วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ถั่วเหลือง-ดาวเด่นเทศกาลกินเจ

|0 ความคิดเห็น
 

ประโยชน์ถั่วเหลือง-ดาวเด่นเทศกาลกินเจ

มาถึงแล้วเทศกาลกินเจ วัตถุดิบสำคัญในการประกอบอาหารเจย่อมได้แก่ ถั่วเหลืองและธัญพืช อาหารอิ่มท้องที่ให้คุณค่าโภชนาการสูง มีประโยชน์ต่อร่างกาย และช่วยป้องกันโรคที่ผู้คนสมัยนี้ต่างเป็นกังวล เช่น มะเร็ง โรคกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดและหัวใจ
นางกลอยตา ณ ถลาง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและสิ่งแวดล้อม บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ถั่วเหลืองเป็นอาหารเพื่อสุขภาพและมีคุณค่าโภชนาการแ ละมีประโยชน์ต่อสุขภาพ หาซื้อได้ง่าย ดัดแปลงปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย อาหารที่ทำจากถั่วเหลือง เช่น นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ถั่วนัตโตะ เทมเป้ เป็นต้น มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามิน ธาตุเหล็ก ในปริมาณสูง มีไขมันอิ่มตัวต่ำ และปราศจากคอเลสเตอรอล ในขณะที่ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต อุดมด้วยใยอาหาร แร่ธาตุ และวิตามิน


"ถั่วเหลืองให้คุณค่าโปรตีนเป็นหลัก และเป็นโปรตีนที่สมบูรณ์เท่ากับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ดังนั้นในช่วงเทศกาลอาหารเจ เราจึงเห็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองต่างๆ มากมาย นำมาทำเป็นอาหารและผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม อย่างนมถั่วเหลืองซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่เป็น เเหล่งโปรตีนที่ดี เหมาะสำหรับหนุ่มสาววัยทำงานหลายๆ คนที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบต้องทำงาน ประชุม หรือเดินทางตลอด ลองปรับเปลี่ยนเมนูอาหารเจง่ายๆ ที่ยังคงให้สารอาหารที่จำเป็นกับร่างกายอย่างครบถ้วน เช่น ดื่มนมถั่วเหลือง หรือนมถั่วเหลืองผสมธัญพืชต่างๆ กินคู่กับขนมปัง ที่ทำจากธัญพืช เป็นต้น" นางกลอยตา กล่าว
องค์การอนามัยโลก ระบุว่า โปรตีนจากถั่วเหลืองประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นกับ ความต้องการของร่างกายมนุษย์เมื่อบริโภคในปริมาณที่แ นะนำ และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพในระดับเดียวกับโปรตีนที่ได ้จากสัตว์เมล็ดถั่วเหลือง อุดมด้วยธาตุเหล็ก มีคุณค่าใยอาหารที่จำเป็นกับร่างกาย มีธาตุแคลเซียม มีไขมันอิ่มตัวต่ำ และปราศจากคอเลสเตอรอล ในถั่วเหลืองมีสาร "ไอโซฟลาโวน" ที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนของเพศหญิง ไอโซฟลาโวนมีผลต่อการลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก โรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคกระดูกพรุน และลดอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือนอีกด้วย

4 ข้อควรระวัง ระหว่างกินเจ

|0 ความคิดเห็น
4 ข้อควรระวัง ระหว่างกินเจ


เทศกาล ‘กินเจ’ ได้เริ่มขึ้นแล้ว วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีคำแนะนำสำหรับการกินเจให้ถูกวิธีมาเล่าสู่กันฟัง


- อย่าเลือกรับประทานแต่ผัก เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่ครบ ควรเสริมด้วยธัญพืชหรือพืชตระกูลถั่ว เช่น เต้าหู้ เผือก มัน กลอย เมล็ดงา ลูกเดือย และลูกบัว ร่วมด้วย

- ไม่ควรบริโภคแป้งในรูปแบบต่าง ๆ มากเกินไป รวมถึงอาหารที่ผัดและทอด ทางที่ดีควรเลือกอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยการต้ม ย่าง อบ หรือยำ

- ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด จากการใช้ซีอิ๊วขาว เต้าเจี้ยว หรือเกลือแทนน้ำปลา เพราะอาจส่งผลต่อไตและเป็นความดันโลหิตสูง

- ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัด เพราะส่งผลต่ออวัยวะภายใน เช่น รสขมจัดส่งผลต่อหัวใจ เค็มจัดส่งผลต่อไต หวานจัดส่งผลต่อม้าม เปรี้ยวจัดส่งผลต่อตับ และเผ็ดจัดส่งผลต่อปอด

รู้อย่างนี้แล้วปรุงรสชาติอาหารในปริมาณพอเหมาะดีที่ สุด

รักษาสิวง่ายๆ ด้วยวิธีธรรมชาติ

|0 ความคิดเห็น
รักษาสิวง่ายๆ ด้วยวิธีธรรมชาติ




พูด ถึงสิว ใครๆ ก็เบือนหน้าหนีไม่ว่าหนุ่มๆ หรือสาวๆ โดยเฉพาะน้องๆ วัยรุ่นที่กำลังอยู่ในวัยรักสวยรักงาม ถึงจะแม้เป็นแค่เม็ดเล็กๆ แต่ถ้ามันขึ้นมาหลายๆ เม็ดพร้อมๆ กัน ก็น่ากลัวอยู่ไม่หยอกนะ

สาเหตุใหญ่ของการเกิดสิวนั้นเกิดจากการอุดตันของไขมั นส่วนเกินบนใบหน้า เป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งของผิวหนัง เกิดขึ้นเมื่อไขมันที่ถูกผลิตออกมามากไปรวมกับเซลล์ผ ิวที่ตาย แล้วไปอุดตันรูขุมขนจนกระทั่งเป็นสิว บางคนทางปัจจัยทางพันธุกรรมหรือฮอร์โมนเข้ามาเกี่ยวข ้องด้วย

สิวแบ่งได้กว่า 50 ชนิด ทุกชนิดล้วนมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียเป็นตัวประกอบ ความเชื่อผิดๆ ที่ว่าสิวรักษาได้ จริงๆ แล้วไม่มียาใดที่รักษาสิวได้โดยตรง ทำได้แค่บรรเทาหรือควบคุมป้องกันเท่านั้นเอง บางคนเชื่อว่าอาหาร เช่น พวกช็อคโกแลต พิซซ่า อาหารมันๆ เป็นตัวการทำให้เกิดสิว แต่ก็ยังไม่มีรายงานแน่ชัดว่า อาหารเหล่านี้ก่อให้เกิดสิวโดยตรง

การป้องกันไม่ให้เกิดสิวโดยวิธีธรรมชาติก็คล้ายๆ กับการดูแลสุขภาพทั่วไป มีหลักง่ายๆ ดังนี้

  • อาหาร ให้หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม อาหารหวานๆ อาหารที่มีไขมันมาก กาเฟอีน หมั่นทานอาหารที่ได้สมดุล เช่นผักผลไม้ อาหารที่กากใยมากๆ และไขมันต่ำ

    ออกกำลังกาย ดีต่อร่างกายทุกส่วน ทำให้เลือดหมุนเวียนดีและออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้เต็มที่ รวมทั้งผิวหนังด้วย ที่สำคัญคือต้องแน่ใจว่าคุณล้างหน้าอย่างสะอาด หมดจดหลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อชำระล้างความมันและเหงื่อ ซึ่งอาจทำให้เกิดแบคทีเรีย สาเหตุของสิวนั่นเอง

    นอนหลับให้สนิท ขณะที่หลับ เซลล์ผิวหนังจะฟื้นฟูสภาพตัวเองที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอ ดทั้งวัน ลองเข้านอนให้เร็วขึ้น และนอนมากขึ้นกว่าปกติ 1-2 ชั่วโมง หน้าตาคุณจะสดใสขึ้น

    หยุดความเครียด เมื่อไหร่ที่คุณเครียด ลองส่องกระจกแล้วจะรู้ว่าสิวมักจะมาทักทายคุณอยู่เสม อ

    ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำช่วยขจัดท็อกซินออกจากร่างกาย แม้การดื่มน้ำจะไม่ได้ช่วยการรักษาสิวโดยตรง แต่ทำให้ผิวมีสุขภาพดี

    ล้างหน้าให้สะอาด การล้างหน้าไม่ได้ช่วยรักษาสิว แต่ถ้าคุณล้างหน้าไม่เหมาะสมจะยิ่งทำให้สิวกำเริบ ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้งด้วยสบู่ที่อ่อนโยน แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู ไม่ควรล้างหน้าบ่อยกว่านี้ เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นโดยไม่ได้ช่วยป้อ งกันสิวแต่อย่างใด

    หยุดเอามือสัมผัสหน้า เลิกเท้าคางเวลาคิดอะไรไม่ออก เพราะมือของคุณเต็มไปด้วยแบคทีเรียซึ่งจะทำให้สิวเห่ อได้ และหมั่นรักษาความสะอาดโทรศัพท์ของคุณด้วย และที่สำคัญที่สุดห้ามแกะสิว
หากคุณทำได้ครบขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว ลองหาเวลาว่างๆ ทำมาสก์พอกหน้ารักษาสิวใช้เองดู ดังนี้
  • สูตรที่ 1 ล้างหน้าให้สะอาด ใช้ไขแดงทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ไข่แดงมีโปรตีนและกรดไขมันมาก จะช่วยใบหน้าคุณสดชื่นและขจัดสิ่งอุดตันรูขุมขนได้

    สูตรที่ 2 สำหรับคนที่มีผิวมันโดยเฉพาะ ล้างหน้าให้สะอาด แล้วใช้น้ำผึ้งผสมกับข้าวโอ๊ตทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ข้าวโอ๊ตมีสรรพคุณพิเศษในการช่วยดูดซับความมันจากผิว

    สูตรที่ 3 มะเขือเทศหรือมะนาวเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับผิวของคุณ ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปไม่ให้อุดตันรูขุมขน อันเป็นสาเหตุจากการเกิดสิว ล้างหน้าให้สะอาด บีบมะนาวลงในถ้วยเล็กๆ ชุบด้วยสำลี แล้วนำมาทาทั่วใบหน้า 2-3 ครั้ง รอจนน้ำมะนาวแห้ง ประมาณ 10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด หากคุณมีผิวที่ค่อนข้างอ่อนบาง ควรผสมน้ำเปล่าในน้ำมะนาวให้เจือจาง แต่ถ้าจะใช้ทะเขือเทศก็ให้ฝานเป็นแว่นๆ หนาพอประมาณ นำมาถูให้ทั่วใบหน้า เมล็ดเล็กๆ ในผลมะเขือเทศจะช่วยขัดผิว
เขาบอกต่อกันมาว่าทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน จะสังเกตเห็นความมหัศจรรย์ภายใน 14 วัน


แนะกิน'ขมิ้น'ช่วยขจัดเซลล์มะเร็ง

|0 ความคิดเห็น
แนะกิน'ขมิ้น'ช่วยขจัดเซลล์มะเร็ง




นัก วิจัยมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ในอังกฤษแนะนำให้ผู้ป่วยมะเ ร็งกิน "ขมิ้น" เครื่องเทศสีเหลืองนวลที่นำมาใช้ทำผงกะหรี่ เพราะนอกจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่สำคัญยังทำให้การทำเคมีบำบัดสำหรับกำจัดเซลล์มะเร ็งมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ
จากการศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เป็นสาเหตุให ้คนทั่วโลกเสียชีวิตปี ละกว่า 6 แสนราย โดยเป็นมะเร็งชนิดที่ร้ายแรงอันดับที่ 3 จากการ เสียชีวิตด้วยมะเร็งในประเทศตะวันตก ดร.คาเร็น บราวน์ ผู้นำการวิจัย กล่าวว่า เซลล์มะเร็งกลุ่มเล็กๆ มักจะหลงเหลือและทำให้โรคกลับมากำเริบได้อีก เซลล์เหล่านี้ฝังตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ภายในเนื้องอกมะเร็งทำให้ไม่โดนเล่นงานตอนทำเคมีบำบั ด
"จากการทดลอง ในแล็บพบว่าสารเคอร์คูมินจากขมิ้น นอกจากทำให้เคมีบำบัดมีประสิทธิภาพ ยังช่วยกำจัดเซลล์ที่ต่อต้านเคมีบำบัดได้ด้วย ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้โรคกลับมากำเริบ" ดร.บราวน์ กล่าว
__________________

6 ช่วงเวลาอันตราย

|0 ความคิดเห็น
6 ช่วงเวลาอันตราย






"รถ ติดไหมคะ?" อาจไม่ใช่แค่บทสนทนาสั้น ๆ ที่ไร้ความหมาย การที่คุณติดอยู่บนถนนกับการจราจรที่เป็นอัมพาต จะทำให้ความดันโลหิตของคุณเพิ่มขึ้น และเสี่ยงหัวใจวายมากขึ้นถึง 3 เท่า แต่ถนนหนทางไม่ใช่ปัญหาเดียวของโรคหัวใจเท่านั้น ยังมีสถานการณ์หรือช่วงเวลาอื่น ๆ ที่หัวใจของคุณแขวนอยู่บนเส้นด้าย ยิ่งถ้าคุณหรือคนใกล้ตัวมีประวัติโรคหัวใจมาก่อน ต้องระวังไว้ก่อนในเหตุการณ์ต่อไปนี้


1.ยามเช้า
นัก วิจัยจากฮาร์วาร์ดประเมินว่า ในยามอรุณเบิกฟ้าความเสี่ยงหัวใจวายจะเพิ่มขึ้น 40% เพราะในขณะที่คุณตื่นนอน ร่างกายจะหลั่งสารทั้งอะดรีนาลีนและฮอร์โมนความเครีย ดอื่นๆ ทำให้ความดันโลหิตพุ่งขึ้นสูง และต้องการออกซิเจนมากขึ้น นอกจากนี้ ด้วยความที่คุณขาดน้ำ เลือดจึงข้นและสูบฉีดลำบาก ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นภาระแก่หัวใจทั้งสิ้น

กันไว้ก่อน :
ตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อเอาไว้บ้าง คุณจะได้กดเลื่อนปลุกแล้วค่อยๆ ตื่นส่วนคนที่ชอบออกกำลังตอนเช้า อย่าลืมวอร์มอัพให้เข้าที่ เพื่อลดความเครียดต่อหัวใจ สุดท้ายคนที่กินยาลดความดันโลหิตควรจะกินยาก่อนนอน เช้าขึ้นมายาจะออกฤทธิ์ดี

2.เช้าวันจันทร์...อันตราย
ใครๆ ก็ขยาดวันจันทร์กันทั้งนั้น และวิทยาศาสตร์ ก็มีเหตุผลที่อธิบายได้ว่าทำไมวันจันทร์ถึงน่ากลัว อาจเป็นเพราะเราทั้งเครียดและหดหู่กับการต้องกลับไปท ำงาน เช้าวันจันทร์จึงพ่วงสถิติหัวใจวายมากกว่าปกติถึง 20%

กันไว้ก่อน :
รีแลกซ์ให้เต็มที่ในวันอาทิตย์ แต่อย่าเผลอนอนดึก เพราะถ้านอนดึกทั้งวันเสาร์-อาทิตย์ และต้องตื่นแต่เช้าในวันจันทร์ ร่างกายของคุณจะอ่อนล้าและผิดจังหวะชีวิตเหมือนแผ่นเ สียงตกร่อง อย่ากระนั้นเลยนอนหลับและตื่นนอนเป็นเวลาทุกๆ วันดีกว่า

3.หลังอิ่มท้องกับมื้อหนัก
คน ที่เข้าใจผิดว่าบุพเฟต์มีไว้กินให้คุ้ม คงไม่รู้ว่าหัวใจได้รับผลกระทบเร็วและแรงแค่ไหน มีงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า อาหารที่มีทั้งไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง จะทำให้หลอดเลือดตีบและอุดตันได้ง่าย

กันไว้ก่อน :
ถ้ายอมตามใจปากจริงๆ ก็ควรกินอาหารแต่ละหมู่ในสัดส่วนที่พอเหมาะ นอกจากนี้ แอสไพรินก็อาจช่วยป้องกันไม่ให้เลือดข้นได้ด้วย

4.ระหว่างทำ "ธุระส่วนตัว"
คุณ ไม่อยากหัวใจวายในขณะที่อยู่ในห้องน้ำแน่ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ความเกร็งระหว่างถ่ายหนักจะเพิ่มแรงกดดันภายในหน้าอก ทำให้เลือดไหลกลับไปเลี้ยงหัวใจได้ช้าลง

กันไว้ก่อน :
กินอาหารที่มีกากใยมากๆ อย่าปล่อยให้ขาดน้ำและหลีกเลี่ยงการเกร็งท้องจะช่วยไ ด้

5.ระหว่างออกกำลังหนักๆ
หัวใจ วายอาจเกิดขึ้นได้เพราะผู้ป่วยไม่คุ้นเคยกับการออกแร ง พร้อมกับที่ฮอร์โมนความเครียดพุ่งสูงขึ้น ทำให้ทั้งความดันโลหิตและอัตราชีพจรพุ่งทะลุเพดาน

กันไว้ก่อน :
การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอเสมือนเกราะป้องกันหัวใจ แต่ค่อยๆ เพิ่มความหนักในการออกกำลังจะดีกว่า

6.เมื่อยืนพูดต่อหน้าคนอื่น
บาง ครั้งหัวใจของคุณอาจรู้สึกว่า การพูดต่อหน้าคนจำนวนมากเหมือนกับการออกกำลังที่ไม่เ คยชินก็ได้ เมื่อความตื่นเต้นกระสับกระส่ายถึงขีดสุด ความดันโลหิต อัตราชีพจร และระดับ อะดรีนาลีนจะจับมือกันพุ่งทะลุเพดาน ทั้งสามอย่างนี้ล่ะ ที่ทำให้ความวิตกกังวลในเรื่องที่ต้องพูดเป็นเรื่องท ี่สำคัญรองๆ ลงไปเลย

กันไว้ก่อน :
ทำสมาธิ ผ่อนลมหายใจเข้าออก ปล่อยวางความเครียด และสูดลมให้ใจเข้าลึกๆก็จะสามารถช่วยได้
__________________

ระบบย่อยดีด้วยการนวด

|0 ความคิดเห็น
ระบบย่อยดีด้วยการนวด


สำหรับผู้อ่านที่มักมีปัญหาระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ‘มุมสุขภาพ-ยืดเส้นยืดสาย’ มีเคล็ดลับแก้ปมสุขภาพดังกล่าวมาบอก เป็นวิธีง่าย ๆ แค่นวดบริเวณท้องด้วยมือของคุณเอง

ในกรณีที่มีอาการท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีกรด มีลมเกิน คับแน่นอยู่ในช่องท้อง ให้นอนหงาย นวดวนทั่วท้อง นวดวนตามเข็มนาฬิกา

ถ้าท้องเสีย ท้องเดิน ให้ปฏิบัติในทางตรงกันข้าม คือ นวดวนท้องในแนวทวนเข็มนาฬิกา โดยทั้งสองกรณีให้ใช้จังหวะในการนวดวนที่ช้า-เร็ว การกลงน้ำหนักมือพอประมาณให้รู้สึกสบาย เพราะหากนวดเร็ว หรือลงน้ำหนักแรงจะยิ่งทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนได้

ทว่า มีข้อควรระวังอยู่ไม่มาก คือ อย่านวดท้องหลังการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มเสร ็จใหม่ ๆ เพราะอาจทำให้จุก และไม่ควรนวดหากเพิ่งผ่านการผ่าตัดบริเวณท้อง

อย่างไรก็ตาม การนวดท้องเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ หากต้องการให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานได้อย ่างมีประสิทธิภาพ ต้องรับประทานอาหารที่สะอาด มีกากใยสูง ดื่มน้ำเปล่าวันละ 10-12 แก้ว รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อและเป็นเวลา รวมทั้งฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร.

ออกกำลังกายยังไงก็ไม่ผอม!

|0 ความคิดเห็น
ออกกำลังกายยังไงก็ไม่ผอม!



ออกกำลังกายยังไงก็ไม่ผอม!



อะไรคือความแตกต่างระหว่างคนที่เข้ายิมแล้วผอม กับคนที่ออกกำลังกายยังไงก็ไม่ผอม แถมบางคนอ้วนขึ้นด้วยซ้ำ

คุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้หรือไม่ เข้ายิมพยายามวิ่งบทลูวิ่งแทบตาย ยกเวทจนเมื่อยล้า ซิดอัพจนปวดหน้าท้องไปหมดน้ำหนักก็ยังไม่ลง แถมไม่มีวี่แววว่าจะผอมลงเลย ดีไม่ดีน้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ

มหาวิทยาลัย Harvard ได้ทำการศึกษาและตีพิมพ์ใน Journal of the American Medical Association ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น นักวิจัยได้ทำการสำรวจในผู้หญิงมากกว่า 34,000 คนโดยมีอายุเฉลี่ย 54 ปี ผู้หญิงกลุ่มนี้ได้ทำการกรอกแบบฟอร์มสอบถามข้อมูลเกี ่ยวกับกิจกรรมการออกกำลังกาย ซึ่งสรุปข้อมูลได้ว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ ได้ทำให้พวกเธอสามารถลดน้ำหนักได้เลย เนื่องจากพวกเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงการบริโภคอาหาร และปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวันนั่นเอง นอกจากนี้พวกเธอยังมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

อะไรคือปัจจัยที่สร้างความแตกต่าง
ผู้หญิงที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และควบคุมอาหารอย่างต่อเนื่องจะมีค่า Body Mass Index(BMI) ต่ำกว่า 25 ในทางตรงกันข้ามผู้หญิงที่มีค่า BMI มากกว่า 25 มักจะไม่ได้ควบคุมอาหารและปริมาณแคลอรี่ควบคู่ไปกับก ารออกกำลังกาย ทำให้ไม่สามารถลดน้ำหนักได้

งานวิจัยดังกล่าวได้ข้อสรุปว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักเก ิน และต้องการลดไขมันส่วนเกินบนร่างกายนั้น จะต้องลดปริมาณการรับแคลอรี่ต่อวันควบคู่ไปกับการออก กำลังกาย แต่อย่าพึ่งตกใจไปโ€ฆความหวังในการลดความอ้วนของคุณอ ยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม การออกกำลังกายนั้นไม่จำเป็นต้องทำที่ยิมเท่านั้น แต่การเผาผลาญไขมันส่วนเกินควรจะเกิดขึ้นจากกิจวัตรป ระจำวันของคุณเช่นเดียวกัน โดยเริ่มทำตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเข้านอน กิจกรรมหลาย ๆ อย่างในชีวิตประจำวันสามารถช่วยคุณเผาผลาญพลังงานในร ่างกายไปได้มากกว่าที่คุณคิด เช่น ขึ้นบันไดแทนที่จะใช้ลิฟท์ถ้าออฟฟิศของคุณอยู่ชั้นที ่ไม่สูงจนเกินไป การเดินเร็ว ๆ และเคลื่อนไหวร่างกายเร็ว ๆ ก็สามารถช่วยคุณเผาผลาญพลังงานได้เช่นกัน ทำตัวให้กระฉับกระเฉงตลอดวันควบคู่กับการไปยิมอย่างส ม่ำเสมอจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลดความอ้วนได้ ดียิ่งขึ้น

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันควบคุมน้ำหนักแห่งสหรัฐอเมริ กา ได้ศึกษาข้อมูลในผู้ใหญ่ 6,000 คน ซึ่งสามารถลดน้ำหนักได้อย่างน้อย 60 ปอน์ด และไม่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างน้อยเป็นเวลาหนึ่งปี ได้ข้อสรุปว่าคนที่สามารถลดน้ำหนักได้นั้นจะต้องมีกา รออกกำลังกายที่แตกต่างจากคนทั่วไป ซึ่งจะต้องสามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่างน้อย 400 แคลอรี่ต่อวันในการทำกิจกรรมต่างๆ และจะต้องควบคุมปริมาณพลังงานที่ได้รับจากอาหารด้วยเ ช่นกัน ดังนั้นการควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ และปริมาณแคลอรี่ที่คุณสามารถเผลผลาญได้ต่อวัน จะทำให้คุณสามารถวางแผนลดน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น

น้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นในผู้หญิงวัยกลางคนเป็นผลมาจา กหลายสาเหตุ เช่น ระบบการเผาผลาญจะมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลง 2-3% ทุก ๆ 10 ปี ซึ่งประสิทธิภาพจะเริ่มลดลงตั้งแต่อายุ 20 ปีเป็นต้นไป นอกจากการเผาผลาญที่ไม่ดีเหมือนเดิมแล้ว เมื่ออายุมากขึ้นผู้หญิงจะมีกล้ามเนื้อที่ห้อยย้อยเน ื่องจากไม่ค่อยได้ใช้งาน นั่นหมายความว่าเมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้นการออกกำลังก าย และควบคุมอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าต้องการมีสุขภาพท ี่ดี การขาดการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารอย่างเหมาะสมทำให้ผู้หญิงมีความต้องกา รทางเพศลดลง และฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียดก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเ ช่นกัน ทำให้ยิ่งอ้วนมากขึ้น ปริมาณไขมันในช่องท้องก็จะสะสมมากขึ้น

เรามาดูคำแนะนำต่อไปนี้
  • การออกกำลังกายอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ผอมลงได้ ผู้หญิงจำนวนมากที่ออกกำลังกายแต่ก็ยังคงอ้วนขึ้น หรือไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้เลย ดังนั้นหากคุณต้องการลด หรือควบคุมน้ำหนัก คุณจะต้องควบคุมปริมาณอาหารด้วย ข้อมูลจากการศึกษาค้นพบว่าหากได้รับพลังงานต่ำกว่า 400 แคลอรี่ต่อวันจะสามารถควบคุม หรือลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น
  • ตั้งเป้าออกกำลังกายให้สามารถเผาผลาญพลังงานได้อย่าง น้อย 400 แคลอรี่ต่อวัน ปริมาณนี้จะเป็นการเผาผลาญพลังงานที่คุณได้รับเข้าไป ต่อวัน ซึ่งจะช่วยให้คุณควบคุมน้ำหนัก หรือลดน้ำหนักได้อย่างต่อเนื่อง
  • เพิ่มความกระฉับกระเฉงในชีวิต แทนที่จะออกกำลังกายในโรงยิมอย่างเดียว คุณควรทำตัวให้กระฉับกระเฉงตลอดวัน ซึ่งจะช่วยเผาผลาญพลังงานได้อีกทางหนึ่ง เช่นถ้าคุณเดิน ก็ให้เดินเร็ว ๆ แทนที่จะเดินอย่างเฉื่อยชา เป็นต้น
  • คุณควรบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ด้วยการยกน้ำหนัก เมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้นกล้ามเนื้อจะมีการหย่อนคล้อย ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้คุณดูดีอยู่เสมอ การยกน้ำหนักจะช่วยเพิ่มความกระชับของส่วนต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ในกรณีที่คุณไม่ต้องการให้แขน-ขาใหญ่ คุณสามารถใช้อุปกรณ์ยกน้ำหนักที่มีน้ำหนักน้อย หรือแรงต้านน้อยแทน
  • การออกกำลังกายดีต่อสุขภาพ และกล้ามเนื้อหัวใจ การออกกำลังกายที่ดีนั้นควรมีระยะเวลาตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไปซึ่งจะช่วยในเรื่องของกล้ามเนื้อหัวใจ และสุขภาพร่างกายโดยรวมด้วย ทำให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรงอายุยืนยาว รวมทั้งสามารถควบคุมน้ำหนักได้ตามที่ต้องการ เมื่อทำควบคู่ไปกับการบริโภคอาหารอย่างเหมาะสม
__________________

การเลือกใช้ท่อน้ำประปา

|0 ความคิดเห็น
การเลือกใช้ท่อน้ำประปา

เกร็ดความรู้วันนี้ เหมาะสำหรับคุณพ่อบ้านที่กำลังมองหาท่อน้ำใหม่มาซ่อม แซมของเก่าที่ชำรุด โดยคุณเจริญชัย จิรชัยรัตนสิน วิศวกรชำนาญการ จากประปาไทยดอทคอม แนะนำไว้ว่า ท่อน้ำดี หรือท่อน้ำประปา คือ ท่อที่ใช้สำหรับส่งน้ำ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของบ้านหรืออาคาร โดยท่อน้ำดีที่เป็นท่อ MAIN ส่วนมากเดินท่อไว้บนฝ้าเพดาน เพื่อจ่ายน้ำไปยังห้องน้ำแต่ละห้อง ถ้าเป็นตามอาคารหรือตึกสูงส่วน และจะฝังไว้ใต้ดินกรณีเป็นท่อจ่ายน้ำไปยังอาคารต่าง ๆ

ชนิดของท่อประปา แบ่งได้ 5 ประเภท ดังนี้

1. ท่อประปาเหล็กอาบสังกะสี ข้อดี มีความแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี ทนทานต่อแรง กระแทกได้ ไม่หักงอ ทนต่อความดันและอุณหภูมิที่สูง ๆ เช่น เครื่องทำน้ำร้อน แต่ข้อเสียคือ ราคาแพง ถ้าใช้ไปนานๆ อาจเกิดสนิมได้ โดยเฉพาะที่ฝังอยู่ในดิน อาจเป็นอันตราย ถ้านำน้ำในท่อ มารับประทาน

2. ท่อประปาพีวีซี ข้อดี น้ำหนักเบา ราคาถูกกว่า สามารถดัดงอได้ และ ไม่เกิดสนิมน้ำในท่อจะสะอาดกว่า แต่ข้อเสียคือไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกแรง ๆ ได้ ไม่ทน ต่อความดันและอุณหภูมิที่สูง

3. ท่อพีพีอาร์ ข้อดี การเชื่อมต่อระหว่างท่อ กับข้อต่อ ใช้วิธีการให้ความร้อน โดยคุณสมบัติพิเศษของจึงทำให้ท่อและข้อต่อสามารถเชื่ อมผสานกันเป็นเนื้อเดียว จึงมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาการรั่วซึม ที่บริเวณจุดต่อเชื่อมระหว่างท่อและข้อต่อ ทนอุณหภูมิได้สูง ถึง 95 องศา แข็งแรง ทนแรงดันได้สูงถึง 20 บาร์ อายุการใช้งาน ยาวนานกว่า 50 ปี ไม่เป็นสนิม สะอาด สามารถใช้เป็นท่อน้ำดื่มได้ เหมาะสำหรับใช้ติดตั้งใน บ้านพักอาศัย คอนโด ตึกแถว อาคารขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ข้อเสีย ไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกแรง ๆ ไม่เหมาะกับการติดตั้งใต้พื้นดิน หรือพื้นคอนกรีตที่มีการทรุดตัวมาก

4. ท่อไซเลอร์ ภายนอกเป็นท่อเหล็ก GSP. ภายในเป็นท่อ PE. ข้อดี มีความแข็งแรง รับน้ำหนักได้ดี ทนทานต่อแรง กระแทกได้ ไม่หักงอ ทนต่อความดันได้มากกว่า 20 บาร์ และอุณหภูมิสูง ถึง 95 องศา ไม่เป็นสนิม เหมาะสำหรับ ใช้ติดตั้งใน โรงแรม อาคารขนาดใหญ่ สถานที่ ๆ ต้องการความทนทานสูง หรือสถานที่ ที่ยากต่อการซ่อมแซม ข้อเสีย ราคาสูง

5. ท่อเฮดดีพีอี ข้อดี สามารถบิดโค้งงอได้ดี ทนแรงดันได้สูง เหมาะสำหรับใช้ในกรณีเดินผ่านเสาตอม่อ หรือคานคอดิน ข้อเสีย ไม่สามารถทนต่อแรงกระแทกแรง ๆ ได้

8 อาหารมาแรง

|0 ความคิดเห็น
8 อาหารมาแรง


นิตยสาร "สลิมมิ่ง" เดือนพ.ย. เผยสุดยอดอาหาร 8 ชนิด ที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ ดังนี้
ดอกชบา - การศึกษาพบว่าดอกไม้เมืองร้อนเต็มไปด้วยแอนติออกซิแด นต์ ฟลาโวนอยด์ โพลีฟีนอลส์ และแอนโธไซยานิน ช่วยสลายอนุมูลอิสระ จากการค้นคว้าของมหาวิทยาลัยบอสตัน พบว่าการดื่มชาดอกชบาวันละครั้งช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจได้
ถั่วแระ - มากไปด้วยสเตอรอล ซึ่งเป็นสารกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและปกป้องจากมะเร็ งกับโรคหัวใจ อีกทั้งทำหน้าที่เป็นฮอร์โมนบำบัดตามธรรมชาติเพราะมี ไอโซฟลาโวนส์ช่วยจัดความสมดุลของระดับเอสโตรเจนและบร รเทาอาการก่อนมีประจำเดือน
เห็ดชิตาเกะ - มีชื่อเสียงมานานเรื่องเป็นยาบำบัดของชาวจีนและญี่ปุ ่น การศึกษาพบว่ามีสารเลนตินันช่วยต่อสู้เนื้อร้าย อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต
คีนัว - มีดัชนีน้ำตาลต่ำแต่โปรตีนสูง ต่างจากข้าวหรือวีทตรงที่คีนัวเป็นโปรตีนล้วน ซึ่งมีกรดอะมิโนสำคัญ 8 อย่างที่เซลล์ร่างกายต้องการ มากไปด้วยกากใย และแร่ธาตุฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก องค์การสหประชาชาติยกให้เป็นสุดยอดเมล็ดพันธุ์ที่ควร รับประทาน
โกโก้ - มากไปด้วยไอโซฟลาโวนส์ที่ช่วยลดความดันโลหิต และมีประโยชน์ในการต้านมะเร็ง
อาไซอิ เบอร์รี่ - มีระดับ orac สูง ซึ่งเป็นดัชนีใช้วัดปริมาณแอนติออกซิแดนต์ในอาหาร มีคุณค่ามากกว่าบลูเบอร์รี่เป็นสองเท่า และมากด้วยแอนโธไซยานิน ช่วยกระตุ้นสุขภาพหลอดเลือด และอาจช่วยสกัดกั้นการเติบโตของมะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านมได้
วีทกราส - มากไปด้วยแอนติออกซิแดนต์ วิตามินเอ และอี อีกทั้งมีคลอโรฟิลล์ซึ่งคล้ายกับโครงสร้างฮีโมโกลบิน ช่วยกระตุ้นออกซิเจนในเลือด และล้างพิษในตับ
สาหร่ายเกลียวทอง - มีแอนติออกซิแดนต์มาก รวมทั้งโปรตีน กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า 3 และ 6 การศึกษาบ่งชี้ว่า อาจช่วยป้องกันไวรัสเอชไอวี

วิธีดูแลผมแตกปลาย

|0 ความคิดเห็น
วิธีดูแลผมแตกปลาย
ผมแห้งแตกปลาย เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่คุณสาว ๆ ให้ความสำคัญไม่แพ้ปัญหา ‘สิว’ เดลินิวส์ออนไลน์วันนี้จึงเสนอวิธีการดูแลเส้นผมให้ป ราศจากการ ‘แตก’
อันดับแรก สะดวกรวดเร็ว ด้วยการเดินเข้าร้านทำผม ให้ช่างผมเล็มปลายผมออกสัก 2-3 เซนติเมตร จากนั้นกลับมาดูแลเส้นผมด้วยตัวเอง โดยการหมักบำรุง

วิธีทำ นำเบบี้ ออยล์ มาตั้งไฟอุ่นให้ร้อนพอประมาณ จากนั้นนำมาชโลมผมที่แห้งพอหมาด ๆ แล้วคลุมทับด้วยหมวกอาบน้ำ หรือผ้าขนหนูเปียกหมาด ๆ ทิ้งไว้ 30 นาที จึงสระออกด้วยแชมพูตามปกติ

ทำเช่นนี้อาทิตย์ละครั้ง พบว่าเส้นผมที่ยาวขึ้นมาใหม่ ไม่แตกปลายอีกต่อไป

เปิดเคล็ด-เมนูสู้หนาว รักษาผิวพรรณ-สุขภาพ

|0 ความคิดเห็น
เปิดเคล็ด-เมนูสู้หนาว รักษาผิวพรรณ-สุขภาพ


ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว พร้อมคำพยากรณ์ว่า ปีนี้อาจจะหนาวกว่าหลายปีที่ผ่านมา สิ่งสำคัญที่มากับความหนาวเย็น คือ ผลที่ส่งต่อสภาพผิวพรรณของร่างกาย ทั้งสภาพผิวที่แตกลอกเป็นขุย อาการไข้หวัด และรังแค
ภญ.ดร.สุภากรณ์ ปิติพร แห่งมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แนะนำวิธีดูแลสุขภาพจากภาย ในสู่ภายนอก ว่า ผิวที่แห้งทำให้แก่เร็ว เกิดเป็นไฝ ฝ้า กระ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ชั้นในของผิวหนังได้ง่าย ระคายเคือง แพ้ง่าย เกิดการกำเริบของโรคเรื้อนกวาง หรือเกิดเป็นโรคเซ็บเดิมขึ้นได้
เราป้องกันไม่ให้ผิวแห้งด้วยวิถีไทย ซึ่งมักจะมีตำรับอาหารเฉพาะ ส่วนใหญ่รับประทานอาหารที่มีไขมันบ้าง เช่น ข้าวปุ๊กหรือข้าวตำงา ข้าวหลาม บัวลอยไข่หวาน จะได้ประโยชน์จากกะทิที่มีความมัน
ส่วนรำหมกกล้วย มีคุณประโยชน์จาก รำข้าว วิตามินอี ช่วยให้ผิวยืดหยุ่น เต่งตึง ลดจุดด่างดำและริ้วรอย ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ฯลฯ อีกทั้งยังมีแร่ธาตุสำคัญ อาทิ แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ช่วยเพิ่มพลังงานการเผาผลาญ เสริมสร้างการเจริญเติบโตของสมอง เพิ่มการทำงานของระบบฮอร์โมน กล้วยน้ำว้ายังมีกรดอะมิโน อาร์จินิน ฮีสติดิน วิตามินเอ วิตามินบี ร่วมทั้งแมกนีเซียม โพแทสเซียม ช่วยป้องกันโรคความดัน อาหารเหล่านี้จะทำให้ต่อมไขมันมีการขับน้ำมันธรรมชาต ิเคลือบผิวไว้ ไม่ให้แห้งแตก


ภญ.ดร.สุภากรณ์ กล่าวต่อไปว่า ในอดีตเราจะใช้น้ำมันมะพร้าวและน้ำมันงารวมทั้งน้ำมั นหมู ทาเคลือบผิวไม่ให้ผิวแตก ปัจจุบัน นิยมใช้ครีม โลชั่น แต่ถ้าอากาศหนาวมากควรใช้เนื้อครีมที่มีความเข้มข้นข ึ้น หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่แรงเกินไป ไม่ควรล้างหน้า ล้างมือบ่อยเกินไป


ผู้สูงอายุอาจใช้มะขามเปียกอาบน้ำแทนสบู่ และควรป้องกันไม่ให้เยื่อบุทางเดินหายใจแห้ง ด้วยการดื่มน้ำมากๆ รับประทานสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว เพื่อขับเสมหะให้มาเคลือบบริเวณเยื่อบุทางเดินหายใจใ ห้ชุ่มชื่นอยู่เสมอ หากเยื่อบุทางเดินหายใจแห้ง จะทำให้เชื้อโรค ฝุ่นละออง เข้าสู่เซลล์ได้ง่าย เกิดการติดเชื้อ คนสมัยก่อนจึงนิยมรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น แกงส้มดอกแค แกงบอน เป็นต้น ถ้ามีอาการไอ จะนิยมทำยาแก้ไอจากผลไม้สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะขามป้อมและสมอไทย

"หน้าหนาวนี้เราควรทำร่างกายให้อบอุ่นด้วยการกินอาหาร ที่มีรสเผ็ดร้อน เพิ่มธาตุไฟให้ร่างกาย เช่น ข้าวหมาก พืชในตระกูลขิงข่า พริก ดีปลี พริกไทย ตะไคร้ ใบกะเพรา เป็นต้น หมอยาไทยยังนิยมใช้ยาตำรับที่มีรสร้อน เช่น พิกัดตรีสาร ประกอบด้วยสมุนไพรที่มีรสร้อน คือ รากเจตมูลเพลิงแดง เถาสะค้าน รากช้าพลู ช่วยในการไหลเวียนของเลือด ช่วยย่อยอาหาร และขับเสมหะ ฯลฯ นอกจากนี้ ต้องทำให้ร่างกายแข็งแรง เพราะสภาพอากาศที่หนาวเย็น แสงแดดน้อย ทำให้เชื้อไวรัสหลายชนิดมีความทนทานในสภาพแวดล้อมได้ ดี การทำร่างกายให้มีภูมิต้านทานนั้น ต้องได้รับแสงแดด เพื่อให้ร่างกายสร้างวิตามินดี ทำให้มีภูมิคุ้มกัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เช่น วิตามินซี วิตามินอี ผักผลไม้ที่มีสี เช่น ดอกอัญชัน พืชตระกูลเบอร์รี่ มะขามป้อม เป็นต้น" ภญ.ดร.สุภากรณ์ กล่าว

ทำไงดี! ขากรรไกรผิดปกติ

|0 ความคิดเห็น
ทำไงดี! ขากรรไกรผิดปกติ

โดย..ทพญ.จินดา ลีลารัศมี งานทันตกรรม
เวลาที่เราหัวเราะ หรืออ้าปากกว้าง ๆ แล้วไม่สามารถหุบปากลงได้ อาจเกิดจากความผิดปกติของขากรรไกร ความ ผิดปกติของขากรรไกรมีหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการสบฟันที่ผิดปกติ ถอนฟันหลังแล้วไม่ได้ใส่ฟันปลอม เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณศีรษะและใบหน้า เป็นโรคข้อเสื่อม มีสุขนิสัยที่ผิดปกติ เช่น นอนกัดฟัน ไถฟันขณะที่มีภาวะเครียด


ท่า 1 ใช้กำปั้นดันคางในแนวดิ่งพร้อมกับ ออกแรงอ้าปากเล็กน้อย ค้างไว้ 10 วินาที


อาการที่ พบได้บ่อยคือ ปวดบริเวณหน้า หู กราม ขมับ และจะปวดเพิ่มมากขึ้นเมื่อขากรรไกรทำหน้าที่เคี้ยวอา หาร หาว พูด หรือถูกกดบริเวณนั้น บางครั้งอาการปวดอาจร้าวไปที่คอ ไหล่ และหลังได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะข้อต่อที่เชื่อมระหว่างขากรรไกรล ่างและกะโหลกศีรษะอยู่ ในตำแหน่งด้านข้างของใบหน้าที่บริเวณหน้าหูทั้งสองข้ างนั่นเอง นอกจากนี้อาจมีเสียงคลิกและเสียงกรอบแกรบ ตามมาด้วยอาการอ้าปากได้น้อยลง บางรายขากรรไกรค้าง และอาจมีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบดเคี้ยวร่วมด้วย
การ รักษา ในกรณีที่เกิดจากการสบฟันที่ผิดปกติ ต้องรักษาด้วยการจัดฟันและอาจต้องผ่าตัดขากรรไกรซึ่ง เป็นเทคนิคของทาง ศัลยกรรมช่องปาก หรือกรณีถอนฟันหลังไปหลายซี่ สามารถรักษาด้วยการใส่ฟันปลอมเพื่อให้มีการสบฟันที่ด ี


ท่า 2 ใช้กำปั้นดันคางด้านซ้ายพร้อมกับ ออกแรงอ้าปากเยื้องด้านซ้าย ค้างไว้ 10 วินาที


ส่วนผู้ที่นอนกัดฟันเป็นประจำ มักจะเจ็บปวดกล้ามเนื้อที่ใช้หุบปากบริเวณหน้าหูหรือ มุมกรามขณะตื่นนอนหรือ เคี้ยวอาหาร เราสามารถลดอาการปวด โดยใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางของมือซ้ายและขวา ทำการนวดกดจุดที่ปวด 15 นาที สลับด้วยการประคบอุ่น 15 นาที จะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานประสานกันได้ดีขึ้น ช่วยให้อ้าปากได้กว้างขึ้น ร่วมด้วยการใส่เครื่องมือกันกัดฟันเพื่อลดแรงกัดช่วย ให้อาการปวดกล้ามเนื้อ ลดลงได้
ในรายที่มีอาการขากรรไกรค้าง แก้ไขด้วยการขยับขากรรไกรล่างไปซ้ายทีขวาทีสลับกันจน เข้าที่ แต่ถ้าไม่สามารถทำได้อาจต้องหาผู้ช่วย โดย ผู้ป่วยนั่งตัวตรงก้มหน้าเล็กน้อยและให้ผู้ที่มาช่วย เหลือยืนหันหน้าเข้าหา กัน นำนิ้วโป้งของทั้งสองมือวางที่ตำแหน่งฟันกราม นิ้วที่เหลือทั้งสี่รองใต้ขากรรไกร จากนั้นออกแรงกดขากรรไกรลงในแนวดิ่งเพื่อให้ข้อต่อขา กรรไกรเคลื่อนพ้นสัน กระดูกที่ติดอยู่ แล้วดันไปด้านหลังให้ขากรรไกรเคลื่อนกลับเข้าที่ รวมทั้งพยายามพูดคำว่า "เอ็ม" เพื่อลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวและข้ อต่อขากรรไกร เพราะในขณะที่พูด ฟันทุกซี่จะไม่กระแทกกัน วิธีการบริหารข้อต่อขากรรไกรทุกวันสามารถลดโอกาสเกิด ภาวะขากรรไกรค้างได้ เพราะสามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ยึดบริเ วณข้อต่อขากรรไกร โดยทำการบริหารวันละ 5-10 ครั้งๆ ละ 3 ท่า


ท่า 3 ใช้กำปั้นดันคางด้านขวาพร้อมกับ ออกแรงอ้าปากเยื้องด้านขวา ค้างไว้ 10 วินาที


นอกจาก นี้ผู้ที่มีอาการขากรรไกรค้าง ควรงดอาหารที่แข็ง เหนียว ไม่เคี้ยวหมากฝรั่ง งดเล่นเครื่องดนตรีชนิดเป่าและงดการดำน้ำ เพราะการใช้ฟันหน้ากัดเครื่องดนตรีหรือท่อช่วยหายใจ จะทำให้มีแรงกดต่อขากรรไกรมากขึ้น รวมทั้งรับประทานยาแก้ปวด ยาต้านการอักเสบในรายที่มีอาการเฉียบพลันและรุนแรง
ว่าแต่อย่าชะล่าใจ เมื่อได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นแล้ว ก็อาจกลับมาเป็นใหม่ได้อีก แต่ด้วยวิทยาการทางการแพทย์ ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้ผู้ป่วยอ้าปากได้ กว้างขึ้น ปากไม่ค้างเวลาขยับ ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวและระบบการย่อยอาหา รดีขึ้น
เรียบเรียง: นิษฐ์ภัสสร ห่อเนาวรัตน์

ออกกำลังกายยืดสูง

|0 ความคิดเห็น
ออกกำลังกายยืดสูง

ใครยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต หรือผู้อ่านที่อยากให้ลูกหลานสูงสง่า ลองนำวิธีออกกำลังเพิ่มความสูงต่อไปนี้ไปปฏิบัติหรือ ไปแนะนำกันต่อ โดยให้เน้นเล่นกีฬา อย่าง ว่ายน้ำ บาสเกตบอล และโหนบา เป็นพิเศษ แล้วยังมีการกระโดดเชือก ที่ควรทำวันละ 600 ครั้ง แบ่งเป็นเซ็ต ๆ ไปตามความสามารถ

อย่างไรก็ตาม กีฬาชนิดอื่น ๆ ยังมีส่วนช่วยให้เกิดการยืดเหยียดได้เช่นกัน อย่างการวิ่งเบา ๆ หรือเต้นแอโรบิก ที่ควรทำให้ได้อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน

ขณะที่เรื่องกิน โปรดอย่ามองข้าม ‘นม’ ที่ควรดื่มวันละ 2 แก้ว หลังมื้อเช้าและเย็น รวมทั้งกินอาหารให้ครบทุกหมู่ กินให้ครบทุกมื้อ และเข้านอนก่อน 5 ทุ่ม

คำแนะนำข้างต้น หากทำได้ทุกวันไม่มีขาด รับรองทุก ๆ 3 เดือน ความสูงจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.30 เซนติเมตร (เฉพาะในวัยเจริญเติบโต).


เลือกถังเก็บน้ำให้เหมาะสม

|0 ความคิดเห็น
เลือกถังเก็บน้ำให้เหมาะสม

เดลินิวส์ออนไลน์
วันนี้มาพร้อมวิธีการเลือกใช้ถังเก็บน้ำในอาคารบ้านเ รือนอย่างเหมาะสม แนะนำโดย คุณพอจิตต์ ขันทอง เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 6ว และ คุณเจริญชัย จิรชัยรัตนสิน วิศวกร 5 จากประปาไทยดอทคอม

ก่อนตัดสินใจซื้อถังพักน้ำมาใช้ ควรพิจารณาปริมาณการเก็บน้ำให้เหมาะสมกับการใช้น้ำ ควรมีขนาดพอเก็บน้ำไว้ใช้ประมาณ 1-2 วัน เท่านั้น เพราะหากเก็บน้ำไว้นานกว่านี้ ปริมาณคลอรีนตกค้างในน้ำประปาจะระเหยไปหมด เชื้อโรคหรือแบคทีเรียอาจจะปะปนเข้ามาได้ และถังพักน้ำขนาดใหญ่เกินไปจะทำความสะอาดได้ยาก และการเลือกใช้ถังพักน้ำควรเลือกชนิดที่ทนทาน ปราศจากสารพิษ เพราะคลอรีนในน้ำประปาอาจทำปฏิกิริยากับโลหะบางชนิด ทำให้เกิดการผุกร่อนเป็นสนิม

วิธีการเลือกขนาดถังพักน้ำ เป็นดังนี้

- จำนวนผู้ใช้น้ำ 5 คนภายในบ้าน หรือ 20 คนภายในสำนักงาน ให้เลือกถังขนาด 1,000 ลิตร
- จำนวนผู้ใช้น้ำ 6 คนภายในบ้าน หรือ 25 คนภายในสำนักงาน ให้เลือกถังขนาด 1,200 ลิตร
- จำนวนผู้ใช้น้ำ 7-8 คนภายในบ้าน หรือ 32 คนภายในสำนักงาน ให้เลือกถังขนาด 1,600 ลิตร
- จำนวนผู้ใช้น้ำ 9-10 คนภายในบ้าน หรือ 40 คนภายในสำนักงาน ให้เลือกถังขนาด 2,000 ลิตร
- จำนวนผู้ใช้น้ำ 11-15 คนภายในบ้าน หรือ 60 คนภายในสำนักงาน ให้เลือกถังขนาด 3,000 ลิตร

ก่อนเลือกซื้อถังเก็บน้ำครั้งต่อไป อย่าลืมนำข้อมูลนี้ไปพิจารณา

‘เหน็บชา’ เข้าใจให้ถูก รู้ทันอันตราย

|0 ความคิดเห็น
‘เหน็บชา’ เข้าใจให้ถูก รู้ทันอันตราย

เมื่ออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะบริเวณแขน และขา เกิดอาการยิบ ๆ ความรู้สึกที่เคยสัมผัสได้จากบริเวณนั้นด้อยหรือหายไ ปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เรามักจะเรียกอาการเหล่านี้ว่า ‘เหน็บชา’ ซึ่ง นพ.โอภาส นวสิริพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา รพ.บำรุงราษฎร์ กล่าวไว้ในงาน Brain Explorer รวมทุกเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสมอง ว่า คนทั่วไปมักจะมีอาการชา ที่ทำให้รู้สึกเหมือนมีเข็มตำเบา ๆ เหมือนถูกไฟฟ้าช็อตอ่อน ๆ จนไม่มีความรู้สึกที่ผิวหนังบริเวณนั้น อย่างนี้ถือว่าเป็น ‘เหน็บชา’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ชา ได้ตรงตามความหมายทางการแพทย์ ที่ว่า อาการชานั้นเกิดจากเส้นประสาท

ขณะที่บางคนบอกว่า มีอาการชาบริเวณต้นแขน เพราะยกของหนัก นพ.โอภาส บอกว่า แบบนี้เป็นเพราะชาจากกล้ามเนื้อ มิใช่ชาจากเส้นประสาท

สำหรับ ‘เส้นประสาท’ (Nerve) นั้นจะกระจายอยู่ทั่วร่างกาย อยู่ใต้ผิวหนัง คอยรับความรู้สึกที่สัมผัสถูกผิวหนังแล้วส่งเป็นกระแ สไฟฟ้าวิ่งไปตามเส้นประสาทไปยังไขสันหลังก่อนแล้วจึง วิ่งต่อไปที่สมอง

เมื่อผิวหนังบริเวณใดเกิดอาการชา ความรู้สึกบริเวณนั้นจึงลดลงหรือหายไปชั่วขณะ อย่างที่บางคนเคยพบว่า ท่อนขาที่นั่งทับไว้นาน ๆ ไร้ความรู้สึก แม้หยิกด้วยเล็บแรงๆ ก็ไม่รู้สึกเจ็บนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม พรุ่งนี้ ‘มุมสุขภาพ’ เตรียมสาเหตุของอาการชาที่เกิดจากตัวคุณเองมาฝาก โปรดอย่าคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ๆ เพราะมีอาการชาบางกรณีมีความอันตรายมาก!!!.

ทาครีมผิดวิธีเพิ่มริ้วรอย

|0 ความคิดเห็น
ทาครีมผิดวิธีเพิ่มริ้วรอย

การทำครีมบำรุงผิวหน้าเป็นประจำ คือวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผิวสดใสมีสุขภาพดี แต่ถ้าทาผิดวิธี แทนที่จะคงความเต่งตึงไว้ กลับเพิ่มริ้วรอยเ่ยวย่นก่อนวัย

อันที่จริงผิวของเรานั้นสามารถยืดหยุ่นได้ แต่ต้องไม่ถูกสัมผัสด้วยความรุนแรง มิเช่นนั้นริ้วรอยจะมาเยือนก่อนเวลาอันควร ดังนั้น การทาครีมที่ผิวหน้า ควรเริ่มจากแต้มครีม 5 จุด ทั่วใบหน้า ทั้งหน้าผาก จมูก คาง และแก้มทั้งสองข้าง แล้วจึงใช้นิ้วกลางและนิ้วนางค่อยเกลี่ยให้ครีมซึมซา บสู่ผิวอย่างเบามือ ระวังอย่าลงนิ้วหนักจนผิวหนึ่งเคลื่อนที่อย่างแรง เพราะนั่นเป็นการเพิ่มริ้วรอยให้ปรากฏบนใบหน้ามากขึ้ น.



บัญญัติ 11 ประการ เพื่ออนาคตสดใสของสาวออฟฟิศ

|0 ความคิดเห็น
บัญญัติ 11 ประการ เพื่ออนาคตสดใสของสาวออฟฟิศ



บัญญัติ 11 ประการ เพื่ออนาคตสดใสของ Office Lady (Lisa)
กลเม็ดทั้ง 11 ข้อ ที่เรายินดีนำมาเปิดเผยแก่เพื่อนสาว Lisa เพื่อเส้นทางอาชีพที่รุ่งโรจน์ยังไงล่ะคะ!
1. ตั้งคำถามแทนการใช้อารมณ์
เวลาที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือถูกปฏิเสธตรงๆ ว่า "ไม่" สัญชาตญาณแม่เสือสาวอาจจะบอกให้โต้กลับไปเลย ปกป้องงานและตำแหน่งของคุณเอาไว้ แต่ครั้งต่อไปที่เจอกับสถานการณ์เช่นนั้น แทนที่จะนั่งคิดว่าคุณถูกแล้ว ให้ถามคำถามง่ายๆ อย่างเช่น "ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น" จะช่วยให้คนอื่นทบทวน ข้อสรุปของเขาอีกครั้ง และอาจทำให้คุณเข้าใจมากขึ้นว่าเขามีเหตุผลอย่างไร และคอยรั้งไว้ ไม่ให้ทะเลาะกันด้วยค่ะ
2. ใส่ใจกับเสื้อผ้า
การแต่งตัวอย่างมืออาชีพ สำคัญพอๆ กับการทำงานอย่างมืออาชีพ ไม่ว่าคุณจะทำงานในบริษัทมานานแค่ไหน หรือหัวหน้าของคุณจะ สบาย ๆ ขนาดไหน แม้แต่เวลาที่คุณต้องค้างคืนในที่ทำงานคุณก็ควรจะแต่งกายให้สะอาดละเหมาะสม กับที่ทำงานเสมอ ถึงแม้ว่าออฟฟิศของคุณจะแต่งกายง่าย ๆ แต่จำไว้เลยว่าเสื้อผ้าต้องสะอาดเอี่ยมและผมเผ้าต้องดูดีเสมอนะคะ
3. ฟังและเรียนรู้
สาว ๆ หลายคนคงเคยเข้าประชุมที่มีแต่คนแย่งพูดและไม่มีคนฟัง เพราะใคร ๆ ก็อยากให้คนอื่นได้ยินความคิดตัวเอง แต่ถ้าหากค่อย ๆ ฟังเพื่อนร่วมงานฟังลูกค้า และฟังหัวหน้า คุณอาจจะแปลกใจก็ได้ ว่าทำไมถึงได้เรียนรู้มากขนาดนั้น บ่อยครั้งที่ลูกค้าอยากได้แค่คนที่ตั้งใจฟัง ดังนั้น จงเงี่ยหูฟังให้ดี ๆ แล้วคุณอาจพบปัญหาและหาทางแก้ได้อย่างรวดเร็ว
4. สร้างมิตรภาพที่จีรัง
ถ้าคุณมีเพื่อนในที่ทำงาน การมาทำงานก็จะเป็นสิ่งที่สนุกสนานอยู่เสมอ และคุณก็อยากจะให้เวลากับการทำงานมากขึ้น เมื่อคุณเครียดกับชิ้นงานที่อยู่ตรงหน้ามากเกินไป ก็ลองหยุดพักสักครู่ (ครู่เดียวเท่านั้นนะ!) มาคุยกับเพื่อนบ้าง แต่อย่าบังคับหรือรบกวนคนที่เขาทำงานอยู่เชียวล่ะ รับรองว่าเพื่อนในที่ทำงานจะทำให้เราเข้านอนอย่างเต็มอิ่มและตื่นขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกที่พร้อมจะทำงานในทุกเช้า จนเมื่อหมดวันศุกร์แล้วก็แทบจะรอวันจันทร์ไม่ไหวเลยล่ะ
5. ทำให้เจ้านายแฮปปี้
ไม่มีใครชอบคนขี้ประจบ แต่เราทุกคนก็ต้องเรียนรู้วิธีที่จะทำให้หัวหน้าพอใจเพื่อปูเส้นทางอาชีพใน อนาคตไปด้วย เทคนิคง่าย ๆ คือการทำตัวให้สดใสมีน้ำใจ และให้ความร่วมมือกับองค์กร แล้วอย่าลืม นำนิสัยดี ๆ นี้มาใช้ข้างนอกออฟฟิศด้วยนะ
6. อย่าป่วยการเมือง
ต่อให้ตื่นมาแล้วแทบร้องไห้เมื่อคิดว่าต้องไปทำงาน ก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้คุณลาหยุดได้หรอกนะ เมื่อคุณแกล้งป่วยการเมืองครั้งหนึ่ง นั่นเป็นการแสดงถึงความไม่รับผิดชอบและไม่เห็นใจเพื่อนร่วมงานที่คอยปกป้อง คุณ และถ้าถูกจับได้ว่าแกล้งป่วยจริง ๆ มันอาจเป็นเหตุผลให้คุณถูกไล่ออกไปเลยก็ได้
7. อย่าพูดว่า นั่นไม่ใช่หน้าที่ฉัน
คิดเสียว่าเวลาที่ใครขอให้คุณช่วยเหลือ ก็ให้ถือเป็นคำชมนะ คนที่ขอให้คุณช่วยเขาต้องคิดว่าคุณมีความสามารถดีพอสำหรับงาน เมื่อคุณช่วยคนอื่นแล้ว ไม่เพียงแต่คนอื่นจะ "ติดหนี้บุญคุณ" กับคุณ แต่การทำงานเท่าที่ "จำเป็นต้องทำ" จะดูไม่ดีในสายตาหัวหน้าคุณหรอกนะคะ
8. อย่าพอใจกับสูตรสำเร็จ
ปลอดภัยไว้ก่อน อาจเป็นวิธีที่ดีสำหรับใครหลายคน ที่ไม่อยากพบกับความเครียดและความกดดัน แต่ไอเดียดีๆ ก็ไม่ได้มาจากากรเซฟตัวเองไว้ก่อนหรอกนะ สูตรสำเร็จอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น จงท้าทาย คิดใหม่ ทำใหม่ และอะดรีนาลีนของคุณจะหลั่งเมื่อได้ทำงานที่ตื่นเต้น
9. อย่ากินข้าวกลางวันที่โต๊ะ
โอ.เค. เราเข้าใจว่าบางครั้งคุณยุ่งมากหรือต้องการสมาธิจริง ๆ ก็ต้องกินข้าวกลางวันที่หน้าคอมพิวเตอร์กันบ้าง แต่เดี๋ยวก่อน! การกินข้าวกลางวันที่โต๊ะทำงานทุก ๆ วัน จะทำให้สมองและดวงตาไม่ได้ พักผ่อนเลย คุณอาจรู้สึกเหมือนคนขี้เกียจถ้าออกไปกินข้าวสัก 30 นาที ในขณะที่คนอื่นๆ อยู่ในออฟฟิศ แต่สุขภาพจิตของคุณจะต้องดีขึ้นแน่ ๆ
10. อย่าลืมผลงานที่ผ่านมา
สมมติว่าบริษัทต้องเลือกเลย์ออฟคุณหรือเพื่อนร่วมงาน เมื่อคุณเจอคำถามว่า "ทำไมเราควรจะจ้างคุณต่อ" ถ้าคุณไม่มีหลักฐานหรือไม่สามารถบอกได้เลยว่า "ทำไม" คุณอาจต้องบอกลางานนี้ได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ การจดจำเส้นทางอาชีพของคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนตำแหน่งหรือผลงานต่าง ๆ ยังมีประโยชน์เมื่อเจรจาขึ้นเงินเดือนอีกอย่างก็คือ ถ้าคุณจำไม่ได้ว่าทำงานอะไรไปบ้าง เมื่อถึงเวลาอัพเดตเรซูเม่แล้วอาจนึกไม่ออกก็ได้นะ
11. ชั่งใจกับรักในที่ทำงาน
ความรักในที่ทำงานอาจเกิดขึ้นได้ แต่อย่าสับสนความเหงากับความรัก เมื่อคุณจริงจังกับความสัมพันธ์นี้แล้ว ก่อนจะมีข่าวลือแปลก ๆ สะพัด ก็ให้บอกหัวหน้าว่าคุณคบกัน พร้อมย้ำว่าคุณเป็นมืออาชีพ โดยที่ห้ามทะเลาะกันในออฟฟิศเด็ดขาด สุดท้ายนี้ บางบริษัทอาจกำหนดนโยบายความสัมพันธ์เชิงชู้สาวไว้ ชั่งใจให้ดี ๆ ก่อนตัดสินใจ อยู่แล้วเลิก หรือ ออกเพื่อรัก นะคะ


เคล็ดลับขาสวย ของสาวออฟฟิศ

|0 ความคิดเห็น

เคล็ดลับขาสวย ของสาวออฟฟิศ


 
สำหรับ สาวออฟฟิศนั้น ส่วนใหญ่ จะใช้เวลาทั้งวันนั่งอยู่กับเก้าอี้ วางนิ้วอยู่บนคีย์บอร์ด และสายตาจับจ้องอยู่กับหน้าคอมพิวเตอร์ สาวๆ รู้หรือไม่คะว่า การนั่งเป็นเวลานานๆ โดยที่เราไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถเลยนั้น คือสาเหตุหลักของการเกิดเส้นเลือดขอด

เพราะการที่เรานั่งเป็นเวลา นานๆ นั้น ทำให้เส้นเลือดที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงขาไม่สามารถไหลเวียนกลับขึ้นสู่หัวใจได้ สะดวก ซึ่งอาการเช่นนี้จะส่งผลให้หลอดเลือดขาโป่งพอง หรือขอดขด จนอาจไปดันเซลล์และอวัยวะส่วนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงเหตุนี้จึงทำให้คุณรู้สึก ปวดเมื่อยขา และขาบวมขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ล่ะ จะทำอย่างไร วันนี้เรามีวิธีการแก้อาการเส้นเลือดขอดสำหรับสาวออฟฟิศมาฝากกันค่ะ

ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร

สาเหตุ ที่สาวออฟฟิศต้องดื่มน้ำมากๆ ก็เพราะว่าป้องกันเลือดในร่างกายไม่เข้มข้นเกินไปจนไหลเวียนไม่สะดวก ทั้งนี้ในปริมาณ2 ลิตรของน้ำที่ดื่มอาจเป็นน้ำผลไม้ น้ำผักสมุนไพร น้ำนม หรอน้ำซุปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเปล่าธรรมดา แต่ก็ไม่ควรเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ เพราะเครื่องดื่มดังกล่าวจะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น

อย่านั่งทำงานนานเกิดเหตุ

คุณ ควรที่จะลุกเดินไปไหนมาไหน ยืดเส้นยืดสายซะบ้างนะคะ เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่อ่อนล้า ไม่เช่นนั้นก็ควรบริหารเท้าด้วยท่าง่ายๆ ทุกๆ ชั่วโมง อย่างเช่น หมุนข้อเท้า หุบและยกนิ้วเท้าขึ้นลงไปมา ท่าบริหารแบบนี้ก็จะช่วยคุณผ่อนคลายได้เยอะเลยล่ะ ลองดูสิ

บอกลาเสื้อรัดติ้ว

สาวๆ ที่มีรูปร่างค่อนข้างจะอวบทั้งหลาย ประเภทที่ชื่นชอบการใส่เสื้อตัวเล็กๆ จนปลิ้นน่ะ .. ฟังทางนี้ คุณควรเปลี่ยนการแต่งตัวซะใหม่นะคะ เพราะการใส่เสื้อรัดติ้วนั้น จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก รวมไปถึงการรัดเข็มขัดที่แน่นจนเกินไป ประมาณว่าอยากจะโชวืว่ามีเอวกับเค้าว่างั้นเถอะ .. อย่าเลย

นอนในท่าเหยียดตรง

สาว ออฟฟิศที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวันเช่นคุณ ควรจะปรับเปลี่ยนท่านอนซะใหม่ คุณควรนอนในท่าที่ถูกต้อง ไม่ควรนอนตัวงอคุดคู้ ควรจะปล่อยให้ขาเหยียดตรงอย่างผ่อนคลายไปเลย

ถ้าคุณไม่อยากเป็นแม่ สาวเส้นเลือดขอดล่ะก็ .. คุณควรจะปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวันซะใหม่นะคะ หากคุณทำได้ก็จะกลายเป็นเวิร์คกิ้งวูแมน ที่ทั้งเก่งและทั้งเป็นสาวขาสวยจนน่าอิจฉาอีกด้วยล่ะคะ ...

ที่มา : Woman's Story

ทางออก! ปัญหาผิวพรรณ "ของสาวออฟฟิศ"

|0 ความคิดเห็น

ทางออก! ปัญหาผิวพรรณ "ของสาวออฟฟิศ"


แม้ว่าในสำนักงานหรือที่ทำงานของคุณจะสะดวกสลายเพียงใดแต่ทำไมคุณยังคงมีปัญหาผิวพรรณอยู่ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมและอุปกรณ์สำนักงานต่าง ๆ ส่งผมต่อผิวพรรณของคุณทำให้เกิดเป็น ปัญหาผิวพรรณ ขึ้นมา ทำให้ผิวพรรณของคุณ ดำคล้ำ เกิดกระ เกิดฝ้า โดยที่คุณไม่รู้ตัว ฉะนั้นวันนี้เราจะพาสาวออฟฟิศทั้งหลายมาพบกับทางออกและจบปัญหาผิวพรรณที่ไม่ ดีไปซะ    

ปัญหาผิวพรรณ

- รังสีจากเครื่องถ่ายเอกสาร


พนักงานที่ทำงานใกล้ชิดกับเครื่องถ่ายเอกสารตลอดทั้งวัน อาจได้รับแสงยูวีที่ปล่อยออกมาจากหลอดไฟพลังงานสูงผนวกกับความร้อนจาก เครื่องถ่ายเอกสารเสี่ยงต่อการเกิดกระฝ้าได้รวมทั้งแสงวาบที่เข้าตาก็อาจทำ ให้ปวดตาและปวดศีรษะได้ ดังนั้นจึงควรปิดฝาครอบเครื่องถ่ายเอกสารให้สนิททุกครั้งที่ถ่ายเอกสาร นอกจากนี้ไอน้ำหมึกที่ระเหยออกมาก็ทำให้เกิดอาการเวียนหัวได้ ดังนั้นจึงไม่ควรตั้งเครื่องถ่ายเอกสารไว้ในที่ ๆ ไม่มีอากาศถ่ายเท วิธีแก้ไขคือ ควรแยกห้องเฉพาะซึ่งมีการระบายอากาศที่เหมาะสมหรือติดตั้งพัดลมดูดอากาศ
- แสงจากหลอดไฟอ่านหนังสือ


หลอดไส้ (หลอดทังสเตน) เป็นหลอดไฟที่ปลอดภัยจากรังสียูวีแต่จะให้ความร้อนสูงพอควร เราไม่ควรอยู่ใกล้หลอดไฟเกินไปเวลาใช้งานเพราะหลอดไฟทำให้เกิดความร้อนกับ หน้าได้มาก ต้นเหตุของความร้อนคือรังสีอินฟราเรดซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดการสร้าง เมลานินและอาจทำให้หน้าเกิดกระได้

หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ก็ถือว่าเป็นหลอดไฟที่ปลอดภัย เพราะปลดปล่อยรังสียูวีเอซึ่งเป็นสาเหตุของกระฝ้าออกมาในระดับที่ปลอดภัย แต่ไม่ควรเข้าไปใกล้มากกว่า 100 ซม. และไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีหลอดไฟเหล่านี้หลาย ๆ หลอดเป็นเวลานาน อย่างเช่น บริเวณหน้าตู้โฆษณา ตู้โชว์สินค้า โต๊ะเขียนแบบ

วิธีการใช้หลอดไฟเพื่อให้ความสว่างอย่างปลอดภัยในการอ่านหนังสือหรือทำงาน ดึกคือ ให้ส่องไฟไปที่ผนังสีขาวแล้วให้แสงไฟสะท้อนกลับมาเป็นแสงทุติยภูมิ แสงจะนวลตาและช่วยถนอมสายตารวมถึงลดความร้อนจากการสัมผัสผิวหน้าทำให้ลดความ เสี่ยงต่อการเกิดกระได้ นอกจากนี้ควรปรับความเข้มแสงให้เหมาะสมกับงาน เช่น งานเขียนหนังสือควรติดตั้งให้แสงมีความสว่างประมาณ 100-200 ลักซ์ สำนักงานควรมีความสว่างประมาณ 500-1000 ลักซ์

 
 
ปัญหาผิวพรรณ
 
 

- แสงจากหลอดไฟเมทัลเฮไลด์ (Metal Halide Lamp)


หลอดไฟส่องสินค้า ไฟประดับ ไฟเวที รวมไปถึงหลอดไฟในอุปกรณ์ไฮเทค อย่างเช่น เครื่องฉายแผ่นใส เครื่องฉายแอลซีดี ส่วนใหญ่ทำมาจากหลอดไฟฮาโลเจนหรือหลอดไฟ Metal Halide สำหรับหลอดฮาโลเจน การปลดปล่อยรังสียูวีจะอยู่ในระดับที่ปลอดภัยแต่สำหรับหลอดแบบเมทัลเฮไลด์ ารปล่อยรังสียูวีเอจะค่อนข้างเข้มข้น การทำงานที่อยู่ในแนวของแสงที่มาจากหลอดไฟชนิดนี้เป็นเวลานานมีความเสี่ยง ที่จะทำให้เกิดกระฝ้าได้ ถ้าไม่แน่ใจว่าตัวอุปกรณ์ต่าง ๆ ใช้หลอดไฟแบบไหน กฎง่าย ๆ คือสาวออฟฟิศควรหลีกเลี่ยงการทำงานใกล้กับแหล่งกำเนิดแสงที่มีความสว่างมาก ๆ เป็นเวลานาน

- การแผ่รังสีจากคอมพิวเตอร์


โดยทั่วไปผู้ผลิตสินค้าจะควบคุมคุณภาพสินค้าให้มีการปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าออกมาในระดับที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ทางด้านข้างและด้านหลังจอคอมพิวเตอร์จะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมามากกว่าทาง ด้านหน้าจอ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการนั่งทำงานทางด้านข้างและด้านหลังจอภาพ คอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปในร่างกายซึ่งเป็นที่ถก เถียงในวงการ วิชาการและการแพทย์ว่าอาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ โดยทั่วไปสาวออฟฟิศควรนั่งห่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 14-24 นิ้ว และห่างด้านข้างและด้านหลังจอมากกว่า 24 นิ้ว หรือไม่ก็บอกให้เจ้านายเปลี่ยนมาใช้จอแบนแบบแอลซีดีหรือโน๊ตบุคแทน

- ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ


สาว ๆ ที่ต้องอยู่ในสำนักงานเย็นฉ่ำเป็นประจำอาจประสบปัญหาผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น ได้ สำหรับคนที่ผิวแห้งอยู่แล้วเพราะไขมันใต้ผิวหนังมีน้อยจะยิ่งสูญเสียน้ำออก ไปมากกว่าคนผิวมันที่มีไขมันใต้ผิวหนังช่วยป้องกัน การสูญเสียน้ำในภาวะผิวแห้งจะปรากฏลักษณะเป็นเส้นเล็กบนผิวชั้นบนสุดจากการ ขาดน้ำเป็นริ้วรอยชนิดรอยย่นแบบตื้นมักปรากฏบริเวณผิวอ่อนรอบดวงตาหรือข้าง แก้ม ดังนั้นควรทามอยเจอร์ไรเซอร์หรือดื่มน้ำสะอาดบ่อย ๆ และควรระวังเชื้อราที่จะเกิดขึ้นและฟุ้งกระจายอยู่ในห้องจากเครื่องปรับ อากาศ (ที่ไม่ค่อยได้ทำความสะอาดหรือไม่มีระบบระบายอากาศที่เหมาะสม) ด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

"โรคพังผืดข้อมือ" ความเสี่ยงของสาวออฟฟิศ "นพ. พูนศักดิ์ อาจอำนวยวิภาส"

|0 ความคิดเห็น

"โรคพังผืดข้อมือ" ความเสี่ยงของสาวออฟฟิศ

เมื่อต้องรับผิดชอบหน้าที่การงานอย่าง "สาวออฟฟิศ" ไม่ว่าจะเป็นการใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์งาน จดรายงานการประชุม ดูแลเอกสารต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นงานที่ต้องใช้มือหยิบจับทั้งสิ้น ถึงแม้งานบางอย่างจะไม่ได้ออกแรงมากมาย แต่ก็ต้องทำบ่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชิน แต่ใครจะคิดว่าในการทำงานแต่ละวันอาจจะได้รับของแถมท ี่เป็นอันตรายต่อร่าง กายมาด้วย โดยเฉพาะบริเวณ "ข้อมือ" ที่เป็นส่วนสำคัญในการทำงาน
โรคที่กำลังพูดถึงนี้ คือ "โรคพังผืดกดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ" ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่เส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทั บโดยพังผืดที่หนาตัว ขึ้นที่บริเวณข้อมือด้านฝ่ามือ ทำให้เกิดมีอาการชาที่ฝ่ามือ โดยเฉพาะ นิ้วโป้ง ชี้ และกลาง รวมทั้งมี
อาการปวดและอ่อนแรงที่มือตามมา และสามารถทำ
"นพ. พูนศักดิ์ อาจอำนวยวิภาส"
ให้เกิดความพิการที่มือได้ "นพ. พูนศักดิ์ อาจอำนวยวิภาส" ผู้ อำนวยการสถาบันกระดูกและข้อ โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวให้ความรู้กับโรคนี้ว่า ส่วนใหญ่โรคพังผืดกดทับเส้นประสาทที่ข้อมือจะพบในผู้ หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 80% สำหรับวัยที่มีความเสี่ยงสูงคือตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป คนไทยมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้มากกว่าคนยุโรป โดยมักจะเป็นทั้งสองมือและอาจจะมีอาการเกิดขึ้นพร้อม กันได้
"โรค นี้ไม่ใช่โรคที่เกิดทางพันธุกรรม แต่สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ข้อมือและมือ ในลักษณะซ้ำๆ กันเป็นเวลานานๆ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ของเจ้าหน้าที่การเงิน ครู คนงานโรงงาน เป็นต้น หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุ ทำให้มีการอักเสบของพังผืด กระดูกข้อมือหักแล้วไปกดทับเข้าไปในโพรงข้อมือ"
ผู้อำนวยการสถาบันกระดูกและข้อท่านนี้ ยังบอกอีกว่า นอกจากอาการที่กล่าวมาข้างต้น โรคนี้อาจเกิดจากอาการติดเชื้อโรคในโพรงข้อมือ โรครูมาตอยด์ หรือก้อนเนื้องอกในโพรงข้อมือก็ได้ โดยอาการเริ่มแรกจะมีอาการชาทั่วๆ ไปที่ฝ่ามือเหมือนเหน็บกิน ต่อมาอาการจะชัดเจนขึ้นที่นิ้วโป้ง ชี้ กลางและนิ้วนางก็มีอาการปวดร่วมด้วย ถ้าเป็นมากจะมีอาการชาและปวดรุนแรง โดยมักจะเป็นเวลากลางคืน ที่สำคัญจะเป็นมากเวลาใช้มือ เช่น หวีผม กวาดบ้าน ถุบ้าน ทำงานบ้านเป็นต้น หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ไปรักษาหรือพบแพทย์ กล้ามเนื้อฝ่ามือจะลีบลง ทำให้มืออ่อนแรงและมีอาการผิดรูปหรือพิการได้




สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคนี้ ทำได้โดยการตรวจร่างกาย การตรวจการนำคลื่นไฟฟ้าของเส้นประสาทข้อมือ การเอกซเรย์กระดูกข้อมือ ส่วนการรักษานพ. พูนศักดิ์ แนะนำว่า หากเป็นระยะเริ่มแรก ควรงดการใช้งานมือข้างนั้น หลีกเลี่ยงการยกของหนักและการใช้มือในลักษณะซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ หรือใช้หมอนรองข้อมือเวลาทำงานและเวลานอน ทั้งนี้ต้องทำร่วมกับการกินยาแก้อักเสบ หากอาการรุนแรงและปวดชามาก อาจต้องฉีดยาที่บริเวณข้อมือ เพื่อลดอาการอักเสบภายในโพรงข้อมือ
"การ ฉีดยาดังกล่าวส่วนใหญ่แพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีดเกิน 3 ครั้ง เนื่องจากเป็นสารพวก สเตียรอยด์ ซึ่งอาจมีผลเสียได้ถ้าได้รับในปริมาณมาก ส่วนการรักษาขั้นสุดท้าย คือการผ่าตัดโดยแพทย์จะทำการผ่าตัดพังผืดให้ขาดออก เพื่อลดการกดทับที่เส้นประสาทข้อมือปัจจุบันการผ่าตั ดที่ข้อมือ สามารถทำได้โดยอาศัยกล้องส่องภายในข้อมือ ซึ่งการผ่าตัดโดยใช้กล้องช่วงนี้ จะทำให้แผลมีขนาดเล็กและหายเร็ว อาการปวดไม่มาก และสามารถใช้งานมือได้เร็วขึ้น" ผู้อำนวยการสถาบันกระดูกและข้อฯ อธิบาย
อย่าง ไรก็ตาม หากไม่ต้องการของแถมเป็นโรคพังผืดกดทับเส้นประสาทที่ ข้อมือ ก็ควรจะปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง โดยการหลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือการใช้งานมือซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ และต้องหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเฉพาะการออกกำลังกายบริเวณข้อมือด้วย มิฉะนั้นคุณสาวๆ ออฟฟิศทั้งหลายอาจจะต้องเสี่ยงกับโรคนี้ได้ทุกเวลา

เหน็บชาแบบไหนต้องรีบพบแพทย์!!!

|0 ความคิดเห็น
เหน็บชาแบบไหนต้องรีบพบแพทย์!!!


อาการเหน็บชา
เกิดขึ้นได้ง่าย ส่วนใหญ่ก็จะหายได้เองเพียงชั่วครู่ แต่ถ้าเป็นนานไม่หายขาด หรือเป็นบ่อยเสียจนกระทบกับการใช้ชีวิต ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

ในงาน Brain Explorer รวมทุกเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสมอง นพ.โอภาส นวสิริพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ระบุถึงอาการเหน็บชาที่เป็นแล้วควรรีบพบแพทย์ทันที คือ มีอาการเหน็บชาเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่า หูดับ ปัสสาวะราด เดินเซ รวมถึงชาหลังจากประสบอุบัติเหตุทางสมองหรือไขสันหลัง ชาจากจากการถูกของมีคมบาดเส้นประสาท

ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือ อาการชากระจายเป็นวงกว้าง อย่างนี้แสดงว่า เกิดความผิดปกติที่รุนแรงมากขึ้น อีกทั้งกรณีที่มีเส้นเลือดแตกในสมอง จนเกิดอาการชาและอ่อนแรง ถือเป็นอันตรายที่ไม่แพ้กัน

สำหรับเหตุผลสำคัญที่ควรมาพบแพทย์ หากมีอาการชาข้างต้นเกิดขึ้น ก็เพื่อลดอาการบาดเจ็บของอวัยวะ เส้นประสาทบริเวณที่เกิดปัญหานั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ยังมีอาการเหน็บชาที่เกิดขึ้นเพราะโรคบางอย่าง เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เบาหวาน ตับ ไต ภูมิคุ้มกันบกพร่อง คอตีบ ไทรอยด์เป็นพิษ เอดส์ และโรคติดเชื้อต่างๆ รวมถึงการใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน การขาดวิตามินบี1 บี2 บี6 บี12 และโฟเลท ซึ่งผู้ป่วยควรนำปัญหาอาการชาเหล่านี้ไปปรึกษาแพทย์ด ้วย.

ต้มข้าวโพดให้หวานกรอบ

|0 ความคิดเห็น
ต้มข้าวโพดให้หวานกรอบ

หลายคนชอบซื้อข้าวโพดต้มมารับประทาน แต่เมื่อลองต้มเองทีไร กลับได้ข้าวโพดที่จืดและไม่กรอบไปเสียทุกที วันนี้ ‘เดลินิวส์ออนไลน์’ นำเคล็ดลับต้มข้าวโพดให้หวานกรอบ อร่อยไม่แพ้ซื้อมาจากร้านเลยทีเดียว

เพียงต้มน้ำให้เดือด ใส่นมสดลงไปพอประมาณ แล้วใส่ข้าวโพดลงไป 10 ฝัก ไม่ต้องปิดฝาหม้อ ต้มนานราว 8 นาที การใส่ข้าวโพดขณะน้ำเดือดจะทำให้ข้าวโพดคงความหวา ส่วนนมสดเป็นตัวช่วยเพิ่มความหอม แต่ไม่ควรต้มข้าวโพดนานจนเกินไป เพราะจะทำให้ไม่กรอบและหมดรสหวาน

หลังจากต้มข้าวโพดเสร็จแล้ว สามารถชุบน้ำเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติที่กลมกล่อม เพียเท่านี้ก็จะได้ข้าวโพดต้มหวานกรอบไว้รับประทานแล ้ว.

ขจัดคราบดินสอ-สีเทียนบนวอลล์เปเปอร์

|0 ความคิดเห็น
ขจัดคราบดินสอ-สีเทียนบนวอลล์เปเปอร์

บ้านไหนมีเด็กเล็ก ๆ ย่อมหลีกเลี่ยงความเลอะเทอะที่เกิดจากการเล่นสนุกของ เจ้าตัวน้อยไม่ได้ โดยเฉพาะรอยดินสอหรือสีเทียนฝีมือเจ้าตัวแสบที่ติดอย ู่บนวอลล์เปเปอร์

เคล็ดลับการทำความสะอาดคราบดินสอและสีเทียนนั้นไม่ยา ก เพียงใช้เครื่องเป่าผมลมร้อนเป่าวอลล์เปเปอร์บริเวณท ี่ต้องการขจัดคราบ จากนั้นใช้ผ้าฝ้ายชุบน้ำสบู่บิดหมาด ๆ แล้วเช็ดลงบนรอยเปื้อนนั้น

แค่นี้คราบดินสอและสีเทียนก็จะไม่เป็นปัญหากวนใจอีก.

สังเกต 9 สัญญาณอันตรายของอาการปวดศีรษะ!

|0 ความคิดเห็น
สังเกต 9 สัญญาณอันตรายของอาการปวดศีรษะ!

อาการ "ปวดศีรษะ" นับเป็นหนึ่งในอาการพื้นฐานของทุกคนในบ้านที่เป็นกัน ได้บ่อย ไม่ว่าจะปวดศีรษะจากความเครียด เช่น ลูกดื้อ ไม่เชื่อฟัง ปัญหาด้านการเงิน รวมไปถึงปัญหาอื่น ๆ แต่ยังมีอาการปวดศีรษะบางประเภทที่เป็นอันตรายจนอาจท ำให้คนในบ้านถึงแก่ ชีวิตได้
สุดสัปดาห์นี้ ทีมงาน Life and Family มี ข้อมูลที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์จากศูนย์สมอง และระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานีเกี่ยวกับสัญญาณอันตรายของอาการปวดศ ีรษะมาส่งต่อกัน สำหรับใครที่ปวดหัวบ่อย ๆ ลองสังเกต 9 สัญญาณอันตรายที่จะกล่าวต่อไปนี้กันดู เริ่มจาก
1. โรค และอาการเจ็บป่วยทางกายอื่นๆ ที่เกิดร่วมกับอาการปวดศีรษะ เช่น มีไข้ หนาวสั่น เหงื่อออกตอนกลางคืน ปวดกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด มีประวัติโรคมะเร็ง การติดเชื้อ หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เอชไอวี ผู้ที่รับประทานยาบางประเภท เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาละลายลิ่มเลือด ยาลดภูมิคุ้มกัน ประวัติเหล่านี้บ่งบอกถึงโรคติดเชื้อ การอักเสบ และการแพร่กระจายของมะเร็ง
2. อาการแสดงผิดปกติทางระบบประสาท ได้แก่ พฤติกรรม หรือบุคลิกภาพเปลี่ยนจากเดิม แขนขาอ่อนแรง ชา หรือการรับรู้ประสาทสัมผัสผิดปกติ การมองเห็นหรือการได้ยินผิดปกติ
3. อาการปวดศีรษะที่เริ่มต้นหลังตื่นนอน มักบ่งบอกถึงภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูงกว่าปกติ
4. อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นรุนแรงอย่างเฉียบพลัน ซึ่งมักใช้เวลาเป็นเสี้ยววินาที บ่งบอกถึงภาวะวิกฤตของหลอดเลือดสมอง ทั้งเส้นเลือดสมองตีบ และแตก
5. อาการปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี แม้ว่าโรคปวดศีรษะปฐมภูมิหลาย ๆ ชนิดอาจเริ่มต้นครั้งแรกหลังอายุ 40-50 ปี แต่อายุที่มากขึ้นมักสัมพันธ์กับโรคอื่นๆ ที่อาจจะเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะได้ เช่น ก้อนเนื้องอก การติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลาง การอักเสบของหลอดเลือด ดังนั้นใครที่มีอาการปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี จึงควรได้รับการเอกซเรย์สมองทุกราย ถึงแม้ว่าจะไม่พบความผิดปกติจากการตรวจร่างกายทางระบ บประสาท
*โรค ปวดศีรษะปฐมภูมินั้น ไม่ใช่อาการปวดศีรษะที่มีผลจากการรับยา แต่เป็นการปวดศีรษะจากความเครียด ไมเกรน อาการปวดหัวแบบผสม และปวดแบบชุด ๆ

ทำอย่างไรไกล “ข้อเข่าเสื่อม”

|0 ความคิดเห็น
ทำอย่างไรไกล “ข้อเข่าเสื่อม”

แม้โรคข้อเข่าเสื่อมจะพบในผู้สูงอายุก็จริง แต่สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการปฏิบัติตัวในช่วงวัยหนุ่ม สาว ดังนั้นจึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตบางอ ย่าง เพื่อลดโอกาสเกิดปัญหาข้อเข่าเสื่อมในอนาคต

หลักเลี่ยงข้อเข่าเสื่อม ประกอบด้วย ไม่เดินขึ้น-ลงบันไดบ่อย ๆ ใช้ไม้ถูพื้นแทนการก้มแล้วถูพื้น หากนั่งซักผ้าให้นั่งบนเก้าอี้เตี้ย ๆ แล้วเหยียดเข่า แต่ถ้าจะให้ดี ซักผ้าด้วยเครื่องซักจะดีกว่า ส่วนการรีดผ้า นั่งเก้าอี้หรือยืนรีดจะดีกว่านั่งรีดกับพื้น

อีกทั้งยังควรเลี่ยงการนั่งพื้นเพื่อทำกิจกรรม อาทิ นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ ที่สำคัญ ต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้อ้วน และหมั่นบริหารร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อด้านหน้าของต้นขา.

เตรียมดอกบัวให้สวยนาน

|0 ความคิดเห็น
เตรียมดอกบัวให้สวยนาน

ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่ค่อนข้างเ่ยวเร็ว และกลีบดำง่ายหากขาดน้ำ

วิธีทำให้ดอกบัวอยู่ทนและกลีบสีสวยนาน ทำง่ายๆ เพียงตัดก้านแช่ในน้ำเย็นปริมาณมากๆ ใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงให้ดอกบัวอิ่มน้ำ หลังพับกลีบเสร็จจุ่มดอกบัวลงในน้ำผสมสารส้ม จะช่วยล้างน้ำยาง ทำให้กลีบดอกบัวดำช้ากว่าปกติ

หากยังไม่นำดอกบัวไปใช้งาน ควรใช้ผ้าพลาสติกคลุมให้มิดชิด เพื่อป้องกันลมที่จะทำให้ดอกบัวดำเร็ว และไม่ให้น้ำระเหยออกจากดอกบัว.

โยคะป้องกัน 'ปวดหลัง'

|0 ความคิดเห็น
โยคะป้องกัน 'ปวดหลัง'

ไลฟ์สไตล์ของคนเราทุกวันนี้ช่างวุ่นวายยุ่งเหยิง หลาย ๆ คนทุ่มเททำงานแบบลืมหายใจ จนในที่สุด สุขภาพกายและใจเสียสมดุล ร่างกายป่วยไข้ จิตใจไม่เป็นสุข 'มุมสุขภาพ' จึงอยากแนะนำให้ผู้อ่านลองยืดเส้นยืดสายที่ได้ผ่อนคล ายทั้งกายและใจในเวลาเดียวกัน...

โดยวิธีออกกำลังกายและใจที่จะนำเสนอ 'เดลินิวส์ออนไลน์' รวบรวมมาจากกิจกรรมชำระใจสำหรับสาววัย 40+ “Practice Happiness” ของ http://www.women40plus.com/ ซึ่งมี 'คุณต่าย-นิทรา กิติยากร ณ อยุธยา' อดีตบก.นิตยสารชื่อดัง วัย 42 ปี เป็นผู้ถ่ายทอดโยคะเพื่อสมาธิและป้องกันการปวดหลัง

ในอดีตเธอมีหลักคิดว่า ต้องทำงานหนัก ทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว อยากสวย อยากเก่ง อยากประสบความสำเร็จ จนกระทั่งประสบอุบัติเหตุจากกีฬาปีนเขา บาดเจ็บถึงขั้นเดินไม่ได้ราว 1 ปี กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต

หลังจากอาการบาดเจ็บทุเลาลงจนสามารถเคลื่อนไหวได้ดี คุณต่าย เลือกฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจด้วยการฝึกโยคะอย่างล ึกซึ้งจากผู้เชี่ยวชาญที่ทิเบต เนปาล นาน 200 ชั่วโมง จนได้รับประกาศนียบัตร ทั้งเธอยังศึกษาเรื่องกายวิภาค หรือสรีระของมนุษย์ ที่สอดคล้องกับโยคะ รวมถึงฝึกสมาธิเพิ่มเติม กระทั่งสามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ แต่เธอเน้นสอนเพื่อช่วยเหลือคน ไม่ใช่เพื่อการค้า

สำหรับการฝึกโยคะ แบบฉบับคุณต่าย ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ท่าออกกำลังกายที่หนักเกินไป แต่อยากให้ทุกคนได้เกิดสติ สมาธิ ขณะที่กำลังอยู่ในทุกท่า ทุกความเคลื่อนไหวของร่างกาย ทำให้เกิดความสงบ และพลังเชิงบวกให้กับชีวิต

เริ่มจาก การทำสมาธิ และฝึกกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างมีสติ โดยคุณต่ายเลือกการฝึกกำหนดลมหายใจแบบทิเบต เนปาล ให้ความสำคัญของการใช้เสียงระฆัง หรือเสียงเพลงเข้ามาใช้ในการฝึกสมาธิ และฝึกโยคะ โดยกำหนดลมหายใจไปตามจังหวะของเสียงระฆังที่ดัง ฝึกประมาณ 10 นาที โดยหายใจเข้า หายใจออก ผ่านการฟังเสียงระฆัง แล้วกำหนดว่า จิตอยู่ที่มือ หรือปลายนิ้ว หรือที่ลมหายใจ เพื่อสร้างความผ่อนคลายเบื้องต้นให้กับร่างกาย และจิตใจ

โดยการนั่งทำสมาธิ ไม่ยึดติดกับท่านั่ง ดังนั้นหากนั่งท่าไหนแล้วสบายก็สามารถทำได้ เพียงแต่สันหลังต้องยืดตรง เพราะเป็นส่วนที่สำคัญสุดของร่างกาย ถือเป็นการกำหนดสมดุลให้แก่ร่างกาย

ท่าโยคะป้องกันการปวดหลัง ประกอบด้วย 'ท่าเด็กหมอบ' (Child post) นั่งบนปลายเท้าแบบเด็ก แล้วก้มตัวลงแนบพื้น จากเหยียดตัวตรง เหมือนกับว่ามีคนดึงแขนเราไปข้างหน้า และดึงสะโพกเราไปข้างหลัง ให้ก้นแนบกับเท้ามากที่สุด ช่วยยืดกล้ามเนื้อและลำตัว

'ท่าแมวและวัว' (CAT & COW)
จากท่าเด็กหมอบ ค่อยๆ ยืดตัวขึ้นเหมือนท่าคลาน น้ำหนักถ่ายจากแขนทั้งสองข้าง ไปอยู่ที่ฝ่ามือ หายใจเข้าเต็มปอด โก่งหลังขึ้นเหมือนแมวโก่งลำตัว จากนั้นหายใจออกพร้อมกดท้องเข้าหาสะดือแล้วกดโค้งหลั งลงตามองไปที่เพดาน (สิ่งที่ขยับในท่านี้คือช่วงลำตัวเท่านั้น) ถือเป็นการนวดสันหลังรวมทั้งออกกำลังกายหน้าท้อง

การออกกำลังกายที่สมบูรณ์แบบท่าหนึ่ง คือ 'ท่าดาวน์เวิร์ด ด็อก' (Downward Dog) ทำต่อจากท่าแมวและหมา โดยกลับมาสู่ท่าคลาน แล้วยกสะโพกและลำตัวขึ้น สิ่งที่สำคัญคือ ส้นเท้าควรแตะพื้น อย่าเกร็งหลัง เท้าทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ยิ่งกางขาได้มากจะยิ่งตึง และแข็งแรง ปล่อยไหล่และคอลู่ลงตามธรรมชาติ ไม่เกร็งหรือฝืน เพราะจะทำให้ปวดต้นคอ สิ่งที่สำคัญคือ ส้นเท้าควรแตะพื้น อย่าเกร็งหลัง เท้าทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ยิ่งกางขาได้มากจะยิ่งตึง และแข็งแรง ปล่อยไหล่และคอลู่ลงตามธรรมชาติ ไม่เกร็งหรือฝืน เพราะจะทำให้ปวดต้นคอ

ส่วนท่าที่เป็นไฮไลท์เด็ดในการป้องกันการปวดหลัง คือ 'ท่าสุริยนมัสการ' บางจังหวะต่างจากสุริยนมัสการทั่วไปเล็กน้อย

ให้เริ่มจากยืดตัวตรง (ไม่แอ่นหลัง เพราะจะทำให้ปวด) หายใจเข้าเหยียดตัวขึ้น พร้อมเหยียดแขนขึ้นเหนือศีรษะ หายใจออกกวาดแขนลงพร้อมก้มตัวลง แขม่วท้อง หายใจเข้าเหยียดสันหลังครึ่งทาง หายใจออก ก้าวขาขวาเหยียดตรงไปด้านหลัง ขาซ้ายเหยียดตาม เข่า หน้าอก คางชิดพื้น ก้นแอ่น แล้วใช้แขนดันลำตัวขึ้นมาอยู่ในท่างู

จากนั้นยกสะโพกขึ้นให้มาอยู่ในรูปตัววีคว่ำกลับมาสู่ ท่าดาวน์เวิร์ดด็อก หายใจเข้าออก 5 ครั้ง ก้าวเท้าขวามาด้านหน้า ตามด้วยเท้าซ้าย หายใจเข้าแล้วค่อยๆ กลับมาสู่ท่ายืน ทำซ้ำอีก 5 ครั้ง หรือตามกำลังของตนเอง (เพื่อเพิ่มความเข้าใจสำหรับท่าโยคะ สามารถดูเพิ่มเติมได้จากภาพประกอบ).

ตะคริว...เกิดขึ้นเพราะอะไร

|0 ความคิดเห็น
ตะคริว...เกิดขึ้นเพราะอะไร



ใครรู้บ้างนะ!!! หากคุณกำลังรู้สึกหวาดกลัวกับ อาการตะคริวของกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอกที่อยู่ด้านหน้ าของหัวใจ ยิ่งมีอาการบีบรัดมากขึ้นในบริเวณใกล้ ๆ หัวใจก็ทำให้รู้สึกวิตกกังวล เพราะเข้าใจว่าเป็นโรคหัวใจ บางรายมีอาการตะคริวของกล้ามเนื้อกระบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ควบคุมการหายใจ จนทำให้รู้สึกว่าหากใจลำบาก ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคของทางเดินหายใจอุดตัน เพราะนั้นเป็นอาการที่เราเรียกว่า "ตะคริว" ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เกิดขึ้นเพราะอะไร และมีสาเหตุจากอะไร ลองอ่านบทความข้างนี้ดูนะค่ะ

ตะคริว... คือ ภาวะกล้ามเนื้อแข็ง เกร็ง และปวด มัก เกิดขึ้นโดยที่คุณไม่รู้สึกตัว อาการปวดเกร็งจะเกิดอยู่เพียงไม่นาน โดยพบว่ากล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวได้บ่อย คือ กล้ามเนื้อน่องและต้นขา ในทางการแพทย์ระบุไว้ว่า "ตะคริว เกิดขึ้นจากการปล่อยประจุไฟฟ้าของปลายประสาทที่เลี้ย งกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง"

ลักษณะของผู้ที่เป็นตะคริว
- กล้ามเนื้อจะหดแข็งเป็นก้อนสามารถคลำได้ ทั้งนี้หากสังเกตแล้ว การเกิดตะคริวจะเกิด ขึ้นในเวลากลางคืน หรือภายหลังจากการออกกำลังอย่างหนัก
- บางคนอาจมีอาการปวดในช่วงแรก ๆ และค่อย ๆ ทุเลาลงไปเอง
- บางคนอาจปวดอย่างต่อเนื่องเป็นวัน ๆ ได้ เนื่องจากเกิดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อในช่วงนั้น ๆ

ปัจจัยที่ทำให้เป็นตะคริว
- สำหรับนักกีฬา การขาดเกลือแร่และอิเลคโตรไลด์ (Electrolyte) ซึ่งเกิดจากการขับของเหงื่อเป็นจำนวนมากในระหว่างเล่ นกีฬา
- สำหรับในคนปกติพบว่า การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายแบบรวดเร็วก็มีผลเช ่นเดียวกัน
- ภาวะ ที่กล้ามเนื้อขาดเลือดหล่อเลี้ยง ซึ่งเกิดได้บ่อยในระหว่างวัน โดยเฉพาะผู้ที่นั่งนอนหรือยืนในท่าที่ไม่สะดวกนาน ๆ ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก
- สำหรับผู้ที่ชอบสวมใส่เสื้อผ้ากางเกงที่รัดแน่นมากเก ินไป อาจทำให้เลือดที่จะไปเลี้ยงลดลง กล้ามเนื้อขาดออกซิเจน จนเกิดเป็นตะคริวได้
- ผู้ ป่วยที่มีการสูญเสียปริมาณน้ำในร่างกาย หรือการที่ร่างกายเสียเกลือโซเดียม เนื่องจากท้องเสีย อาเจียน การสูบบุหรี่ การใช้ยาบางชนิด หรือสูญเสียเหงื่อมากเนื่องจากความร้อน อากาศร้อน หรือทำงานในที่ที่ร้อนจัด ก็ส่งผลให้เกิดเป็นตะคริวรุนแรงขึ้นในทันทีได้

วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สำหรับผู้ที่เป็นตะคริว เพื่อลดอาการเจ็บปวด คือ
- เมื่อเกิดตะคริวขึ้นที่ตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใดให้คุณใ ช้ของเย็นหรือผ้าเย็น ประคบ อย่าใช้ของอุ่นหรือร้อนเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบีบเกร ็งมากขึ้น
- หลังจากนั้นให้ผู้ป่วยพยายามยืดกล้ามเนื้อจุดนั้นออก อย่างช้า ๆ เช่น หากคุณเป็นตะคริวที่น่อง ก็ให้เหยียดขาให้ตึงแล้วกระดกปลายเท้าขึ้นจะช่วยให้ต ะคริวคลายออกได้เร็ว ขึ้น

สำหรับ ผู้ที่เป็นตะคริวที่น่องและเป็น ๆ หาย ๆ อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะเดินนาน ๆ ให้คุณลองบริหารกล้ามเนื้อด้วย วิธีปฏิบัติง่าย ๆ คือ เริ่มจากยืนหันหน้าเข้ากำแพงห่างประมาณ 3-4 ฟุต จากนั้นให้ก้มตัวไปด้านหน้าโดยเอามือยันกำแพง ให้ส้นเท้าสัมผัสที่เข่า และหลังเหยียดตรง ทำต่อเนื่อง 3 นาที และพัก 1 นาที ให้ครบ 15 นาที นอกจากนี้การฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี ด้วยสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนได้เต็มที ก็เป็นการลดความเสี่ยงการเกิดตะคริวได้

10 สุดยอดอาหารดีท็อกซ์

|0 ความคิดเห็น
10 สุดยอดอาหารดีท็อกซ์



อาหาร เหล่านี้ช่วยล้างสารพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรทานให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วนบริโภค (1 ส่วนบริโภค = 1 ถ้วยตวง หรือ 240 มิลลิลิตร)
หน่อไม้ฝรั่งนำไปนึ่งหรือต้มสักครู่จนนิ่ม ราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวลงไป ก็จะได้อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเครื่องเคียงที่อุดมด้วยกรดอะมิโนที่เรียกว่า แอสพาราจีน (asparagine) รวมถึงโพแทสเซียมที่ช่วยขับปัสสาวะและทำความสะอาดอวั ยวะภายใน ช่วยไตขับสารพิษ และการบวมน้ำ โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน
บีทรูท
เป็นที่รู้จักว่าช่วยล้างสารพิษในเลือด บีทรูทมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบวนการล้างสารพิษในตับ นำไปอบกับน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลเซมิกเล็กน้อยจะช่วยให้รสชาติด ี แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบ ๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด
เบอร์รี่
บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับสารพิษ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ช่วยให้หลอดเลือดดำ และหลอดเลือดแดงแข็งแรง จึงทำให้ออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่ร่างกายได้ ในปริมาณมาก นำไปทำเป็นสมูธตี้หรือสลัดผลไม้
บร็อกโคลี
มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็ง เนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อกโคลียังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) เช่นเดียวกับสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษรับประทานดิบ ๆ โดยนำดอกบร็อกโคลีจิ้มกับซัลซ่า หรือฮุมมุส (hummus - ทำจากถั่วชิกพีผสมงาและกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอก) จะนำไปผัด หรือนึ่งเสิร์ฟกับปลาย่าง
กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัด หรือนำไปผัด หรือนำไปต้มและผัดเร็ว ๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก
มะนาว (lemons)
สีเหลืองของมะนาวมาจากการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที ่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูง จึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยในการล้างสารพิษ บีบมะนาวลงในน้ำร้อน ดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือนำไปคั้นผสมกับส้มและเกรฟฟรุต ดื่มเพิ่มความสดชื่น
ลินสีด (Linseed) หรือเมล็ดแฟล็กซ์
นอกจากอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นแล้ว ลินสีดยังช่วยล้างลำไส้และทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างสารพิษ ให้แช่เมล็ดลินสีด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มจนหมดแก้ว หากไม่ชอบรสชาติให้นำไปปั่นรวมกับผลเบอร์รี่ ทำเป็นสมูธตี้ หรือนำเมล็ดไปบด แล้วโรยบนผลไม้หรือสลัด

พริก

อาหารที่มีสีสดใสเช่น พริกและมะเขือเทศ อุดมด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ในการล้างสารพิษช่วยกำจัดอน ุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ เสื่อม เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค สารประกอบแคปไซซิน (capsaicin) ในพริกทำให้โลหิตไหลเวียนดี และช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร เมนูดีท็อกซ์ของคุณควรประกอบไปด้วยอาหารสีสันสดใสหลา กหลายชนิด เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่หลากหลาย
มะละกอ และสับปะรด
มะละกอมีสารปาเปน (papain) ส่วนสับปะรดอุดมไปด้วยบรอมีเลน (bromelain) สารทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยโปรตีน และกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียผ่านทางอวัยวะที่มีหน ้าที่กำจัดของเสีย สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะอ่อน ๆ ซึ่งสารพิษจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ นำผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาหั่นเป็นชิ้น ๆ กินเป็นอาหารเช้าหรือของหวาน หรือนำไปบดกับผักชี กระเทียมสับ พริกแดง ต้นหอม แตงกวา และมะเขือเทศ ตามด้วยน้ำมะนาว ทำเป็นซัลซารสชาติอร่อยกินคู่กับปลานึ่ง
ผักสลัดน้ำ หรือวอเตอร์เครส
เช่นเดียวกันบร็อกโคลี วอเตอร์เครสเป็นแหล่งที่อุดมด้วยไปด้วยกลูโคซิโนเลตท ี่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ดี ท็อกซ์ของตับ นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมสูง จึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ใช้เป็นอาหารทางเลือกแทนผักกาดหอม หรือปรุงเป็นซุปวอเตอร์เครส

8 อาหารย่อยยากสุด ๆ

|0 ความคิดเห็น
8 อาหารย่อยยากสุด ๆ



1.น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม
เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้หลอด
อาหารระคาย เคือง กระตุ้นเซลล์ประสาทให้รู้สึกอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น จนรู้สึกคล้ายกรดไหลย้อน (แต่ความจริงก็แค่ระคายเคือง) แถมปริมาณกรดมากมาย อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น สมมติว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร แต่ดื่มน้ำส้มไปแก้วใหญ่ ๆ ตอนเช้า กระเพาะอาหารที่ เต็มไปด้วยกรดอยู่แล้วก็จะได้รับกรดเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น จำนวนที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะทำให้คุณปวดกระเพาะได้ ส่วนคนที่ชอบน้ำมะนาวแต่ใส่น้ำเชื่อมข้าวโพดเยอะ ๆ ก็ต้องระวังท้องร่วงด้วยนะ



2.ช็อกโกแลต


ส่วน ใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะคุณกินช็อกโกแลต แต่เป็นเพราะว่าคุณกินมากเกินไปต่างหาก อย่างราวนี่หนึ่งชิ้นอาจเป็นของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดี แต่บราวนี่สามชิ้นหรือช็อกโกแลต ฟองดูนั้นอาจมากไปนิดนึง หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) ช็อกโกแลตอาจเป็นปัญหาสำหรับคุณได้แม้ในปริมาณนิดเดี ยว นี่เป็นเพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอด
อาหารส่วนล่างคลายออก กรดในกระเพาะก็จะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้



3.บร็อกโคลี่ และกะหล่ำปลีดิบ


จริงอยู่ที่ผักเหล่านี้มีทั้งใย
อาหารสารอาหาร และก็ดีต่อสุขภาพของคุณมาก ๆ แต่พวกมันก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ ทางแก้นั้นง่ายมาก เพียงนำมาปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนหรือแม้แต่ลวกเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยสลายสารซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดแก๊สได้แล้ว



4.มันบดและไอศกรีม


หน้า ตาเหมือนเป็นของย่อยง่าย แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกกระเพาะปั่นป่วน เริ่มมีอาการท้องอืดมีแก๊สในกระเพาะเยอะ และเริ่มผายลมจนห้ามไม่ได้ นั่นล่ะคือสัญญาณบอกว่าร่างกายของคุณอาจแพ้แล็กโตส และต่อให้คุณปกติดี การกินไอศกรีมหรือมันบดที่มีครีมเยอะ ๆ ก็อาจเป็นปัญหาอยู่ดี เนื่องจากมันมีไขมันสูง และไขมันก็ย่อยยาก จึงอยู่ในกระเพาะ
อาหารนานกว่าอาหารอื่น ๆ ไงคะ



5.นักเก็ตไก่


ทุกครั้งที่คุณคลุก
อาหารเข้ากับแป้งแล้วนำไปทอด คุณได้เปลี่ยนอาหารชิ้น นั้นให้กลายเป็นของย่อยยากที่สุด โดยของทอดมักจะมันและมีไขมันสูง ซึ่งทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะของเรา ยิ่งถ้าคุณมีโรคลำไส้อักเสบร่วมด้วย ของทอดมัน ๆ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คุณคลื่นเยน อาเจียน ดังนั้น สำหรับคนที่ชื่นชอบนักเก็ตจริง ๆ ลองหันมาอบนักเก็ตจะดีกว่าทอด แต่ถ้าจะให้ดีก็ใช้เนื้ออกไก่คลุกแป้งทำดีกว่าซื้อนั กเก็ตแช่แข็งมาทอดค่ะ



6.หัวหอมดิบ


หัว หอมและเพื่อนร่วมก๊วนอย่างกระเทียม ต้นหอม และ Shallot นั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งบางชนิดให้คุณแก่สุขภาพและดีต่อหัวใจของคุณ ส่วนบางชนิดจะทำให้ปวดท้อง จริงอยู่ที่หัวหอมที่ผ่านความร้อน แล้วอาจมีสารดังกล่าวน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันความร้อนก็จะสลายสาร
อาหาร ทำให้คุณค่าของหัวหอมลดลง ถ้าให้ดีจึงควรกินหัวหอมดิบผสมกับหัวหอมที่ผ่านการปร ุงสุกแล้วจะดีกว่า



7.ถั่ว


เป็น ที่ทราบกันดีกว่าการกินถั่วมากจะทำให้ผายลม สาเหตุเนื่องมาจากเอนไซม์ที่ย่อยถั่วได้นั้น จะพบได้ในเฉพาะแบคทีเรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกระเพะ
อาหาร และถ้าคุณไม่กินถั่วเป็นประจำ คุณอาจมีเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อยถั่ว ผลก็คือจะเกิดแก๊สแล้วท้องก็จะอืด ดังนั้น ก่อนกินถั่วก็ให้ผ่านความร้อนนาน ๆ หรือไม่ก็กินบ่อย ๆ จะได้มีเอนไซม์เตรียมไว้ย่อยถั่วค่ะ



8.หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล


Sorbitol คือสารชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานสูต รไม่มีน้ำตาล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม มันอาจเป็นสาเหตุของแก๊สในกระเพาะ
อาหาร ดังนั้น ก่อนจะซื้อหมากฝรั่งมาเคี้ยวก็ลองพลิกฉลากมาดูก่อน หากมี Sorbital มากกว่า 10 กรัม นั่นก็แสดงว่ามันยากต่อการย่อยแน่ ๆ

‘เจล’ทาเหงือกต้าน‘ไมเกรน’

|0 ความคิดเห็น
‘เจล’ทาเหงือกต้าน‘ไมเกรน’

ลอนดอน : นักวิจัยนำโดย ดร.แอนดรูว์ ดอว์สัน หัวหน้าแผนกบริการภาวะปวดศีรษะของโรงพยาบาลคิงส์ คอลเลจ กำลังทดลองทางคลินิกเพื่อป้องกันและรักษาภาวะปวดศีรษ ะไมเกรนใหม่ผ่านการใช้เจลทาเหงือก

เจลที่ใช้ทดลองมีตัวยาชื่อว่า ketoprofen ซึ่งเป็นยาแก้อักเสบกลุ่มไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) และปัจจุบันถูกนำมาใช้แล้วเพื่อรักษาอาการปวดหลังและ ข้อต่อต่างๆ ผลการทดลองพบว่าใช้เพียงวันละครั้งเป็นเวลา 3 เดือน กับผู้ป่วยไมเกรน 100 คน ที่มีประวัติมีอาการมากกว่า 4 ครั้งต่อเดือนได้ผลดีในทางป้องกัน เตรียมทดลองเพื่อการรักษาต่อเนื่อง ซึ่งจะใช้เจลทาเหงือกหลังจากเกิดอาการและทาซ้ำใน 20 นาทีต่อมา

ทั้งนี้ ผู้มีปัญหาไมเกรนราว 17% เกิดปัญหาบ่อยครั้งมากกว่า 40 ครั้งต่อปี โดยมีอาการปวดศีรษะรุนแรงข้างเดียว คลื่นไส้ อาเจียน และประสาทสัมผัสไวต่อกลิ่น เสียง และแสง ซึ่งอาการเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อถูกกระตุ้นด้ วยแสงแฟลชหรืออาหารบางอย่าง

เชื่อกันว่าเป็นผลจากหลอดเลือดตีบตัน ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้เส้นประสาทรับความรู้สึกที่มีสาขาแยกย่อยในศ ีรษะ ใบหน้า และเหงือก ที่เรียกว่า trigeminal nerve ทำงานส่งสัญญาณความเจ็บปวดออกมา เชื่อว่าหากแทรกแซงการส่งสัญญาณดังกล่าวได้จะช่วยระง ับความเจ็บปวดได้ และจากการทดลองแสดงให้เห็นแล้วว่าแนวคิดดังกล่าวใช้ไ ด้ผลดี