเป็นเวทีเสียงที่ประกอบไปด้วยความกว้าง แคบ ความตื้น-ลึก และความต่ำ-สูง ความเป็นสามมิติของเวทีเสียงนี้จะเกิดขึ้นได้ ตัวเสียงหรืออิมเมจ (1) ของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นก็ต้องมีรูปทรงที่ให้ความรู้สึกเป็นสามมิติด้วยเช่นกัน คุณสมบัติข้อนี้นอกจากจะต้องอาศัยประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงที่ดีแล้วนั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องอาศัยความละเอียดพิถีพิถันในการปรับแต่งตำแหน่งการจัดวางลำโพงและสภาพอะคูสติกภายในห้องฟังที่เหมาะสมอีกด้วย
(10) ขนาดของชิ้นดนตรี หมายถึง การประกอบกันของเสียงหลักและฮาร์มอนิกของเสียงนั้น ถ้ามีความสมบูรณ์เพียงพอก็จะเกิดเป็นขนาดของเสียงที่แตกต่างกันออกไปตามคลื่นเสียงหลักธรรมชาติของชิ้นดนตรีนั้น ๆ เช่น เสียงเปียโนจะให้ขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับเสียงอะคูสติกเบส แม้ว่าจะเล่นโน้ตตัวเดียวกันก็ตาม และในเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกันก็จะให้ขนาดเสียงของตัวโน้ตแต่ละตัวที่ไม่เท่ากันด้วย เช่น เสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือขวาจะให้ขนาดเสียงที่เล็กกว่าเสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือซ้าย ความแตกต่างอันนี้จะเกิดจากระดับเสียงที่สูง-ต่ำไปตามออกเตปของตัวโน้ต เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถแยกแยะคุณสมบัติดังกล่าวของเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณสมบัติข้อนี้เรียกว่าเป็น "รายละเอียดเบื้องลึก" หรือ Inner Detail ของเสียงส่วนหนึ่ง
(11) ความใส (Transparency) หมายถึง ลักษณะที่ทำให้สามารถ "มองเห็น" หรือรับรู้รายละเอียดของเสียงบนเวทีเสียงทั้งหมดตั้งแต่ระนาบต้นจนลึกลงไปถึงระนาบหลัง ๆ สิ่งนี้จะตรงข้ามกับ "ความขุ่นมัว" ซึ่งจะทำให้การรับรู้รายละเอียดดังกล่าวไม่ชัดเจนเปรียบเหมือนการมองเข้าไปในที่มีหมอกปกคลุมนั่นเอง

การเลือกครอสโอเวอร์ในรถยนต์

|0 ความคิดเห็น
ครอสโอเวอร์ ในที่นี้ เราหมายถึง " แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ " ที่เป็นอุปกรณ์ตัดแบ่งช่วงความถี่เสียง ซึ่งต้องมีการป้อนแรงดันไฟเข้าไปในวงจร แตกต่างจาก พาสซีฟ ครอสโอเวอร์ ที่มีอยู่ในชุดลำโพง ทำงานคนละส่วนแต่มีหน้าที่ทำงานคล้ายๆกัน มีคุณลักษณะที่เป็นข้อสังเกตดังนี้
พาสซีฟ ครอสโอเวอร์ เป็นวงจรที่มีราคาไม่แพงนัก และง่ายในการติดตั้ง โดยปกติมันถูกออกแบบเพื่อให้ใช้เฉพาะความถี่ ถ้าคุณต้องการความรวดเร็วในการปรับแต่ง พาสซีฟ ครอสโอเวอร์อาจเป็นทางเลือกที่ดีในเรื่องนี้ แต่มันก็ยังมีความยึดหยุ่นน้อยและไม่สามารถทำการปรับแต่งน้ำเสียงอย่างละเมียดได้เหมือนกับ " แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ "
แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ ต้องมีสายแรงดันไฟ และสายต่อลงกราวด์ แต่สามารถช่วยให้คุณควบคุมน้ำเสียงดนตรีได้ดีกว่ากันมาก แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ ช่วยให้เพาเวอร์แอมป์ของคุณคัดทิ้งความถี่ที่ไม่ต้องการได้ก่อน ที่แอมป์จะต้องขยายมันให้เปลืองแรง เป็นวิธีที่เพาเวอร์แอมป์จะสามารถรวบรวมกำลังไปจ่ายให้แต่เพียง ความถี่ที่คุณต้องการได้ยินมันเท่านั้น โดยไม่ต้องไปใส่ใจกับความถี่ที่คุณไม่ต้องการมัน
ถ้าคุณวางแผนเอาไว้ว่าจะมีการขยายระบบในอนาคต มันก็ต้องมีการเตรียมการเรื่อง ครอสโอเวอร์เอาไว้ด้วย เพราะในเพาเวอร์แอมป์บางเครื่องอาจไม่มีครอสโอเวอร์ติดตั้งเอาไ ว้ด้วย หรือถึงมีก็อาจไม่เหมาะสมกับระบบที่เราจะขยายมันในอนาคต
ครอสโอเวอร์ทำอะไรให้คุณได้บ้าง ?
ครอสโอเวอร์เป็นอุปกรณ์ที่จำกัดขอบเขตของความถี่ที่จะถูกส่งไปย ังลำโพง ความคิดเกี่ยวกับครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ค ที่เปรียบเหมือนตำรวจจราจร ที่ให้เสียงสูงผ่านไปยัง ทวีตเตอร์ เสียงกลางผ่านไปยัง มิดวูฟเฟอร์ และเสียงต่ำผ่านไปยัง ซับวูฟเฟอร์
ถ้าปราศจากครอสโอเวอร์แล้วคลื่นเสียงก็มีลักษณะเหมือนการจราจรที่ติดขัด มิดเรนท์ และ ซับวูฟเฟอร์จะพ้องเสียงไปในความถี่เดียวกัน และซับวูฟเฟอร์ในระบบก็จะพยายามส่งเสียงในย่านเสียงตัวโน๊ตสูงๆ ที่มันไม่สามารถทำได้ ก่อให้เกิดอาการ " สุมรวมกันอย่างรุนแรง " ( Fatal pile-up ) และทำลายเสียงแหลมด้วยลักษณะการแปรเปลี่ยนปัจจัยของโน๊ตเสียงเบ ส ซึ่งกระตุกต่อเนื่องในเปลายทางที่ผิดพลาด
ด้วยว่าเหตุเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณจึงต้องค้นหาครอสโอเวอร์ในรูปแบบที่เหมาะสมกับลำโพงแต่ละตัว ถ้าเป็นการใช้ในลำโพงวางหิ้งในระบบเครื่องเสียงบ้านแบบ สองทาง 1 คู่ มันจะใช้ครอสโอเวอร์แบบ 2 ทาง ซึ่งในลักษณะของครอสโอเวอร์แบบนี้ ตัวกรองความถี่สูงผ่านจะขวางกั้นเสียงต่ำไว้ และผ่านเฉพาะย่านความถี่สูงไปให้กับทวีตเตอร์ ในขณะเดียวกันตัวกรองความถี่ต่ำผ่านจะขวางกั้นเสียงสูง และผ่านเฉพาะย่านความถี่ต่ำไปยังวูฟเฟอร์
ทำไมต้องใช้แบบแอคทีฟ ?
ขั้นตอนการใช้งานของพาสซีฟ ครอสโอเวอร์จะต่อในช่วงสัญญาณหลังผ่านเพาเวอร์แอมป์ โดยทั่วไปจะใช้คาปาซิเตอร์หรือคอยส์ที่มีค่าเหมาะสมวางไว้ในระหว่างทางของสายลำโพง ดังนั้นมันจึงปรุงแต่งเฉพาะเสียงที่ผ่านการขยายกำลังแล้วเท่านั ้น การใช้พาสซีฟ ครอสโอเวอร์ จะต้องมีกำลังเสียงพอเพียง จุดตัดครอสโอเวอร์จะแปรเปลี่ยนไปตามอิมพีแดนซ์ของลำโพง เพราะความถี่จะถูกกำหนดโดยปฎิกริยาของโหลดลำโพง เมื่อคุณเปลี่ยนลำโพงจาก 4 โอห์มไปเป็น 8 โอห์มจุดตัดความถี่จะเปลี่ยนไปครึ่งหนึ่ง เช่น 100 Hz ก็จะเปลี่ยน 50 Hz

ในทางกลับกัน แอคทีฟครอสโอเวอร์จะมีการกระทำโดยตรงกับสัญญาณเสียงก่อนที่จะถูกป้อนเข้าเพาเวอร์แอมป์ ดังนั้นมันจึงไม่มีผลกระทบจากอิมพีแดนซ์ของลำโพง และทำให้ระบบเสียงนั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก การติดตั้งในระดับสัญญาณปรีแอมป์ ทำให้เพาเวอร์แอมป์ได้รับสัญญาณที่เข้มข้นเพื่อการขับขยายที่เต็มพละกำลังในช่วงความถี่นั้นๆ เพื่อผ่านต่อไปยังชุดลำโพง
ข้อด้อยของมันมีแค่เพียงเรื่องของความต้องการไฟ +12 โวลท์ , กราวด์ และสายควบคุมการ เปิด/ปิด อีเล็คโทรนิคครอสโอเวอร์ อาจมีส่วนใรการเพิ่มเสียงรบกวนให้กับระบบ แต่ด้วยงานติดตั้งคุณภาพสูงๆในปัจจุบันไม่น่าเกิดปัญหานี้ (นอกจากงานติดตั้งห่วยๆ ) แต่ข้อได้เปรียบของอิเล็คทรอนิคครอสโอเวอร์นั่นคือ การให้ความสะอาดชัดของเสียงแม้ว่าจะเปิดฟังความดังของระบบเสียง ในระดับแข่งขัน

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Gain&Slide fader

|0 ความคิดเห็น
 gain input & Slide fader
แบ่งเป็นสองเรื่องครับ
Gain input ที่เหมาะสม
Fader channel output

เรามาคุยกันครับ ลองตอบผมหน่อยครับ (ดูที่ VU meter ที่ Channel input นะครับ)
1 ถ้า เราเปิด gain input เบาไป เช่น -50 dB เกิดอะไรขึ้นครับ ดี หรือ ไม่ดี ครับ เพราะอะไร

    ต้องอย่าลืมนะครับเครื่องมืออีเลคโทรนิค มันก็มี noise ของตัวอุปกรณ์เอง เข้ามาเกี่ยวข้อง และ มีเรื่องพลังงานที่จะใช้งาน อยู่อย่างจำกัด เพราะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า มันก็เลยขึ้นอยู่กับว่า เครื่องที่เราใช้งานอยู่นั้น มันมีปัญญา ที่จะจ่ายกระแสร์ไฟฟ้าได้มาน้อย แค่ไหนครับ พอนึกออกไหมครับ ดังนั้น
    ถ้า gain input เบาไปมากๆ เช่นตัวอย่าง -50 dB แปลว่า เราได้สัญญานต่ำกว่า Unity gain 0 dB อยู่ 50 dB ซึ่งเยอะมาก ข้อเสียคือ มีโอกาสเป็นอย่างมาก ที่จะมีเสียง noise จากตัวเครื่องเสียงของเราเอง จะแทรกปนอยู่กับ สัญญานเสียงที่เราจะเอาไปใช้ ครับ และอีกอย่าง คือ สัญญานที่เราได้มานั้น มี Dynamic range ที่แคบมากๆ อาจะมี แค่ 10 - 20 dB เองครับ  รายละเอียด เนื้อเสียง dynamic range ที่เราจะเอามาใช้งาน ก็จะมีน้อยมากตามไปด้วย ใช่ไหมครับ นึกตามดูดีๆนะครับ
  ข้อดีคือ คุณมี headroom สำหรับ gain input ใน channel นี้ ถึง 50 dB เสียงก็ยังไม่ clip หรือ deistortion ครับ ซึ่งเป็นข้อดีที่แปลกๆ  เสียงเครื่องดนตรีอะไรครับที่คุณต้องการให้มี dynamic headroom ถึง 50 dB นี่มันคือความดังที่แตกต่างกันห้าเท่าเลยนะครับ นี่ไม่ได้พูดถึงพลังงานทางไฟฟ้าที่จะต้องใช้สำหรับความแตกต่างกันถึง 50 dB ซึ่งมหาศาลมากครับ
  จำได้ไหมครับ  เพิ่มพลังงาน 3 dB คือการเพิ่มพลังงานทางไฟฟ้า หนึ่งเท่า
ของ เดิม เราใช้พลังงานอยู่ 1 watt เราเพิ่ม 3 dB  หมายถึงเราเอาพลังงานที่เท่ากันอีก 1 watt เพิ่มเข้าไป กลายเป็น 2 watts ครับ ก็ดูเหมือนธรรมดาใช่ไหมครับ ไม่เห็นมันจะมากมายอะไ ลองอ่านต่อครับ
ที นี้เราเพิ่มเข้าไปอีก 3dB ก็คือเราเอาพลังงานที่เท่ากับที่เรามีอยู่ 2 watts ที่เรามีเมื่อกี้นั่นแหละ เราก็ต้องเพิ่มเข้าไปอีก 2 watts ก็เลยกลายเป็น 4 watts ไงครับ นี่เราเพิ่มพลังงาน ไป 6 dB จาก 1 watts ก็กลายเป็น 4 watts ไปแล้ว
พวกเราทำ PA ใช่ไหมครับ พวกเราขยายเสียงด้วยพลังงานทางไฟฟ้า(ตอนนี้ผมพูดถึง power amp นะครับจะได้เห็น ความเปลี่ยนแปลงชัดๆครับ)  ถ้าระบบของเรากำลังใช้ พลังงานอยู่ที่ 5000 watts เราเพิ่มขึ้นไป อีก 3dB  พลังงานที่เราต้องใช้ทั้งหมดคือ 5000 watts + 5000 watts = 10,000 watts ถ้าเรายังเพิ่มไปอีก 3 dB  ครับ เราต้องมีพลังงานให้ใช้รวมทั้งสิ้น 10,000 watts + 10,000 watts = 20,000 watts ครับ นรกไหมละครับท่าน นี่ 6 dB (3 + 3 )เองนะครับ ถ้า เพิ่มไป 50 dB ละครับท่าน    อื๋ยย ไม่อยากคิดครับ อิๆๆๆ

2 ถ้า เราเปิด gain input พอดีที่  0 dB เกิดอะไรขึ้นครับ ดี หรือ ไม่ดี ครับ เพราะอะไร


  ถ้า เราเปิด gain input พอดีที่  0 dB เกิดอะไรขึ้นครับ ได้คำตอบ จากข้อแรกแล้วใช่ไหมครับ
เรา ได้ gain input ที่เหมาะสม ระบบทำงานอย่างที่ควรเป็น ไม่มากไป ไม่น้อยไป เราก็จะได้สัญญาน ที่เราจะเอาไปขยายเสียง ที่ดี ไม่มี noise ไม่ distrotion ไงครับ มีข้อดีอย่างเดียว ไม่มีข้อเสีย ครับ


3 ถ้า เราเปิด gain input มากไป เกิดอะไรขึ้นครับ ดี หรือ ไม่ดี ครับ เพราะอะไร

  ครับ สัญญานเสียงที่เราจะเอาไปขยายเสียง มันก็ Clip และ Distrotion ไงครับ
ข้อ ดี คือ ถ้าคุณอยากให้เสียงมันผิดเพี้ยน เสียงแตกๆ ไม่เหมือนต้นฉับบ เทคนิคนี้ก็ใช้เป็น EFX ได้ครับ เช่น เสียงแตกของ Guitar ไงครับ
ข้อเสีย คือ มันไม่เหมือนต้นฉบับที่เขาเลนอยู่อ่ะ  อย่าลืมนะครับ หน้าที่เราคือขยายเสียงต้นฉบับที่ดังไม่พอกับพื้นที่ ให้ดังพอครับ เสียงมันก็ควรจะขยายมาอย่างถูกต้องเหมือนต้นฉบับใช่ไหมครับ


ใน เรื่อง gain input คุณก็ต้องเลือกละครับ จะเปิดมาก เปิดน้อย ในแต่ละ Channel เหมาะสม กับ เครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆหรือไม่ มี headroom ของ pre amp ที่เหมาะสม กับ Dynamic range ของเครื่องดนตรี ชิ้นนั้นๆหรือไม่ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วหวังว่าคงพอเข้าใจ คำว่า headroom นะครับ ผมจำกัดความหมายเองว่า พลังงานสำรองที่พอเพียงต่อการใช้งานครับ

ส่วนเรื่อง FADER มีคำถามเดียวครับ
ทำไมใช้เป็น Slide fader volume ไม่นิยมเป็น Knob volume ในการทำ Concert ครับ เพราะอะไรครับ

เห็น ได้ชัดเจนเลยว่า slide fader นี่เวลาเราเพิ่ม หรือ ลดค่า มันทำได้ smooth กว่า knob ปุ่มหมุน มากนักทำให้เวลาเรา mix เสียงนี่เราจะทำได้นุ่มนวล ลื่นไหล กว่า ปุ่มหมุนมากนัก ใช่ไหมครับ
เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังว่าทำไม เวลา mix เขาชอบ set balance fader ไว้ที่ 0 dB ครับ

slide fader เราจะสังเกตุได้ง่ายๆเลยนะครับ ในโฆษณาที่เราดูๆกันอยู่นี่ mix ตัวไหนมี long slide fader
จะเป็นจุดขายเลยนะครับ ไม่เห็นมีใครนำเสนอว่า mix ตัวนี้ใช้ short slide fader เป็นจุดขายนี่ ใช่ไหมครับ
ก็อย่างที่ว่ามาแล้วแหละครับ slide fader เพราะมันช่วยให้เรา mix เสียงได้ นุ่มนวล ราบเรียบ ได้ดีกว่า ปุ่มหมุน
ทีนี้ long slide fader มันดีกว่าไอ้เจ้า  short slide fader อย่างไรครับ ลองคิดดูต่ออีกนิดครับ เดี๋ยวผมมาต่อครับ

ด้วยการที่มี ระยะให้เลื่อน ขึ้น ลง มากกว่า แต่ใช้ scale เดียวกัน(ต่ำสุด ไปจนถึง +10 dB)
ลอง ดู scale ที่ Fader ของ mixer นะครับ จะเห็นว่าเขาจะบอก scale เป็นช่วงๆเป็น dB ซึ่ง มันจะมีช่วงเริ่มต้นต่ำที่สุด ลองสังเกตุ กับช่วง บน บน ซึ่งเป็นค่าสูงสุด จะเห็นได้ว่าการเลื่อน slide fader ในช่วง ความดังต่ำๆ ที่อยู่ด้านล่างนั้น จะมี scale ที่ถี่มาก กว่า ด้าน บน ขบับนิดเดียว ก็ ได้ค่าแตกต่างเป็น 10 dB เลย
ในระยะการ เลื่อน ที่เท่ากัน ถ้าทำ ในช่วง ด้านบน ของ slide อาจเกิดค่าการเปลี่ยนแปลง แค่ 2 - 3 dB เอง
ดัง นั้น การ mix โดย ใช้ช่วงบนๆ ของ slide fade ก็ย่อม ปรับได้ละเอียดกว่า การปรับทีละ 1 - 2  dB นั้นทำได้ง่าย และ นุ่มนวล ลื่นไหล กว่า ช่วงล่างๆ ของ slide fader ใช่ไหมครับ การปรับทีละ 1 - 2  dB นั้นทำได้ยาก เพราะ มีช่วง ระยะทางให้ขยับนิดเดียวเอง ลองดูที่ Mixer ของจริงเลยครับ
ดังนั้น ถ้าวัตถุประสงค์ ของ การใช้ slide fader คือ ช่วยให้เราได้ mix เสียง ได้ ลื่นไหล นุ่มนวล แล้ละก็
การ ที่เรา set ให้ช่วง fader ที่เราจะใช้งาน อยู่ที่ ช่วงด้านบนของ slide fader ก็ย่อมจะดีกว่า ให้อยู่แถวๆ  ล่างๆ ของ fader ใช่ไหมครับ ลองนึกตามดูดีๆนะครับ

ทีนี้ ถ้าเรา set balance ของวงดนตรี โดยให้ fader อยู่ที่ 0 dB ทุก channel
ข้อดีคือ
เป็น ช่วงที่ + - 20 dB ที่ มีช่วงระยะกว้างมากที่สุด บน slide fader ซึ่งแปลว่า  เป็นช่วงที่ Mix ได้ smooth ที่สุดของ fader ไงครับ (+10 กับ -10 dB จาก 0 dB ถึงได้เป็นช่วง 20 dB ครับ)
ซึ่งกว้างมากพอครับ 10 dB นี่ ได้ความดัง 1 เท่า เลยนะครับ ซึ่งเยอะมาก ครับ
ข้อ ดีอีกข้อ คือ พอทุก Channel อยู่ ที่ 0 dB ทำให้เราดูแลง่าย เวลา mix ไปแล้ว อยากกลับไป balance เดิม ก็ แค่ จัดให้ ทุก fader มาอยู่ ที่ 0 dB ก็แค่นั้นเอง ง่ายดีครับ อย่าลืมนะครับ ทำ live sound บางทีเป็น 100 channel เลย นะครับ ใครจะไปจำได้ ว่า channel ไหน เรา ลด หรือ เพิ่ม ไว้ที่ไหน มันเป็น balance พื้นฐานที่เราทำไว้เป็น referance ทำ live sound นี่เรา mix 100 channel พร้อมๆกันนะครับ มันเป็น technic นึงที่ทำให้เราทำงานได้ง่ายครับ มองแวบเดียว รู้เลย ว่า balance หรือเปล่าครับ

ข้อเสีย
ถ้าเรา balance แต่ ละ channel ไม่ดี อาจทำให้ Gain input ในบาง channel  เบาไป หรือ น้อยไป หรือ แรงไป overload หรือ clip distrotion ได้ครับ

แต่ไม่ต้องกังวลมากนักหรอกครับ ทำไปสักพัก พอมีประสบการณ์ มากเข้า ก็ทำได้เองครับ gain input ก็ดี balance ได้ สบายมากครับ
แต่ ถ้าจะบันทึกเสียงนี่ Gain input นี่เราต้องการสัญญานเต็มๆ ตลอดเวลา เพื่อ ให้ได้ Resolution หรือ รายละเอียดสูงสุด เวลาเอาไปทำงานทีหลัง จะได้ง่ายครับ

ถ้าเราเปิด gain mic มากๆ เพระสัญญานมันเบา และเราอยากได้ gain mic input เยอะๆ นี่ ในการทำ live sound
เครื่อง ดนตรีทุกชิ้นนี่มันเล่นพร้อมกันนะครับ เราเปิด gain เยอะๆ นี่มันทำให้ ความไวในการรับเสียงของ mic มันเพิ่มขึ้นด้วยนาครับ ต้องระวังไม่งั้นมันรับเสียงอะไรก็ไม่รู้ เต็มไปหมด ทำให้เราจัด balance ไม่ได้ หรือ ทำได้ยาก
เปิด mic ร้องตัวเดียว รับมันทั้งวงครบเลย ปิด channel snare ไปแล้ว ยังดังสนั่นเลย เพราะเข้า mic ร้อง เต็มเลย
อิๆๆๆ โดนกันมาทั้งนั้นแหละ พวก live sound นี่น่ะ
การ ทำ live sound นี่มันยากตรงนี้แหละครับ เล่นพร้อมกันหมด หน้าตู้ bass guitar kyb เล่นดังไปก็เข้า mic  เครื่องอื่นเขาหมด  นักร้องร้องเสียงเบามาก เราก็ต้องเร่ง gain input เยอะ mic ไวไป รับเสียงมันทั้งวงเลย
monitor บนเวที ดังสนั่น เข้า mic หมดเลย เราก็คุมไม่อยู่อีก ปัญหาเยอะแยะไปหมด
แต่ทุกคนจะเอาให้เสียงเหมือนแผ่น มันจะไปได้ยังไงครับ อิๆๆ ท้าทายครับ ท้าทาย

ไม่ต้องกลัวหรอกครับ ทำได้ครับ แต่ต้องช่วยกันทุกคนครับ
นักดนตรี, นักร้อง, PA engineer, Monitor engineer,  เครื่องเสียง, เครื่องดนตรี, Hall acoustic
คุยกันครับช่วยกันครับ ทำได้แน่นอนครับ

ขอให้โชคดีทุกท่านครับ ฝึกปรือ เยอะๆครับ
สวัสดีครับผม

ถาม

ทีนี้มาถึงส่วนปัญหาบ้างครับ
จาก ประสบการณ์ที่ทำงานด้านนี้มาประมาณ 4 ปี ผมยังมีความสงสัยอยู่ในเรื่องของ gain อยู่อีกนิดหน่อยครับ งานกลางแจ้งเราสามารถทำ gain input ให้อยู่ที่ 0dB ได้ตามทฤษฎี แต่กลับกันทำไมงานในห้องบางครั้งเราทำไมสามารถทำ gain input ให้อยู่ที่ 0dB ได้ครับผม ทั้งนี้มีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลกระทบ เช่น สภาพของห้อง จำนวนของลำโพง กำลังการขยาย หรือว่าการจัดการกับระบบของเราเอง ครับผม

ตอบว่า

gain input นี่ให้มันอยู่แถวๆ 0 dB +6 dB -6dB นี่ก็ ok แล้วนะครับ มันไม่มีสัญญาน อะไรที่จะค้างตรง 0 dB ตลอดหรอกครับ  ถ้าใช้ mix ดีๆ นี่ pre mic คุณภาพดีๆ ใช้แล้วจะติดใจ
ผมไม่เคยนะครับ ก็ได้ gain input ที่อยากได้ทุกทีแหละ indoor หรือ outdoor ไม่เคยมีปัญหาเลยครับ
จำนวน ลำโพง หรือ สภาพห้อง ผมว่ามันไม่ค่อยเกี่ยวกับ gain input เท่าไรนะ เพราะ gain input เกี่ยวกับ ความแรง ค่อย ของสัญญาน ที่เราจะเอาไปใช้งานครับ ว่าเราได้สัญญานดิบ ที่มีคุณภาพ มาหรือเปล่าครับ ไม่ค่อยเกี่ยวกับ กำลังขยายของระบบเสียงเท่าไรนี่ครับ อันนั้นมัน ภาค output นี่ครับ
น่าจะเป็นที่ การจัดการกับระบบของเราเอง  อันนี้ต้องคุยกันยาวพอควรครับ พิมพ์ม่ายไหวครับ
อิๆๆ

ถาม

เพราะ ทั้งนี้ผมเชื่อว่าการที่มี headroom ที่มากไว้ก่อน ย่อมจะมีผลดีกว่าในเรื่องพลังงาน คือถ้าเบาไปเราก็สามารถเพิ่มได้ แต่ถ้าดังไปเราก็สามารถลดได้

ตอบว่า
ครับผม งบประมาณในการเช่าเครื่องเสียง ก็ควรจะเช่า Headroom ไปด้วยครับ
เห็นมีแต่ เอาประมาณนึงนะครับพี่ ไม่ต้องแพงมากครับ
พอไปถึงหน้างานจริง ดังได้อีกไหมพี่ ผมอยากให้มันดังกว่านี้อีกครับ


ถ้าเกิดว่าเกิดกรณีแบบนี้ล่ะ?

Gain ที่ช่อง = 0dB และ fader ขึ้นที่ 0 dB สังเกต VU ตรง Master Fader ( fader ก็ที่ 0dB เหมือนกัน) จะพบว่ามันไม่ได้ 0 เท่ากันครับ ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างในระบบเป็น Unity

นั่นเกิดจากการใช้คอนโซลที่เป็นรุ่น ประหยัดหรือคุณภาพพอใช้ ที่ใส่ใจในการผลิตน้อยกว่ารุ่นสูง ๆ  หรือเป็นอุปกรณ์ที่มีอายุการใช้งานมานาน ทำให้อุปกรณ์ภายในมันเสื่อมลงตามกาลเวลา หรือแม้แต่ตะกั่วมันร่อนเลยทำให้นำสัญญาณได้ไม่ไดีเท่าที่ควร ดังนั้นอยากจะให้ตรวจสอบดี ๆ ก่อนจัดหาอุปกรณ์เข้ามาเป็นอาวุูธของเราครับ

ผม เคยเห็นคอนโซลของหลายยี่ห้อที่บอกกันว่าเอาภาคปรีไมค์ มาจากรุ่นใหญ่ ๆ แต่พอผมเปิดฝาดูเท่านั้นล่ะ...  วงจรลายเดียวกัน IC ตัวเดียวกัน แต่อย่าอื่นเ่ช่น ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ ตะกั่ว หรือแม้แต่คุณภาพทองแดงบนลายวงจรมันไม่ได้ดีเท่ากัน ไ่ม่มีของที่ถูกและดีในโลกนี้หรอกครับ
เคยใช้คอนโซลตัวนึงอายุก็พอสมควร เกือบ ๆ ครึ่งทศวรรษ ปรากฏว่า 0dB ที่ช่อง กลายเป็น +2 ถึง 3 dB ที่ Master บางช่องก็ลดต่ำกว่า Unity กรณีฟันธงได้เลยว่า...  "คอนโซลตัวนี้... รั่วแล้วครับพี่น้องงงงงง"

ดังนั้นไม่แปลกหรอกครับที่ level จะไม่พอดีที 0 เพราะความสวิงของสัญญาณจึงต้องมี Headroom อย่างที่น้าแอ๊ดว่าล่ะครับ สวิงถึงจะถูกต้องครับ ถ้าเกิดว่าไม่สวิงนี่ดิ สัญญาณคงเป็น Sine Wave ไม่ก็ต้องผ่าน limiter  มาแล้วแน่ ๆครับ ถึงจะไม่สวิง

แต่หนักที่สุดก็คือ...  สัญญาณออกไปไม่เท่ากันสองข้าง    อันนี้งานเข้าแน่ ๆครับ แต่ก็เคยมีนะครับว่า VU บอกไม่เท่ากัน แต่ขาออกมันดันเท่า หรือกลับกันก็ได้  อย่าใช้ของเก่ามากเป็นดีที่สุด ไม่งั้นก็ต้องเสียค่าบำรุงเยอะตามระวังจะไม่คุ้มครับ
ขอบคุณอาจารย์ Addyครับสำหรับที่มาครับ

วิธีอัดเสียงร้องให้คมชัด ใสปิ๊ง

|0 ความคิดเห็น
วิธีอัดเสียงร้องให้คมชัด ใสปิ๊ง
      มีท่านนึงถามผมว่า ทำไมเสียงร้องในเพลงทั่วๆ ไปในท้องตลาดถึงได้ค่อนข้างบาง และไม่ค่อยมีเสียงทุ้ม เวลาบันทึกเสียงร้อง ผู้อ่านท่านนี้ได้วาง Pop Shield ห่างจากไมค์ 4 นิ้ว และให้นักร้องอยู่ห่างจาก Pop Shield 8 นิ้ว โดยมีผ้านวม ติดที่ผนังรอบตัวนักร้อง และพื้นเป็นลามิเนทเพื่อเพิ่มความใสให้กับเสียง แต่เสียงที่ได้นั้นฟังดูทึบและไม่เข้ากับเพลงอย่างมาก มันฟังดูเหมือนอัดจากไมค์ไดนามิคทั่วๆ ไปเสียมากกว่า บางทีเขาก็สงสัยว่าเป็นเพราะตัวนักร้องที่อยู่ใกล้ไมค์เกินไป ทำให้เสียงบวมและทึบจากผลของ Proximity Effect และเขาก็สงสัยว่าถ้าให้นักร้องถอยห่างออกมาและเพิ่มเกนที่ปรีแอมป์จะได้ เสียงที่ดีขึ้นหรือไม่

      การบันทึกเสียงร้องที่ดีนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของเพลงที่ดี โดยทั่วไปคุณจะต้องทำเสียงร้องให้ชัดเจนแม้ว่ามันจะถูกกลบโดยเสียงความถี่ สูงในแทร็คอื่นก็ตาม และในทางปฏิบัติเรามักจะปรับเสียงร้องให้ใสกว่าปกติเพื่อให้มันฟังดูดีเวลา รวมอยู่ในเพลง

      มีหลายวิธีด้วยกันในการทำให้ได้เสียงร้องที่ใสขึ้นขณะทำการอัดโดยไม่ต้อง พึ่ง EQ (จำไว้เสมอว่าการโพรเซสใดๆ ก็ตามมักจะลดคุณภาพเสียงลงด้วยเสมอ ดังนั้นจึงควรจะทำให้ได้เสียงที่ใกล้เคียงกับเสียงที่ต้องการให้มากที่สุด ตั้งแต่ขั้นตอนการบันทึก) อย่างที่ได้ทราบกันแล้วว่าการขยับออกห่างจากไมค์จะช่วยลดเสียงทุ้มที่เกิด จาก Proximity Effect และทำให้ได้เสียงที่ใสขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการบันทึกเสียงที่ใกล้ไมค์จะสามารถจับเสียงเล็กๆ น้อยๆ เช่นเสียงริมฝีปากและเสียงหายใจ ซึ่งจะช่วยให้เสียงร้องเด่นขึ้นได้ โดยที่คุณสามารถควบคุม Proximity Effect ได้ด้วย EQ หรือ High-pass ฟิลเตอร์ ตราบใดที่นักร้องไม่มีการขยับตัวมากเกินไปขณะร้อง

      มีปัจจัยอื่นๆ อีกที่คุณควรคำนึงถึงในการบันทึกเสียงให้ได้เสียงที่ใสขึ้น อย่างแรกคือพยายามให้นักร้องอยู่ตำแหน่งตรงแกนกลางของไมโครโฟน จะทำให้ได้เสียงที่ใสขึ้นมากโดยเฉพาะกับไมค์คอนเดนเซอร์ที่มีไดอะแฟรมขนาด ใหญ่อย่างที่นิยมใช้กันในการบันทึกเสียงร้อง แต่ถ้าคุณใช้ไมค์ที่มีแพทเทิร์นการรับเสียงแบบ Omni หรือมีสภาพห้องที่มีเสียงทึบอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงในส่วนนี้มาก นัก ประการที่สองที่ต้องคำนึงถึงคือการวางไมค์ให้ต่ำลงจะทำให้ได้เสียงที่ใสขึ้น เสียงความถี่สูงจะมีทิศทางมากกว่าเสียงความถี่ต่ำ และในกรณีของนักร้องนั้นเสียงร้องมักจะสะท้อนด้านบนของเพดานปากและโพรงจมูก ลงด้านล่าง ดังนั้นการวางไมค์ให้ต่ำกว่าระดับจมูกก็จะช่วยให้ได้เสียงที่ใสขึ้นได้

เนื้อ เสียงในช่วงความถี่สูงจะสะท้อนด้านบนของเพดานปากและโพรงจมูก และเนื่องจากเสียงความถี่สูงมีทิศทางมากกว่าความถี่ต่ำ จึงจัดวางไมโครโฟนให้ปากของนักร้องมีมุมที่ชี้ลงด้านล่าง

ในทางกลับ กันคุณสามารถลดเสียง ซ ส ได้ด้วยการจัดวางไมค์ให้สูงกว่าระดับปากเล็กน้อย เพื่อลดการรับเสียงความถี่สูงบริเวณกึ่งกลางไมค์ ซึ่งเป็นจุดที่รับเสียงความถี่สูงได้ดีที่สุด
ขอบคุณเจ้าของบทความครับ

เคดิต...นักรบกีนิว

เสียง MONITER กับ PA ต้องเหมือนกันหรือไม่

|0 ความคิดเห็น
เสียง MONITER กับ PA ต้องเหมือนกันหรือไม่
 
จำเป็นมั้ยว่า    monitor  บนเวที    เสียงต้องเหมือน  PA.
แล้ว  เวลาคัด  sound  ใช้เพลง    กับ  ใช้เสียงตัวเองต่างกันมั้ยครับ

ไม่จำเป็นครับ  เพราะมันคนละวัตถุประสงค์อยู่แล้วครับ
monitor    เอาฟังชัดเจน  ให้นักดนตรีเล่นไม่หลุด  ครับ  monitor  engineer  บางคน  ถึงไม่ใช้  compressor  และไม่มี  effect  ในระบบเลยครับ
PA  นี่ให้คนดูฟัง  นี่เลยต้อยปรุงแต่งหน่อยครับ

1.แล้วทำไมบนเวทีต้องมี  side  fill  ครับ  ในเมื่อนักดนตรีก็มี  monitor  ฟังอยู่แล้ว
2. แล้วเสียงที่นักดนตรีได้ยินจาก  monitor  กับเสียงจาก  side  fill  มันจะไม่  delay  เหรอครับ  เพราะเห็น  monitor  อยู่ข้างหน้านักดนตรี  แต่  side  fill  อยู่ข้างเวที  เสียงจาก  side  fill  มันจะไม่ช้ากว่าเสียงของ  monitor  ที่จะมาถึงหูของนักดนตรีเหรอครับ
3.หรือว่า  side  fill  จะต้องมีเฉพาะงานที่มีเวทีกว้างพอสมควรหรือป่าวครับ

ใช่ แล้วครับ  เวทีใหญ่ๆ  มันมี  side  fill  ทำให้  sound  บนเวที  แน่น  คนที่ยืนฝั่งซ้าย  ได้ยินเสียงของคนที่อยู่ฝั่งขวา  คนที่อยูฝั่งขวาก็ได้ยินคนที่อยู่ฝั่งซ้าย  ชัดเจนครับ
delay  มันมีครับ  แต่  มันน้อยมากครับ  ลองนึกดู  เอาคร่าวๆ  1  เมตร  ประมาณ  3  มิลลิเซ็ค  เวทีหน้ากว้าง  18  เมตร  ก้ประมาณ  54  มิลลิเซ็ค  ครับ  (1000  มิลิเซ็ค  เท่ากับ  หนึ่งวินาทีครับ)  เราให้ฟัง  wedge  เป็นหลัก  ครับ  side  fill  ชื่อก็บอกแล้วว่าเอาไว้เติมเต็มครับ

อ้อ  ที่ถามว่า  เวลาคัด  sound  นี่หมายถึง  alignment  eq  ระบบ  เสียงใช่ไหมครับ

ใช้ ทั้งเพลงที่เราคุ้นเคย  และ  mic  กับเสียงของเราครับ  ในการปรับ  (alignment)  ครับ  ผมเองให้น้ำหนัก  ที่  mic  มากกว่าเปิดเพลงครับ    แต่โดยปรกติ  พอปรับเสร็จแล้ว  มันได้ทั้งคู่แหละครับ  เปิดเพลงก็ได้  พูด  mic  ก็ดีครับ

ในการใส่เอฟเฟคเสียงร้องที่มอนิเตอร์
ใส่-ไม่ใส่  มากน้อยอย่างไร

จริงๆ แล้วก้อใส่  Reverb  ให้นักร้องเค้าได้ยินที่มอนิเตอร์ก้อจะดีนะครับ    ทำให้เค้าร้องได้อย่างมีความสุขมากขึ้น    ใส่มากใส่น้อยแล้วแต่คนร้องต้องการครับ    หรือถ้าเค้าไม่ได้บอก    เราก้อใส่แค่พอดีๆๆ

ขอบคุณอาจารย์เจ้าของบทความด้วยครับ

เคดิต นักรบกีนิว ...
http://www.karaoke-soft.com/smf/index.php?topic=22567.msg232445#msg232445

ก๊อบก่อนเข้าว่าจะลบล่ะเสียดาย

Sound check

|0 ความคิดเห็น
Sound check  ย้อนยุคไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนสมัยที่หลวงพี่ หลวงลุงนุ่งสบงตัวเดียวปืนบันไดขึ้นไปแขวนลำโพง “ปากแตร” บนเสาแล้วลากสายไฟมาต่อเข้ากับ “แอมป์” ที่เต้นท์แล้วเสียบ “ไมค์” เข้าไปแล้วก็พูด “อะโหล..หนึ่ง..สอง..สาม..” ดังลั่นไปสามบ้านแปดบ้านเป็นอันเสร็จพิธีติดตั้ง”งานวัด ซาวด์ซิสเต็ม” คำว่า  Sound Reinforcement  หรือ Public Address เป็นระบบอย่างไรไม่มีใครรู้จัก มาจนถึงปัจจุบันระบบเสียงโดยเฉพาะระบบ Sound Reinforcement – S.R. มีการพัฒนาขึ้นไปมาก อุปกรณ์ไฮเทคไม่ว่าจะมาจากต่างประเทศหรือผลิจตากภูมิปัญญาชาวบ้าน (หม้อ) ถูกนำมาใช้กันเพียบงานวัดเล็กๆ ต่างจังหวัดบางงาน บางที่ติดระบบเสียงกันเป็นหมึ่นวัตต์ก็มีอย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นระบบเสียง ลูกทุ่งไม่กี่ร้อยวัตต์ในอดีต หรือระบบที่สลับซับซ้อนหลายหมื่นวัตต์ในปัจจุบัน ตัวแปรสำคัญอีกตัวหนึ่งที่กำหนดคุณภาพและประสิทธิภาพของระบบเสียงนอกเหนือไป จากการออกแบบและปรับแต่งก็คือการทดสอบระบบเสียง หรือ Sound Check นั้นเอง

    อะไรคือ Sound Check? หลายท่านอาจจะเพิ่งรู้จักกับคำๆนี้ซึ่งความจริง Sound Check ไม่ใช่ศัพท์เทคนิคอะไร เพียงแต่เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของระบบเสียงทั้งหมด ว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นต่อพ่วงเข้าด้วยกันอย่างถูกต้องตามที่ได้ออกแบบมา และแต่ละตัวสามารถทำงานได้จามปรกติอย่างที่ควรจะเป็น เสียงจากลำโพงชุดซ้ายซึ่งจะต้องมีความดังเสียง (Equalization) แต่เป็นการเตรียมการก่อนจะทำการปรับแต่งคุณภาพเสียงซึ่งจะเป็นลำดับขั้นตอน ถัดไป มีหลายๆ ครั้งที่ผมเห็นพ่อหนุ่ม Sound Man รุ่นใหม่ไฟแรงเวลาทำ S.R. พี่ท่านก็จะไม่ฟังอีร้าค่าอีรมเดินรี่ตรงมายัง Mixer สั่งเด็กเปิดเบรกเกอร์เครื่องสียงทุกชิ้นพร้อมกัน แล้วได้ยินเสียงลำโพงดัง “ตุ๊บ” สนั่นหวั่นไหว จากนั้นก็คว่าไมโครโฟนขึ้นมาพูด “โท้ด...ชอบ...หนึ่ง..สอง...สาม...” แล้วก็ปรับ Equalizer ยังดีที่รู้จัก PAN ซ้ายที่ ขวาที ก่อนจะปรับระบบโดยรวม จนเป็นที่พอใจของหูดกก็เป็นอันเสร็จพิธี หารู้ไม่ว่า Mixer ช่องที่ไมโครโฟนใช้ทดสอบเสียงนั้น ในช่วงของ EQ ไม่โครโฟนตัวนั้นถูกเร่งความพี่สูง กลางและต่ำไว้จนสุด คุณคงเดาออกได้ว่าหลังจากนั้นเมื่อตอนออกงานแสดงจริงเสียงจะเป็นอย่างไร นี่เป็นตัวอย่างของการขาดความรู้ในขั้นตอนปรับระบบให้ Flat เบื้องต้นระหว่างการ “Sound Check” ซึ่งความจริงแล้วขั้นตอนง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอนแต่ว่าสำคัญ ซึ่งเราจะมาพูดถึงกันต่อไป

ในการต่อ อุปกรณ์ในระบบเสียงทั่วไปซึ่งเป็นจริงและมีการใช้งานกันมาเป็นสิบปีแล้ว โดยสัญญาณเขาเข้าจะไล่จากซ้ายสุดเข้าไมโครโฟน ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ออกไปยังลำโพงซึ่งอยู่ขวาสุด ปรกติผู้ทำการต่อพ่วงระบบที่ผู้มีประสบการณ์จะมีผังการต่ออุปกรณ์นี้อยู่ใน ใจแล้ว การต่อพ่วงรวมถึงการตรวจสอบระบบก็จะไล่จากซ้ายไปขวาเช่นเดียวกัน

 1.ตำแหน่งพักอุปกรณ์ การเตรียมตำแหน่งพักอุปกรณ์หรือ Preset ก่อนทำการต่อพ่วงและหลังเลิกใช้งานเพื่อทำการถอดเก็บดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่ ความจริงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ทำระบบเสียงมืออาชีพมักจะ Preset อุปกรณ์ทุกชิ้นเสมอทั้งนี้มีเหตุผลเพื่อป้องกันความเสียหายอันที่จะเกิดขึ้น กับอุปกรณ์ทุกชิ้นเสมอ ทั้งนี้มีเหตุผลเพื่อป้องกันความเสียหายอันที่จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ในระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลำโพงจากการที่บางครั้งผู้ติดตั้งควบคุมอาจมีการผิดพลาด พลั้งเผลอในการปรับแต่ง สิ่งที่ต้องคำนึงในการ Preset ส่วนใหญ่ได้สุดที่รัก

อุปกรณ์ทุกชนิด
Power อุปกรณ์ทุกชิ้นที่มีการใช้แหล่งจ่ายไฟ จะต้อง Preset Power Switch ไว้ที่ตำแหน่ง “OFF” เสมอ การทิ้ง Switch ไว้ที่ตำแหน่ง “ON” ก่อนต่อพ่วง จะทำให้เกิดไปกระโชกในเครื่องเมือเสียบปลั๊กทำให้เสียกายได้ MIXING CONSOLE: ปุ่มหลักๆ ที่ควรคำนึงถึงในการทำ Preset ได้สุดที่รัก

-MIC/LINE GAIN หรือ ATTENUATOR ของทุก Channel ให้หมุนทวนเข็มนาฬิกาไปบจนสุด มีผลเหมือนกับการปิดไม่ให้สัญญาณผ่านเข้า Mixers โดยที่เราไม่ตั้งใจ

-PHANTOM เครื่อง Mixer บางรุ่นจะมีแหล่งจ่ายไฟเลี้ยงย้อนกลับไปยังไมโครโฟนชนิด Condensor แต่ส่วนใหญ่เราจะใช้โมโครโฟนชนิด Dynamic ซึ่งไม่ต้องการๆเลี้ยงเช้าไประหว่างการใช้งานจะไม่เป็นผลดีนัก ดังนั้นตำแหน่งนี้ให้ Preset ไว้ที่ “OFF”


-MUTE เป็นปุ่มเปิด/ปิดสัญญาณในแต่ละช่อง จำแหน่ง “ON” แปลว่าปิดไม่ให้สัญญาณผ่านปุ้มนี้ ปุ่มนี้ขึ้นอยู่กับความเคยชินของผู้ควบคุมแต่ละคนสองคน

-PHASE REVERSE ให้ Preset ไว้ที่ตำแหน่ง “OFF”


-LO-CUT, HI-CUT FILTER เป็นปุ่มที่ใช้สำหรับติดสัญญาณเสียงย่านความถี่มากๆ และช่วงสูงมากๆ ตามลำดับโดยทั่วไปจะไม่กดคือ จะตั้งไว้ที่ตำแหน่ง “OFF”

-EQUALIZER ไม่ว่าจะเป็นชนิดแบ่งความถี่คงที่เป็น Low, Mid, High หรือชนิดปรับความถี่ได้ ให้ตั้งปุ่ม Gain ของทุกความพี่ไว้ที่ 0 dB และถ้ามีปุ่ม EQ IN ให้ตั้งตำแหน่งไว้ที่ “OFF” คือยกปุ่มขึ้น –AUX,EFFECT SEND/RETURN  คือปุ่มส่งและปรับสัญญาณ Auxiliary และสัญญาณ Effect เพ่อทำลูกเล่นต่างๆ ในระบบไม่ว่าจะมีกี่ Send หรือ Return ก็ตามให้หมุนทวนเข็มนาฬิกามาจนสุดคือ “ปิด”ไว้

-PRT/POST เป็นตำแหน่งที่ความดังของปุ่มควบคุมนั้นๆ เช่น AUX หรือ EQ จะขึ้นอยู่กับ Fader ของแต่ละช่อง PRE คือ Pre Fader ไม่ขึ้นกับ Fader ส่วน POST คือ Post Fader คือขึ้นอยู่กับการเลือน Fader ให้ตั้งไว้ตำแหน่ง “PRE”

-PAN ชื่อเต็มคือ Panoramic Potentio Meter คือปรับความดังเสียงช่องนั้นๆ ไว้ที่ซ่าน (L) หรือ (R)ให้ตั้งไว้ที่ตำแหน่งกลาง (C) เครื่องยางรุ่นจะไม่มีตัวหนังสือ C กำกับไว้ตำแหน่งไว้ แต่จะมีล็อกเล็กๆ ที่เรารู้สุกได้ไว้เมื่อหมุนปุ่มไปที่ล็อคนั้นเสียงก็จะอยู่ตรงกลาง

-PFL Pre Fader Listening เมื่อกดปุ่มนี้คือตำแหน่ง”ON” สัญญาณของช่องนั้นๆ จะไปทีหูฟัง Phone หรือ Monitor โดยจะทับสัญญาณอื่นๆที่ไม่ได้กดแม้แต่สัญญาณจาก Masterก็ตาม ดังนั้นเราจะไม่กด PFL คือตั้งไว้ที่ “OFF”

-FADER คือปุ่มเลื่อนสำหรับปรับความดังของช่อง ปุ่มนี้จะอยู่ล่างสุด และเช่นเดียวกันให้เลื่อนปุ่มลงมาจนสุดคือ “OFF”

-ปุ่ม ควบคุมอื่นๆ Mixing Console แต่ละรุ่นมี่ลูกเล่นแตกต่างกัน การ Preset ทั่วไปถ้าเป็นปุ่มหมุนให้หมุนทวนเข็มจนสุดถ้าเป็นปุ่มที่เกี่ยวกับความถี่ ให้ตั้งความดังของความถี่นั้นๆไว้ที่ 0dB

-EQUALIZER : หลักๆ ใช้กันอยู่ 2 แบบ คือชนิด Graphics

    และ Parametric ชนิดแรกแบ่งความถี่เป็นช่วงๆคงที่แต่ละช่วงมีปุ่มเลื่อนหรือ Slider ไว้ให้เพิ่มหรือลดความแรงของสัญญาณความถี่นั้นๆ การ Preset Graphic Equalizer มีอยู่สองแนวความคิด แบบแรก Preset ไว้ที่ตรงกลาง หรือ 0dB เพื่อให้ไม่มีการปรับแต่งสัญญาณใดๆในขณะที่แบบหลังลด Slider ลงมาตำแหน่งล่างสุดโดยมีเหตุผลด้านการรักษาอายุการใช้งานของ Slider Equalizer ชนิดที่สองคือ แบบ Parametric โดยมากจะเป็นปุ่มหมุนทวนเข็มนาฬิกาจนสุด Equalizer ทั้ง 2 ชนิดให้ปรับปุ่ม Gain ไว้ที่จำแหน่งลดสุดส่วนปุ่ม Bypass ให้ “ON” คือไม่ให้ Equalizer มีการปรับแต่งสัญญาณใดๆ COMPRESSOR/LIMITER เป็นเครื่องควบคุมความดังสัญญาณอัตโนมัติ ไม่ให้มีความแรงเกนกว่าที่เราตั้งไว้โดยทั่วไปจะมีปุ่มอยู่ 3 ปุ่มคือ
Ratio, Threshold และ Gain ทุกปุ่มให้หมุนทวนเข็มนาฬิกาไปจนสุด

    ACTIVE (ELECTRONIC) CROSSOVER: เป็นเครื่องมือตัดแบ่งย่านความถี่เสียงทั้งย่านออกเป็นช่วงๆ ตั้งแต่ 2 ถึง 5 ช่วงหรือมากกว่าแล้วแต่รุ่นและยี่ห้อแต่ละช่วงมีปุ่มปรับความแรงของสัญญาณ เพื่อป้อนเข้าเครื่องขยายเสียง การใช้ Active Crossover กับ เครื่องขยายเสียงและลำโพงหลายชุด มีเหตุผลทางด้านประสิทธิภาพในการส่งพลังงานสู่ลำโพง เพราะการใช้ Crossover ชนิด Passive ซึ่งประกอบด้วยขดลวดและคาปาซิเตอร์จะมีการสูญเสียกำลังงานมากโดยเฉพาะเมื่อ ต้องการพลังงานเสียงสูงๆ ปุ่มควบคมของ Crossover ชนิดนี้โดยมาจะเป็นปุ่มปิด และเช่นเคย ทุกปุ่มให้หมุนทวนเข็มนาฬิกาจนสุด

    AMPLIFIER: เครื่องขยายเสียงระดับอาชีพสมัยก่อนโดยมากจะไม่มี Volume หรือ Gain Control ถือว่าเมื่อสัญญาณ Input เป็น 0 dBm เครื่องขยายจะส่งกำลังงานสู่ลำโพงเต็ม 100 % ตามคุณสมบัติที่กำหนด สำหรับเครื่องที่มีปุ่ม Volume Control ให้หมุนทวนเข็มนาฤาไปจนสุด

    อุปกรณ์อื่นๆ : ทั่วไปเรียก Effect Equipment ก็ให้ Preset ในลักษณะเดียวกับที่กล่าวมาข้างต้น สำหรับอุปกรณ์ร่นใหม่ๆ ที่เป็น Digital มี Processor พร้อม Display Menu แถมไม่มีปุ่มให้เลื่อนหรือหมุนถ้ามี Function Bypass ให้เลือก Menu นี้ ถ้าไม่มีจริงก็เลือกที่ Default ทั้งนี้แล้วแต่ชนิดและรุ่นของอุปกรณ์นั้นๆ

2.การตรวจเช็คลำโพง
ระบบ เสียงกำลังขับสูงๆ ที่ใช้ใน S.R. ส่วนใหญ่จะใช้ลำโพงหลายๆตู้ ยิ่งเมื่อสมัยก่อนจะแยกตู้ลำโพงเป็นเสียงสูง ตู้เสียงกลาง ตู้เสียงต่ำ และตู้ Sub-Woofer ปัจจุบันจะรวมลำโพงเสียงสูง กลางและต่ำไว้ในตู้เดียวกันเรียกว่า Composite Speaker Cabinet หรือ Composite Box ซึ่งอาจจะใช้ร่วมกับ Sub-Woofer อีกทีหนึ่ง การใช้ลำโพงหลายๆตู้ บ้างครั้งเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องผสมหลายรุ่นหลายยี่ห้อ ซึ่งออกแบบมาไม่เหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องเฟสของลำโพง โดยเฉพาะเสียงกลาง ต่ำ และ Sub-Woofer การติดตั้งลำโพงลูกผสมที่สลับเฟสกัน บางครั้งหมายถึงความหายนะของงานนั้นๆอย่างเบาะๆ เสียงที่ได้จะฟังแปลกและขาดพลังอย่างไม่น่าเป็นไปได้


ผมเคยมีประสบการณ์กับผู้ติดตั้งระบบโดยไม่คำนึงถึงเฟสของลำโพงซึ่งผสมกัน หลายตู้หลายยี่ห้อรวมๆ ประมาณ 6,000 RRms เพ่อจัดการแสดงให้วงดนตรีร็อกจากเอมริกาวงหนึ่ง ประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนการแสดง มีการซ้อมหรือ Rehearsal จากผู้ควบคุมเสียงประจำวง ปรากฏว่าเสียง Bass ไม่แน่นยิ่งเร่งยิ่งหลวมพี่ Sound Man ฝรั่งเลยอัดเสียงเต็มเหนี่ยวเกิดพิกัดแถมแอบปลดการทำงานของ Compressor/Limiter เสียอีก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดการแสดงประมา 10 นาที ความล่มจมของผู้จัดเป็นไรคงไม่ต้องพูดถึงกัน
ตู้ลำโพงถึงแม้จะเป้ฯยี่ห้อ เดียวกันก็ตาม บางครั้งช่างอานมีกาเกิดซ้อมบำรุง แล้วมีการ “วางเพลิง” กันเองด้วยการสลับขั้วลำโพงไว้โยไม่ได้ตั้งใจ การเช็คเฟสก่อนใช้งานถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ลำโพงโดยทั่วไป สมมุติเราเอาถ่านไฟฉาย 1.5 โวลท์ มาต่อสายเข้า เมื่อต่อขั้วบอกของถ่านไฟฉายเข้าขั้วสีแดงและขั้วลงเข้าขั้วสีดำลำโพง กรวยของลำโพงจะดันออกมาข้างหน้า แต่ก็มีอยู่เหมือนกันที่บางยี่ห้อกลับดึงเข้าไป ในการเช็คเฟสของตู้ลำโพงทั้งระบบนักติดตั้งมืออาชีพจริงๆ จะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Speaker Phase Checker ไว้ตรวจสอบ สำหรับเราๆท่านๆสามารถทำง่ายๆ โดยใช้โอห์มมิเตอร์ตั้ง Scale ไว้ที่ RX1 แตะขั้วแดงของมิเตอร์ที่ขั้วของลำโพง และดำเข้าที่ดำ ใช้สายตาและมือสัมผัสดูลำโพงทั้งระบบจะต้องดึงเข้าหรือผลักออกเหมือนๆ กัน ถ้ามีตัวใดตัวหนึ่งผิดกับชาวบ้าน แปลว่าตัวนั้นกลับเฟส ให้ทำการแก้ไขก่อนที่จะทากร Sound Check ขั้นต่อไป

3.การเกิดใช้งานระบบ
ขั้น ตอนในการเปิดปิดระบบเสียงที่มีกำลังขับสูงๆ เป็นเรื่องสำคัญในความไม่น่าจะมีอะไร แต่ว่าการละเลยในลำดับก่อนหลังของการเปิด-ปิดลำโพงราคาเป็นหมื่นหลายๆ ตัว หรือไม่ก็ทำให้เกิดเสียงดัง “ตุ๊บ”หนักๆ ให้ได้ยินแล้วเป็นที่น่าหวาดเสียวก่อนจะเปิดใช้งานระบบควรเช็คไฟที่ปลั๊ก ก่อนว่าเป็น 220 ไวล์ท หรือไม่เพราะเคยมีประสบการณ์ที่หอประชุมสถาบันการศึกษาชั้นนำแห่งหนึ่ง Bus Bar ที่ Main เป็น 2 ระบบคือ “วาย” กับ “เดลต้า” แล้วใช้ Cut Out เป็นตัวตัวโยกเลือกระบบ มีอยู่งานหนึ่งคนต่อไฟเข้าระบบโยก Cut Out ผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นคือปลั๊กไฟบนเวทีแทนที่จะจ่ายไฟ 220 โวล์ท กลับจ่ายไฟ 380 โวล์ทแทน เมื่อ Power On อุปกรณ์ทุกชิ้นไฟได้สักพักหนึ่ง เครื่องบางเครื่องถูกออกแบบมาดีก็มีอาการฟิวส์ขาด อุปกรณ์บางตัวฟิวส์ไม่ยอมขาด ก็เปลี่ยนหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดควันไป กว่าจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นก็เกือบจะสายเกิดแก้การเสียวเวลาไม่ถึง 15 วินาทีเพื่อวัดแรงดันไฟโดยทำให้เป็นนิสัยย่อมดีกว่าเสียของแพงๆ อย่างไม่น่าเสีย  อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับระบบไฟสำหรับเครื่อง S.R. มืออาชีพคือ ปลั๊กไฟมักจะมี 3 ขาได้สุดที่รัก Live, Neutral และ Ground แรงดันระหว่าง Neutral กับ Ground ไม่ควรเกิด 1.5โวลท์ ถ้าเกินหมายถึงเสียงฮัม เสียงจี่และ
เสียงรบกวนอีกสารพัด วิธีแก้ไขคือ เดินสายดินหรือ Ground ใหม่โดยเปลี่ยนจุดลงดินถ้าทำไม่ได้จริง ก็รวบสาย Ground กับ Neutral จากต้นทางจะจ่ายไฟก็พอจะกล้อมแกล้มไปได้

4.การ เปิดสัญญาณเสียงของระบบ เช่นเดียวกับการเปิดใช้งานระบบหลังจาก Power On อุปกรณ์ทุกชิ้นแล้วเราจะเริ่มต้นที่ Mixer โดยป้อนสัญญาณเช้าสู่ Input Channel ของ Mixer แหล่งกำเนิดสัญญาณบางคนใช้ Pink Noise บางคนใช้เทป Cassette หรือสัญญาณที่ง่ายที่สุดคือการใช้ไมโครโฟนส่วนตัวเป็นพิเศษในการทำงาน Sound Check หลังจากได้แหล่งกำเนิดสัญญาณแล้วให้ตรวจเช็คว่าปุ่มต่างๆใน Mixer ช่องนั้นอยู่ในลักษณะ Preset จากนั้นค่อยปรับแต่งความแรงของสัญญาณให้อยู่แถวๆ O dBm โดยประมาณสังเกตได้จาก VU หรือ Volume Unit ประจำช่อง Mixer บางรุ่นอาจไม่มี VU แต่จะมี LED หนึ่งดวงที่กำกับคำว่า “CLIP” หรือ “PEAK” ก็ปรับความดังให้ LED  นั้นกระพริบเป็นครั้งคราวไม่ใช่ติดค้างหรือไม่ติดเลยเมื่อปรับปุ่มต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการแล้วและแน่ใจว่า flat ก็ส่งสัญญาณไปยัง Group (ถ้ามี) และ Master L. R ตามลำดับ เร่งความดังที่ Master L, R ให้อยู่แถว ๆ OdBm ในลักษณะเดียวกันกับสัญญาณประจำช่อง Mixer ก่อนที่จะปรับแต่งอุปกรณ์ชิ้นถัดไป ในภาพ 1 ซึ่งก็คือ Equalizer

    ที่ Equalizer ตรวจสอบให้แน่ใจว่าปุ่มควบคุมความแรงของทุกความถี่อยู่ในตำแหน่ง O dB เพ่อตั้งตำแหน่ง “Flat” ปุ่ม “EQ” ให้อยู่ในตำแหน่ง “ON” ถ้าเป็นปุ่ม “BYPASS” ให้อยู่ในตำแหน่ง “OFF” ปุ่ม “GAIN” ให้ดังประมาณ O dB ในลักษะเดียวกันบางเครื่องอาจจะไม่มี LED แสดงสัญญาณ “CLIP” หรือ “PEAK”  แต่จะมีขีด OdB ไว้ให้ก็ให้เลื่อนไปที่ขีดขั้น ถ้าไม่มีอะไรแสดงจริงๆ ก็ให้หมุนหรือเลื่อนไปประมาณ 75 % ช่องการหมุนหรือเลื่อนนั้น

    Compressor/Limiter เป็นอุปกรณ์ตัวถัดไปที่ปุ่ม Thresh Old ให้ปรับไว้ที่ค่าประมาณกลางๆ ปุ่ม Ratio ตั้งไว้ที่ 1:1 และ Gain ตั้ง OdBm ลักษณะนี้ทำไว้เพื่อตรวจสอบว่าเครื่องสามารถทำงานได้แต่ยังไม่มีการ Compress สัญญาณใดๆ เนื่อง Ratio ตั้งไว้ที่ 1:1 คล้ายๆกับเป็นการ Bypass สัญญาณผ่านไปเฉยๆ

    Electronic Crossover ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญอีกตัวหนึ่งของระบบ ไม่ว่าจะเป็น 2 ทาง, 3 ทางหรือมากกว่าก็ตามสิ่งที่จะต้องคำนึงที่สุดสำหรับขั้นตอนนี้คือการตั้ง ความถี่ จุดตัด Crossover frequency ผู้ทำ Sond Check ตะต้องตั้งความถี่จุดตัดให้สอดคล้องกับคุณสมบัติทางเทคนิคของลำโพง สูง, กลาง และต่ำตามลำดับ การปรับแต่งความถี่จุดตัดที่ไม่ถูกต้องมีผลต่อคุณสภาพของเสียงและ ประสิทธิภาพของลำโพง แม้แต่ขั้นรุนแรงคือความเสียหายของลำโพงนั้นเอง

    ขั้นตอนสำคัญสุดคือ การตรวจสอบสัญญาณจากเครื่องขยายเสียงหลังจากที่เราส่งสัญญาณเสียงจาก Mixer ผ่าน EQ, Compressor/Limiter นั้นแล้ว ให้ตรวจสอบเครื่องขยายเสียงและลำโพงที่ละตัวโดยเริ่มจากเสียงสูงก่อนทั้งนี้ ก็เพราะเครื่องขยายเสียงและลำโพงสำหรับความถี่สูงจะมีกำลังน้อยที่สุดเมื่อ เทียบ กลาง และ ต่ำ โอกาสที่อุปกรณ์จะเสียหายจึงน้อยกว่าใน กรณีที่ต่อสายผิด การตรวจสอบทำได้โดยการเปิด Volume ของเครื่องขยายเสียงของความถี่สูง ที่ละตัวโดยใช้ความดังประมา 10 ถึง 25% ของ volume จากนั้นให้ฟังเสียงจากลำโพงว่าดังหรือไม่ถ้าไม่ดังให้จรวจสอบแก้ไข ถ้าเรียบร้อยดีให้ลด Volume ทวนเข็มกลับไปจนสุด ระบบเสียงกำลังสูงๆ มักจะมีเครื่องขยายและโพงสำหรับความพี่ต่างๆ หลายขุดให้เลือกทดสอบที่ละเครื่องในแต่ละความถี่ จากสูงม กลาง และต่ำ ทั้งซ้ายและขวาจนครบทุกตัว

    หลังจากตรวจสอบขั้นตอนสุดท้ายเสร็จแล้วให้ลด Slider ของแหล่งสัญญาณ Mixer Input, Group, Master L, R ลงมาจนสุด Gain ของ Equalizer, Compressor/limiter, Electronic Crossover ตั้งไว้ประมาณ O  dBm ความแรงของย่านความถี่แต่ละย่านที่ Crossover ให้หมุนทาวนเข็มนาฬิกาจนสุดปุ่ม Volume ของเครื่องขยายเสียงทุกตัวในระบบเร่งสุดตามเข็มนาฬิกาลักษณะนี้เป็นอันเสร็จ สิ้นกระบวนการ Sound Check

จะเห็นได้ว่าการทำ Sound Check ไม่ใช่เป็นการปรับแต่งเสียงแต่เป็นการตรวจสอบระบบว่าพร้อมจะให้งานด้วย ประสิทธิภาพสูงสุดและมีการต่อพ่วงถูกต้องตามี่ควรจะเป็นผู้ควบคุมเสียงซึ่ง จะเป็นคนเดียวกันกับผู้ทำ Sound Check หรือไม่ก็ตามจะมาทำ Equalization ระบบต่อตากนี้โดยมีขั้นต่างๆอีกเช่น อย่างไรก็ตามการละเลยความสำคัญของ Sound Check จะสร้างปัญหาอย่างมากต่อการ Equaliazation ตลอดจนควบคุมระบบ S.R. โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแสดงสด เมื่อประมาณ 15 ปีก่อนมีการจัดคอนเสิร์ตที่ In Door Stadium หัวหมาก ให้กับวงดนตรีต่างประเทศ 2 วง ด้วยเวทีและระบบเสียงชุดเดียวกัน วันแรกเป็นการแสดงของวง Boom Town Rats ผู้จัดชาวไทยใช้ฝรั่งพัฒน์พงษ์ มาดูแลการติดตั้งระบบเสียงและทำ Sound Check ให้ Sound Man ของวงทำการปรับแต่งและควบคุมเสียงโดย Sound Man คนนี้ชะล่าใตและวางใจในระบบเกินไป เลยใช้เวลาปรับแต่งและซ่อมหรือ Rehearsal ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก่อนการแสดง ปรากฎว่ากว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ก็สายเกิดแก้เสียแล้วเพราต้องปล่อยผู้ชมเจ้างานและ “the Show Must Go On” เสียงจากการแสดงล่ม
ไม่เป็นท่าถูกด่าไม่มีดี วันถัดมาเป็นคิวของวง Chiff Richard ด้วยตัวเองพบว่าที่ฝรั่งพัฒน์พงษ์ต่อระบบผิด
โดย ใช้ลำโพงเสียงสูงบางตัวไปต่อในย่านเสียงกลาง. ตู้เสียงกลางบางตู้มั่วนิ้มลงไปอยู่ที่ความถี่ต่ำ  Sound Man ของวงเลยใช้เวลาชั่วโมงกว่ารื้อระบบและทำ Sound Check ใหม่ก่อนทำ Equalization และ Rehearsal การแสดงคืนนั้นเรียกว่าสมบูรณ์แบบเสียงที่ได้ต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือ ผู้จัดการวงดนตรีวงแรกที่เข้าชมอยู่ด้วยดี
พูดกับผู้จัดการชาวไทยหลังงานเลิกด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “You Kill Me Yesterday”

เรื่อง ที่เล่าเป็นอุทาหรณ์สำหรับ “มือใหม่หัด Mix” ให้คำนึงถึงความสำคัญของชั้นตอนธรรมดา๐ ที่เรียกว่า “Sound Check” นี้ไว้ไม่เช่นนั้นอาจต้องเตรียมสโลแกนจำตัวในการปรับแต่งระบบไว้ได้เลย “We do the loudest Feedback!
ขอบคุณเจ้าของบทความครับ

เคดิต...นักรบกีนิว

ทำความรู้จักกับทีวี 100 Hz กันเถอะ (ตอนที่ 1)

|0 ความคิดเห็น
ทำความรู้จักกับทีวี 100 Hz กันเถอะ (ตอนที่ 1)




ทีมงาน Cbiz ขอแนะนำบทความดีๆจากเว็บไซต์ LCDSPEC ที่จะทำให้ผู้อ่านรับรู่ว่า ทีวี 100 Hz แตกต่างจากทีวีทั่วไปอย่างไร และทำไมหลายๆแบรนด์ ถึงพยายามนำตัวเลขดังกล่าวมาเป็นจุดขายว่า ทีวีที่ดีต้อง 100 Hz ขึ้นไป
หากคุณได้มีโอกาสเดินเข้าไปชมสินค้าประเภท LCD TV หรือ Plasma TV ตามร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือได้มีโอกาสศึกษารายละเอียด และคุณสมบติของสินค้าเหล่านี้ จะพบว่าหนึ่งในเทคโนโลยีซึ่งผู้ผลิตนำมาเป็นจุดขายของจอ LCD TV หรือจอ Plasma TV ในปัจจุบัน คือเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ xxx Hz ซึ่งตัวเลขของ Hz เหล่านี้มีตั้งแต่ 100, 120, 200, 240 จนไปถึง 600 Hz เลยก็ว่าได้ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวถูกทำตลาดในชื่อที่ต่างกัน เช่น MotionFlow (SONY), Motion Plus หรือ True Motion เป็นต้น
แน่นอนว่าถ้าจะซื้อทีวีสักเครื่องคงไม่ตัดสินใจซื้อทีวีราคาแพงสักเครื่องจากสื่อประชาสัมพันธ์ หรือคำอธิบายบอกสรรพคุณกับภาพประกอบอันสวยหรูเพียงอย่างเดียว คำถามจึงตกอยู่กับผู้บริโภคว่าเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ 50 Hz, 100 Hz หรือแม้กระทั่งแบบ 600 Hz นั้นต่างกันอย่างไร และมันจะมีผลต่อประสบการณ์การรับชมทีวีอย่างไรบ้าง มาหาคำตอบกับ LCDSPEC.com กันเลยครับ
เทคโนโลยี 100/120 Hz คืออะไร?
หากอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย เทคโนโลยีการแสดงภาพแบบ 100/120 Hz ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มความต่อเนื่องในการแสดงภาพเคลื่อนไหวบนจอทีวี โดยอาศัยหลักการที่ว่า ภาพเคลื่อนไหวที่แสดงบนจอทีวีนั้น ประกอบด้วยภาพนิ่งหลายๆ ภาพที่แสดงต่อเนื่องบนจออย่างรวดเร็ว ทำให้ตาและสมองของมนุษย์ตีความว่าภาพที่เรามองเห็นนั้นมันเคลื่อนไหวได้ แน่นอนว่าภาพเคลื่อนไหวที่แสดงด้วยความถี่ 25 ภาพต่อวินาที ย่อมดูต่อเนื่องกว่าภาพเคลื่อนไหวแบบเดียวกันที่แสดงความถี่ 15 ภาพต่อวินาที ฉะนั้นหากเราเพิ่มความถี่ในการแสดงภาพให้มากขึ้น ก็จะทำให้เรารู้สึกว่าภาพเคลื่อนไหวนั้นมีความต่อเนื่อง หรือ “ลื่น” มากขึ้นนั่นเอง
เทคนิคการแสดงภาพแบบ 100 Hz เป็นการเพิ่มความถี่ในการแสดงภาพของทีวี โดยการคำนวณเฟรม (หรือ “ภาพ”) เข้ามาแทรกในภาพวิดีโอที่ส่งมาจากแหล่งกำเนิดสัญญาณ ซึ่งเรียกเทคนิคนี้ว่าเทคนิค “frame interpolation” หรือในบางกรณีก็จะใช้เทคนิคแสดงภาพแต่ละเฟรมซ้ำกันหลายๆ ครั้ง โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “frame repetition” ทำให้ความถี่ของการแสดงภาพมีมากขึ้น และส่งผลให้ภาพเคลื่อนไหวดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ก่อนจะเข้าสู่รายละเอียดทางเทคนิคในส่วนถัดไปของบทความนี้ เรามาทำความเข้าใจในประเด็นต่อไปนี้เสียก่อน:-
- “การเพิ่มความต่อเนื่องของภาพเคลื่อนไหว” กับ “การแก้ไขภาพกระตุก (Judder)” เป็นคนละประเด็นกัน บทความนี้จะกล่าวถึงเทคนิคการเพิ่มความต่อเนื่องของภาพเคลื่อนไหวเป็นหลัก และจะกล่าวถึงเทคโนโลยีการแก้ไขภาพกระตุกในส่วนท้ายของบทความ
- ระบบ 100/120 Hz บนจอ LCD ไม่เหมือนกันระบบ 100/120 Hz ของจอ CRT และจอ Plasma เสียทีเดียว เนื่องจากจอแต่ละประเภทมีวิธีการแสดงภาพเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน บทความนี้จะเน้นระบบ 100/120 Hz ที่ใช้บน LCD TV เป็นหลัก
- ระบบสัญญาณโทรทัศน์ที่ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานสำหรับประเทศไทยคือระบบ PAL บทความนี้จึงตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ทีวีระบบ 100 Hz ที่มีจำหน่ายในประเทศไทยถูกนำมาแสดงภาพในระบบ PAL แต่จะมีบทเพิ่มเติมในส่วนท้ายของบทความเพื่ออธิบายถึงพฤติกรรมของทีวี 100 Hz เมื่อนำมาแสดงผลในระบบ NTSC
บทความนี้อ้างอิงถึงระบบการแสดงผลภาพแบบ xxx Hz ว่าเป็นการแสดงผลแบบ 100/120 Hz ตลอดบทความนี้ เพราะหลักการเดียวกันนี้สามารถนำไปใช้กับทีวีทุกรุ่น ถึงแม้ว่ามันจะสามารถแสดงผลได้มากกว่า 100/120 Hz ก็ตาม
เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจในหลักการทำงานของระบบ 100 Hz เรามาทำความรู้จักกับระบบโทรทัศน์แบบ PAL ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบโทรทัศน์ที่ประเทศเราใช้กันเสียก่อน -- ระบบ PAL (Phase Alternating Line) เป็นระบบการเข้ารหัสภาพเคลื่อนไหวสำหรับแสดงบนจอโทรทัศน์ โดยสามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวความละเอียด 625 เส้น เป็นจำนวน 25 ภาพต่อวินาที (หรือเท่ากับ 50 ฟิลด์ต่อวินาทีในแบบ interlaced --50 Hz) คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจการทำงานของมันโดยละเอียด เพียงแต่จำแค่ว่าระบบ PAL นั้นแสดงภาพที่ 50 Hz ก็พอ แต่ถ้าสนใจรายละเอียดทางเทคนิคของระบบ PAL สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ Wikipedia
จากหลักการดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นเหตุผลให้ทีวีที่เข้ากันได้กับมาตรฐาน PAL ทุกเครื่อง (หรือทีวีทั้งหมดที่มีขายในบ้านเรา) จะต้องสามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวด้วยความถี่ 50 Hz นั่นเอง
ก่อนจะถึงยุค LCD/Plasma ครองเมือง หลายๆ คนคงเคยสัมผัสกับ TV/HDTV ตัวหนาที่ใช้หลอด CRT มาแล้ว (ขอกล่าวรวมว่าเป็นจอภาพแบบ CRT) ซึ่งจอ CRT เหล่านั้นบางรุ่นจะบรรจุเทคโนโลยี 100 Hz เข้ามาด้วย โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะเพิ่มความถี่การแสดงผลภาพ (refresh rate) จาก 50 ฟิลด์ต่อวินาที (50 Hz) ให้เป็น 2 เท่า หรือ 100 ฟิลด์ต่อวินาที (100 Hz) โดยการแสดงภาพแต่ละฟิลด์ซ้ำ 2 ครั้ง หรือบางรุ่น/ยี่ห้ออาจใช้วิธีการสังเคราะห์ภาพขึ้นมาเพิ่มเติม ทำให้คุณได้รับชมภาพ 100 ภาพในหนึ่งวินาที แทนที่จะเป็น 50 ครั้งต่อวินาที ส่งผลให้ภาพเคลื่อนไหวดูต่อเนื่อง และเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ระบบ 100/120 Hz บนจอ CRT ยังช่วยลดการกระพริบ (flicker) ของภาพในกรณีของจอโทรทัศน์ CRT อีกด้วย เนื่องจากวิธีการแสดงผลภาพของจอ CRT นั้นจะดำเนินเป็นวัฏจักรดังนี้:
1. แสดงภาพที่ 1
2. เม็ดพิกเซลบนจอดับไป เพื่อรอแสดงผลภาพที่ 2
3. แสดงภาพที่ 2
4. เม็ดพิกเซลบนจอดับไป เพื่อรอแสดงผลภาพที่ 3
5. แสดงภาพที่ 3
6. ดำเนินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่มีสัญญาณป้อนมายังจอภาพ

จากตัวอย่างข้างบนจะพบว่าภาพที่แสดงบนจอ CRT นั้นจะ “กระพริบ” ด้วยจังหวะที่เท่ากันเป็นระยะๆ กระบวนการดังกล่าวจะดำเนินแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนตาของคุณสังเกตไม่เห็นว่าจริงๆ แล้วภาพบนจอ CRT นั้นมีการ “ติดและดับ” สลับกันไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นด้วยความถี่ 50 ครั้งต่อวินาที (50 Hz) สำหรับการแสดงผลในระบบ PAL
เมื่อคุณมองภาพจากจอ CRT ผ่าน viewfinder ของกล้องดิจิตอล คุณจะสังเกตเห็นการกระพริบของภาพได้ และจะสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อจอแสดงภาพที่มีความสว่างมากขึ้น แต่เมื่อนำเอาเทคโนโลยี 100 Hz มาใช้ ก็จะทำให้จอ CRT แสดงภาพด้วยความถี่ 100 ครั้งต่อวินาที (100 Hz) แน่นอนว่าจอของคุณจะต้องกระพริบถี่ขึ้น แต่มันก็ส่งผลให้คุณสังเกตการกระพริบได้น้อยลง และทำให้ภาพที่แสดงบนจอดูนิ่งและสบายตากว่าเดิม และยิ่งเพิ่มความถี่ในการแสดงผล (refresh rate) เข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำให้ภาพที่แสดงดูนิ่งขึ้นเท่านั้น
เทคโนโลยี 100/120 Hz กับจอ LCD
เนื่องจากจอ LCD มีวิธีการแสดงภาพเคลื่อนไหวที่แตกต่างจากจอ CRT จึงทำให้หลักการทำงานของระบบ 100 Hz บนจอ LCD ทำงานต่างออกไป กล่าวคือ จอ LCD จะแสดงภาพที่ป้อนมาจากแหล่งกำเนิดสัญญาณค้างเอาไว้ จนกว่าจะมีคำสั่งจากวงจรควบคุมให้แสดงภาพถัดไป ซึ่งจะไม่มีการ “กระพริบ” (flicker) เหมือนกับจอ CRT และเมื่อเขียนเป็นวัฎจักรเปรียบเทียบกับการแสดงผลของจอ CRT ก็จะเป็นดังนี้:




เราเรียกพฤติกรรมการแสดงภาพค้างไว้ของ LCD ว่า “Sample-and-hold effect” เนื่องจากถึงแม้จะเพิ่มความถี่ในการแสดงผลสักกี่ Hz ให้กับจอ LCD ก็ตาม ก็จะไม่มีผลต่อการกระพริบของจอ LCD ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากจอ LCD ไม่มีการกระพริบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น refresh rate สำหรับจอ LCD จึงเป็นเพียงตัวเลขที่สั่งให้จอฉายภาพใหม่เป็นจำนวนกี่ครั้งในหนึ่งวินาทีเท่านั้น
ด้วยคุณสมบัติข้อนี้ของ LCD ทำให้จอ LCD มีความเหมาะสมในการแสดงภาพนิ่งเป็นอย่างมาก กล่าวคือ ไม่จำเป็นต้องใช้การแสดงผลแบบ 100 Hz บนจอ LCD เพื่อลดการกระพริบของภาพนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เทคนิค 100 Hz จะไม่มีผลต่อการกระพริบของ LCD แต่จอ LCD ก็ยังได้ประโยชน์จากเทคนิคการแสดงเฟรมซ้ำกัน (frame repetition) และการสังเคราะห์เฟรม (frame interpolation) ของระบบ 100 Hz ที่ทำให้ภาพเคลื่อนไหวดูต่อเนื่องและเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
เทคนิค 100 Hz จะสังเคราะห์เฟรมขึ้นมาแทรกในเฟรมที่มีอยู่แล้ว เพื่อช่วยเสริมในสิ่งที่สายตาของเราคาดหวังว่าจะเห็น แต่มันขาดหายไปจากคอนเทนต์ต้นฉบับ รวมถึงใช้เทคนิค backlight scanning ช่วยปรับความถี่ของการเปิด/ปิด backlight ให้สอดคล้องกับความถี่ของเฟรมที่เพิ่มขึ้นมาด้วย ผลที่ได้คือภาพเคลื่อนไหวที่ดูต่อเนื่องมากขึ้น ทีวีบางรุ่นจะใช้เทคนิคแทรกเฟรมแบบ 100 Hz ควบคู่ไปกับเทคนิค backlight scanning ทำให้สามารถแสดงผลได้ถึง 200 Hz




ภาพนี้เป็นจะช่วยอธิบายการทำงานของระบบ MotionFlow ของ Sony ส่วนระบบ 100 Hz จากผู้ผลิตทุกรายต่างก็ทำงานโดยอาศัยหลักการเดียวกัน
ระบบ 100 Hz จะทำงานได้ดีกับคอนเทนต์ที่เป็นแบบ 50 Hz เช่นภาพจากฟรีทีวี ยูบีซี และภาพจากแผ่น DVD ระบบ PAL ซึ่งจะอยู่ในบทความตอนที่ 2 เกี่ยวกับวิธีการจัดการในกรณีที่คอนเทนต์มีเฟรมเรทไม่สัมพันธ์กับเฟรมเรทของทีวี อย่าลืมติดตามตอนต่อไปครับ

การจัดวางลำโพงสำหรับชุดโฮมเธียร์เตอร์ด้วยตัวเอง

|0 ความคิดเห็น

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การต่อครอส 3 ทางใช้แบบ 2 ทาง แบบรากหญ้า

|0 ความคิดเห็น
เห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่เล่น 3 ทางแต่ต้องการมาเล่นแบบ 2 ทาง  และสามารถปรับได้ละเอียดดีกว่า แบบกดสวิทย์ เลือกเป็น 2 ทาง
เครดิต ท่านเบริด สกลนคร แห่งบ้านwww. karaoke-soft.com
ต่อแบบผมดิ ผมใช้ ครอส 3 ทางมาทำเป็นสองทาง บังคับเอาเลยครับ
เอามาใช้กับตู้สองทางพวก PS หรือทุกตระกูลได้ดี กลางปรับเบา ดัง ได้อิสระ แหลมก็เหมือนกัน
แถมกวาดความถี่กลางแหลมได้ดังใจครับ ต่อแบบนี้ครับ


ช่องเสียงกลางใช้ หมายเลข 2  = + คือ ช่องเสียงกลาง เอา มาเฉพาะ + ต่อเข้าขา 2
ช่องเสียงแหลมใช้ หมายเลย 3 = - คือ ช่องเสียงแหลม เอามาเฉพาะ -  ต่อเข้าขา 3
กราวด์ของแต่ละช่องจับรวมกันแล้วเข้า หมายเลข 1

ปรับ EQ ที่งานง่ายที่ใช้โปรแกรม smraat live

|0 ความคิดเห็น
บ่าวที่ปรับ EQ ที่งานง่ายที่สุด บ่าวจะใช้โปรแกรม smraat live ช่วย

เพราะ ในโปรแกรมนี้ มันจะมีเครื่องมือที่เรียกว่า Spectrum analyzer เจ้าSpectrum analyzer นี้มันจะผลิตสัญญาณPink noise ออกมาที่เสียงดังซ่าๆๆ นะครับสัญญาณนี้มันจะให้ความถี่เสียงครับทุกย่ายเลยตั้งแต่20 -20000Hz เลย..เราก็เอาสัญญาณPink noiseที่ได้จากSpectrum analyzer ต่อเข้ากับระบบของเราก็จะได้ยินเสียงซ้าออกจากลำโพง จากนั้นก้เอา Microphone ชนิดพิเศษที่มีความไวสูง.(ไม่ใช่ mic condenecr ทั่วไปนะส่วนมากมันจะมากับSpectrum analyzer อยู่แล้ว)มาต่อเข้ากับ Spectrum analyzerแล้วเอา mic ไปวางไว้ตำแหน่งที่นั่งฟังแล้วมาดูที่หน้าจอคอมSpectrum analyzer เราก็จะรุ้ว่าระบบของเราผลิตสัญญานย่านไหน แรงไป หรือค่อยไป เราก็ไปปรับที่ EQ ของเรา ปรับไปจนกระทั่ง Spectrum analyzer มันแสดงผลว่า ได้ยินทุกย่านความถี่เสียง...เท่าๆกัน เป็นอันจบ...ถือกันว่า ระบบนั้นได้ทำการจูน EQ จน Flat แล้ว.....ไม่ต้องปรับต้องหมุนอะไรอีกแล้ว
(ดู ที่การปรับอีEQ รูปสุดท้าย klark-teknik  หน้าจอคอมSpectrum analyzerจะได้แฟตเหมือนรูปที่2นี้..ไม่ใช่Flatที่eqนะแต่แฟตที่หน้าจอ จอSpectrum analyzer (พยายามคัท มากกว่าบูสนะ  ) ทั้งหมดขึ้นอยู่กับระบบและสถานที่มันอาจไม่ตรงเสมอไปแต่ให้ได้ประมาณ นี้....อิอิ...ผมไม่มีรูปจริงๆๆเลยลืมช่างอ๊อดมา..อิอิ...)



จาก นั้นบ่าวก็จะมาเช็คการfeed back เร่งสัญเสียงมาสเตอร์mixให้เกิน o db ให้ดังที่สุดเพื่อให้มันหอนจากนั้นก็มาดูที่ smraat live ว่ามันหอนอยู่ที่ความถี่ใดเมื่อสัญญาณมาแรงๆๆ..


เช่น 500 จากนั้นบ่าวก็feed back ค่า500ไว้ เมื่อเล่นจริงเราก็ปล่อยสัญญาณเสียงที่  0 db ต่ำกว่าค่าที่เราก็feed back ไว้ จ้างก็ไม่หอน.......ถ้าสุงกว่านั้นมันก็feed back ไว้ครับ......ส่วนมากผมจะใช้คัดมอนิเตอร์มากกว่า.เพราะถ้าfeed back มากเสียงจะไม่เป็นธรรมชาติเท่าไรครับ...ถ้าเราเซ็ตมอนิเตอร์ กันการfeed back ได้ pa..ก็คงไม่มีปัญหานะครับ....

จากนั้นก็ไม่ต้องยุ่งกับEQ อีกเลย...ตั้งครั้งเดียวเสร็จ.. ถ้าไปปรับeq อีกก็เหมือนกับที่เราทำมาทั้งหมดไม่มีประโยชน์เลย...อิอิ...
ส่วนมากแทบไม่ได่แตะเลยครับเกือบแฟต ตลอด..แล้วแต่ละสถานที่...

เลือกจอ LCD แบบไม่ให้เสียใจในภายหลัง

|0 ความคิดเห็น
เลือกจอ LCD แบบไม่ให้เสียใจในภายหลัง


เลือกจอ LCD แบบไม่ให้เสียใจในภายหลัง


     ถ้าคุณมีงบประมาณเหลือเฟือก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับผู้ที่ต้องการให้ทุกบาททุกสตางค์คุ้มค่ามากที่สุด นอกจากรสนิยมส่วนตัวแล้ว วิธีพื้นฐานง่ายๆ ดังต่อไปนี้
จะไม่ทำให้คุณผิดหวังกับจอ LCD ที่ซื้อมาเลย

ข้อดีและข้อเสียของจอภาพ LCD
     จอภาพ LCD นั้นไม่ได้มีคุณสมบัติที่สมบูรณ์แบบในตัวเอง และในบางเรื่องก็ด้วยกว่าจอภาพ CRT ด้วยซ้ำ ดังนั้นคุณต้องทำความเข้าใจและถามตัวเองก่อนว่าต้องการ ข้อดีและยอมรับกับข้อจำกัดของจอภาพได้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดความรำคาญใจในภาพหลัง โดยข้อดีต่างๆของจอภาพ LCD ก็คือ
     -มีขนาดเล็กและบาง ทำให้ประหยัดพื้นที่ใช้งานมากกว่า
     -กินไฟน้อยกว่า
     -สบายตากว่าเพราะภาพไม่มีการ Flicker
     -(บางรุ่น) หมุนแสดงผลแนวตั้งได้
     -น้ำหนักเบาและสามารถแขวนติดฝาผนังได้
     -รูปภาพไม่มีการเสียรูปทรง
     -ใช้งานพื้นที่เต็มขนาดจอภาพ
     -ไม่มีคลื่นรบกวนจากอุปกรณ์รอบข้างโดยเฉพาะลำโพง

ส่วนข้อเสียก็มีเช่นกันคือ
     -มีมุมมองที่จำกัดทั้งในแนวตั้งและแนวนอน
     -ความคมชัดจะเปลี่ยนไปตามมุมมอง
     -(ในขนาดที่เท่าๆกับจอ CRT) จะมีราคาสูงกว่า
     -(ส่วนใหญ่) มีเงาดำเมื่อภาพเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
     -ความละเอีดดที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานมีเพียงค่าเดียว

ขนาดและความละเอียด
     จอภาพ LCD แต่ละขนาดจะถูกออกแบบมา โดยให้มีค่าความละเอียดที่เหมาะสม และแสดงภาพได้อย่างชัดเจนเพียงแค่ค่าเดียวเท่านั้น โดยจะสังเกตได้ว่าผู้ผลิต จะอ้างด้วยข้อความว่า Native Resolution (จอภาพ CRT ส่วนใหญ่จะระบุด้วยคำว่า ความละเอียดสูงสุด) เช่นจอภาพขนาด 17 นิ้ว ที่ส่วนใหญ่จะมีความละเอียด 1,280x1,024 พิกเซลหรือขนาด 15 นิ้วที่มีความละเอียด 1,024x768 พิเซล ดังนั้นคุณจึงควรตรวจสอบความละเอียดที่จอภาพระบุด้วยว่าเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่ เพราะคุณจะไม่สามารถใช้ความละเอียดอื่นได้ หากต้องการภาพที่มีความชัดเจน

ความสว่าง
     จอภาพที่ผู้ผลิตอ้างว่ามีความสว่างสูงจะเป็นหลักประกันได้ดีกว่าว่า คุณสามารถนำจอภาพ LCD ไปใช้งานได้ในทุกๆ ที่โดยไม่มีข้อจำกัดในเรื่องสภาพแสงโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในที่โล่งที่มีความสว่างมากๆ อย่างเช่นบนสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งจอภาพที่มีความสว่าง 300Cd/m2 (แคนเดลาร์ต่อตารางเมตรหรือ nits) จะแสดงภาพได้ชัดเจนกว่าและ
ทำให้ไม่ต้องเพ่งมองเหมือนกับจอภาพที่มีความสว่างเพียง 175Cd/m2 แต่สำหรับการใช้งานภายในบ้าน ที่ทำงานความสว่างสูงๆ นี้ก็ไม่ได้จำเป็นเสมอไป

จุดเสีย (Deal Pixels)
     ข้อบกพร่องของจอภาพที่พบได้เป็นประจำก็คือ การมีผลึกเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างจุดสีมีสถานะเป็น ON หรือ OFF แบบถาวรแทนที่จะมีสถานะที่เปลี่ยนไปตามสัญญาณภาพที่ส่งมาแสดงที่หน้าจอ ซึ่งจุดเสียนี้จะเห็นเป็นจุดสีขาวสว่างๆ หรืออาจเป็นจุดสีดำก็ได้ ดังนั้นก่อนที่คุณจะซื้อให้สอบถามถึงเงื่อนไขการรับประกันและการเปลี่ยนจอภาพใหม่ให้แทนในกรณีที่จอภาพนั้นๆ มีจุดเสียเกิดขึ้น และถ้าเป็นไปได้ก็ควรตรวจสอบดูก่อน ซื้อวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดก็คือ การเปิดภาพหรือโปรแกรมใดๆ ก็ได้ที่ทำให้จอภาพแสดงสีขาวได้ทั่ว
ทั้งจอภาพ แล้วจากนั้นให้เปลี่ยนจอไปแสดงสีดำแทน ซึ่งถ้าจอภาพมีจุดเสียอยู่คุณก็จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

อัตราคอนทราสต์และมุมมอง
     ถ้าคุณเลือกจอภาพ LCD ก็ให้ยอมรับกับข้อด้วยในเรื่องมุมมองก่อน แต่ถ้าทำใจลำบากก็ให้คุณตรวจสอบจากหน้าเว็บไซต์ของผู้ผลิตดูก่อนว่า จอภาพนั้นมีมุมมองที่กว้างมากพอทั้งในแนวตั้ง และแนวนอนหรืออย่างน้อยที่สุด 120 องศา และถ้าเป็นไปได้ก่อนที่คุณจะซื้อให้ทดสอบด้วยการมองด้วยตาเปล่าในมุมต่างๆ แล้วแต่สถานที่จะอำนวย จากนั้นให้สังเกตดูว่าภาพที่เห็นนั้นยังคงมีความชัดเจนอยู่หรืออัตราคอนทราสต์ของภาพยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้จริงๆ

ความเร็วในการตอบสนอง
     คุณสมบัติเฉพาะของจอภาพ LCD ข้อนี้หมายถึงเวลาที่จุดพิกเซลใช้ในการเปลี่ยนสถานะ (ON/OFF) หรือถ้าให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือเวลาที่จุดพิกเซลหนึ่งๆ ใช้ในการเปลี่ยน
จากการแสดงสีดำเป็นสีขาว ซึ่งหลายๆ คนน้ำตาตกมาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ซื้อจอภาพ LCD มาเล่นเกมสามมิติหรือการแสดงผลในลักษณะอื่นที่ภาพมีการเคลื่อนที่อย่าง
รวดเร็ว โดยในจอภาพที่มีความเร็วในการตอบสนองที่ไม่เร็วพอนั้น ภาพที่ได้จะมีลักษณะที่เป็นเงาดำหรือที่เรียกว่า Ghosting เกิดขึ้นตามมาพร้อมกับภาพด้วย ดังนั้นคุณ
ควรเลือกจอภาพที่มีความเร็วสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้คือ อย่างน้อย 16 มิลลิวินาที หากคุณต้องการนำมาใช้งานในลักษณะดังกล่าว

การปรับหมุนและแสดงผลในแนวตั้ง
     ความสามารถพิเศษของจอภาพ LCD ที่หาไม่ได้จากจอภาพแบบ CRT ก็คือ การหมุนแสดงผลในแนวตั้งซึ่งการแสดงผลลักษณะนี้จะทำให้คุณสามารถแสดงหน้าเอกสารต่างๆ
หรือหน้าเว็บไซต์ทั้งหน้าได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องคลิกปุ่มเลื่อนขึ้นลงแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ดีคุณสมบัตินี้จะมีเฉพาะจอภาพบางรุ่นที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเท่านั้น นอกจาก
นั้นคุณควรตรวจสอบก่อนด้วยว่า หลังจากที่หมุนแล้วจอภาพมีระบบล็อคที่หนาแน่น ไม่แกว่งไปแกว่งมาและที่สำคัญคุณยังปรับระยะก้มเงยลักษณะต่างๆ ได้โดยที่ไม่มีการติดขัดใดๆ

ระบบการควบคุม
     แม้ว่าจอภาพจะถูกตั้งค่ามาอย่างเหมาะสมแล้ว แต่ก็บ่อยครั้งที่คุณจำเป็นต้องปรับแต่งเพิ่มเติมดังนั้น นอกจากระบบอัตโมมัติสำหรับการใช้งานในลักษณะต่างๆ ที่มีให้แล้ว
จอภาพควรมีระบบควบคุมที่ใช้งานได้สะดวกด้วยหรืออย่างน้อยปุ่มปรับค่าต่างๆ ก็ควรอยู่ตำแหน่งที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ง่าย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วคุณจะรู้สึกหงุดหงิดมากทีเดียว
เมื่อต้องการปรับค่าแต่ละครั้งแม้ว่าจะต้องการเพียงแค่เพิ่มความสว่างก็ตาม

พอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อ
     การเชื่อมต่อ และแสดงผลโดยใช้สัญญาณภาพในระบบดิจิตอลนั้นจะให้ภาพที่มีคุณภาพสูงกว่าอะนาลอกทั่วไป ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าจอภาพ LCD ที่คุณเลือกทำได้ ให้
ตรวจสอบด้วยว่านอกจากพอร์ต D-Sub แล้วจอภาพยังมีพอร์ต DVI ให้มาด้วย แต่อย่างไรก็ดีหากการ์ดแสดงผลที่คุณใช้ไม่มีพอร์ต DVI-I ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะเลือก
ใช้จอภาพ LCD ที่มีพอร์ตสำหรับสัญญาณดิจิตอลเช่นนี้

การรับประกันจากผู้ขาย
     เนื่องจากจอภาพ LCD นั้นไม่แข็งแรกเหมือนกับจอภาพ CRT ดังนั้นคุณควรพิจารณาด้วยว่าจอภาพมีอายุการรับประกันที่นานพล รวมถึงการส่งซ่อมในกรณีฉุกเฉินและ
ตรวจสอบการเปลี่ยนอะไหล่สำคัญๆ อย่างเช่นหลอดไฟ Backlight สำหรับการใช้งานระยะยาวด้วย

ที่มา : WHAT AUDIO VIDEO


Compressor ในงานเครื่องเสียง

|0 ความคิดเห็น
Compressor ในงานเครื่องเสียง  

Compressor (คอมเพรสเซ่อร์) ทำหน้าที่ช่วยปรับระดับความคงที่ของสัญญาณที่เข้ามามีค่าคงระดับความดังเบาตามต้องการ
            วิธีการต่อมีสองแบบคือ 1.ต่อแบบผ่าน In/Out 2.ต่อแบบ Insert

   -คำต่างๆใน Compressor และหน้าที่
       -Threshold (เทรชโฮลด์) มีหน้าที่กำหนดสัญญาณขาเข้า(Input) ที่จะให้คอมเพรสเซ่อร์เริ่มทำงานเช่นตั้งค่าไว้ที่ -10dB เมื่อสัญญาณที่เข้ามาถึง -10dB คอมฯจะเริ่มทำงาน ถ้าสัญญาณต่ำกว่า-10dB คอมฯจะไม่ทำงาน สังเกตุที่สัญญาณไฟ(LED) อย่าให้ขึ้นเกินสามเม็ด ตรงไฟแสดงสัญญาณเข้า(Input)และสัญญาณออก(Output) เราเรียกว่า GR/Gain Reduction (เกนรีดั๊คชั่น) ไฟสีแดงคือจำนวนค่าสัญญาณที่ถูกกด ส่วนสีเขียวคือสัญญาณที่ถูกคอมฯแล้ว
        -Ratio (เรโช) มีหน้าที่ปรับอัตราส่วนการบีบอัดสัญญาณให้นิ่ง เช่นตั้งค่าไว้ที่ 2:1 สัญญาณเข้าไป 2dBจะถูกบีบให้เหลือ 1dB สม่ำเสมอ สำหรับการตั้งค่าให้หมุนไปขวามือสุดแล้วค่อยๆหมุนกลับมาทางขวา ฟังสังเกตุดูอย่าให้เสียงแบนเกินไป จนฟังแล้วอึดอัด ค่าโดยทั่วไปจะมีตั้งแต่ 1:1,2:1,3:1,5:1,8:1 ค่าคอมฯที่10:1หรือมากกว่า 10:1 จะเป็น Compressor/Limiter(คอมเพรสเซ่อร์/ลิมิตเตอร์)
        -Attack (แอ๊ตแท็ค) มีหน้าที่ใช้กดหรือหน่วงสัญญาณที่เป็นเสียงกระแทกหนักๆเช่นเสียงของหัว กระเดื่อง(Kick) ให้เข้ามาเร็ว(Fast)หรือช้า(Slow) ซึ่งในทางดนตรีนั้นจะให้ความรู้สึกอาการบีบอัดและให้น้ำหนักของหัวโน๊ตเสียง
        -Release (รีลีส) คือ เมื่อสัญญาณเพิ่มขึ้นเหนือค่า Threshold ที่ตั้งไว้ และเริ่มอ่อนลง คอมฯจะใช้ช่วงเวลาในการเพิ่มค่าสัญญาณให้ตรงตามที่กำหนดเราเรียกว่า Release ซึ่งจะมีค่าเวลาที่มากกว่า Attack ประมาณ 1-2 วินาทีและสามารถปรับค่าระยะเวลาได้ จะให้ความรู้สึกว่าตัวโน๊ตมีความยาว(หนืด)ขึ้น
        -Solf Knee/Hard Knee (ซ๊อฟนี/ฮาร์ดนี) คือเมื่อใช้ Solf Knee จะรู้สึกถึงสัญญาที่ถูกคอมน้อยมากแต่คอมฯยังทำงานอยู่ มักใช้กับเสียงดนตรีและในทางตรงข้ามเมื่อใช้ Hard Knee เราจะรู้สึกได้ถึงแรงบีบอัดของคอมฯมากกว่า มักใช้กับเสีงพูด เสียงร้อง
        -Output Gain/Make Up Gain (เอ้าท์พุทเกนหรือเม๊คอัพเกน) คือ สัญญาณที่ได้ถูกคอมฯแล้ว สามารถเร่งสัญญาณให้ดังขึ้นได้
        -Peak Limitee/Limiter (พีคลิมิตเตอร์หรือลิมิตเตอร์) มีหน้าที่เอาไว้ควบคุมสัญญาณขาออกไม่ให้เกินกำหนด เช่นถ้าตั้งไว้ที่ 3dB สัญญาณที่เกินกว่า 3dB จะถูกกดไม่ให้ผ่านออกไป

 COMPRESSOR/LIMITER เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมระดับความดังของเสียง ไม่ให้สัญญาณเสียงที่ออกไปมีความแรงมากเกินไป รวมทั้งทำหน้าที่อื่นๆด้วย ซึ่งหน้าที่การทำงานภายในเครื่องจะประกอบด้วยหน้าที่การทำงานหลัก 3 ส่วน

การต่อใช้งานเครื่อง COMPRESSOR

การต่อใช้งานเครื่องคอมเพรสเซอร์สามารถต่อใช้งาน ตามลักษณะประเภทของงานและตามความต้องการของผู้ใช้ได้ 4 แบบ ดังนี้

1. การต่อแบบ Channel Insert
การ ต่อแบบนี้เป็นการต่อใช้งานที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้เราสามารถปรับแต่งเสียงของคอมเพรสเซอร์ แต่ละแชลแนลได้อย่างอิสระ ทั้งเสียงจากไมโครโฟนสำหรับนักร้อง และเสียงจากเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นที่แยกจากกัน

2. การต่อแบบ Group Insert
การ ต่อแบบนี้จะใช้คอมเพรสเซอร์ จำนวน 2 เครื่อง [4Ch> ในกรณีที่มิกเซอร์มี 4 กรุ๊ป คือ Group 1-2-3-4 ก็ให้เราจัดกรุ๊ป 1-2 เป็น ไมค์เสียงร้องทั้งหมด และกรุ๊ป 3-4 เป็นเสียงดนตรีทั้งหมด

3. การต่อแบบ Mix Insert
การ ต่อแบบนี้ใช้คอมเพรสเซอร์ 1เครื่อง [2Ch> ต่อที่ตำแหน่ง Mix Insert ของเครื่องมิกเซอร์ เป็นการต่อใช้งานเพื่อควบคุมเสียงทั้งหมดที่ถูกต่อเข้าที่มิกซ์ การปรับแต่งเสียงก็จะปรับโดยรวมๆกลางๆ

4. การต่อแบบ MIXER to COMPRESSOR
การ ต่อแบบนี้เป็นการต่อแบบที่ง่าย สะดวก และประหยัดที่สุด เพราะเป็นการต่อที่นำเอาสัญญาณเอาท์พุทจากมิกเซอร์มาเข้าอินพุทของเครื่อง คอมเพรสเซอร์ และออกจากคอมเพรสเซอร์ไปเข้าเครื่องอีควอไลเซอร์
การปรับแต่งเสียงก็เป็นการปรับแบบรวมๆกลางๆ เพราะทุกเสียงผ่านคอมเพรสเซอร์ทั้งหมด

การต่อปลั๊ก TRS XLR และ RCA...(เผื่อเป็นประโยชน์ในการทำสายสัญญาณเอง)

|0 ความคิดเห็น
การต่อปลั๊ก TRS XLR และ RCA...(เผื่อเป็นประโยชน์ในการทำสายสัญญาณเอง)








powered by B9UM