แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องยนต์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เครื่องยนต์ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิเคราะห์ระบบไฟฟ้าในรถจากค่าที่อ่านได้จากโวลท์มิเตอร์

|0 ความคิดเห็น
วิเคราะห์ระบบไฟฟ้าในรถจากค่าที่อ่านได้จากโวลท์มิเตอร์
- ขณะดับเครื่องค่าควรอยู่ประมาณ 12-12.8 โวลท์ ถ้าต่ำกว่า12 ถือว่าผิดปกติอาจมีสาเหตุมาจากแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม(เก็บไฟไม่อยู่ )หรือไดชาร์จชาร์จไฟได้ไม่เต็มที่(ดูในหัวข้อตรวจสอบไดชาร์จ)

- วิธีตรวจสอบว่าแบตเสื่อมหรือไม่ทดสอบได้โดยหลังจากขับรถปกติมาจอดและดับ เครื่องประมาณ 1 นาทีค่าที่อ่านจากมิเตอร์ต้องมีค่าระหว่าง 12-12.8 โวลท์ หลังจอดไว้(4-6ชั่วโมง)หรือข้ามวันค่าที่อ่านได้ต้องประมาณ 12-12.8 โวลท์ เท่าเดิมถือว่าปกติ ถ้ามีค่าต่ำกว่านี้มากๆเช่น11.5-11.9 แบตเตรี่เริ่มเก็บไฟไม่อยู่แต่ยังพอไหว แต่ถ้าต่ำกว่า 11.5 โวลท์ลงไป ถือว่าอันตรายเพราะถ้าจอดทิ้งสัก 2 วันอาจสตาร์ทไม่ติด(ถ้าอายุแบตเตอรี่ยังใหม่ก็อาจจะเกิดจากมีกระแสไฟฟ้า รั่วลงกราวด์แนะนำเข้าร้านให้ช่างไฟฟ้ารถยนต์ตรวจสอบครับ) ***อายุแบตเตอรี่ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 18-24 เดือน แล้วแต่การดูแล*** ตรวจสอบไดชาร์จจากการอ่านค่าจากโวลท์มิเตอร์ ให้ทำการติดเครื่องยนต์แล้วอ่านค่าจากโวลท์มิเตอร์ค่าปกติจได้ดังนี้

1.ที่รอบเครื่องยนต์ 1000 รอบต่อนาที(รอบเดินเบา) จะต้องมีค่าประมาณ13.5-13.8 โวลท์ ถ้ามีค่าต่ำกว่านี้เช่น 12.8-13.4 โวลท์ไดชาร์จเริ่มมีปัญหาคือชาร์จไฟได้ไม่เต็มที่ ถ้าต่ำกว่า12.8 โวลท์แสดงว่าไดชาร์จไม่ชาร์จกระแสไฟฟ้าให้กับแบตเตอริ่ และถ้าต่ำกว่า12 โวลท์ถือว่าขณะนั้นระบบไฟฟ้าในรถดึงกระแสไฟฟ้าแบตเตอรี่มาใช้งานเพียงอย่าง เดียวให้ทำการตรวจซ่อมไดชาร์จ

2.ที่รอบเครื่องยนต์ 2000-2500 รอบต่อนาที จะต้องมีค่าประมาณ13.8-14.7 โวลท์ อาจมากกว่านี้ได้เล็กน้อยแต่ต้องไม่เกิน 15 โวลท์ถ้ามากกว่า 15 โวลท์อาจมีสาเหตุมาจากเรกกูเตอร์(วงจรควบคุมแรงดันของไดชาร์จ)อาจมีปัญหา ผลเสียคือแบตเตอรี่อาจเสื่อมเร็วเพราะถูกชาร์จด้วยแรงดันที่สูงเกิน ทำให้เกิดความร้อนสูงในแบตฯถ้าร้อนมากๆจะทำให้น้ำกลั่นเดือดได้

ทดสอบว่าไดชาร์จจ่ายกระแสเพียงพอหรือไม่ สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้ทำตามข้อ1และ2 แล้วทำการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทุกอย่างเช่นไฟหน้า,แอร์,ที่ปัดน้ำฝน,เครื่อง เสียง ฯลฯ แรงดันที่วัดได้ต้องเหมือนกับค่าปกติในข้อ 1 และ 2 ถ้าค่าที่วัดได้ตกลงมากแสดงว่าไดชาร์จจ่ายกระแสไม่พออาการนี้อาจไม่เกิดขึ้น กับรถเดิมๆแต่จะมีผลในรถที่ติดตั้งเครื่องเสียง แรงๆผลเสียคืออาจทำให้ไดชาร์จทำงานตลอดเวลาทำให้อายุการใช้งานต่ำลง

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

การสลับยาง

|0 ความคิดเห็น
การสลับยาง
     ควรมี การสลับยาง กับรถที่เราใช้อย่างน้อย ทุกๆ10,000 กิโลเมตร สำหรับ รถขับเคลื่อน 2 ล้อทั่วไป และ ทุกๆ 4,000 กิโลเมตร สำหรับ รถที่ขับเคลื่อน 4 ล้อ และนี่คือ รูปแบบของการ สลับยาง ในแต่ละประเภทของ รถยนต์ โดยแบบเป็น 2 ประเภท หลักๆ ดังนี้ ...

การสลับแบบ 4 ล้อ
  • สำหรับ รถขับเคลื่อนล้อหน้า การสลับยาง จะทะแยง จากหลังไปหน้า ตามรูป ที่ (1) หรือ อาจจะเลือกการ สลับยาง แบบกากบาท แบบรูปที่ (2) ก็ได้ 
  • สำหรับ รถที่ขับหลัง หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็ให้ สลับยาง จากหน้าไปหลัง ดังรูปที่ (3)
  • และหาก ล้อรถ ของท่าน ใส่ยางเป็นแบบชนิด มีทิศทางการหมุนทางเดียว ก็ต้องใช้การ สลับยาง แบบในรูปที่ (4)
  • และสำหรับรถที่ใส่ล้อ และ ยาง ที่มีขนาด หน้า-หลัง ไม่เท่ากัน และดอกยางไม่เป็นชนิดแบบมีทิศทาง การสลับยาง ก็ควรใช้แบบที่ (5)   
 
การสลับยาง แบบ 5 วง ( รวมยางอะไหล่ )
     การ สลับยาง แบบใช้ ยางอะไหล่ ด้วยนี้  ก็เพื่อต้องการปรับดอกยาง ให้มีขนาด ที่เท่าๆ กัน ทั้ง 5 เส้น  แต่ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละค่ายรถด้วย ที่จะมีล้อและ ยางอะไหล่ ใส่ติดมา เป็นแบบเดียวกัน กับที่เราใส่อยู่หรือไม่ ? แต่ที่จะพูดถึงนี้ เป็นยางแบบไม่มีทิศทาง  ก็ให้ทำการ สลับยาง ตามรูปแบบที่ (6) และ (7) ได้

ดอกยาง

|0 ความคิดเห็น
ดอกยาง

"ยาง" เป็นอุปกรณ์สำคัญยิ่งของรถ หากปราศจากยางก็เหมือนคนไม่ใส่รองเท้า การเลือกซื้อยางจึงน่าจะมีความรู้ความเข้าใจช่วยประกอบการตัดสินใจบ้าง จะได้ไม่ต้องฟังคำแนะนำกึ่งยัดเยียดจากผู้จำหน่ายเพียงฝ่ายเดียว

บทความนี้ ขอนำท่านผู้อ่านเข้าสู่โลกของดอกยางรถยนต์ ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่งที่กำลังจะเปลี่ยนยางรถอยู่พอดี

ปัจจุบันยางรถยนต์ส่วนใหญ่เป็นยางแบบ "จู๊บเลส" (TUBELESS) คือไม่ต้องใช้ยางใน (ยกเว้นยางรถบรรทุกและรถแทรกเตอร์) แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ยางรถสำหรับทางเรียบ (ON ROAD) และยางสำหรับทางลุย(OFF ROAD) ส่วนจะแบ่งย่อยออกเป็นยางทางเรียบกึ่งลุยวิบาก ยางสำหรับลุยทรายหรือลุยหิมะโดยเฉพาะนั้น ก็แล้วแต่บริษัทผู้ผลิตยางจะระบุไว้เป็นการจำเพาะ

อย่างไรก็ตาม ลักษณะของรถก็กำหนดลักษณะของยางไว้แล้วในตัว เช่น รถเก๋ง รถสปอร์ต รถปิกอัพธรรมดา ต้องใส่ยางทางเรียบ รถจี๊ป รถวิบากขับเคลื่อน 4 ล้อ ต้องใช้ยางทางลุย เป็นต้น

เมื่อก้าวเข้าสู่ร้านจำหน่ายยางรถยนต์ สิ่งแรกที่เรียกหาคือ ขนาดของยางที่มีวงในเดียวกับวงล้อรถ ส่วนหน้ากว้างและความสูงของแก้มยางก็เป็นเรื่องต้องพอเหมาะพอดีกับแรงม้าของรถ ซึ่งขนาดของยางและสมรรถนะก็มีระบุไว้บริเวณโดยรอบแก้มยางแล้ว ทว่าสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมคือ ลักษณะการออกแบบ หรือลวดลายของดอกยางว่าดีหรือด้อยต่างกันตรงไหน ก่อนตัดสินใจเชื่อตามคำโฆษณาของยางรุ่นนั้นๆ ทั้งนี้ผู้เขียนขอวิพากย์ดอกยางอย่างละเอียดต่อไป จะผิดถูกอย่างไร เชื่อถือได้หรือไม่ ขอได้โปรดใช้วิจารณญาณพิจารณาดู

ยางแต่ละเส้นประกอบด้วยลวดลายดอกยาง 3 แห่ง คือ หน้ายาง มุมยาง และแก้มยาง แต่ละแห่งมีหน้าที่สร้างความฝืดยึดหน่วงป้องกันการลื่นไถลมากน้อยต่างกันตามสภาพถนนที่แข็ง แห้ง เปียก ร่วน ทุกกรณีเมื่อมีการส่งกำลังไปที่ล้อและยางเพื่อขับเคลื่อนตัวรถ หรือห้ามล้อเพื่อหยุดรถให้ทันเหตุการณ์ (ดูภาพประกอบ ชุด 1)

ดอกยางบริเวณหน้ายาง ทำหน้าที่สัมผัสสร้างความฝืดกับผิวถนน เพื่อการขับขี่บังคับรถได้ดังใจบนถนนที่แข็ง ส่วนดอกยางบริเวณมุมยางและแก้มยางทำหน้าที่สร้างความฝืดเสริมให้กับหน้ายางเมื่อขับเคลื่อนบนทางร่วนซุยที่ล้อและยางจมลงไปบางส่วน

การออกแบบดอกยางที่บริเวณหน้ายางมักอาศัยร่องลึกรูปแบบต่างกัน 3 ร่องแนวเป็นอย่างน้อยประกอบกันเพื่อสร้างดอกยาง ซึ่งร่องแนวทั้ง 3 นี้มีคุณสมบัติเฉพาะตัวคือ

ร่องแนวตรงตลอดรอบเส้นยาง เพื่อสร้างดอกยางแนวตรงที่มีคุณสมบัติในการยึดเกาะถนนขณะเลี้ยวโค้งและรักษาทางตรงอย่างมั่นคง
ร่องแนวขวาง เพื่อสร้างดอกยางแนวขวางที่ช่วยขับเคลื่อนและหยุดรถไม่ให้ลื่นไถล
ร่องแนวเฉียง โค้ง เว้า หรือซิกแซก เพื่อสร้างดอกยางที่ช่วยยึดเกาะถนนตอนเลี้ยวโค้ง ช่วยขับเคลื่อนและหยุดเฉลี่ยกัน


ทั้งนี้แนวร่องและรูปแบบต่างๆ ยังทำหน้าที่ระบายน้ำให้ออกจากผิวหน้าของดอกยางอย่างรวดเร็วเมื่อมีการบดทับบนผิวถนนเจิ่งน้ำ

ส่วนการออกแบบยางที่บริเวณมุมยางและแก้มยางนั้น ก็อาศัยร่องลึกแนวขวาง หรือเฉียงลากเลยจากหน้ายางขึ้นมาทางแก้มยางเล็กน้อย อาจเพิ่มเติมเหลี่ยมหลุมหรือลิ่มหยักตื้นๆ โดยรอบมุมยาง รวมทั้งมีอักษรตัวนูนบอกยี่ห้อ บอกรุ่น และบอกขนาดรอบๆ แก้มยาง ซึ่งล้วนช่วยสร้างความฝืดยึดเกาะถนนตอนเข้าโค้งแรงๆ หรือขับเคลื่อนลุยจมในทางร่วนซุยได้ดี

อนึ่งดอกยางบางแบบจะมีรูหรือขีดร่องเล็กๆ ที่มีความลึกประมาณครึ่งหนึ่งของร่องดอกยางอยู่ตามบริเวณหน้ายาง เพื่อทำหน้าที่เตือนการสึกหรอของยาง กล่าวคือ เมื่อรู หรือขีดเหล่านี้หายไปหมดเมื่อใดก็ควรเปลี่ยนยางใหม่เมื่อนั้น (ดูภาพประกอบ ชุด 1)

ยางอะไหล่ต้องพร้อม

|0 ความคิดเห็น
ยางอะไหล่ต้องพร้อม

           ยางรถยนต์ยุคใหม่มีโอกาสรั่วน้อยมาก ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปก็ไม่น่าเกิน1-2 ครั้ง/ปี ยางอะไหล่จึงมักไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือตรวจสอบเหมือนยางเส้นที่ใช้งานจึงควรเติมลมยางอะไหล่ไว้มากหน่อย คือ 40 ปอนด์/ตารางนิ้วเมื่อต้องการใช้ยางอะไหล่ ถ้าแรงดันลมที่มีอยู่สูงเกินไปก็แค่ปล่อยออกให้เท่าปกติ
{mospagebreak}
หน้า 3
การบำรุงรักษายางรถยนต์
  รถยนต์ที่สามารถวิ่งอยู่บนถนนได้อย่างสมบูรณ์นั้น ล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยอุปกรณ์มีความสำคัญยิ่งทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็น  เครื่องยนต์ เกียร์ เบรก ระบบช่วงล่าง และยาง รถยนต์

    แต่วันนี้เราจะขอพูดเรื่องของยางรถยนต์ และวิธีการบำรุงรักษา เพราะยางรถเปรียบเสมือนรองเท้า ที่เราสวมใส่ ถ้ารองเท้าไม่พอดี อาจจะทำให้ผู้ใส่เกิดอาการเจ็บเท้าหรือเดินไม่ถนัด ทำให้เสียบุคลิกในการเดินได้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ยางรถยนต์ เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนของรถยนต์ เพราะยางรถยนต์จะต้องหมุนไปตลอด เมื่อรถยนต์เคลื่อนที่ยางรถยนต์ทำหน้าที่ รองรับน้ำหนักรถ และน้ำหนักบรรทุก ลดแรงกระแทก และแรงสั่นสะเทือน ทำหน้าที่ส่งแรงม้าจากเครื่องยนต์ สู่พื้นผิวถนนและยึดเกาะถนนในการเข้าโค้ง ยางรถยนต์ จะมีประโยชน์และให้สมรรถนะสูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับ การใช้งาน และการดูแลบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง ทำให้ผู้ใช้รถมีความปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย อีกด้วย การตรวจยางในชั้นพื้นฐานที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ก็คือ เรื่องการวัดลมยางหรือการสูบลมยาง สาเหตุที่ต้องวัด หรือสูบ หรือเติมลมยางเข้าไปเนื่องจาก ยางรถยนต์ของรถแต่ละประเภท แรงดันของลมในยาง จะไม่เท่ากันซึ่งต้องดูถึงสภาพของรถที่ท่านใช้ด้วย อย่างเช่น รถยนต์นั่งต้องการความนิ่มนวลในการขับขี่ ส่วนยางของรถบรรทุก ต้องมีความสามารถในการรับ น้ำหนักบรรทุก นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงขนาดของยาง และจำนวนชั้นของผ้าใบ ถ้ายางที่มีจำนวนชั้นผ้าใบน้อย ถ้าเติมลมมากไป อาจจะทำให้ยางระเบิดขึ้นมาได้
 ข้อควรปฏิบัติบำรุงรักษายางรถยนต์

    1. ตรวจเช็คลมยางทั้ง 4 ล้อ อย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
    2. ควรสูบ หรือเติมลมยางมาตรฐานที่ทางโรงงานผู้ผลิตกำหนด (ขณะที่ยางเย็น)
    3. การเพิ่ม หรือลดลงยางให้มีความสัมพันธ์กับน้ำหนักบรรทุก
    4. เมื่อขับรถออกต่างจังหวัด หรือใช้ความเร็วสูง ควรเพิ่มลมยางมากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว
    5. อย่าลดลมยางในขณะที่ฝนตกหรือวิ่งบนถนนเปียก เพราะอาจจะทำให้ การยึดเกาะถนนและประสิทธิภาพการรีดน้ำของดอกยางลดลงด้วย

แรงดันลมยาง

|0 ความคิดเห็น
แรงดันลมยาง
     แรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่น    มีระบุไว้บนสติกเกอร์ที่ตัวรถยนต์หรือคู่มือประจำรถยนต์  ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้วสำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้อุปกรณ์ตรวจเช็คแรงดันลมยางที่ได้มาตราฐานและวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก  ( ขับไปไม่เกิน2-3 กม. ) และไม่ควรใช้เพียงสายตาในการเดาแรงดันลมยางโดยดูจากการยุบตัวของ แก้มยางเพราะ   แม้ลมยางจะอ่อนลง 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว  ก็อาจมองไม่เห็น ความแตกต่าง
    หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย-ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตรา เร่งลดลง  จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น   และหากลมยางอ่อนมากๆ  จะทำให้ โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการลึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของยางมากกว่าแนวกลาง
   บางคนอ่อนแล้วอาจคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า   จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆซึ่งเป็นความคิดที่ผิด  เพราะแรงดันลมยางที่มากเกิน ไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง   จากหน้าสัมผัสที่ลดลง   กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเลี่ยงต่อการระเบิด   และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา
    หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย-ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตรา เร่งลดลง  จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น   และหากลมยางอ่อนมากๆ  จะทำให้ โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการลึกหรอบริเวณนอกซ้าย-ขวาของยางมากกว่าแนวกลาง
   บางคนอ่อนแล้วอาจคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า   จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆซึ่งเป็นความคิดที่ผิด  เพราะแรงดันลมยางที่มากเกิน ไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง   จากหน้าสัมผัสที่ลดลง   กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเลี่ยงต่อการระเบิด   และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา
     แรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่น    มีระบุไว้บนสติกเกอร์ที่ตัวรถยนต์หรือคู่มือประจำรถยนต์  ส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28-32 ปอนด์/ตารางนิ้วสำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้อุปกรณ์ตรวจเช็คแรงดันลมยางที่ได้มาตราฐานและวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก  ( ขับไปไม่เกิน2-3 กม. ) และไม่ควรใช้เพียงสายตาในการเดาแรงดันลมยางโดยดูจากการยุบตัวของ แก้มยางเพราะ   แม้ลมยางจะอ่อนลง 10 ปอนด์/ตารางนิ้ว  ก็อาจมองไม่เห็น ความแตกต่าง