วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กินตามธาตุจากทฤษฎีการแพทย์แผนไทย

กินตามธาตุจากทฤษฎีการแพทย์แผนไทย

 
แนวคิดกินตามธาตุมาจากทฤษฎีการแพทย์แผนไทยที่เชื่อว่าคนเราเกิดมาในร่างกาย ที่ประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ แต่จะมีเพียง 1 ธาตุที่แสดงลักษณะเด่นประจำตัว เรียกว่า “ธาตุเจ้าเรือน” ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ ธาตุเจ้าเรือนเกิดที่เป็นไปตามวันเดือนปีเกิด และธาตุเจ้าเรือนปัจจุบันที่สังเกตจากบุคลิกลักษณะ อุปนิสัย กับปัญหาสุขภาพกายกับใจของแต่ละคน หากธาตุทั้ง 4 ในร่างกายมีความสมดุล จะไม่เจ็บป่วยบ่อย แต่หากขาดความสมดุล ก็มักจะเจ็บป่วยได้ง่าย และเพื่อป้องกันปัญหาโรคภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ เราจึงควรปรับพฤติกรรมการกินโดยใช้รสชาติต่างๆ ของอาหารประจำธาตุ ถ้าพิจารณาในแต่ละธาตุจะพบว่ามีการกินที่แตกต่างกัน เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพที่ไม่เหมือนกัน
  • ธาตุดิน มักจะเสี่ยงต่อโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน อาการปวดตามข้อ โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคเกี่ยวกับระบบน้ำย่อย ควรกินอาหารรสฝาดเพื่อช่วยสมานปิดธาตุ (แต่ไม่ควรกินมากเกินไป เพราะจะทำให้ฝืดคอ ท้องอืด และท้องผูก) อาหารรสหวาน เพราะมีสรรพคุณซึมซาบตามเนื้อ ทำให้ชุ่มชื่นบำรุงกำลัง (ไม่ควรกินมากเกินเพราะจะทำให้ง่วงนอน และเกียจคร้าน) อาหารรสมันเพื่อแก้เส้นเอ็นพิการ ปวดเสียว ขัดยอก และกระตุก และอาหารรสเค็ม เพราะมีสรรพคุณซึมซาบไปตามเนื้อ ช่วยการดูดซึมอาหาร ป้องกันการเสื่อมของเส้นเอ็น และกระดูก นอกจากนี้ ควรกินอาหารประเภทแป้งขาวให้น้อย เพราะร่างกายจะเผาผลาญได้ไม่หมด และควรออกกำลังเป็นประจำ
  • ธาตุน้ำ มักมีปัญหาเสมหะเป็นพิษ จึงควรกินอาหารรสเปรี้ยวเพื่อกัดฟอกเสมหะ ส่วนปัญหาสุขภาพอื่นๆ เหมือนธาตุดิน (เนื่องจากเป็นธาตุที่เอื้อกัน) เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ระบบทางเดินหายใจ และโรคอ้วน ในกรณีที่ธาตุน้ำมากจะมีเสมหะและน้ำมูกคล้ายจะเป็นหวัด เพราะร่างกายต้องการขับน้ำออกมา ในช่วงอายุแรกเกิดถึง 16 ปี มักจะมีอาการเป็นหวัด คัดจมูก ตาแฉะ ในฤดูหนาวจะเจ็บป่วยง่ายเพราะธาตุน้ำกำเริบ จึงควรกินอาหารประเภทแป้งขาวให้น้อยเช่นกัน
  • ธาตุลม ปัญหาด้านสุขภาพของคนธาตุเจ้าเรือนนี้ คือนอนไม่ค่อยหลับ ปวดท้อง จุกเสียด ระบบภายในมีความเป็นกรดมาก และระบบย่อยอาหารไม่ดี เนื่องจากลักษณะนิสัยที่กินไม่ตรงเวลา บางรายอาจมีปัญหาโรคข้อและกระดูก ควรกินอาหารรสเผ็ดร้อนเพื่อแก้ลมจุกเสียด และช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น แต่ไม่ควรกินมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียได้ ในช่วงอายุ 32 ปีขึ้นไป มักจะมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลมง่าย ในฤดูฝนจะเจ็บป่วยง่ายเพราะธาตุลมกำเริบ ควรกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ให้น้อย เพราะระบบการย่อยไม่แข็งแรง
  • ธาตุไฟ ปัญหาสุขภาพคือ เครียดง่าย โรคกระเพาะอาหาร ผิวหนังแพ้ง่าย ท้องเสียบ่อย ร้อนใน เป็นฝี และมีแผลในปาก ในช่วงอายุ 16-32 ปี มักจะหงุดหงิดง่าย และอารมณ์เสียบ่อย ในฤดูร้อนจะเจ็บป่วยบ่อย อาจเป็นไข้ตัวร้อนได้ง่าย เพราะธาตุไฟกำเริบ ควรกินอาหารรสขมแก้โลหิตเป็นพิษ (หากกินมากไปจะทำให้อ่อนเพลีย) และอาหารรสเย็นเพื่อแก้ไข้ ร้อนใน ไข้พิษ และดับพิษร้อน และควรกินอาหารจำพวกไขมันให้น้อย แม้ว่าร่างกายจะเผาผลาญเนื้อสัตว์ได้ดี แต่หากกินไขมันที่ย่อยยาก จะทำให้มีความร้อนในร่างกายมากเกินไปจนป่วยไข้ได้
ตามหาธาตุเจ้าเรือน
การตรวจสอบธาตุที่ง่าย และไม่สับสนที่สุด เพียงดูจากเดือนเกิดเท่านั้น คุณขนิษฐา ปานรักษา หน่วยงานแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลสมุทรสาคร ผู้ให้คำปรึกษาด้านการกินตามธาตุแนะวิธีการตรวจสอบธาตุเจ้าเรือนว่า

“วิธีง่ายๆ ในการตรวจสอบธาตุเจ้าเรือนคือ ให้เดือนเกิด บางคนอาจเห็นว่าลักษณะรูปร่าง นิสัย หรือปัญหาสุขภาพไม่ตรง นั่นเพราะบางครั้งธาตุในตัวเราเปลี่ยนไปตามอายุ ฤดูกาล และสถานที่อยู่ปัจจุบัน จึงทำให้มีบางธาตุที่มีลักษณะเด่นขึ้นมามากกว่าธาตุเจ้าเรือนเกิด ซึ่งการยึดตามเดือนเกิดก็สามารถทำนายได้ว่าในอนาคตเราจะป่วยเป็นโรคอะไร หากไม่ดูแลตัวเองอย่างดี หรือไม่กินอาหารตามธาตุเจ้าเรือนเกิด”
“ธาตุดิน คือผู้ที่เกิดในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม ธาตุน้ำ คือผู้ที่เกิดเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน ธาตุลม คือผู้ที่เกิดเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน ธาตุไฟ คือผู้ที่เกิดเดือนมกราคม กุมภาพันธุ์ และมีนาคม”
การเอาชนะตัวเองของสาวธาตุน้ำ
วันแรก (อีกครั้ง) วันนี้ตั้งใจจะตื่นเช้ากว่าเดิม เพื่อให้ชีพจรชีวิตช้าลง และมีเวลาเตรียมอาหารมื้อแรกตามแบบธาตุน้ำ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเมื่อคืนนอนดึกมาก ได้แต่ใช้ชีวิตเร่งรีบเหมือนเดิมโชคดีที่หุงข้าวกล้องไว้ตั้งแต่เมื่อคืน (อุ่นตอนเช้าไม่เสียเวลา และข้าวยังนิ่มอร่อยยิ่งขึ้น) จึงได้นำมากินที่ทำงาน พอมาถึงร้านอาหารของที่ทำงานก็ต้องผิดหวังเพราะวันนี้ไม่มีอาหารสำหรับคน ธาตุน้ำเลย จึงต้องขยับมาสั่งอาหารร้านใกล้ๆ เป็นยำปลาสลิดทอด และเครื่องดื่มเป็นน้ำส้ม มื้อเที่ยงเป็นข้าวคลุกกะปิ และของหวานเป็นกระท้อนลอยแก้ว ส่วนมื้อเย็นเป็นปลาทับทิมทอดกับยำมะม่วง
วันแรกของ การกินอาหารตามธาตุน้ำ เริ่มขึ้นอย่างไม่สวยงามนัก ฉันจึงได้เรียนรู้ว่าการเริ่มต้นที่จะทำสิ่งดีๆ นั้นยาก แต่ถ้ามัวแต่คิดว่าจะเริ่มเมื่อไร ก็อาจล้มเหลวไม่เลิกรา แม้ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้ อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้เริ่มไปแล้วไม่ใช่หรือ
วันที่สอง ฉันพยายามหาวิธีที่สามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งโชคดีที่คุณขนิษฐา ปานรักษา ผู้ให้คำปรึกษาด้านการกินตามธาตุ บอกเคล็ดลับว่า “ควรกินให้ครบทั้ง 4 ธาตุ เพราะร่างกายเราประกอบไปด้วยดิน น้ำ ลม และไฟ แต่ต้องกินอาหารตามธาตุเจ้าเรือนเกิดของตัวเองมากที่สุด เช่น ถ้ามีธาตุเจ้าเรือนเกิดเป็นธาตุน้ำ ก็ต้องกินอาหารรสเปรี้ยวให้มากกว่าอาหารรสชาติอื่น
“วิธีกินให้ง่ายที่สุดคือดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำสมุนไพรตามธาตุเป็นประจำ เพราะเครื่องดื่มหากินง่ายกว่าอาหาร การดื่มน้ำสมุนไพรก็จะมีสรรพคุณที่ช่วยปรับธาตุได้ หรือถ้าหาไม่ได้ก็กินผักผลไม้ตามฤดูกาลของธาตุเจ้าเรือนเกิด ซึ่งก็หากินได้ง่ายเช่นกัน”
ได้ข้อสรุปดังนั้น วันที่สองในการกินตามธาตุน้ำของฉันจึงปรับมาดื่มน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร และกินผักผลไม้แบบชาวธาตุน้ำมากขึ้น โดยผ่อนปรนเรื่องการกินอาหารอื่นมากขึ้น
มื้อแรก หลังอาหารฉันดื่มน้ำกระเจี๊ยบ มื้อกลางวันดื่มน้ำมะนาว ของว่างเป็นมะม่วงเปรี้ยวน้ำปลาหวาน  และมื้อเย็นมีผักจิ้มเป็นยอดมะกอกและผลไม้เป็นสตอเบอรี่กับเสาวรสหลัง อาหาร แต่สงสัยว่าจะดื่มน้ำผลไม้ และกินผักผลไม้รสเปรี้ยวมากเกินไป ฉันจึงมีอาการท้องเสีย และแล้วก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่งในการกินตามธาตุคือ ต้องไม่กินมากเกินไป แม้ว่าควรกินอาหารประจำธาตุของตัวเองมากที่สุดก็ตาม
วันที่สาม ฉันตื่นเช้ากว่าทุกวัน แวะตลาดก่อนไปทำงานเพื่อหาซื้ออาหารสำเร็จรูปที่ตรงกับธาตุของตัวเอง เพราะที่ตลาดมีอาหารให้เลือกอย่างหลากหลาย และไม่ต้องการหวังพึ่งร้านอาหารที่ทำงานเพียงอย่างเดียว แม้จะไม่ตึงเครียดกับกรอบการกินเหมือนวันแรก แต่ถ้าเลือกได้ ฉันก็ต้องการกินอาหารให้ตรงตามธาตุมากที่สุด ซึ่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี
มื้อแรก ฉันกินปลาสำลีนึ่งกระเทียมโทนที่ซื้อมาจากตลาด มื้อเที่ยงเป็นแกงส้มกุ้งที่ซื้อมาพร้อมกับอาหารมื้อเช้า และมื้อเย็น ฉันตั้งใจจะทำอาหารเมนูง่ายๆ กินเองเป็นปลาผัดเปรี้ยวหวานใส่สับปะรด จึงแวะตลาดก่อนกลับบ้านเพื่อซื้ออาหารสด ได้แก่ ปลากะพงสด (ให้แม่ค้าแล่เนื้อเป็นชิ้นเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น) สับปะรด (ปลอกเปลือกและผ่าเป็นชิ้น) แตงกวา มะเขือเทศ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ต้นหอม และพริกชี้ฟ้า
พอถึงบ้านฉันก็ลงมือทำเมนูนี้ทันที เริ่มขั้นตอนแรกด้วยการตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชให้เพียงพอสำหรับการทอดปลา นำปลากะพงที่หั่นเป็นชิ้นเรียบร้อยแล้วมาทอดจนเหลืองกรอบแล้วพักไว้ให้ สะเด็ดน้ำมัน จากนั้นเทน้ำมันออกให้เหลือพอสำหรับผัดใส่กระเทียมเจียวพอใกล้เหลืองใส่หอม หัวใหญ่ผัดพอสุกทั่ว ตามด้วยแตงกวา สับปะรด และมะเขือเทศผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเล็กน้อย ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศ น้ำปลา น้ำส้มสายชู และน้ำตาล แล้วจึงใส่เนื้อปลาที่ทอดไว้ลงไปผัดเบาๆ ระวังอย่าให้เนื้อปลาเละ ใส่ต้นหอม พริกชี้ฟ้า และโรยพริกไทย ก็ได้เมนูง่ายๆ ที่อร่อยดังใจแล้ว
หลังจากกินอาหารตามธาตุน้ำมา 3 วัน ฉันสังเกตุดูสุขภาพของตัวเองก็พบว่ามีอาการระคายคอและมีเสมหะน้อยลง แม้ว่าจะยังไม่ชัดเจน แต่ฉันก็เชื่อว่าหากปฏิบัติตัวแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น
ท้ายที่สุด ฉันก็ค้นพบวิธีการกินตามธาตุในเวลาเร่งรีบ นั่นคือ ดื่มน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร และกินผลไม้ที่หาซื้อง่ายเป็นหลัก (เมื่อเราคุ้นชินกับเครื่องดื่ม ผัก และผลไม้ประจำธาตุแล้วจะสามารถปรับใช้กับการกินอาหารอื่นๆ ได้ เพียงเลือกอาหารที่มีส่วนประกอบของผักผลไม้บางอย่าง ก็ทำให้การกินตามธาตุได้ผลแล้ว) กินอาหารให้ครบทั้ง 4 ธาตุ โดยกินอาหารตามธาตุของตัวเองให้มากที่สุด และตื่นเช้าเพื่อให้มีเวลาในการเตรียมอาหารก่อนไปทำงานมากขึ้น
เพียงเท่านี้ ชีวิตที่เร่งรีบ ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการกินตามธาตุเพื่อได้สุขภาพที่ดีตลอดไป

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น