วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีการทำศัลยกรรมตาสองชั้น ::

|0 ความคิดเห็น
:: วิธีการทำศัลยกรรมตาสองชั้น ::
ดีจ้า..เมื่อวาน ดู Tonight Show ของ คุณไตรภพ
แล้วมีประโยชน์มากเลย เลยเอามาให้เพื่อนๆดูกัน
รายการนี้มีสาระจริงๆนะ
แต่เรายังหาเวปของรายการนี้ไม่เจอเลย

เลยเอาภาพวิธีการทำตา 2 ชั้นจากที่อื่นมาให้ดูก่อน
ใครอยากสวย...ลองไปดูก่อนนะ

.
 ถ้าชอบก็โหวตนะคะ ^^
ต่อไปเป็นรูปดาราเกาหลีที่เปลี่ยนแปลงสวยมากๆ...ในคห.ข้างล่างเลยจ้า

.
อันนี้เป็นวิธีการแบบดึงหนังตาออกมาอะ
หวาดเสียวมากๆๆๆ


นี่เป็นสภาพตาก่อนจะทำศัลยกรรมค่ะ

เริ่มด้วยการกรีดตรงขอบตาบนก่อนค่ะ

แล้วทำการเปิดดูเนื้อข้างใน

จากนั้นก็ใช้คีมแยกออก แล้วดึงออกมา

และก็ค่อยๆ ตัด (คิดว่าเป็นส่วนของไขมันนะคะ) ออก

จากนั้นก็พยายามเอาขอบตาบนออกมาให้ได้มากที่สุดค่ะ

เมื่อได้ขอบตาแล้ว ก็ดึงเส้นเลือดออก ตกแต่งด้านในค่ะ
เพื่อดึงให้ขอบมันมีสองชั้นอ่ะค่ะ

อันนี้ก็จะเป็นการตกแต่งตรงบริเวณขอบตาค่ะ

จากนั้นก็เย็บแผลค่ะ
 
เมื่อสอยด้ายเสร็จก็จะเป็นแบบนี้

แล้วก็จะรัดปมด้ายค่ะ (เค้าเรียกอย่างนี้รึป่าว)

เมื่อกระบวนการเย็บเสร็จสิ้นก็จะเป็นแบบนี้อ่ะค่ะ

จากนั้นก็เอาด้ายออก และรอแผลหายสนิทก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ



อันนี้เป็นวิธีง่ายๆกว่านะ
คุณหมอจะใช้ เข็ม และ ไหม เย็บไปตรงเปลือกตาทั้งในและนอก
ไม่หวาดเสียวเท่าอันแรกจ้า ลองไปดูละกันนะ


หมอเขาจะใช้ไหมหรือด้ายของเขาอะ เย็บเข้าไปตรงเปลือกตา










อันนี้คือ ไหมละลายหรือไม่ก็ถอดไหมออกแล้ว แล้วมันก็จะเป็นรอยแบบนี้






พักฟื้นนิดหน่อยก็สวยแล้ว



อะนะ



ใครที่ดูแล้ว....รู้สึกอย่างไรบ้าง
สำหรับ จขกท. นะ เรารู้สึกว่า โชคดีที่เราไม่คิดจะทำ
55+ เมื่อวานดูรายการ ทูไนท์โชว์แล้ว เสียวมาก...น่ากลัวง่ะแบบเห็นเต็มๆ





ต่อไปเป็นความรู้เล็กน้อยนะ
การทำ ตา 2 ชั้น โดยส่วนใหญ่ผู้ที่จะเข้ารับการ ศัลยกรรม ทำ ตาสองชั้น จะเป็นคุณผู้หญิงที่มีเชื้อสายออกไป
ทางจีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ซึ่งจะมีตาชั้นเดียว ทำให้มองดูตาค่อนข้างเล็ก การใช้เครื่องสำอางพวกดินสอเขียนตา
ก็ไม่อาจช่วยทำให้ตาสวยขึ้นมาได้ดังใจต้องการ

ปัญหาที่ต้องแก้ไข
ผู้ตาชั้นเดียว มีความแตกต่างกับผู้มี ตา2ชั้น คือ ไม่มีเยื่อพังพืดขึงยึดจากส่วนของกล้ามเนื้อลืมตากับผิวหนัง
ทำให้เวลาลืมตาไม่สามารถดึงให้เป็น 2 ชั้น การแก้ไขโดยเลียนแบบธรรมชาติ ใช้ไหมขึงยึดผิวหนังกับส่วน
กล้ามเนื้อลืมตา นอกจากนี้ผู้มี ตาชั้นเดียว มักจะมี ไขมัน ในส่วนของหนังตาบน มากกว่า ทำให้หนังตาดูอูม
ซึ่งนอกจากทำชั้นแล้ว ต้องเอาไขมันออกด้วยในบางรายเพื่อให้มีความสวยงามของชั้น

เวลาที่ใช้ทำ
ประมาณ 30 นาที

ยาที่ใช้
ประมาณ 30 นาที

ระยะเวลาพักฟื้น
ไม่จำเป็น ทำทุกอย่างตามปกติได้ทันที หลังทำ

สถานที่ผ่าตัด
คลินิก

วิธีการผ่าตัด
ส่วนการผ่าตัดแพทย์จะวัด หนังตา อย่างละเอียด และทำเครื่องหมายบนเปลือกตาเพื่อเป็นการกะขนาดว่า
เส้นตาทั้ง 2 ข้างต้องเท่ากัน หลังจากนั้นจะวาดเส้นที่ต้องการ และฉีดยาชาที่เปลือกตาเป็นจุดเล็กๆ แพทย์จะ
ทำการผ่าตัดเปลือกตาทีละข้าง และสร้างรอยพับของตาให้เหมือนธรรมชาติมากที่สุด โดยการใช้เข็มขนาด
เล็ก เจาะเป็นจุดเล็กเท่ารูเข็ม ที่ตำแหน่งที่จะทำชั้น จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการทำชั้น โดยใช้ไหมชนิดไม่ละลาย
เพื่อให้มีชั้นตลอดไป เย็บผิวหนังให้ยึดติดกับกล้ามเนื้อที่ใช้ลืมตา (เลียนแบบธรรมชาติของผู้มี ตาสองชั้น)
ผ่านแผลที่เจาะเป็นจุด โดยจะไม่มีการทำลายหรือตัดชั้นอื่นๆของหนังตา นอกจากจุดที่ไหมที่ผ่านเพื่อทำ
ชั้นของหนังตาเท่านั้น เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย โดยมีการกระทบกระเทือนต่อเนื้อเยื่อน้อย และคนไข้
ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล การทำ ตา2ชั้น วิธีนี้ให้ผลถาวร

การเตรียมตัวก่อนทำ
ไม่ต้องอดอาหาร ควรรับประทานอาหารให้ไม่อิ่มเกินไป

การดูแลหลังทำ
เนื่องจากการทำ ตาสองชั้น วิธีนี้มีบาดแผลเพียงจุดเล็กๆจึงสามารถทำตัวตามปกติ
1.ระวังไม่ขยี้ตารุนแรง 3 สัปดาห์. ให้ ล้างหน้า, แต่งหน้าตามปกติ เหมือนไม่ได้ผ่าตัด
2.รับประทานอาหารได้ทุกอย่าง เหมือนไม่ได้ผ่าตัด
3.บางท่านจะมีขี้ตามากกว่าปกติ ไม่ต้องทำอะไร แล้วจะหายไปเองใน 1 สัปดาห์
4.บางท่านจะรู้สึกตึงหนังตาบนบ้าง แล้วจะหายไปเองใน 1 สัปดาห์



อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1321043#ixzz1QmyrK4xu

การดึงหน้า

|0 ความคิดเห็น
การดึงหน้า

การผ่าตัดดึงหน้าและคอจะช่วยให้ไขมันส่วนเกินและผิวหนังที่ย้อย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและคิ้ว และคางด้านตรงและด้านข้างจะดีขึ้นชัดเจน อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถหยุดความแก่ชราลงได้ ในระยะยาวอาจจะต้องทำการผ่าตัดเพิ่มเติมได้ ส่วนรายละเอียดของการผ่าตัดจะแบ่งเป็น 4 ส่วนของใบหน้าและการผ่าตัดดึงหน้าอาจจะทำเป็นบางส่วนก็ได้ไม่จำเป็นต้องทั้ง 4 ส่วนพร้อมกัน ขึ้นกับว่าส่วนไหนมีการหย่อนยานมาก
1. ส่วนหน้าผากและคิ้ว การผ่าตัดมีจุดประสงค์ที่จะดึงบริเวณผิวหนังส่วนหน้าผากให้ตึงขึ้นไปด้านบนจะทำให้คิ้วกลับสู่สภาพที่ยังเยาว์วัย และลดรอยย่นตามขวางบริเวณหน้าผากและรอยย่นบริเวณหัวคิ้ว โดยการตัดกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยย่น ส่วนผิวหนังส่วนเกินจะตัดออกโดยซ่อนแผลไว้ในบริเวณที่มีผม
2. ส่วนรอบตาและโหนกแก้ม และแก้มข้างมุมปาก เรามักจะผ่าตัดหนังตาบนและหนังตาล่างไปพร้อมกัน โดยตัดหนังและไขมัส่วนเกินออกจากบริเวณรอบตา ส่วนรอยตีนกาทางด้านข้างของตาและโหนกแก้มก็จะผ่าตัดโดยดึงส่วนของผิวหนัง และกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังออกไปทางด้านข้าง โดยการผ่าตัดอยู่ บริเวณขมับในบริเวณที่มีผมเพื่อซ่อนรอยผ่าตัด ส่วนแก้มด้านข้างก็จะดึงออกไปบริเวณขมับเหนือใบหู ผิวหนังส่วนเกินก็จะตัดออกโดยมีแผลบริเวณร่องหน้าหู ซึ่งจะซ่อนรอยได้
3. คางส่วนกลางบริเวณใต้คาง ซึ่งมีไขมันย้อยอยู่ก็จะเอาออกได้โดย มีแผลเล็กๆ ใต้คาง และเย็บกระชับกล้ามเนื้อเพื่อไม่ให้มีสันย้อยใต้คาง นอกจากนี้ อาจใช้การดูดไขมันร่วมด้วยได้ ส่วนคางด้านข้างก็จะดึงออกให้ตึงโดยแผลอยู่ที่หลังใบหู ร่วมกับการดึงคอ
4. การดึงผิวหนังบริเวณคอ ก็จะมีรอยผ่าตัดบริเวณไรผมทางด้านหลังหู และด้านข้าง จะซ่อนรอยผ่าตัดไว้ได้ โดยจะตัดหนังส่วนเกินออก
การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้เวลานาน 3-6 ชั่วโมง ถ้าต้องทำทุกส่วนทั้ง 4 ส่วน ผู้ป่วยมักต้องใช้ยาช่วยให้หลับ หรือการดมยาสลบระหว่างผ่าตัด ร่วมกับการฉีดยาชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยจึงต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง และควรได้รับการตรวจร่างกายและเช็คเลือด รวมทั้งเอ็กซเรย์ปอดก่อนทำการผ่าตัด และต้องไม่มีปัญหาเรื่องเลือดหยุดยาก และควรหยุดทานยาที่ทำให้เกร็ดเลือดทำงานผิดปกติ ซึ่งจะมีปัญหาเรื่องเลือดออกมากกว่าธรรมดา เช่น ยาแอสไพริน หรือยาแก้อักเสบอีกหลายชนิด คนไข้ที่สูบบุหรี่ก็ควรหยุดบุหรี่ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เพราะผลจากการสูบบุหรี่จะทำให้ผิวหนังช้ำง่าย และเส้นเลือดที่มาเลี้ยงผิวหนังมักจะไม่ดีเท่าคนปกติทำให้แผลหายช้า ถ้าเป็นเบาหวานหรือความดันสูงก็ต้องได้รับการควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก่อน นอกจากนี้ควรอดอาหารก่อนผ่าตัด 4-6 ชั่วโมง
การผ่าตัดไม่จำเป็นต้องโกนผมมักจะให้ผู้ป่วยสระผมและล้างหน้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัดจะมีใบหน้าบวมและมีรอยช้ำประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยสามารถล้างหน้า สระผม แปรงฟัน ได้ตามปกติ ในวันรุ่งขึ้นหลังการผ่าตัด และจะมีการตัดไหมประมาณ 5-7 วันหลังผ่าตัด โดยทั่วไปใบหน้าจะกลับสู่สภาพปกติระหว่าง 1-3 เดือน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวแพทย์จะนัดผู้ป่วยมาเช็คเป็นระยะๆ ในช่วงที่มีบวมของใบหน้า ส่วนต่างๆ ของใบหน้าอาจจะยังดูไม่เท่ากัน แต่ทุกอย่างจะกลับสู่ปกติเมื่อยุบบวมแล้ว โดยทั่วไปผู้ป่วยควรจะพักอยู่ภายในบ้านในสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด และอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 1-3 วันหลังการผ่าตัด
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มักจะเป็นผลจากการใช้ยาให้หลับหรือยาสลบ ในช่วงวันสองวันแรก อาจจะมีบริเวณใต้ผิวหนังซึ่งมีเลือดค้างอยู่ มักจะดีขึ้นเอง มีบางรายที่อาจต้องดูดออก อาจจะมีกล้ามเนื้อบางส่วนของใบหน้ายังทำงานไม่ได้ปกติ เช่น เวลายิ้ม หรือยักคิ้ว อาจจะไม่เท่ากัน มักจะดีขึ้นเองเมื่อเส้นประสาทและกล้ามเนื้อหายช้ำประมาณ 1-2 เดือน หลังผ่าตัด นอกจากนี้จะมีแผลเป็นบริเวณหลังหูอยู่นานหรือนูนได้ ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการทายาหรือฉีดยาเฉพาะที่ ส่วนในบริเวณผมอาจจะมีผมร่วงบริเวณผ่าตัดได้ แต่มักจะงอกขึ้นมาใหม่ในระยะ 2-3 เดือนหลังผ่าตัด

การฉีดเสริมสวย

|0 ความคิดเห็น
การฉีดเสริมสวย

ปัจจุบันการฉีดสารซิลิโคนเพื่อเสริมสวย กลับเริ่มมีการนำมาใช้อีกครั้งหนึ่ง โดยมีการประชาสัมพันธ์กันต่อๆมา ว่ามีดารานักแสดงนิยมไปฉีด ทำให้เกิดมีผู้หลงเชื่อตามไปรับการฉีดและมีปัญหาตามมาหลายราย สารซิลิโคนจำนวนมากเข้าสู่ร่างกาย เช่น เสริมจมูก, คาง, แก้ม, หน้าผาก นั้น เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะสารซิลิโคนแม้จะเป็นสารที่มีปฏิกริยาต่อร่างกายน้อย แต่ก็จะแทรกซึมปนอยู่ในเนื้อเยื่อของเรา อย่างแยกกันไม่ออก ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น เช่นการอักเสบ จะไม่สามารถผ่าตัดเอาสารนี้ออกมาได้หมด และยังต้องตัดเอาเนื้อดีที่อยู่ใกล้เคียงออกมาพร้อมกันด้วย และการอักเสบเรื้อรังที่ถ้าแก้ไขไม่ได้ก็อาจกลายเป็นเนื้อร้ายตามมาในภายหลังได้
ในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ห้ามนำสารนี้มาใช้ในการฉีดเสริมสวย ซึ่งแพทย์เราส่วนใหญ่จะทราบถึงอันตรายจากการฉีดนี้ ที่มีการทำกันในปัจจุบันมักจะไม่ใช่แพทย์เป็นผู้ทำ มักจะเป็นบุคลากรที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ดำเนินการลักลอบฉีดให้ บางแห่งมีบริการถึงบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายและพระราชบัญญัติการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
ถ้ามีผู้มาชักชวนให้ท่านไปรับการฉีดเสริมสวย โปรดพิจารณาคำแนะนำนี้ก่อนตัดสินใจ
• การฉีดทำได้ง่ายมาก, สวยทันใจ ทำไมแพทย์ท่านอื่นๆไม่นำมาใช้บ้าง และทำไมไม่ทำกันโดยเปิดเผยเป็นกิจลักษณะ
• การที่ท่านเห็นว่ามีผู้ฉีดมามากแล้วไม่มีอันตราย ท่านแน่ใจหรือว่าตัวท่านเองเมื่อฉีดแล้วจะไม่เกิดอาการอักเสบหรือแทรกซ้อนดังที่กล่าวมาแล้ว และถ้าเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขได้อย่างไร
• ถ้าการฉีดนี้ดีจริง ไม่มีอันตรายแล้ว คงมีแพทย์อีกหลายท่านทำตามกันอีกมาก ไม่ปล่อยให้บุคคลที่ไม่ใช่แพทย์บางคนสามารถ ประกอบกิจกรรมที่มีคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์มาเข้าแถวรอฉีกกันมากมายเช่นที่เป็นอยู่ในบางแห่ง


การผ่าตัดเสริมหน้าอก, เสริมเต้านม

|0 ความคิดเห็น
การผ่าตัดเสริมหน้าอก, เสริมเต้านม

เป็นการผ่าตัดเพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งการเพิ่มขนาดหน้าอกนี้ก็เพื่อ
- เพื่อให้รูปร่างดีขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการแก้ความรู้สึกส่วนตัวที่ว่าเต้านมของตัวเองมีขนาดเล็กเกินไป
- เพื่อเพิ่มขนาดของเต้านมหลังจากมีบุตร หลังการให้นมบุตร หรือคลอดบุตรแล้ว เต้านมอาจจะมีความตึงน้อยลง
- เพื่อแก้ไขขนาดที่แตกต่างของเต้านมทั้งสองข้าง
- แก้ไขรูปทรงที่ผิดปกติ ซึ่งอาจจะเป็นแต่กำเนิดหรือเกิดจากการผ่าตัด

ใครควรเสริมหน้าอก (เพิ่มขนาดเต้านม)
ผู้ที่จะเพิ่มขนาดเต้านมต้องมีความต้องการที่จะให้รูปร่างดูดีขึ้น ผู้นั้นควรจะมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่ต้องไม่หวังมากเกินไปว่ารูปร่างจะดูสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ

มีความเสี่ยงแค่ไหนในการได้รับการเสริมเต้านม
การผ่าตัดทุกชนิดมีความเสี่ยงที่เกิดจากการทำผ่าตัดทั่วไป เช่น เลือดออก,เลือดคั่ง,ติดเชื้อ แต่มีอัตราการเกิดประมาณ 1-5 % ผลแทรกซ้อนจากการเสริมเต้านมอาจจะเกิด การรัดตัวของพังผืดที่อยู่รอบเต้านม ทำให้เกิดความรู้สึกแข็งผิดปกติของเต้านมข้างนั้นบางครั้งอาจจะมีความรู้สึกเสียว,ชา บริเวณหัวนมหรือบริเวณใกล้รอยผ่าตัด ซึ่งส่วนใหญ่จะดีขึ้นเป็นปกติได้ แต่บางคนก็อาจจะรู้สึกเช่นนั้นตลอดไป ผู้ที่ได้รับการเสริมเต้านมสามารถให้นมบุตรได้ถ้าต้องการ มีรายงานว่าผู้ที่ได้รับการเสริมเต้านมบางรายมีอาการปวดตามข้อต่างๆ มีไข้,อ่อนเพลีย แต่จากการศึกษาโดยละเอียดไม่สามารถระบุความเกี่ยวพัน ระหว่างอาการเหล่านี้กับการเสริมเต้านมได้ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมไม่ได้เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้รับการเสริมเต้านม แต่การตรวจเต้านมด้วย เอ็กซเรย์ แมมโมแกรม ต้องใช้วิธีพิเศษ

ถุงเต้านมเทียมมีโอกาสแตกรั่วหรือไม่
ถุงเต้านมเทียมมีโอกาสแตกหรือรั่วได้ ไม่เกี่ยวกับการได้รับกระแทกอย่างรุนแรง ถ้าเป็นน้ำเกลือ เต้านมด้านนั้นจะยุบลงโดยรวดเร็ว น้ำเกลือที่รั่วออกมาจะถูกดูดซึมเข้ากระแสโลหิตไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด ถ้าเป็นซิลิโคนเหลวจะเกิดได้ 2 กรณี อย่างแรกถ้าพังพืดที่หุ้มรอบถุงไม่แตก อาจจะไม่รู้เลยว่าเกิดการรั่วขึ้น ถ้าพังพืดที่หุ้มรอบฉีกขาดซิลิโคนเหลวจะออกมานอกถุงแล้ว อาจจะเกิดพังพืดหุ้มรอบซิลิโคนนั้นใหม่ เต้านมข้างนั้นจะมีรูปร่างที่เปลี่ยนไป และอาจจะรู้สึกแข็งมากขึ้น

วางแผนสำหรับการผ่าตัด
ถ้าท่านสนใจที่จะได้รับการผ่าตัดควรจะพบแพทย์ที่มีความชำนาญ เพื่อให้แพทย์ที่มีความชำนาญเพื่อให้แพทย์ตรวจร่างกายของท่าน และสภาพเต้านมของท่าน ท่านสามารถจะคุยซักถาม และบอกความต้องการของท่านต่อแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้บอกรายละเอียดของการทำผ่าตัดต่อท่าน
ระยะพักฟื้นจากการผ่าตัด ประมาณ 5-7 วัน
ระยะเวลาผ่าตัดประมาณ 2-4 ชั่วโมง

หลังผ่าตัด
ท่านจะรู้สึกตึงปวดได้บ้างประมาณ 2-3 วัน หลังผ่าตัดรูปร่างของเต้านมจะดูเป็นธรรมชาติประมาณ 1-2 เดือนท่านอาจจะต้องนวดเต้านมที่เสริมตามคำแนะนำของแพทย์อีกประมาณ 3-6 เดือน


การผ่าตัดเสริมจมูก

|0 ความคิดเห็น
การผ่าตัดเสริมจมูก

การเสริมจมูกเป็นการทำศัลยกรรมตกแต่งที่มีการทำกันมากที่สุดอย่างหนึ่งในบ้านเรา อาจจะเนื่องจากเหตุผลบางประการคือ
1. ทำได้ง่าย ได้ผลดี และมีการแทรกซ้อนน้อย (ถ้าทำถูกวิธี)
2. ถ้ามีปัญหา ก็สามารถผ่าตัดแก้ไขได้ใหม่ ไม่ยุ่งยากมากนัก

วิธีการผ่าตัด
เกือบจะทั้งหมดใช้การเสริมด้วยสารซิลิโคน (medical grade silicone) ผ่านทางรอยผ่าตัดขนาดเล็กที่ด้านในของจมูก ซึ่งแผลผ่าตัดนี้จะมองไม่เห็น แพทย์จะเริ่มผ่าตัดโดยการออกแบบซิลิโคนให้เข้ากับรูปหน้า และโครงจมูกก่อน จากนั้นจึงเริ่มการเสริม โดยการฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณรอบจมูก บางรายอาจใช้ยานอนหลับร่วมด้วย โดยการฉีดหรือรับประทาน ในกรณีที่ผู้ป่วยตื่นเต้นหรือกลัวมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วใช้ยาชาเฉพาะที่ก็เพียงพอแล้ว หลังผ่าตัดก็สามารถกลับบ้านได้ทันที แพทย์ จะนัดมาดูอีกครั้ง ~ 7 วัน เพื่อตัดไหมและตรวจดูความเรียบร้อย

การดูแลหลังผ่าตัด
โดยทั่วไปแล้วมักไม่จำเป็นต้องมีการปิดแผลบริเวณจมูกเลย สามารถ เดินทางกลับบ้านโดยที่คนทั่วไป อาจไม่สังเกตเห็น ความผิดปกตินอกจากอาการบวม แต่แพทย์บางท่านอาจนิยมใช้ plaster ปิดบริเวณสันจมูก หรืออาจใช้เฝือกดามบริเวณสันจมูกด้วย แล้วแต่ความนิยมและประสบการณ์ของแพทย์แต่ละคน เมื่อกลับถึงบ้านให้ใช้ผ้าเย็นประคบโดยรอบจมูกประมาณ 1-2 วัน เพื่อไม่ให้มีเลือดออกจะได้มีอาการบวมน้อย จากนั้นวันที่ 3 และ 4 เมื่อมีการบวมเต็มที่แล้ว ให้เปลี่ยนมาประคบด้วยผ้าอุ่นเพื่อลดบวม

ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด
พบได้น้อย ถ้าได้รับการผ่าตัดมาอย่างถูกต้องและมีการดูแลที่ดีพอ อย่างไรก็ดีอาการแทรกซ้อนเหล่านี้ก็อาจเกิดขึ้นได้คือ
1. จมูกที่เสริมไว้เอียง ถ้าตรวจพบในระยะแรกเช่น 1-2 สัปดาห์แรก แพทย์อาจช่วยดัดให้เข้าที่ได้ ถ้าเกิดภายหลัง อาจเกิดจากการชนหรือกระแทกบริเวณจมูก จะไม่สามารถดัดให้เข้าที่ได้ง่าย มักจะต้องทำผ่าตัดใหม่
2. จมูกอักเสบ เกิดขึ้นได้ ถ้ามีการติดเชื้อบริเวณที่ทำผ่าตัด หรือบางครั้งเกิดจากการอักเสบผิวหนังบริเวณใกล้เคียง เช่น เป็นสิวบริเวณจมูก บ่อยครั้งที่มักเกิดจากการเสริมจมูกที่โด่งเกินไป เกิดการแดงที่บริเวณปลายจมูก และ เกิดการอักเสบตามมา

การผ่าตัดตา 2 ชั้น

|0 ความคิดเห็น
การผ่าตัดตา 2 ชั้น

การผ่าตัดบริเวณเปลือกตาบนที่เรียกว่าการทำตา 2 ชั้นนั้นสามารถแบ่งกลุ่มการผ่าตัดออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1 ) การผ่าตัดในผู้ที่มีตาชั้นเดียวหรือมี 2 ชั้นอยู่แล้ว แต่ขนาดของชั้นค่อนข้างเล็กหรือที่เรียกว่าตา 2 ชั้นหลบใน
กรณีนี้ไม่มีผิวหนังส่วนเกินที่ต้องตัดออกมากนัก มักทำในคนอายุน้อย

2 ) การผ่าตัดในผู้ที่มีตา 2 ชั้นอยู่เดิม ต่อมาเมื่อมีอายุมากขึ้นหนังตาเริ่มตกมาบัง ทำให้ชั้นตาดูเล็กลง วิธีการผ่าตัด
ในผู้ป่วย 2 ประเภทนี้มีหลักการเช่นเดียวกันจะต่างกันในเรื่องของปริมาณของผิวหนังที่ต้องตัดออก

การดูแลหลังผ่าตัด
- หลังผ่าตัดวันแรกให้ประคบบริเวณผ่าตัดด้วยความเย็น อาจใช้ผ้าเย็น หรือ gel pack ที่มีวางขายทั่วไป เพื่อให้หลอด เลือดหดตัว จะได้ไม่มีเลือดออกหลังผ่าตัด
- วันที่ 3 หลังผ่าตัดให้ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นเพื่อลดอาการบวม
- แผลที่เย็บไว้สามารถตัดได้ภายใน 5-7 วัน หลังผ่าตัด

อาการแทรกซ้อน
การผ่าตัดตา 2 ชั้น เป็นการผ่าตัดที่มีความปลอดภัยสูง ถ้าทำถูกวิธี อาการแทรกซ้อนทางสายตาพบได้ น้อยมากหรือ แทบจะไม่มีเลย ที่พบบ้างคือปัญหา เรื่องความสวยงามของชั้นตา มากกว่า เช่น ชั้น 2 ข้างมีความต่างกัน, แผลผ่าตัดมีเลือดออก, มีรอยเขียวช้ำรอบดวงตา ซึ่งมักหายได้เอง, ชั้นมีขนาดใหญ่ หรือเล็กเกินไป, หลับตาได้ไม่สนิท

เพชร คุณค่าของมันและการประเมินราคา

|0 ความคิดเห็น
เพชร คุณค่าของมันและการประเมินราคา

ผู้หญิงหลายคนชอบเพชร คนส่วนมากก็ชอบเพชร มีเงินซื้อเพชร แต่มีใครบ้างที่จะดูเพชรเป็นซื้อเป็นรวมถึงตีราคาเป็น ตามผมมาเลยครับ

เพชรและคุณสมบัติเฉพาะของเพชร

ความแข็ง 10
ความถ่วงจำเพาะ 3.52
ค่าดัชนีหักเห 2.417
การกระจายแสง .044
ความวาว เหมือนเพชร
สีที่เห็นบริเวณส่วนล่าง สีส้มและฟ้าของเพชร ( Pavilion )
ความสามารถเรืองแสง มักจะเรืองแสงสีฟ้าอ่อน-เข้ม (Ultraviolet Lamp คลื่นสั้นและคลื่นยาว)

ลักษณะภายในกล้องจุลทรรศน์ มลหินรูปเหลี่ยม รอยแตกเหมือนขั้นบันไดหรือเสี้ยนไม้ บริเวณขอบเพชร วาวเหมือนหนวด ( bearding ) บริเวณขอบเพชร และลักษณะที่แสดงถึงผิวธรรมชาติเดิม ( Natural ) ซึ่งมักจะพบเป็นรูปสามเหลี่ยมบริเวณขอบเพชร

องค์ประกอบที่ใช้การประเมิณคุณภาพเพชรมี 4 ชนิด คือ

1. น้ำหรือความบริสุทธิ์ ( Clarity )

มีตั้งแต่ไร้มลทินและตำหนิจนถึงมีมลทินและตำหนิมาก ลักษณะความบริสุทธิ์จะต้องพิจารณาถึงมลทินที่เกิดอยู่ภายใน หรือ ตำหนิ
( Blemishes ) ที่เกิดอยู่ภายนอกการจัดระดับความบริสุทธิ์ทำได้โดยพิจารณาถึงขนาด จำนวนตำแหน่ง และลักษระทางธรรมชาติของมลทินและตำหนิ เพชรที่มีความบริสุทธิ์สมบูรณ์ไร้รอยตำหนิมีอยู่น้อย แต่ถ้าเพชรสมบูรณ์ไร้รอยตำหนิและมี องค์ประกอบอื่นๆ คือ สี การเจียระไน และน้ำหนักดีพร้อม จะมีราคาแพงที่สุด การจัดลำดับความบริสุทธิ์ของเพขรที่นิยมใช้กันในยุโรปและอเมริกาได้กำหนดมาตราฐานไว้โดยต้องตรวจดูภายใต้แว่นขยายหรือกล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย 10 เท่า

2. สี (Colour )
การจัดระดับสีทำได้โดยสังเกตุดูว่าสีของเพชรแปรเปลี่ยนไปจากความไม่มีสี ( Coloutless ) เพชรส่วนใหญ่จะมี สีเหลือง น้ำตาล เทา ปนอยู่เล็กน้อย ยกเว้นเพชรที่มีสีแฟนซี เช่น สีฟ้า ชมพู ม่วง แดง เพชรที่ไม่มีสีจัดเป็นเพชรที่มีค่าที่สุด

3. การเจียระไน ( Cut )
หมายถึง ส่วนสัดของเพชร ( Proportion ) และฝีมือการเจียระไน ( Finish) ซึ่งรวมถึงรูปร่าง ( Shape ) ว่าเจียระไนเป็นแบบเหลี่ยมเกสร ( Brilliant Cut ) เป็นแบบรูปมาร์คีส ( Marquise Cut ) หรือ เป็นแบบหลังเบี้ย ( Cabochon Cut ) เป็นต้น เพชรที่มีการเจียระไนได้ส่วนสัดตามมาตราฐานมีหน้าเหลี่ยมและมุมต่างๆ ถูกต้องตามหลักวิชา และมีฝีมือการเจียระไนที่ประณีตเรียบร้อยจะมีความสวยงามและมีการกระจายของแสงดี

การดูความถูกต้องของสัดส่วน ( Proportion Grading ) จะต้องทำการวัดมุมของส่วนบน ( Crown ) และส่วนล่าง ( Pavilion ) ของเพชรขนาดของโต๊ะหน้าเพชร ขนาดของปลายตัดก้นแหลม ความหนาของส่วนบนและความหนาของส่วนล่าง ความหนาของขอบเพชรแล้วนำมาเทียบกับส่วนสัดของเพชรที่นาย Tollkowsky ได้ทำเป็นมาตราฐานส่วนสัดเพชรที่เจียไนแบบเหลี่ยมเกสร ที่เรียกว่า Amercan Ideal Proportion

การจัดระดับฝีมือการเจียระไน ( Finish Grading ) ว่ามีความชำานาญและระมัดระวังในการเจียไนแค่ไหน เช่น ตรวจดูว่ามีเส้นรอยขัด รอยขีดข่วน รอยสึกกร่อนที่ก้นเพชร หรือ ขอบเพชรขรุขระ พร้อมกับตรวจดูว่าหน้าขัดมันมีณุปร่างดี มีการวางตัวถูกต้องและมีความสมดุลย์หรือไม่ เช่น เพชรบางเม็ดไม่กลมมีความเบี้ยวเล็กน้อย บางเม็ดมีหน้าขัดมันผิดรูปร่างไป

การเจียระไนมีผลต่อน้ำหนักที่พยายามรักษาไว้และความสวยงามของเพชรเมื่อเจียระไนเสร็จแล้ว ถ้าหากสามารถทำให้มีความสวยงามพร้อมกับรักษาน้ำหนักของเพชรไว้ด้วยแล้วก็จะทำให้เพชรนั้นมีค่ามากขึ้น

4. น้ำหนัก ( Carat Weight )
เพชรใช้หน่วยน้ำหนักเป็นกะรัตในการคิดราคาซื้อขาย 1 กระรัตเท่ากับ 0.200 กรัม ซึ่งเป็นหน่วยมาตราฐานในการคิดน้ำหนักพลอยอื่นด้วย หรือ 1 ใน 5 ของกรัม และใน 1 กะรัต ประกอบด้วย 100 จุด หรือ ในที่ในวงการนิยมเรียกว่าสตางค์ ดังนั้น 50 จุดหรือ 50 สตางค์ จะเท่ากับครึ่งกะรัตเพชรจะมีค่าสูงตั้งแต่ 1 กะรัตขึ้นไปและค่าจะสูงมากขึ้น ตั้งแต่ 5 กะรัตขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคุณสมบัติ 4C ครบแล้วราคาจะยิ่งสูงมาก

วิธีการตรวจเพชรอย่างง่ายๆ

ตรวจดูการกระจายแสงออก ( Dispersion ) โดยเปรียบเทียบกับเพชรเทียม
ตรวจสอบความถ่วงจำเพาะในกรณีที่เป็นเพชรร่วง
สังเกตุลักษณะขอบเพชร ซึ่งจะขัดไม่เรียบคงลักษณะ Waxy หรือ Granular ไว้บางครั้งอาจจะเห็นรอยแตกขนานของเพชรเป็นแบบขั้นบันได หรือ มีลักษณะของเส้นเหมือนหนวดอยู่ตามขอบของส่วนบนที่ติดกับขอบเพชร นอกจากนี้มีลักษณะตามธรรมชาติ เกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมซึ่งเป็นร่องรอยของการเจริญเติบโตของผลึกหรือเกิดเป็นร่องขนานกันซึ่งเป็นผิวเดิมของผลึก
สังเกตุสีส่วนล่างของเพชรจะมีสีส้มและสีฟ้า
สังเกตุลักษณะมลทินส่วนใหญ่จะเป็นรูปเหลี่ยม
สังเกตุลักษระรอยัด ( Polishing Mark ) ในเพชรจะมีหลายทิศทาง แต่ในเพชรเทียมจะไปในทิศทางเดียวกัน
การตรวจดูคุณภาพใช้ลักษระ 4C ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
วิธีการสังเกตุเพชรเทียม ( Diamond Simulant )

เพชรเทียม หมายถึง เพชรที่มีส่วนประกอบทางเคมีต่างจากเพชรแท้ อาจเป็นอะไรก็ได้ที่มนุษย์ทำเลียนแบบขึ้น เช่น แย๊ก ( Yag ) จีจีจี ( GGG ) คิวบิกเซอร์โคเนีย (Cubic Zirconia ) สทรอนเซียมไทเทเนต ( Strontium Titanate)ฯลฯ รวมทั้งพลอยสังเคราะห์ไร้สีชนิดอื่นๆที่เกิดตามธรรมชาติ เช่น เพทาย เป็นต้น รายละเอียดของเพชรเทียม แต่ละชนิดจะไม่กล่าวถึง แต่จะให้ข้อสังเกตุไว้ดังนี้ คือ

ราคาต่ำกว่าปกติมาก
มีการกระจายของแสงดีมาก น้ำสวย แวววาวเล่นสีสรรมากกว่าเพชรแท้จนผิดสังเกต
ความแข็งน้อยกว่าทับทิม ไพลิน เขียวส่อง ยกเว้นพวกแซปไฟร์สังเคราะห์ไร้สี บางชนิดอ่อนกว่าพลอยตระกูลควอรตซ์เสียอีกจึงทำให้เป็นรอยขีดข่วนและมัวเร็ว
ความถ่วงจำเพาะค่อนข้างสูง มักจะสูงกว่าเพชร ดังนั้นเพชรเทียมที่มีน้ำหนักเท่ากับเพชร จะดูมีขนาดเล็กกว่าเพชร
การเจียระไนเหลี่ยมไม่ละเอียดเท่าเพชรแท้
สีบนส่วนล่างของเพชรเทียมเช่น Cubic Zirconia จะมีสีส้ม และ Yag จะมีสีน้ำเงินอมม่วง
ส่วนใหญ่จะเรืองแสงสีเขียวอ่อน หรือ สีเหลืองอ่อน เมื่อส่องด้วยแสงอุลตราไวโอเลตชนิดคลื่นสั้น สังเกตุเงาของเพชรเทียมแต่ละชนิดในน้ำยา Methylene Iodide


การตรวจเพชร ต้องใช้ เครื่องวัดความแข็งวัด ส่วนเหลี่ยมของเพชรต้องใช้กล้องขยายขนาด 10 เท่าส่องดู

ก่อนอื่นให้จับปากคีบเพชร (Tweezer) ด้วยมือข้างที่เราถนัด โดยใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ครับ ตามรูปซ้ายสุดด้านบน ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมืออีกข้างจับกล้องขยายสิบเท่า โดยให้กางนิ้วกลางออกมาครับ ตามภาพกลางด้านบน แล้วให้นำปากคีบเพชร วางลงบนนิ้วกลาง จากนั้นให้มองผ่านกล้อง โดยเปิดสองตา (ถ้าเปิดตาข้างเดียว มองนานๆจะปวดตาครับ) ขยับกล้องเข้าออก จนภาพที่เห็นผ่านกล้องคมชัด ตามรูปบนด้านขวาสุด ต้องพยายามให้มือนิ่งๆ นะครับ ให้ยึดมือที่ถือปากคีบที่คีบเพชรไว้ให้นิ่ง ขยับเฉพาะอีกมือที่ถือกล้องเข้าออก หลังจากพอจะใช้กล้องส่องเพชร (loupe) ได้แล้วเรามาลองดูวิธีการเทียบสีเพชรครับ



ขอบเพชรมีผลค่อนข้างมากต่อความสวยงามของเพชรโดยรวม ขอบเพชรที่ดีควรอยุ่ระหว่าง บาง ถึงหนาเล็กน้อย thin-slightly thick ถ้าขอบเพชรบางเกินไป (Very thin) จะเปราะและอาจบิ่นง่ายครับ ถ้าขอบเพชรหนาไป (thick, very thick) น้ำหนักเพชรจะไปอยู่ที่ขอบซะเยอะ ทำให้เพชรหน้าแคบกว่าที่ควรครับ เช่น เพชรขนาด 50 ตังค์ อาจดูเหมือน 40ตังค์
- บางมาก (very thin) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นเป็นเส้นบางๆ มองด้วยตาเปล่าไม่ค่อยเห็น
- บาง (Thin) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นเป็นเส้นบาง มองด้วยตาเปล่า เห็นได้ยาก
- ปานกลาง (Medium) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นเป็นเส้น มองด้วยตาเปล่า เห็นเป็นเส้นบางๆ
- ค่อนข้างหนา (Slightly thick) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นได้ชัดเจน และสามารถเห็นชัดด้วยตาเปล่า
- หนา (Thick) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นได้ชัดมาก และสามารถเห็นชัดด้วยตาเปล่า
- หนามาก (Very Thick) - เมื่อมองผ่านกล้องขยาย 10 เท่า จะเห็นขอบหนามาก และสามารถเห็นชัดเจนมากด้วยตาเปล่า


การประเมินความสะอาดต้องดูภายใต้กล้องขยาย 10 เท่านะครับ โดยต้องใช้โคม daylight ช่วยส่องสว่าง กรณีที่ไม่แน่ใจว่าเป็นฝุ่น หรือมลทินที่อยู่ในเพชร ให้สังเกตว่าอยู่บริเวณผิว หรืออยู่ในเนื้อเพชร และให้ใช้ผ้าเช็ดดูนะครับ เมื่อเช็ดแล้ว ถ้าเป็นฝุ่นก็จะหลุดออก ถ้ายังเห็นก็น่าจะเป็นมลทินในเนื้อเพชร เวลาส่องดูให้พลิกเพชรมองดูหลายๆมุมนะครับ บางครั้งมุมนึงอาจมองไม่เห็น แต่พอมองอีกมุมกลับเห็นครับ
•กรณีที่ส่องดูจนทั่วใช้เวลากว่านาทีแล้วยังไม่พบอะไร เพชรเม็ดนั้นน่าจะเป็น IF (Internal Flawless)
•กรณีที่ต้องใช้เวลาค้นหา นานประมาณ ครึ่งนาที หรือมากกว่า(ขึ้นอยู่กับความชำนาญด้วยครับ) ถึงจะพบตำหนิขนาดเล็กมากมาก ลักษณะคล้ายรูเข็ม (pinpoint) หรือผลึกขนาดเล็กมากๆ เหมือนรูปด้านบนซ้ายมือสุด ในวงกลมสีแดง สรุปได้ว่าเพชรเม็ดนั้น มีความสะอาดระดับ VVS (Very Very Small Included)
•กรณีที่ต้องใช้เวลาค้นหา นานประมาณ 10 วินาที หรือมากกว่าถึงจะพบตำหนิขนาดเล็กมาก ซึ่งมีขนาดใหญ่และจำนวนมากกว่าความสะอาด VVS ตามรูปกลางครับ สรุปได้ว่าเพชรเม็ดนั้น มีความสะอาดระดับ VS (Very Small Included) สำหรับเพชรความสะอาดระดับ VS มลทินหรือตำหนิจะมีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถเห็นได้ด้วย ตาเปล่า และไม่ขัดขวางการเดินทางของแสง จึงไม่มีผลใดๆต่อความสวยงามของเพชรครับ
•กรณีที่ส่องกล้องแล้วเห็นตำหนิทันที โดยไม่ต้องค้นหา และตำหนิขนาดเล็ก ซึ่งมีขนาดใหญ่และจำนวนมากกว่าความสะอาด VS ตามรูปขวาครับ สรุปได้ว่าเพชรเม็ดนั้น มีความสะอาดระดับ SI (Small Included) สำหรับความสะอาดระดับ SI ถ้ามลทินมีขนาดใหญ่ หรือมีสี หรืออยู่กลางหน้าเพชร อาจขัดขวางการเดินทางของแสงและมีผลต่อความสวยงามของเพชรโดยรวมครับ
•กรณีที่สามารถมองเห็นตำหนิด้วยตาเปล่า เพชรเม็ดนั้นมีความสะอาดระดับ I (Imperfect) ตำหนิมีขนาดใหญ่ มีผลต่อความสวยงามและความคงทนของเพชรครับ แนะนำให้หลีกเลี่ยงทุกกรณี




วิธีแรกคือการประเมินสี โดยที่มีเพชรต้นแบบ (master stone กรณีนี้ยกตัวอย่างว่าสีต้นแบบเป็นสี G น้ำ 97) ไว้เปรียบเทียบ ให้วางเพชรต้นแบบและ เพชรที่ต้องการเทียบสี คว่ำลงครับ โดยให้มองที่ก้นเพชรเฉียงๆ มุม 45 องศา โดยให้วางเพชรต้นแบบ ไว้ตรงกลาง และให้วางเพชรที่ต้องการเทียบไว้ทางซ้าย สังเกตว่าสีอ่อนกว่า (ขาวกว่า) หรือเข้มกว่า (เหลืองกว่า) เสร็จแล้วให้เปลี่ยนเพชรที่ต้องการเทียบมาไว้ด้านขวาและเปรียบเทียบอีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยง master eye effect (การประเมินสีต้องดูเพชรภายใต้แสงอาทิตย์ หรือแสงสีขาว (Daylight)
•ถ้าผลสรุปว่า วางด้านนึงอ่อนกว่า อีกด้านนึงสีเข้มกว่า สรุปได้ว่าเพชรที่นำมาเทียบสีเดียวกันกับเพชรต้นแบบ คือ น้ำ 97
•ถ้าด้านนึงเข้มกว่า อีกด้านเท่ากัน สรุปว่าเพชรที่นำมาเทียบสีต่ำกว่าเพชรต้นแบบ 1 ขั้น กรณีนี้คือ เพชรเม็ดนี้น้ำ 96
•ถ้าด้านนึงอ่อนกว่า อีกด้านเท่ากัน สรุปว่าเพชรที่นำมาเทียบสีสูงกว่าเพชรต้นแบบ 1 ขั้น กรณีนี้คือ เพชรเม็ดนี้น้ำ 98
•ถ้าด้านนึงอ่อนกว่า อีกด้านนึงก็อ่อนกว่า สรุปว่าเพชรที่นำมาเทียบสีสูงกว่าเพชรต้นแบบอย่างน้อย 2 ขั้น กรณีนี้คือ เพชรเม็ดนี้น้ำ 99 ขึ้นไป
และถ้าด้านนึงเข้มกว่า อีกด้านนึงก็เข้มกว่า สรุปว่าเพชรที่นำมาเทียบสีต่ำกว่าเพชรต้นแบบอย่างน้อย 2 ขั้น กรณีนี้คือ เพชรเม็ดนี้น้ำต่ำกว่าหรือเท่ากับ 95 ลงมา

สำหรับสาวๆ แล้ว หากให้เลือกเครื่องประดับชิ้นงามสักชิ้น คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ที่จะเลือก “เพชร” เพราะเป็นอัญมณีที่สาวๆ ทุกคนใฝ่ฝันอยากจะครอบครอง และหากมีโอกาสได้เลือกเพชรเป็นเครื่องประดับสักชิ้น สิ่งที่สาวๆ ควรพิจารณา คือ การเลือกรูปทรงที่เหมาะสมกับบุคลิกของตนเอง...เราลองมาสำรวจกันสักนิดซิว่า เพชรในแต่ละรูปทรง บ่งบอกและสะท้อนบุคลิกสาวๆ อย่างไรกันบ้าง

• เพชรทรงกลม: ด้วยความที่เป็นเพชรรูปทรงคลาสสิก จึงเป็นที่นิยมของผู้หญิงจำนวนมาก ซึ่งเพชรทรงกลมนี้ สื่อถึงความโรแมนติก และความสื่อสัตย์
• เพชรเหลี่ยม: เพชรแห่งความหรูหรา ทำให้ผู้ที่ประดับกายด้วยเพชรรูปทรงนี้ ดูดี มีเสน่ห์ดึงดูดใจ แลดูเป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีความเป็นผู้นำ กล้าได้กล้าเสีย
• เพชรเหลี่ยมมรกต: เพชรที่สวยงามตลอดกาล สื่อถึงความสงบ สง่างาม สมกับเป็นผู้ดี มีใจกว้างขวาง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
• เพชรรูปไข่: รูปทรงไข่ สื่อถึงความเป็นผู้หญิง เป็นที่รักของเด็กๆ มีความมั่นคง ซื่อสัตย์ และสาวที่ช่างคิดสร้างสรรค์
• เพชรรูปหยดน้ำ: บ่งบอกถึงความเป็นผู้หญิงที่แข้มแข็ง มีความมั่นใจ แฝงไปด้วยเสน่ห์ และโรแมนติก ในทางตรงกันข้าม เธออาจจะเป็นสาวเจ้าน้ำตา ขี้สงสาร ได้ในบางครั้ง
• เพชรรูปหัวใจ: “หัวใจ” สัญลักษณ์ ของ ความรักแท้ หวานโรแมนติค
• เพชรมาควิซ(มาคี): บ่งบอกถึงความมั่งคั่ง เลิศ หรูหรา สง่างาม

เมื่อรู้ความหมายที่สะท้อนผ่านรูปทรงต่างๆ ของเพชรกันแล้ว หากใครนึกอยากจะหาเพชรและอัญมณีมาเสริมบุคลิก และสะท้อนความเป็นตัวคุณแล้วล่ะก็ หามาสวมใส่กันได้เลย




การเปลี่ยนกลักหมึกพิมพ์

|0 ความคิดเห็น

การเปลี่ยนกลักหมึกพิมพ์

Lexmark 4200 Series ใช้กลักหมึกพิมพ์ต่อไปนี้:


ตัวยึดกลักหมึกพิมพ์ด้านซ้าย:

กลักหมึกสี

ตัวยึดกลักหมึกพิมพ์ด้านขวา:

กลักหมึกพิมพ์สีดำ
  • 19
  • 20
  • 25
  • 70
  • 71
  • 75


หมายเหตุ: หากต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการสั่งซื้อวัสดุสิ้นเปลือง ดูในส่วน การสั่งซื้อวัสดุสิ้นเปลือง
  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่อง All-In-One เปิดอยู่
  2. ดึงแผงควบคุมเข้าหาตัวท่าน แล้วเปิดฝาที่ปิดกลักหมึกพิมพ์ออก


ตัวรองรับกลักหมึกพิมพ์จะเลื่อนออกและหยุดที่ตำแหน่งใส่กลักหมึกพิมพ์ เว้นแต่ในกรณีที่เครื่อง All-In-One กำลังทำงาน
  1. ดึงกลักหมึกพิมพ์เก่าเข้าหาตัวท่าน แล้วยกกลักออก เก็บกลักหมึกพิมพ์ไว้ในบรรจุภัณฑ์ซึ่งปิดสนิทไม่มีอากาศเข้า หรือนำไปทิ้ง 
  2. หากท่านกำลังติดตั้งกลักหมึกพิมพ์ใหม่ ให้ลอกสติกเกอร์และเทปใสออกจากส่วนล่างของกลักหมึกพิมพ์ 

คำเตือน: อย่าสัมผัสถูกบริเวณผิวสัมผัสสีทองบนกลักหมึกพิมพ์
  1. ใส่กลักหมึกสีในตัวรองรับกลักหมึกพิมพ์ด้านซ้าย ใส่กลักหมึกพิมพ์สีดำในตัวยึดกลักหมึกพิมพ์ด้านขวา 
  2. ดันส่วนบนของกลักหมึกพิมพ์ไปด้านหลังจนกระทั่งกลักยึดเข้าที่ได้แน่นเรียบร้อย 
  3. ปิดฝาที่ใช้ปิดช่องกลักหมึกพิมพ์ แล้วปิดแผงควบคุม
  4. ใส่กระดาษในที่พักกระดาษและปรับตัวนำกระดาษให้พอดี 
  5. ใช้ปุ่มบนแผงควบคุมเพื่อตอบคำถามที่ปรากฏขึ้นบนส่วนแสดงผล:
  1. หากกลักหมึกพิมพ์สีที่ท่านติดตั้งเป็นกลักใหม่ (ไม่เคยผ่านการใช้งาน) ให้กด Select (เลือก)

หากเป็นกลักหมึกพิมพ์เก่า (เคยผ่านการใช้งาน) ให้กดปุ่มลูกศรขวาหนึ่งครั้ง แล้วกด Select (เลือก)
  1. หากหมายเลขประจำสินค้าที่ปรากฏขึ้นเป็นหมายเลขของกลักหมึกพิมพ์สีที่ท่านกำลังใช้ ให้กด Select (เลือก)

หากไม่ใช่หมายเลขประจำสินค้าของกลักหมึกพิมพ์สีที่ท่านกำลังใช้ ให้กดปุ่มลูกศรขวาจนกว่าหมายเลขประจำสินค้าที่ถูกต้องจะปรากฏขึ้น แล้วกด Select (เลือก)
  1. หากกลักหมึกพิมพ์สีดำที่ท่านติดตั้งเป็นกลักใหม่ ให้กด Select (เลือก)

หากเป็นกลักหมึกพิมพ์เก่า ให้กดปุ่มลูกศรขวาหนึ่งครั้ง แล้วกด Select (เลือก)
  1. หากหมายเลขประจำสินค้าที่ปรากฏขึ้นเป็นหมายเลขของกลักหมึกพิมพ์สีดำที่ท่านกำลังใช้ ให้กด Select (เลือก)

หากไม่ใช่หมายเลขประจำสินค้าของกลักหมึกพิมพ์สีดำที่ท่านกำลังใช้ ให้กดปุ่มลูกศรขวาจนกว่าหมายเลขประจำสินค้าที่ถูกต้องจะปรากฏขึ้น แล้วกด Select (เลือก)
  1. ทำขั้นตอนต่อไปซึ่งเป็น การปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ เพื่อให้การติดตั้งเสร็จสมบูรณ์

หมายเหตุ: ท่านสามารถใช้ Lexmark Solution Center ในการติดตั้งกลักหมึกพิมพ์ได้เช่นกัน โปรดดูคำแนะนำในส่วน การใช้ Lexmark Solution Center

การปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์

ในสองกรณีต่อไปนี้ ท่านจะต้องปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์: หลังการติดตั้งกลักหมึกพิมพ์ใหม่ และเมื่อต้องการแก้ไขปัญหาคุณภาพการพิมพ์

หลังการติดตั้งกลักหมึกพิมพ์ใหม่

หลังจากที่ท่านติดตั้งกลักหมึกพิมพ์ใหม่ จะมีข้อความปรากฏขึ้นที่ส่วนแสดงผลของแผงควบคุม
  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีกระดาษป้อนอยู่ในที่พักกระดาษ
  2. กด Select (เลือก) เพื่อพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์

ข้อความ Alignment Page Printing (กำลังพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์) จะปรากฏบนส่วนแสดงผล และเครื่องจะพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ เมื่อพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ออกมาแล้ว การปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์อัตโนมัติจะเสร็จสมบูรณ์

การแก้ไขปัญหาคุณภาพการพิมพ์

ปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ของท่านเพื่อแก้ไขปัญหาคุณภาพการพิมพ์ต่างๆ เช่น:
  • ตัวอักษรไม่ชัดเจนหรือไม่อยู่ในแนวขอบห่างด้านซ้าย
  • เส้นตรงในแนวตั้งพิมพ์ออกมาเป็นลอน
  1. ป้อนกระดาษในที่พักกระดาษ
  2. กด Copy (ทำสำเนา) บนแผงควบคุม
  3. กด Options (ตัวเลือก) จนกระทั่งข้อความ Maintenance (ดูแลรักษา) ปรากฏขึ้น
  4. กดปุ่มลูกศรขวาจนกระทั่งข้อความ Align (ปรับตั้ง) ปรากฏขึ้น แล้วกด Select (เลือก)

เครื่องจะพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ เมื่อพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ออกมาแล้ว การปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์อัตโนมัติจะเสร็จสมบูรณ์

การปรับปรุงคุณภาพการพิมพ์

หากท่านไม่พอใจกับคุณภาพการพิมพ์ของเอกสารของท่าน โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่าน:
  • ใช้กระดาษที่เหมาะสมกับเอกสาร
  • ใช้กระดาษที่มีน้ำหนักมากขึ้น, มีสีขาวสดใส หรือเป็นกระดาษเคลือบ
  • เลือกคุณภาพการพิมพ์ที่สูงขึ้น:
  1. จากโปรแกรมซอฟต์แวร์ของท่าน ให้คลิก File (ไฟล์) Print (พิมพ์)

กรอบโต้ตอบ Print (พิมพ์) จะปรากฏขึ้น
  1. จากกรอบโต้ตอบ Print (พิมพ์) ให้คลิก Properties (คุณสมบัติ), Preferences (กำหนดค่า), Options (ตัวเลือก) หรือ Setup (ตั้งค่า)
  2. จากหัวข้อ Quality/Speed (คุณภาพ/ความเร็ว) ให้เลือก Better (ดีกว่า) หรือ Best (ดีที่สุด)
หากคุณภาพการพิมพ์ของเอกสารยังไม่ตรงตามที่ท่านต้องการ ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้

การใส่กลักหมึกพิมพ์อีกครั้ง

  1. นำกลักหมึกพิมพ์ออก ดูคำแนะนำในส่วน การเปลี่ยนกลักหมึกพิมพ์
  2. ใส่กลักหมึกพิมพ์ ดูคำแนะนำในส่วน การเปลี่ยนกลักหมึกพิมพ์
  3. พิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้ง
  4. หากคุณภาพการพิมพ์ยังไม่ดีขึ้น ให้ทำตามขั้นตอน การทำความสะอาดหัวพิมพ์

การทำความสะอาดหัวพิมพ์


การใช้แผงควบคุม

  1. ป้อนกระดาษเข้าในเครื่อง All-In-One ดูคำแนะนำในส่วน การป้อนกระดาษธรรมดาใส่ในที่พักกระดาษ
  2. กด Copy (ทำสำเนา) บนแผงควบคุม
  3. กด Options (ตัวเลือก) จนกระทั่งข้อความ Maintenance (ดูแลรักษา) ปรากฏขึ้นบนส่วนแสดงผล
  4. กดปุ่มลูกศรขวาจนกระทั่งข้อความ Clean (ทำความสะอาด) ปรากฏขึ้นบนส่วนแสดงผล
  5. กด Select (เลือก) เครื่องจะพิมพ์หน้าทำความสะอาดหัวพิมพ์ โดยพ่นหมึกผ่านหัวพิมพ์ที่อุดตันเพื่อทำความสะอาด
  6. พิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้งเพื่อทดสอบว่าคุณภาพการพิมพ์ดีขึ้นหรือไม่
  7. หากท่านไม่พอใจกับคุณภาพการพิมพ์ ให้ทำตาม ขั้นตอนที่ 7 เรื่อง การใช้ Lexmark Solution Center แล้วพิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้ง

การใช้ Lexmark Solution Center

  1. ป้อนกระดาษ ดูคำแนะนำในส่วน การป้อนกระดาษธรรมดาใส่ในที่พักกระดาษ
  2. คลิก Start Programs Lexmark 4200 Series Lexmark Solution Center
  3. จากแถบ Maintenance (ดูแลรักษา) ให้คลิก Clean to fix horizontal streaks (ทำความสะอาดเพื่อแก้ไขเส้นพาดในแนวนอน)
  4. คลิก Print (พิมพ์) เครื่องจะพิมพ์หน้าทำความสะอาดหัวพิมพ์ โดยพ่นหมึกผ่านหัวพิมพ์ที่อุดตันเพื่อทำความสะอาด
  5. พิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้งเพื่อทดสอบว่าคุณภาพการพิมพ์ดีขึ้นหรือไม่
  6. หากท่านไม่พอใจกับคุณภาพการพิมพ์ ให้ทำตาม ขั้นตอนที่ 7 แล้วพิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้ง
  7. เช็ดหัวพิมพ์และผิวสัมผัสของกลักหมึกพิมพ์:
  1. นำกลักหมึกพิมพ์ออก ดูคำแนะนำใน ขั้นตอนที่ 2 ในหน้า 74
  2. ใช้ผ้าสะอาดไม่มีขนชุบน้ำหมาดๆ
  3. แนบผ้าไว้บนหัวพิมพ์อย่างเบามือเป็นเวลาประมาณสามวินาที แล้วเช็ดตามทิศทางที่แสดงในภาพ 
  4. ใช้ผ้าด้านที่สะอาดแนบผ้าไว้กับหน้าสัมผัสอย่างนุ่มนวลเป็นเวลาประมาณสามวินาที แล้วเช็ดตามทิศทางที่แสดงในภาพ 
  5. ใช้ผ้าด้านที่สะอาด ทำซ้ำในขั้นตอน c และ d
  6. ปล่อยให้หัวพิมพ์และผิวสัมผัสแห้งสนิท
  7. ใส่กลักหมึกพิมพ์กลับเข้าที่
  8. พิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้ง
  9. หากคุณภาพการพิมพ์ไม่ดีขึ้น ให้ทำซ้ำใน ขั้นตอนที่ 7 อีกไม่เกินสองครั้ง
  10. หากคุณภาพการพิมพ์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ให้เปลี่ยนกลักหมึกพิมพ์ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ดูในส่วน การสั่งซื้อวัสดุสิ้นเปลือง

การถนอมรักษากลักหมึกพิมพ์

เพื่อให้กลักหมึกพิมพ์มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดและได้ประสิทธิภาพสูงสุดจากเครื่อง All-In-One ของท่าน:
  • เก็บกลักหมึกพิมพ์ใหม่ไว้ในบรรจุภัณฑ์จนกว่าจะนำมาติดตั้ง
  • อย่านำกลักหมึกพิมพ์ออกจากเครื่อง All-In-One เว้นแต่ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยน, ทำความสะอาด หรือเก็บรักษาในบรรจุภัณฑ์ซึ่งปิดสนิทไม่มีอากาศเข้า กลักหมึกพิมพ์จะมีคุณภาพด้อยลงหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เนื่องจากหมึกจะแห้ง
การรับประกันของ Lexmark ไม่ครอบคลุมการซ่อมแซมข้อผิดพลาดหรือความเสียหายอันเกิดจากกลักหมึกพิมพ์ที่ผ่านการเติมหมึก เราไม่แนะนำให้ใช้กลักหมึกพิมพ์แบบที่สามารถเติมหมึกได้ การเติมหมึกในกลักอาจมีผลต่อคุณภาพการพิมพ์และทำให้เครื่อง All-In-One ชำรุด ควรใช้วัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ ของ Lexmark เพื่อให้ได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพสูงสุด

การทำความสะอาดเลนส์สแกนและลูกกลิ้งสีขาว

หากท่านสังเกตพบว่างานสแกน, แฟกซ์ หรือสำเนามีคุณภาพต่ำ ท่านอาจต้องทำความสะอาดเลนส์สแกนและลูกกลิ้งสีขาว
  1. ถอดสายไฟและสายโทรศัพท์ออกจากช่องเสียบ
  2. เปิดแผงควบคุม
  3. ดึงคันโยกลูกกลิ้งไปข้างหน้า แล้วยกลูกกลิ้งสีขาวออกจากเครื่อง All-In-One 

หมายเหตุ: เลนส์สแกนจะอยู่ใต้ลูกกลิ้งสีขาว
  1. ใช้ผ้าสะอาดไม่มีขนชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดลูกกลิ้งสีขาวและเลนส์สแกน
  2. ติดตั้งลูกกลิ้งสีขาวกลับเข้าที่เดิม
  3. ต่อสายไฟและสายโทรศัพท์อีกครั้ง

การนำผลิตภัณฑ์ Lexmark กลับมาใช้ใหม่

ในกรณีที่ต้องการส่งคืนผลิตภัณฑ์ Lexmark ของท่านกลับมายัง Lexmark เพื่อกระบวนการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่:
  1. กรุณาเข้าดูข้อมูลที่เว็บไซต์ของเรา:

  1. ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ปรากฏบนจอภาพ

การสั่งซื้อวัสดุสิ้นเปลือง

หากต้องการสั่งซื้อวัสดุสิ้นเปลืองสำหรับเครื่อง All-In-One หรือค้นหาตัวแทนจำหน่ายใกล้พื้นที่ของท่าน โปรดติดต่อเว็บไซต์ของ Lexmark ที่ http://www.blogger.com/www.lexmark.com

รายการ:

หมายเลขประจำสินค้า:

กลักหมึกพิมพ์สีดำ
  • 70
  • 71
  • 75

กลักหมึกสี
  • 19
  • 20
  • 25

สายเคเบิล USB

12A2405












การปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์

|0 ความคิดเห็น

การปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์

ในสองกรณีต่อไปนี้ ท่านจะต้องปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์: หลังการติดตั้งกลักหมึกพิมพ์ใหม่ และเมื่อต้องการแก้ไขปัญหาคุณภาพการพิมพ์

หลังการติดตั้งกลักหมึกพิมพ์ใหม่

หลังจากที่ท่านติดตั้งกลักหมึกพิมพ์ใหม่ จะมีข้อความปรากฏขึ้นที่ส่วนแสดงผลของแผงควบคุม
  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีกระดาษป้อนอยู่ในที่พักกระดาษ
  2. กด Select (เลือก) เพื่อพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์

ข้อความ Alignment Page Printing (กำลังพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์) จะปรากฏบนส่วนแสดงผล และเครื่องจะพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ เมื่อพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ออกมาแล้ว การปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์อัตโนมัติจะเสร็จสมบูรณ์

การแก้ไขปัญหาคุณภาพการพิมพ์

ปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ของท่านเพื่อแก้ไขปัญหาคุณภาพการพิมพ์ต่างๆ เช่น:
  • ตัวอักษรไม่ชัดเจนหรือไม่อยู่ในแนวขอบห่างด้านซ้าย
  • เส้นตรงในแนวตั้งพิมพ์ออกมาเป็นลอน
  1. ป้อนกระดาษในที่พักกระดาษ
  2. กด Copy (ทำสำเนา) บนแผงควบคุม
  3. กด Options (ตัวเลือก) จนกระทั่งข้อความ Maintenance (ดูแลรักษา) ปรากฏขึ้น
  4. กดปุ่มลูกศรขวาจนกระทั่งข้อความ Align (ปรับตั้ง) ปรากฏขึ้น แล้วกด Select (เลือก)

เครื่องจะพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ เมื่อพิมพ์หน้าปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์ออกมาแล้ว การปรับตั้งกลักหมึกพิมพ์อัตโนมัติจะเสร็จสมบูรณ์

การปรับปรุงคุณภาพการพิมพ์

หากท่านไม่พอใจกับคุณภาพการพิมพ์ของเอกสารของท่าน โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่าน:
  • ใช้กระดาษที่เหมาะสมกับเอกสาร
  • ใช้กระดาษที่มีน้ำหนักมากขึ้น, มีสีขาวสดใส หรือเป็นกระดาษเคลือบ
  • เลือกคุณภาพการพิมพ์ที่สูงขึ้น:
  1. จากโปรแกรมซอฟต์แวร์ของท่าน ให้คลิก File (ไฟล์) Print (พิมพ์)

กรอบโต้ตอบ Print (พิมพ์) จะปรากฏขึ้น
  1. จากกรอบโต้ตอบ Print (พิมพ์) ให้คลิก Properties (คุณสมบัติ), Preferences (กำหนดค่า), Options (ตัวเลือก) หรือ Setup (ตั้งค่า)
  2. จากหัวข้อ Quality/Speed (คุณภาพ/ความเร็ว) ให้เลือก Better (ดีกว่า) หรือ Best (ดีที่สุด)
หากคุณภาพการพิมพ์ของเอกสารยังไม่ตรงตามที่ท่านต้องการ ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้

การใส่กลักหมึกพิมพ์อีกครั้ง

  1. นำกลักหมึกพิมพ์ออก ดูคำแนะนำในส่วน การเปลี่ยนกลักหมึกพิมพ์
  2. ใส่กลักหมึกพิมพ์ ดูคำแนะนำในส่วน การเปลี่ยนกลักหมึกพิมพ์
  3. พิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้ง
  4. หากคุณภาพการพิมพ์ยังไม่ดีขึ้น ให้ทำตามขั้นตอน การทำความสะอาดหัวพิมพ์

การทำความสะอาดหัวพิมพ์


การใช้แผงควบคุม

  1. ป้อนกระดาษเข้าในเครื่อง All-In-One ดูคำแนะนำในส่วน การป้อนกระดาษธรรมดาใส่ในที่พักกระดาษ
  2. กด Copy (ทำสำเนา) บนแผงควบคุม
  3. กด Options (ตัวเลือก) จนกระทั่งข้อความ Maintenance (ดูแลรักษา) ปรากฏขึ้นบนส่วนแสดงผล
  4. กดปุ่มลูกศรขวาจนกระทั่งข้อความ Clean (ทำความสะอาด) ปรากฏขึ้นบนส่วนแสดงผล
  5. กด Select (เลือก) เครื่องจะพิมพ์หน้าทำความสะอาดหัวพิมพ์ โดยพ่นหมึกผ่านหัวพิมพ์ที่อุดตันเพื่อทำความสะอาด
  6. พิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้งเพื่อทดสอบว่าคุณภาพการพิมพ์ดีขึ้นหรือไม่
  7. หากท่านไม่พอใจกับคุณภาพการพิมพ์ ให้ทำตาม ขั้นตอนที่ 7 เรื่อง การใช้ Lexmark Solution Center แล้วพิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้ง

การใช้ Lexmark Solution Center

  1. ป้อนกระดาษ ดูคำแนะนำในส่วน การป้อนกระดาษธรรมดาใส่ในที่พักกระดาษ
  2. คลิก Start Programs Lexmark 4200 Series Lexmark Solution Center
  3. จากแถบ Maintenance (ดูแลรักษา) ให้คลิก Clean to fix horizontal streaks (ทำความสะอาดเพื่อแก้ไขเส้นพาดในแนวนอน)
  4. คลิก Print (พิมพ์) เครื่องจะพิมพ์หน้าทำความสะอาดหัวพิมพ์ โดยพ่นหมึกผ่านหัวพิมพ์ที่อุดตันเพื่อทำความสะอาด
  5. พิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้งเพื่อทดสอบว่าคุณภาพการพิมพ์ดีขึ้นหรือไม่
  6. หากท่านไม่พอใจกับคุณภาพการพิมพ์ ให้ทำตาม ขั้นตอนที่ 7 แล้วพิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้ง
  7. เช็ดหัวพิมพ์และผิวสัมผัสของกลักหมึกพิมพ์:
  1. นำกลักหมึกพิมพ์ออก ดูคำแนะนำใน ขั้นตอนที่ 2 ในหน้า 74
  2. ใช้ผ้าสะอาดไม่มีขนชุบน้ำหมาดๆ
  3. แนบผ้าไว้บนหัวพิมพ์อย่างเบามือเป็นเวลาประมาณสามวินาที แล้วเช็ดตามทิศทางที่แสดงในภาพ 
  4. ใช้ผ้าด้านที่สะอาดแนบผ้าไว้กับหน้าสัมผัสอย่างนุ่มนวลเป็นเวลาประมาณสามวินาที แล้วเช็ดตามทิศทางที่แสดงในภาพ
  5. ใช้ผ้าด้านที่สะอาด ทำซ้ำในขั้นตอน c และ d
  6. ปล่อยให้หัวพิมพ์และผิวสัมผัสแห้งสนิท
  7. ใส่กลักหมึกพิมพ์กลับเข้าที่
  8. พิมพ์เอกสารของท่านอีกครั้ง
  9. หากคุณภาพการพิมพ์ไม่ดีขึ้น ให้ทำซ้ำใน ขั้นตอนที่ 7 อีกไม่เกินสองครั้ง
  10. หากคุณภาพการพิมพ์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ให้เปลี่ยนกลักหมึกพิมพ์ หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ดูในส่วน การสั่งซื้อวัสดุสิ้นเปลือง

การถนอมรักษากลักหมึกพิมพ์

เพื่อให้กลักหมึกพิมพ์มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดและได้ประสิทธิภาพสูงสุดจากเครื่อง All-In-One ของท่าน:
  • เก็บกลักหมึกพิมพ์ใหม่ไว้ในบรรจุภัณฑ์จนกว่าจะนำมาติดตั้ง
  • อย่านำกลักหมึกพิมพ์ออกจากเครื่อง All-In-One เว้นแต่ในกรณีที่ต้องการเปลี่ยน, ทำความสะอาด หรือเก็บรักษาในบรรจุภัณฑ์ซึ่งปิดสนิทไม่มีอากาศเข้า กลักหมึกพิมพ์จะมีคุณภาพด้อยลงหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน เนื่องจากหมึกจะแห้ง
การรับประกันของ Lexmark ไม่ครอบคลุมการซ่อมแซมข้อผิดพลาดหรือความเสียหายอันเกิดจากกลักหมึกพิมพ์ที่ผ่านการเติมหมึก เราไม่แนะนำให้ใช้กลักหมึกพิมพ์แบบที่สามารถเติมหมึกได้ การเติมหมึกในกลักอาจมีผลต่อคุณภาพการพิมพ์และทำให้เครื่อง All-In-One ชำรุด ควรใช้วัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ ของ Lexmark เพื่อให้ได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพสูงสุด

การทำความสะอาดเลนส์สแกนและลูกกลิ้งสีขาว

หากท่านสังเกตพบว่างานสแกน, แฟกซ์ หรือสำเนามีคุณภาพต่ำ ท่านอาจต้องทำความสะอาดเลนส์สแกนและลูกกลิ้งสีขาว
  1. ถอดสายไฟและสายโทรศัพท์ออกจากช่องเสียบ
  2. เปิดแผงควบคุม
  3. ดึงคันโยกลูกกลิ้งไปข้างหน้า แล้วยกลูกกลิ้งสีขาวออกจากเครื่อง All-In-One 

หมายเหตุ: เลนส์สแกนจะอยู่ใต้ลูกกลิ้งสีขาว
  1. ใช้ผ้าสะอาดไม่มีขนชุบน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดลูกกลิ้งสีขาวและเลนส์สแกน
  2. ติดตั้งลูกกลิ้งสีขาวกลับเข้าที่เดิม
  3. ต่อสายไฟและสายโทรศัพท์อีกครั้ง

การนำผลิตภัณฑ์ Lexmark กลับมาใช้ใหม่

ในกรณีที่ต้องการส่งคืนผลิตภัณฑ์ Lexmark ของท่านกลับมายัง Lexmark เพื่อกระบวนการนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่:
  1. กรุณาเข้าดูข้อมูลที่เว็บไซต์ของเรา:

  1. ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ปรากฏบนจอภาพ

การสั่งซื้อวัสดุสิ้นเปลือง

หากต้องการสั่งซื้อวัสดุสิ้นเปลืองสำหรับเครื่อง All-In-One หรือค้นหาตัวแทนจำหน่ายใกล้พื้นที่ของท่าน โปรดติดต่อเว็บไซต์ของ Lexmark ที่ http://www.blogger.com/www.lexmark.com

รายการ:

หมายเลขประจำสินค้า:

กลักหมึกพิมพ์สีดำ
  • 70
  • 71
  • 75

กลักหมึกสี
  • 19
  • 20
  • 25

สายเคเบิล USB

12A2405