FIBONACCI เป็นชื่อเรียกเลขอนุกรม ที่ตั้งขึ้นตามผู้คิดค้นคือ LEONARDS FIBONACCI และได้มีการบันทึกไว้ในราวต้น ค.ศ.ที่ 13 จากการที่เขาได้สังเกต และศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่าง ๆ เช่น รูปแบบของฟ้าแลบ รูปแบบของผลไม้ต่าง ๆ และรูปแบบของเปลือกหอยทาก เป็นต้น พบว่า การเกิดของปรากฏการณ์เหล่านั้นมีรูปแบบที่เป็นปกติ และค่อนข้างสม่ำเสมอ (Regular) ซึ่งเขาได้นำมาคิดเป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ คือ 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89 และต่อ ๆ ไป โดยตัวเลขเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน กล่าวคือ ตัวเลขตัวหลังเป็นผลบวกของสองตัวเลขก่อนหน้า เช่น 1 บวก 2 เท่ากับ 3 และ 3 บวก 5 เท่ากับ 8 เป็นต้น และอัตราส่วนของตัวเลขก่อนหน้าต่อตัวตามติดมาหลังจากใน 4 ตัวแรกแล้ว จะเข้าใกล้อัตราส่วน 0.618 เสมอหรือกลับกันที่เข้าใกล้อัตราส่วน 1.618 ทั้งนี้เมื่อตัวเลขยิ่งเพิ่มขึ้นมาก ๆ ความเข้าใกล้อัตราส่วน 0.618 และ 1.618 ยิ่งมากเช่นกันดังตัวอย่างต่อไปนี้
1/1? =? 1.0 | 1/1? =? 1.0 |
1 / 2? =? .5 | 2/1? =? 2.0 |
2/3? =? .667 | 3/2? =? 1.5 |
3/5? =? .60 | 5/3? =? 1.667 |
5/8? =? .625 | 8/5? =? 1.6 |
8/12? =? .615385 | 13/8? =? 1.625 |
13/21? =? .619048 | 21/13? =? 1.61538 |
21/34? =? .617647 | 34/21? =? 1.61905 |
34/55? =? .618182 | 55/34? =? 1.61765 |
55/89? =? .618056 | 89/55? =? 1.61818 |
อัตราส่วนนี้ต่อมา เป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันดีของชาวกรีกและอียิปต์สมัยโบราณ โดยเรียกอัตราส่วนนี้ว่า อัตราส่วนทอง (Golden Ratio) และได้มีการนำอัตราส่วนนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ดีกับวิชาการดนตรี ศิลปะการสถาปัตยกรรม และชีววิทยา และเชื่อกันว่าชาวกรีก ใช้หลักของอัตราส่วนนี้ในการก่อสร้างโบสถ์พาธินอน (Parthenon) ที่มีสถาปัตยกรรมอันงดงามในกรุงเอเธนส์ และชาวอียิปต์ก็เช่นเดียวกัน ใช้หลักของอัตราส่วนนี้ในการสร้างปิรามิด
จากตัวเลข FIBONACCI ดังกล่าว ต่อมาได้มีการประยุกต์นำมาใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนที่ของราคาหุ้นที่เชื่อว่า มีการเคลื่อนไหวในรูปแบบที่ค่อนข้างแน่นอนเพื่อที่จะใช้ค้นหาแนวโน้ม แนวต้าน แนวรับ สัญญาณซื้อและขาย ของราคาหุ้น โดยมีรูปแบบอยู่ 3 ลักษณะ คือ
ฟิบอนนาซี่แบบเส้นขนาน (FIBONACCI LINES)
ฟิบอนนาซี่แบบพัด (FIBONACCI FAN LINES)
ฟิบอนนาซี่แบบระยะเวลา (TIME ZONES)
โดยใน 2 รูปแบบแรก (แบบข้อ 1 และ 2) จะเกี่ยวข้องกับเรื่องราคาเป็นสำคัญ ในขณะ รูปแบบหลัง (แบบข้อ 3) จะเกี่ยวข้องกับเรื่องเวลา
ฟิบอนนาซี่แบบเส้นขนาน (FIBONACCI LINES)
การสร้างรูปแบบนี้ สามารถทำได้ทั้งในแนวนอน หรือตามแนวโน้มที่กำลังขึ้นหรือลงอยู่ โดยในแนวนอน เริ่มต้นจะต้องหาจุดสูงสุด หรือต่ำสุดของแนวโน้มที่มีนัยสำคัญของราคาหุ้นเสียก่อน แล้วทำการสร้างเส้นตรงแนวนอน (Horizontal line) ผ่านจุดนั้น, ส่วนในแนวโน้มขึ้น เริ่มต้นด้วยการสร้างเส้นแนวโน้มขึ้นจากจุดต่ำสุดอย่างน้อยสองจุด, สำหรับในแนวโน้มลง จะเริ่มด้วยการสร้างเส้นแนวโน้มลงจากจุดสูงสุดอย่างน้อยสองจุด
หลังจากนั้น ให้สร้างเส้นตรงที่ขนานกับเส้นแรก โดยลากผ่านจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่ตรงข้ามกับเส้นแรก และต่อมาก็สร้างเส้นขนานในช่องระหว่างเส้นทั้งสอง ตามอัตราส่วน 38.2% 50.0% และ 61.8% ตามอัตราส่วนเลขฟิบอนนาซี่ (FIBONACCI RATIO) เพื่อแบ่งช่องว่างระหว่างเส้นขนานระหว่างจุดสูงสุดและต่ำสุด และ ณ เส้นตรงขนานระดับ 38.2%, 50.0% และ 61.8% นี้เองทำหน้าที่เป็นทั้งแนวรับหรือแนวต้านสำหรับราคา และเมื่อราคาหุ้นสามารถวิ่งทะลุผ่านขึ้นหรือลงก็จะให้สัญญาณซื้อหรือขายตามลำดับ
สำหรับรูปฟิบอนนาซี่แบบเส้นตรงในแนวโน้มขึ้นและลง เป็นดังตัวอย่างต่อไปนี้
การสร้าง FIBONACCI FAN LINES ในเบื้องต้น ก็เหมือนกับกรณีแบบเส้นตรงแนวนอน คือต้องหาจุดต่ำสุด และสูงสุดของแนวโน้มที่มีนัยสำคัญของราคาหุ้นก่อน แล้วสร้างเส้นแนวโน้มจากจุดต่ำสุดหรือสูงสุดที่ระดับ 38.2%, 50.0% และ 61.8% ตามลำดับ เพื่อแบ่งความกว้างระหว่างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด (ปกติเครื่องจะสร้างเส้น FAN LINES ให้)
เส้น FAN LINES ทั้ง 3 เส้นนี้ จะเป็นแนวรับและแนวต้าน สำหรับราคาหุ้น และเมื่อราคาหุ้นทะลุผ่านเส้น FAN LINES เส้นใดขึ้นไป ก็จะเป็นการบ่งบอกถึงสัญญาณให้ซื้อ ในทางตรงกันข้ามถ้าทะลุผ่านเส้น FAN LINES ลงมาก็บอกถึงสัญญาณให้ขาย และโดยปกติแล้ว เมื่อราคาหุ้นตกทะลุผ่านแล้วแนวรับลงมา ราคาหุ้นจะลงอย่างรวดเร็วไปสู่แนวรับเส้นต่อไป ในทางกลับกันถ้าราคาหุ้นสามารถทะลุผ่านเส้นแนวต้านขึ้นไปได้ ก็จะวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่อยู่เหนือกว่าต่อไป
เป็นการสร้างช่วงระยะเวลา โดยใช้ตัวเลข FIBONACCI เป็นตัวแบ่ง โดยจะเริ่มจากยอดต่ำสุดหรือสูงสุดของแนวโน้ม ทั้งนี้เมื่อราคาหุ้นเข้าใกล้ หรือตรงกับเส้นตรงที่แบ่งช่วงระยะเวลา อาจจะมีสัญญาณที่บ่งบอกว่า แนวโน้มหุ้นจะดำเนินต่อไปตามแนวโน้มเดิม หลังจากมีการชะลอตัว หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่มีนัยสำคัญ
เครื่องมือ FIBONACCI นี้ เหมาะสำหรับการหาแนวโน้มระยะปานกลาง และระยะเวลาสำหรับจุดต่ำสุด และสูงสุด ควรห่างกันอย่างน้อยประมาณ 3 เดือน จึงจะมีความแม่นยำในการชี้แนวโน้ม และมีข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งว่า แนวรับหรือแนวต้าน สำหรับการวิเคราะห์ราคาหุ้นโดยทั่วไปจะใช้ตัวเลข 38%, 50% และ 62% ของการขึ้นหรือลง ซึ่งแตกต่างเล็กน้อยจากตัวเลข FIBONACCI คือ 38.2%, 50.0% และ 61.8%
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น