แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องเสียง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องเสียง แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การต่อแอมป์บลิด

|0 ความคิดเห็น
เรื่องต่อลำโพงกี่ดอกแล้วได้กี่โอห์มบ้าง
วันนี้นั่งว่างๆเลยนึกทำรูปขึ้นมาให้ดูครับ
เชิญชมครับ


เรื่องมอนิเตอร์

|0 ความคิดเห็น
การทำมอร์นิเตอร์นั้นจุดสงค์หลักก็เพื่อต้องการฟังเสียงของดนตรีอื่นๆ หรือแม้กระทั้งเสียงของเราเอง
เพื่อที่จะได้บรรเลงขับกล่อมให้พร้อมเพียงกันและถูกต้องเป๊ะๆ เหมือนกับเปิดแผ่นยังไงยังงั้นให้มากที่สุด
อ่านไปเรื่อยๆนะครับมีสาระไม่มีสาระบ้าง อย่าถือสากัน
นายพี ("พี"อีกหละ 555 ตัวละครนี้มาบ่อยจัง)
นายพี ได้ตะเวนดู ฟังงานเครื่องต่างๆ มากมาย จนพบและเจอระบบการจัดมอนิเตอร์ซึ่งสามารถก็จำแนกออกได้ ดังนี้ คือ
1.การใช้มิคเซอร์เพียงตัวเดียว (ขอโทษหากภาษาที่เขียนมันบ้านๆนะครับ เอาหลักการมากคงไม่ได้)


ออกนอกเรื่องมอนอเตอร์มามากแล้ว555 บอกแล้วมีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง 555(อีกที)
เพราะฉนั้นวงใหญ่ๆเขาจึงมีซาวด์ประจำตัวเพื่อมาทำเสียงในจุดนี้
กระนั้นก็เถอะ ถึงระบบนี้จะมีซาวด์มาด้วยก็ตาม แต่ส่วนมากแล้วมิคเฮาท์มักจะอยู่หลังๆ  ซาวด์ก็ไม่ได้ยินเสียงบนเวทีอยู่ดี เขาจึงมีระบบนี้ขึ้นมา(ถูกผิดอย่าว่ากันนะแต่ผมเข้าใจอย่างนี้)



แบบนี้สัญญาณจะถูกแยกออกเป็น2ทางคือ
1.ส่งไปมิคบนเวที(มิคมอนิเตอร์)
    การมิคมอนิเตอร์คือมิคแค่เพียงเสียงมอนิเตอร์บนเวทีเท่านั้น จะเพิ่มจะลดอะไรก็ไม่มีผลต่อพีเอ ส่วนมากในจุดนี้เขาจะให้ซาวด์ศิลปินเป็นคนไปทำ คือวงของคุณอยากฟังเสียงยังไงพวกคุณก็ทำให้กันฟังอยากงั้นหละ 5555++(ล้อเล่นนะครับ อันที่จริงคือเขาจะได้รู้ว่าจุดต่างๆบนเวทีควรเพิ่มควรลดอะไร และเมื่อนักดนตรีต้องการอะไรจะได้สื่อสารกันง่ายขึ้น)
2.ส่งไปมิคที่มิคเฮาท์(มิคพีเอ)
คงพอแค่นี้นะครับสำหรับเรื่องมอนิเตอร์
ขอแถมนิ๊ดหนึ่งครับ อันนี้มิคกัน3ที่เลย
คือ
1.มอนิเตอร์
2.พีเอ
3.มิเพื่อการบันทึกเสียง หรือเพื่อการส่งถ่ายทอดสดครับ
บ๊าย ๆ

การต่อ สปีกค่อนตามแบบของ"ผมเอง"

|0 ความคิดเห็น
วันนี้เป็นวันที่มีเวลาว่าง ก็เลยเอาสปีกค่อนตัวผู้ที่ได้รับการอนุเคราะห์จาก "พี่ละอ่อน" เป็นธุระในการจัดซื้อที่บ้านหม้อแล้วส่งไปให้ถึงบันไดบ้าน และสาย 4X2.5 จากท่าน kamen ในราคามิตรภาพ มาดำเนินการต่อเพื่อรองรับงานในฤดูหนาว นั่งพิจารณาอยู่พอสมควรก็เลยได้แนวทางการต่อ เพราะโดยปกติที่เห็น จะใช้สายไฟ 2 เส้นต่อกันแล้วโยงระหว่าง 1+ กับ 2+ และ 1- กับ 2- นั่นจะทำให้การขันน๊อตลำบากและเสี่ยงต่อการช๊อต แต่ถ้าใครจะต่อเป็น 2 ทางก็ไม่ว่ากัน โดยการเอา 1+คู่กับ 1- หรือ 2+ คู่กับ 2- แต่ดูขั้วตรงตูดแอมป์แต่ละยี่ห้อให้ดีๆนะครับ เมื่อเสร็จถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วจะอุดด้วย ซิลิโคนเพื่อกันน้ำ เหมือนของพี่ K-ONE MUSIC ก็ตามสบายครับ
ดังจะอธิบายให้เข้าใจ ตามขั้นตอนตามลำดับ ต่อไป

(ไม่ได้เอามะพร้าวมาขายสวน หรือสอนวัวให้กินหญ้า )

ผู้รู้แล้วก็ไม่เป็นไร สำหรับผู้ไม่รู้เชิญทัศนา ณ บัดนี้


ใช้คัตเตอร์กรีด(บาก)ระหว่างขั้ว 1+ กับ 2+ ให้ลึกตามภาพ



ตัดสายไฟให้ ขั้วบวกสั้นกว่าขั้วลบ ประมาณ 1 นิ้ว เพื่ออะไรนั้น ดูต่อไป



ปลอกสายไฟขั้วบวก แล้วแบ่งเป็นสองง่าม เหมือนตัว Y เพื่อที่จะสอดลงรู ขั้ว 1+ กับ 2+ ทั้งสองข้างบัดกรีเพื่อความแข็ง ตามภาพ

ปลอกสายที่จะทำขั้วลบให้ได้ประมาณ 1 นิ้วแล้วแบ่งเป็นสองง่าม เหมือนตัว Y จากนั้นตัดข้างหนึ่งให้สั้นเท่ากับ
ขั้วบวกที่ทำเสร็จแล้ว อีกข้างก็เอาปลอกสายไฟที่ลอกออกสวมเข้าที่เดิมกันช๊อต บัดกรีปลายสายเพื่อความแข็ง




เมื่อสายทั้งสองข้างเสร็จตามขั้นตอน ก็จะได้ดั่งภาพ พร้อมประกอบเข้ากับตัวสปีกค่อน



นำขั้วบวกประกอบเข้าก่อน โดยต่อที่ขั้ว 1+ กับ 2+



จากนั้นนำขั้วสั้นของสายที่จะทำขั้วลบต่อเข้ากับขั้ว 1- หรือ 2- ตามแต่ถนัด



ที่เหลืออีกขั้วคงไม่ต้องบอกว่าจะไปต่อที่ไหน?


หลังจากต่อเสร็จเรียบร้อยความสวยงาม และความสะดวกก็จะได้ดั่งรูป
แต่มันก็เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เมื่อขั้นตอนทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย
แต่ดั่น..ลืม "ใส่ปลอก" นี้สิ




สิ่งที่ทำมาทั้งหมดต้องรื้อออกแล้วประกอบใหม่ เพราะความไม่สังเกตุก่อนประกอบ นี่คือขั้นตอนทั้งหมด

ลำโพงนีโอไดเมี่ยม เป็นอย่างไร ???

|0 ความคิดเห็น
ลำโพงนีโอไดเมี่ยม เป็นอย่างไร ???
แม่เหล็กลำโพง จากเฟอร์ไรต์ถึงนีโอไดเมี่ยมปฎิบัติการทางเสียงประสิทธิภาพสูง

เมื่อเสียงเพลงคือมนต์เสน่ห์ที่ขับขานจากภายนอกสู่ภายใน เสียงเพลงและดนตรี มิใช่อาหารที่ต้องรับประทานครบทั้ง 3 มื้อ มิใช่สิ่งจำเป็น แต่..ทำไมมนุษย์ต้องมีเพลงในหัวใจ ทำไมหัวใจต้องขับขานบทกวีอยู่ภายใน ทำไมไม่ใช้ชีวิตแบบเดียวกับเดรัจฉาน ที่กินเพื่ออยู่ไม่ต้องสะสมทรัพย์ ไม่ต้องสร้างบ้าน ไม่ต้องลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ฯลฯ
และเพลงที่ฟังนั้นต้องดี ไพเราะ บ่งบอกได้ถึงภาวะอารมณ์ต่าง ๆ เครื่องเสียงที่เป็นตัวถ่ายทอดเสียง จึงถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน แม้บางเวลา มันถูกกระชากให้ลดความหนาของเสียงไปบ้าง ให้อึกทึกเกินไปบ้าง ให้บางไปบ้าง ด้วยมายาจริตและมายาพาณิชย์ แต่ไม่กี่วันมันก็เดินทางไปสู่ความชัดเจน มันเหมือนขุมทรัพย์ทางจิตวิญญาณที่มนุษย์มีลายแทงอยู่ใน DNA ที่วันหนึ่งเขาต้องถูกกระแสจิตภายในเรียกร้องให้แสวงหา การคิดค้นให้การถ่ายทอดเสียงดนตรีมาดีมีประสิทธิภาพ จึงเป็นศาสตร์และศิลปะอันเสมือนขุมทรัพย์ที่ปลายฟ้า..

ย้อนรอยที่มาของลำโพง
นี่มิใช่การพูดถึงเนื้อหาของลำโพงในเชิงประวัติศาสตร์ แต่จะเป็นการพูดบริบทของมันว่าเริ่มต้นมาจากการที่ อะเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ คิดเรื่องตัวถ่ายทอดเสียง(Transducer)ได้เมื่อปี ค.ศ.1876 เขาคิดเรื่องตัวถ่ายทอดเสียงเพื่อมาใช้ในการติดต่อโทรศัพท์


ตัวถ่ายทอดเสียงในโทรศัพท์อันดับแรกสุดแสดงไว้ในรูปที่ 1 โดยเมื่อสัญญาณถูกจ่ายเข้าขดลวดโซลินอยด์ มันทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น เกิดเป็นคลื่นเสียงอะนาล็อก เสียงที่เกิดขึ้นมาจากการสั่นของแผ่นเหล็กบางๆ ที่เป็นไดอะแฟรม(ไดอะแฟรมในยุคแรกจึงหมายถึงแผ่นสั่นของหูโทรศัพท์) ในตอนแรกนั้นสัญญาณที่ได้ออกมาเป็นไปในลักษณะของสัญญาณเร็กติฟาย เพราะมีการสั่นในด้านเดียว หรือแบบยูนิโพล่าร์
การใช้แผ่นเหล็กเป็นตัวสั่นเพื่อกำเนิดเสียงหรือตัวถ่ายทอดสัญญาณแบบมูฟวิ่ง-ไอรอน เป็นการยากที่จะทำให้เสียงออกมามีความชัดเจน การทำให้เสียงออกมากว้าง ดัง ต้องทำตัวถ่ายทอดเสียงให้มีขนาดใหญ่ ท่านคงเคยเห็นภาพของโทรศัพท์โบราณแบบที่มีหูฟังขนาดใหญ่นี้จากภาพเก่า ๆ หรือในภาพยนตร์ย้อนยุค ตัวถ่ายทอดเสียงของโทรศัพท์ขนาดใหญ่นี้เองที่ถูกเรียกว่า "ลาวด์สปีคเกอร์" (Loudspeaking)(อ้างจากข้อเขียนของ จอห์น วิตคินสัน จากหนังสือ Loudspeaker and Headphone Handbook ฉบับพิมพ์ครั้งที่3 หน้า44, ค.ศ.2001)

เสียงของลำโพงแบบนี้มาจากมาตรฐานของกลไกให้เสียงแหลมๆ มันจึงถูกแทนที่ด้วยขดลวดที่เรียกว่า "มูฟวิ่งคอยล์มอเตอร์" (Moving-coil motor)
คำว่า "มอเตอร์" หมายถึงอุปกรณ์ที่เคลื่อนที่ เคลื่อนไหวขยับได้ มอเตอร์ของลำโพงในปัจจุบันจึงหมายถึง ชุดวอยซ์คอยส์นั่นเอง
ปี ค.ศ.1898 ตัวถ่ายทอดเสียงแบบมูฟวิ่งคอยล์ ถูกคิดค้นโดย เซอร์ โอลิเวอร์ลอร์ด แต่ข้อด้อยของตัวถ่ายทอดเสียงแบบนี้คือ ต้องมีภาคขยายสัญญาณเข้ามาร่วมด้วยจึงจะขับเสียงออกมาได้ ลำโพงแบบมูฟวิ่งคอยล์ จึงถูกนำไปใช้ควบคู่กับการพัฒนาหลอดสุญญากาศหรือหลอดเทอร์มิโอนิค มันจึงไปมีบทบาทในวงการวิทยุ(Wireless)
ลำโพงแบบมูฟวิ่งคอยล์ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางเมื่อ 'ไรซ์' และ 'เคลล็อก' สร้างลำโพง Radola104 ขึ้นในทศวรรษ 1920 เป็นลำโพงแบบ แอ็กตีฟ คือมีเครื่องขยายคลาส A กำลังขับ 10 วัตต์ บรรจุอยู่ภายในตัวตู้ขนาดหน้าตัด 610ตารางมิลลิเมตร ขับลำโพงที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 152 มิลลิเมตร ภาคขยายทำให้เกิดสนามไฟฟ้าผลักขดลวดให้เคลื่อนที่ แม่เหล็กถาวรที่จะขับเสียงออกมาได้นั้นต้องมีความเข้มพอ จึงใช้ขดลวดฟิลด์คอยล์เหนี่ยวนำเพิ่มเพื่อทำให้การเคลื่อนที่ของมูฟวิ่งคอยล์เคลื่อนที่ได้ 2 ทางและกำลังเสียงออกมามากขึ้นเหมือนโช้คที่มีความนิ่มนวล เมื่อนำมาใช้กับวงจรขยายเสียงที่มีไฟเลี้ยงสูงๆ

หลายท่านอาจจะเคยเห็น ลำโพงบางยี่ห้อที่นำมาโชว์ในงานเครื่องเสียงมีการเสียบไฟเข้าตัวลำโพงแล้วทำให้เสียงดังเพิ่มขึ้นและถือว่าเป็นที่ชื่นชอบของนักฟังเพลงจากเทริ์นเทเบิ้ล ทั้งที่ความจริงแล้ว ลำโพงดังกล่าวเป็นของโบราณที่สุด แต่มีการนำเอาความโบราณมาบอกขายว่านี่คือ สุดยอดลำโพงแมกเนติกฟิลด์
ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีของแม่เหล็กขึ้นมาใช้เพื่องานเสียงในทศวรรษ 1930 ฟิลด์คอยล์ จึงถูกแทนที่ด้วยแม่เหล็กรุ่นใหม่ที่ทำมาจากเฟอร์ไรต์ ดังนั้นลำโพงในรุ่นต่อมาจึงมีรูปร่างที่คล้ายกับลำโพงในยุคปัจจุบัน โดยเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของลำโพงราคาถูกที่มีองค์ประกอบพื้นฐานที่สุด สามารถดูได้จากรูปที่ 2 เมื่อพิจารณาองค์ประกอบการทำงานในลักษณะตีปะทะเพื่อให้เกิดเสียง แต่ลำโพงในยุคใหม่ใช้การกระพือเสียงจากกรวยลำโพง โดยแม่เหล็กแผ่กระจายออก ส่งสนามแม่เหล็กไปยังขดลวด(คอยล์) คอยล์เป็นตัวรับสัญญาณกระแสไฟฟ้าของเสียงจากภาคขยายสัญญาณเสียง จึงเรียกคอยล์ในเลาต่อมาว่า "วอยซ์คอยล์"


ปัญหาของลำโพงแบบเฟอร์ไรต์ ก็คือการรั่วไหลของสนามแม่เหล็ก ดังแสดงภาพเอาไว้ใน รูปที่ 10 เมื่อดูรูปที่ 10ก ลำโพงเป็นชนิดที่ใช้วอยซ์คอยล์กลมในทางปฎิบัติมันจะให้สนามแม่เหล็กออกมาเป็นรูปวงกลมทอรอยด์ มีแม่เหล็กถาวรอยู่กลาง สังเกตว่าสนามของทอรอยด์ไม่ได้วิ่งเข้าจุดตรงกลาง ต้องขยับฟลักซ์แม่เข้าใกล้กัน ในขณะที่ลำโพงเฟอร์ไรต์เดิมๆนั้นมีฟลักซ์เหมือนอย่าง รูปที่10 ข. ทำให้ฟลักซ์จำนวนมากไหลหนีออกจากจุดกลางกลายเป็นการรั่วของสนามแม่เหล็ก(Leakage) การแก้ปัญหาคือเพิ่มขนาดของวอยซ์คอยล์ให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้น ดังวิธีการในรูปที่ 10ค. ใส่วอยซ์คอยล์ เอาไว้ด้านนอกตัวแม่เหล็ก สร้างขั้วโพลพีซนำฟลักซ์ให้มีทิศทางกระทำโดยตรงต่อสนามไฟฟ้าของวอยซ์คอยล์ เพื่อลดการรั่วของสนามแม่เหล็กลงไปจำนวนหนึ่ง
แต่หากนำไปเปรียบเทียบกับนีโอไดเมี่ยม ความแตกต่างในเรื่องพลังงานแม่เหล็กมีความเด่นชัดมาก แม่เหล็กพลังสูง (High-energy magnetic materials) ของ Neodymium iron boron ทำให้แม่เหล็กแบบนี้มีขนาดเล็กกว่าทำให้ใช้กับวอยซ์คอยล์ขนาดเล็กได้ ให้ค่าการรั่วไหลของแม่เหล็กน้อยกว่า เพียงแต่ราคาแพงกว่าเท่านั้น
รูปที่ 11 เป็นการแสดงวงจร แม่เหล็กที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ซิมมูเลตออกมา เมื่อนำเอาแม่เหล็กนีโอไดเมี่ยมมาสอดเข้าไปในวอยซ์คอยล์ อ้างอิงจากการทดสอบของจอห์น บอร์วิกค์ ที่ทำการทดสอบกับลำโพงวูฟเฟอร์ขนาด200มิลลิเมตร(ลำโพง 8 นิ้ว) แสดงให้เห็นถึงการรั่วไหลของสนามแม่เหล็กน้อยมากในขณะที่พลังงานสูงมากไม่น้อยกว่า 20 เท่าของเฟอร์ไรต์

เตรียบพบกับลำโพงนีโอดีเมี่ยมพันธุ์ไทย
เมื่อฐานการผลิต ลำโพงนีโอดีเมี่ยมที่ส่งขายประเทศสหรัฐอเมริกา ขยายฐานมาอยู่ในประเทศไทย จึงเป็นโชคดีของคนไทยที่จะได้ทดสอบ ทดลอง ลำโพงนวัตกรรมใหม่นี้ ในราคาถูกลง เป็นราคาที่คุณสามารถเป็นเจ้าของได้
อย่างน้อยตอนนี้มีวางตลาดอยู่ 2 เจ้า คือ P.Audio กับ GIP แน่นอน ตลาดเสียงกลางแจ้งตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ฝุ่นตลบแน่นอนคอยดูความสะใจครั้งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้.....

POWER AMPLIFIER TAFN D-TECH series

|0 ความคิดเห็น
d-tech คือ อะไร
D-TECH คือเทคโนโลยีชั้นนำที่ใข้ในเพาเวอร์แอมป์ของ TAFN ทุกรุ่น ที่ทำให้มีกำลังขับมาก โดยสูญเสียพลังงานน้อยที่สุด D-TECH คือ เพาเวอร์แอมป์ ที่มีภาคขยาย และภาคจ่ายไฟเป็นแบบ ดิจิตอล สวิทซ์-โหมด เทคโนโลยีชั้นนำที่ไม่เคยมีมาก่อน สามารถส่งกำลังขับได้สูงๆ โดยที่คุณภาพเสียง ใส สะอาด ไม่ผิดเพี้ยน กำลังไม่ตก มีระบบการป้องกัน ที่สมบูรณ์แบบ น้ำหนักเบา และขนาดเล็ก
 
คุณสมบัติของดิจิตอลเพาเวอร์แอป์ใหม่ของทาฟน์ (TaFn)
D-TECH ใข้ภาคจ่ายไฟ (power supply) เป็นแบบเทคโนโลยีสวิทซ์-โหมดชั้นนำ ในกรณีที่ไฟตก ไฟเกิน ไฟฟ้าไม่เสถียร กำลังขับที่ออกมายังเสถียรเหมือนปกติ เพราะว่า D-TECH ใช้ระบบการฟีดแบล็คเร็ว (fast-feedback system) ในกรณีที่ไฟดับหรือเกิดการกระขากของไฟที่รุนแรงจนเครื่องดับ ระบบซอฟท์สตาร์ท (soft-start) จะเริ่มทำงานทันทีเมื่อเครื่องเริ่มทำงานใหม่ เสียงจะค่อยๆดัง จะไม่เกิดเสียงดังทันทีทันใดเป็นระบบการป้องกันภายในเครื่อง และ ลำโพงไม่ให้เกิดการเสียหาย
 
เนื่องจาก D-TECH ใช้วงจรพิเศษ ที่ทำให้เอ้าพุทอิมพีแดนซ์ (output impedence) ต่ำมาก เพราะฉะนั้นแดมปิ้งแฟ็กเตอร์จะสูงมาก (high damping factor) จึงบังคับดอกลำโพงได้ดีกว่า เสียงเบส ที่ออกมาเหมือนจริงและแน่น แม้ว่าเพาเวอร์แอมป์ถึงจุดคลิป (clip) แดมปิ้งแฟกเตอร์ (damping factor) ยังสูงอยู่ เสียงที่ออกมายังแน่น และไม่เบลอ
ในกรณี ที่เกิดการ โอเวอร์โหลด (overload) หรือ เกิดการช็อต (short circuit) ระบบ AGC (Automatic gain control) ของ D-TECH จะจำกัดกระแสเอ้าท์พุท โดยอัตโนมัติ ทำให้เพาเวอร์แอมป์สามารถป้องกันระบบภายใน ไม่ให้เกิดการเสียหายอย่างสมบูรณ์ โอกาสที่เสียหายมีน้อยมาก ระบบ AGC (Automatic gain control) จะทำการวัดกระแสที่ออกมาตลอดเวลา และถ้ากระแสเกินจุดที่เครื่องกำหนด ระบบจะทำการลดสัญญาณเอ้าท์พุทโดยอัตโนมัติ เพื่อกระแสจะไม่เกินจุดที่กำหนด แม้ว่า จะเกิดการโอเวอร์ โหลด (overload) หรือช็อต (short circuit) แค่ไหนก็ตาม

เพาเวอร์แอมป์ D-TECH ใช้เทคโนโลยีดิจิตอลสวิทซ์-โหมด ที่สูญเสียพลังงานไปเป็นความร้อนน้อยมาก และสามารถนำพลังงานที่ส่งกลับมาจากลำโพง เอาไปใช้ใหม่ โดยที่ D-TECH สร้างความร้อนน้อยมาก ทำให้ไม่ต้องใช้ฮีทซิ้งค์ขนาดใหญ่ และระบบ ระบายความร้อนขนาดใหญ่ จึงทำให้เครื่องขยายเสียงมีขนาดเล็ก ประหยัดพลังงาน และเครื่องทนทาน
การเปรียบเทียบเทคโนโลยีต่างๆในการสูญเสียพลังงานเป็นความร้อน

Class-AB สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 50%

Class-H สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 30%

Class-TD สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 10-15%

 D-TECH สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 5%
พาเวอร์แอมป์ D-TECH สูญเสียพลังงาน เป็นความร้อนแค่ 5% เมื่อเปรียบเทียบกับ Class AB สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 50% , Class-H สูญเสียพลังงานเป็นความร้อนประมาณ 30% และ Class-TD สูญเสียพลังงานเป็นความร้อน 10 - 15%

เนื่องจากการสูญเสียพลังงานเป็นความร้อนน้อย จึงทำให้เพาเวอร์แอมป์ดิจิตอล D-TECH ใช้ไฟประมาณ 50% ดังนั้นจึงทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าและยังประหยัดค่าติดตั้งในส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ เช่น สายไฟ เบรคเกอร์ เป็นต้น

D-TECH ทำได้ อย่างไร? เราออกแบบดิจิตอลเพาเวอร์แอมป์ชั้นนำ และออกแบบภาคจ่ายไฟ ดิจิตอล สวิทซ์-โหมด เป็นพิเศษ เมื่อรวมการออกแบบทั้ง 2 อย่างนี้แล้วทำให้เครื่องขยายเสียงมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และประสิทธิภาพสูง

บริษัท TAFN ผลิตเพาเวอร์แอมป์ ดิจิตอล 2 ซีรีย์ ได้แก่ D-TECH SERIES และ I-POWER SERIES ซึ่งใช้เทคโนโลยี D-TECH เป็นหัวใจสำคัญ ของเครื่อง