วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การป้องกันอัคคีภัย

|0 ความคิดเห็น
การป้องกันอัคคีภัยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.การป้องกันอัคคีภัยในเชิงรุก
1.1. ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้
1.2. ระบบเครื่องสูบและควบคุม
1.3. ระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงอัตโนมัติ
1.4. ระบบสายฉีดน้ำดับเพลิง
1.5. ระบบหัวดับเพลิง
1.6. ระบบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระบบ FM-200 และระบบสารสะอาดดับเพลิง
1.7. เครื่องดับเพลิงชนิดมือถือและอื่นๆ 

2. การป้องกันอัคคีภัยในเชิงรับ
2.1. โครงสร้างอาคาร
2.2. การแบ่งส่วนอาคาร
2.3. เส้นทางหนีไฟ
2.4. ความน่าเชื่อถือของโครงสร้าง
2.5. ประตูหนีไฟ
2.6. การป้องกันรอยต่อในระบบ


ขอบข่ายการให้บริการด้านระบบป้องกันอัคคีภัยของบริษัท ได้แก่
- การออกแบบระบบป้องกันอัคคีภัย
- การติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัย
- งาน Turnkey
- การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับระบบป้องกันอัคคีภัย
- การตรวจสอบและทดสอบระบบป้องกันอัคคีภัยภายในอาคารทุกประเภท
- การบำรุงรักษาระบบป้องกันอัคคีภัย
- การจัดการอบรมฝึกสอนและให้ความรู้เกี่ยวกับระบบป้องกันอัคคีภัย และ
การอพยพหนีไฟตามมาตรฐาน National Fire Protection Association (NFPA)


งานวิศวกรรมระบบเตือนอัคคีภัย Fire Alarm ซึ่งมีรายละเอียดการทำงาน ดังนี้
• ตรวจสอบความเรียบร้อยภายในตู้ และความสะอาด
• ตรวจสอบ Battery 24 VDC
• ตรวจสอบ Battery Charger
• ตรวจสอบหลอดไฟแสดงการทำงานของอุปกรณ์ LED Lamp
• ตรวจสอบสภาพของตู้ FCP - Control Panel
• ตรวจสอบ Function การทำงานของระบบ
• ตรวจสอบการทำงานของ Smoke และทำความสะอาด Smoke
• ตรวจสอบการทำของ Heat และทำความสะอาด Heat
• ตรวจสอบการทำของ Manual Station และทำความสะอาด Manual Station
• ตรวจสอบการทำงานของกระดิ่ง Bell ,ไฟกระพริบ Strobe ,เสียงและไฟกระพริบ Horn & Strobe

งานวิศวกรรมระบบป้องกันอัคคีภัย
1.Fire Pump (Motor) ซึ่งมีรายละเอียดการทำงาน ดังนี้
• ตรวจสอบรอยรั่ว และซ่อมรอยรั่ว
• ตรวจสอบ Alarm gong และ Alarm Valve
• ตรวจสอบ Pressure Gauge และแรงดันในระบบ
• ตรวจสอบหลอดไฟแหดงการทำงาน
• หล่อลื่นด้วยจารบี
• ทำความสะอาด Y-Strainer
• ตรวจสอบการเกิดสนิม และทาสีป้องกัน
• ตรวจสอบและปรับตั้ง Pressure relive valve
• ตรวจสอบความแน่นของน็อตยึดฐานเครื่องจักร
• ตรวจเช็ค Mechanical Seal
• ตรวจสอบสภาพของฉนวน และการลงกราวด์ของมอเตอร์
• ตรวจเช็คขั้วต่อไฟฟ้า
• ตรวจสอบสภาพ และปรับตั้ง Alignment
2 . Fire Pump (Engine) ซึ่งมีรายละเอียดการทำงาน ดังนี้
• ทำความสะอาดทั่วไป
• ตรวจสอบรอยรั่วของท่อน้ำระบายความร้อนและอื่น ๆ
• ตรวจสอบน้ำมันหล่อลื่น
• ตรวจสอบเวลาและการทำงานของโปรแกรม
• ตรวจสอบ Valve ควบคุมน้ำระบายความร้อน ( Solenoid Valve)
• ตรวจสอบแบตเตอร์รี่และน้ำกลั่น
• ตรวจสอบระบบใน Function Test ประจำสัปดาห์
• ตรวจสอบระดับน้ำในหม้อน้ำ
• ตรวจสอบระดับน้ำมันเชื้อเพลิงในถังน้ำมัน
• ทำความสะอาดแผงระบายความร้อน(รังผึ้ง)
• ตรวจสอบชุด Battery charger
• ตรวจสอบรอยรั่วและซ่อมรอยรั่ว
• ตรวจสอบ Alarm gong และ Alarm Valve
• ตรวจสอบ Pressure gauge และแรงดันในระบบ
• ตรวจสอบการทำงานของ Jocky Pump
• ตรวจสอบหลอดไฟแสดงการทำงาน
• ตรวจสอบและทำงานความสะอาดไส้กรองอากาศ
• หล่อลื่นด้วยจารบี
• ทำความสะอาด Y-Strainer
• ตรวจสอบสนิมและทาสีป้องกันสนิม
• เปลี่ยนถ่ายน้ำมันหล่อลื่น
• เปลี่ยนไส้กรองอากาศ
• ตรวจเช็ค Mechanical Seal
• ตรวจสอบสภาพ และปรับตั้ง Alignment
3. Jocky Pump ซึ่งมีรายละเอียดการทำงาน ดังนี้
• ทำความสะอาดพื้นที่ และอุปกรณ์
• ตรวจสอบสภาพทั่วไป เช่น ความร้อน กลิ่น เสียง การสั่นสะเทือน
• ตรวจเช็คการรั่วของซีล
• ตรวจสอบ และบันทึกค่ากระแสไฟฟ้า
• ตรวจตำแหน่ง และการทำงานของ Valve
• ตรวจสอบระบบไฟฟ้าควบคุมการทำงานของ Valve
• ตรวจเช็คสภาพโดยทั่วไปของเกจวัด
• ตรวจสอบฟิวส์และอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ
• ตรวจสอบหลอดไฟแสดงการทำงาน
• ตรวจเช็คสภาพ Pressure gauge
• ตรวจสอบการทำงานของ Jocky Pump
• ทำการหล่อลื่นด้วยจารบี
• ตรวจสอบสนิมและทำสีป้องกัน
• ตรวจสอบและทำความสะอาด Strainer
• ตรวจสอบชุด Overload
• ตรวจสอบความแน่นของน็อตยึดฐานเครื่องจักร
• ตรวจสอบสภาพของฉนวน และการลงกราวด์ของมอเตอร์
• ตรวจเช็คขั้วต่อไฟฟ้า
• ตรวจสอบและปรับตั้ง Alignment

ทำไมต้องติดตั้งระบบแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้

|0 ความคิดเห็น
ทำไมต้องติดตั้งระบบแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้

1. เหตุเพลิงไหม้ เป็นภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้กับ ทุกๆสถานที่ และทุกๆเวลา
2. เหตุเพลิงไหม้ เป็นภัยร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่นาที
3. หากเกิดเหตุเพลิงไหม้มากกว่า 4 นาที ก็อยากที่จะระงับเหตุได้ทันการณ์
4. เพราะท่านไม่รู้ว่าสถานที่ของท่านจะเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นเพราะเหตุใด เกิดขึ้นเวลาใด
5. ค่าของความเสียหายที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้ นอกจากอาคารสถานที่จะเสียหายแล้ว ยังมีทรัพย์สินมีค่า
ต่างๆภายในอาคาร และอาจจะร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียชีวิตของผู้ที่อยู่ภายในอาคารสถานที่อีกด้วย


มาทำความรู้จัก "ไฟ" กันก่อน
ไฟ เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างมหาศาล เพราะไฟเป็นต้นกำเนิดของพลังงานต่างๆ
ที่มนุษย์นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ "ไฟ" ก็อาจก่อให้เกิดภัยอย่างมหันต์ได้ หากขาดความรู้ หรือ ขาดความระมัด
ระวังในการใช้ และการควบคุม ดูแลแหล่งกำเนิดไฟ ประชาชนทั่วไปควรรู้ภยันตรายจากไฟไหม้ เพื่อจะได้มีแผนการ
ควบคุมการใช้ไฟ การใช้ความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัย พร้อมทั้งเรียนรู้ถึงวิธีการป้องกัน และระงับเหตุ
การเกิดอัคคีภัย เพื่อลดภยันตรายที่จะเกิดขึ้น
สิ่งที่ควรรู้ได้แก่
- ภยันตรายจากไฟไหม้
- การป้องกัน ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การติดตั้งระบบแจ้งเตือนเหตุอัคคีภัย
- ระงับเหตุอัคคีภัย เช่น วิธีใช้เครื่องดับเพลิง , จดเบอร์โทรศัพท์สถานีดับเพลิงที่ใกล้ที่สุดเก็บไว้
- บัญญัติ 10 ประการในอาคารสูง
- ความรู้เบื้องต้นเพื่อพ้นอัคคีภัย และ ใช้แก๊สปลอดภัย 10 วิธี


ขั้นตอนทั้ง 4 เมื่อมีไฟไหม้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1 ไฟไหม้จะมีความมืดปกคลุม ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ความมืดนั้นอาจเนื่องจาก อยู่ภายในอาคารแล้ว
กระแสไฟฟ้าถูกตัด หมอกควันหนาแน่น หรือเป็นเวลากลางคืน
วิธีแก้ไข
- ติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ เพื่อให้ทราบเหตุตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ และแจ้งเตือนได้ทัน
- ติดตั้งถังดับเพลิง และเรียนรู้วิธีการใช้งานที่ถูกวิธี
- ติดตั้งอุปกรณ์ไฟส่องสว่างฉุกเฉิน ( Emergency Light ) ซึ่งทำงานได้ด้วยแบตเตอรี่ทันที ที่กระแส
ไฟฟ้าถูกตัด
- ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง เมื่อกระแสไฟฟ้าถูกตัด
- เตรียมไฟฉายที่มีกำลังส่องสว่างสูง ไว้ให้มีจำนวนเพียงพอในจุดที่สามารถนำมาใช้ได้สะดวก
- ฝึกซ้อมหนีไฟ เมื่อไม่มีแสงสว่าง ด้วยตนเองทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน ในโรงแรม หรือแม้แต่ในโรงพยาบาล
โดยอาจใช้วิธีฝึกหลับตาเดิน ( ครั้งแรกๆ ควรให้เพื่อนจูงไป ) และควรจินตนาการด้วยว่าขณะนี้กำลังเกิด
เหตุเพลิงไหม้


2 ไฟไหม้ จะมีแก๊สพิษและควันไฟ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุเพลิงไหม้ประมาณ ร้อยละ 90 % เป็นผลจากควันไฟ
ซึ่งมีทั้งก๊าซพิษ และทำให้ขาดออกซิเจน
วิธีแก้ไข
- ติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ เพื่อให้ทราบเหตุตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ และแจ้งเตือนได้ทัน
- ติดตั้งถังดับเพลิง และเรียนรู้วิธีการใช้งานที่ถูกวิธี
- จัดเตรียม หน้ากากหนีไฟฉุกเฉิน (Emergency smoke mask)
- ใช้ถุงพลาสติกใส ขนาดใหญ่ตักอากาศแล้วคลุมศีรษะหนีฝ่าควัน (ห้ามฝ่าไฟ)
- คืบ คลานต่ำ อากาศที่พอหายใจได้ยังมีอยู่ใกล้พื้น สูงไม่เกิน 1 ฟุต แต่ไม่สามารถ ทำได้เมื่ออยู่ในชั้นที่สูงกว่า
แหล่งกำเนิดควัน


3 ไฟไหม้ จะมีความร้อนสูงมากหากหายใจเอาอากาศที่มีความร้อน 150 องศาเซลเซียส เข้าไปท่านจะเสียชีวิตทันที
ในขณะที่เมื่อเกิดเพลิงไหม้แล้วประมาณ 4 นาทีอุณหภูมิจะสูงขึ้นกว่า 400 องศาเซลเซียส
วิธีแก้ไข
- ติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ เพื่อให้ทราบเหตุตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ และแจ้งเตือนได้ทัน
- ติดตั้งถังดับเพลิง และเรียนรู้วิธีการใช้งานที่ถูกวิธี
- ถ้าทราบตำแหน่งต้นเพลิงและสามารถระงับเพลิงได้ ควรระงับเหตุเพลิงไหม้ ด้วยความรวดเร็ว ไม่ควรเกิน 4 นาที
หลังจากเกิดเปลวไฟ ควรหนีจากจุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด ไปยังจุดรวมพล (Assembly Area)


4 ไฟไหม้ลุกลามรวดเร็วมาก เมื่อเกิดเปลวไฟขึ้นมาแล้ว ท่านจะมีเวลาเหลือ ในการเอาชีวิตรอดน้อยมาก
ระยะการเกิดไฟไหม้ มี 3 ระยะ ดังนี้
4.1 ไฟไหม้ขั้นต้น คือ ตั้งแต่เห็นเปลวไฟ จนถึง 4 นาที สามารถที่จะดับได้ โดยใช้เครื่องดับเพลิงเบื้องต้น แต่
ผู้ใช้จะต้องเคยฝึกอบรมการใช้เครื่องดับเพลิงมาก่อน จึงจะมีโอกาส ระงับเหตุ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.2 ไฟไหม้ขั้นปานกลาง ถึงรุนแรง คือ ระยะเวลาไฟไหม้ไปแล้ว 4 นาที ถึง 8 นาที อุณหภูมิจะสูงมากเกินกว่า
400 องศาเซลเซียส หากจะใช้เครื่องดับเพลิง เบื้องต้น ต้องมีความชำนาญ และ ต้องมีอุปกรณ์จำนวนมาก
เพียงพอ จึงควรใช้ระบบดับเพลิงขั้นสูง จึงจะมีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากกว่า
4.3 ไฟไหม้ขั้นรุนแรง คือ ระยะเวลาไฟไหม้ต่อเนื่องไปแล้ว เกิน 8 นาที และ ยังมีเชื้อเพลิงอีกมากมายอุณหภูมิ
จะสูงมากกว่า 600 องศาเซลเซียส ไฟจะลุกลามขยายตัวไป ทุกทิศทาง อย่างรุนแรง และ รวดเร็ว
การดับเพลิง จะต้องใช้ผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี พร้อมมีอุปกรณ์ในการระงับเหตุที่ดี และเพียงพอ
กับการระงับเหตุ ขั้นรุนแรง




สรุปการป้องกันเหตุ เพลิงไหม้ ที่ดีที่สุดคือ
- ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับ การป้องกันเหตุเพลิงไหม้
- หมั่นตรวจสอบ แหล่งจ่ายไฟต่างๆในสถานที่ และตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
- ติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเตือนเหตุอัคคีภัย ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของทาง NFPA และ ว.ส.ท. กำหนดไว้
- ติดตั้งถังดับเพลิง และศึกษาวิธีใช้งานอย่างถูกต้อง
- ติดตั้งอุปกรณ์ไฟส่องสว่างฉุกเฉิน ( Emergency Light ) ซึ่งทำงานได้ด้วยแบตเตอรี่ทันที ที่กระแสไฟฟ้าถูกตัด
- ฝึกซ้อมการอพยพ ออกจากสถานที่ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้
- เก็บทรัพย์สินมีค่า และเอกสารสำคัญ ไว้รวมกัน เมื่อเกิดเหตุจะได้เอาออกมาได้โดยง่าย


การดับไฟในครัวที่เกิดจากตั้งน้ำมันทิ้งไว้จนร้อนเกินไปในกระทะ หรือ ในหม้อ พอน้ำมันร้อนก็จะเกิด ไอน้ำมัน ขึ้น
ซึ่งถ้ามันระเหยไปสัมผัสกับ ไฟก้นกระทะ หรือ ไฟก้นหม้อ มันก็จะทำให้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมาใน กระทะ หรือ หม้อ
ดูตัวอย่างจาก คลิปวีดีโอ ด้านบน การเกิดเหตุอัคคีภัยในรูปแบบนี้ จะเกิดได้ทั้งไม่มีคนอยู่ และมีคนอยู่ ในที่เกิดเหตุ


วิธีดับไฟที่ดีที่สุดในกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม่แบบนี้ก็ คือ
1. อย่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ให้รีบตั้งสติให้เร็วที่สุด เวลาเจอเหตุการณ์ไฟไหม้แบบนี้
2. อย่าเอาน้ำไปสาดดับไฟที่เกิดขึ้น ในกระทะ หรือ ในหม้อ เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเป็นแบบใน คลิปวีดีโอ
ด้านบน คือ เปลวไฟจะพุ่งสูงขึ้น และ ไฟจะยิ่งลุกแรงขึ้นกว่าเดิม
3. ให้รีบไป ปิดวาล์ว ที่ เตาแก๊ส หรือ ถังแก๊ส ก่อนเป็นอันดับแรก
4. ให้หา ผ้าอะไรก็ได้ที่ผืนใหญ่หน่อย ไปชุบน้ำ แล้วรีบไปวางปิดคลุมที่ หม้อ หรือ กระทะ ที่เกิดไฟลุกไหม้
โดยจะต้องคลุมปิดให้มิดเลยนะครับ ดูภาพได้จาก คลิปวีดีโอ ด้านบน
5. ให้รอจนกว่า เปลวไฟ จะดับสนิทไปเอง
6. เปิดประตู และ หน้าต่าง ในห้องครัวให้หมด เพื่อไล่ควันที่อบอยู่ในห้องครัวออกไป
7. รีบไปแจ้งเพื่อนบ้านข้างเคียงให้ทราบเหตุ จะได้ไม่ตกใจไปกันใหญ่จนถึงขั้นเรียก รถดับเพลิง มาดับไฟ

ระบบป้องกันอัคคีภัย กับมาตรฐาน NFPA

|0 ความคิดเห็น
ระบบป้องกันอัคคีภัย กับมาตรฐาน NFPA

1) NFPA คืออะไร?
NFPA เป็นชื่อย่อของ National Fire Protection Association ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ
ปี ค.ศ. 1896 หรือ 108 ปีมาแล้ว เป็นองค์กรชั้นนำของโลกที่สนับสนุนกิจกรรม ด้านการ
ป้องกันอัคคีภัย สำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นองค์กรที่ประกอบกิจกรรมโดย
ไม่แสวงหาผลกำไร ( Non-Profit Organization ) มีสมาชิกรายบุคคลทั่วโลกกว่า
75,000 ราย และ มีองค์กรทางวิชาชีพ และ ทางการค้าระดับนานาชาติเป็นสมาชิกกว่า
80 องค์กร

ภารกิจหลักของ NFPA คือ จัดทำและสนับสนุนการกำหนดมาตรฐาน ที่พัฒนามาจากสถิติ และ
ข้อมูลความเสียหายจริงของชีวิตและทรัพย์สิน อันเนื่องมาจากอัคคีภัยและอุบัติภัยต่างๆ ด้วยวิธี
ประชามติ การวิจัย การฝึกอบรม และ การให้ความรู้ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะลดปัญหา และความ
สูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากอัคคีภัยและอุบัติภัยต่างๆ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรโลก

นอกจากนี้ NFPA ยังเป็นแหล่งรวมข้อมูลที่สำคัญด้านความปลอดภัยของสาธารณชน มาตรฐาน
ความปลอดภัยของ NFPA กว่า 300 ประเภท ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ และนำมาใช้
ในกระบวนการก่อสร้างและบริหารจัดการอาคารให้มีความปลอดภัย โดยครอบคลุมตั้งแต่การออก
แบบ ติดตั้ง ตรวจสอบ จนถึงการดับเพลิงเมื่อเกิดอัคคีภัย


2) การตรวจสอบระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัยสำคัญอย่างไร?
การบริหารจัดการอาคารให้ปลอดภัยจากอัคคีภัยนั้น นอกจากการออกแบบและการก่อสร้างที่ถูก
ต้องแล้ว ยังมีกระบวนการที่สำคัญอีกกระบวนการหนึ่งคือ การตรวจสอบระบบความปลอดภัยจาก
อัคคีภัยประจำอาคารโดยหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพหรือบุคคลากรที่ได้รับการอบรมฝึกฝน การ
ตรวจสอบระบบดังกล่าวต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริหารอาคารได้ทราบถึงสถานภาพ
ความพร้อมของระบบ เพื่อที่จะสามารถรักษาระดับความปลอดภัยของอาคารมิให้เสื่อมถอยลง


3) ประสิทธิภาพของระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัยที่เสื่อมถอยลงนั้น มีสาเหตุจากปัจจัยอะไรบ้าง? 
- นโยบายการบริหารที่ให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยต่ำ เมื่อเปรียบเทียบ
กับระบบอำนวยความสะดวก ระบบเทคโนโลยีอันทันสมัย และภาพลักษณ์ของอาคาร

- ระบบและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของอาคาร เสื่อมประสิทธิภาพไปตามระยะเวลา
- ระบบขาดการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธีและตามกำหนดเวลา อันเนื่องมาจากนโยบายการบริหาร
จัดการ และคุณภาพของบุคคลากรระดับช่างบำรุงรักษา


4) จากการสังเกตโดยทั่วไปจะทราบหรือไม่ว่าระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัยในอาคารมีความ
พร้อมและสามารถทำงานได้ขณะเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน?

ระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัยในอาคารจะทำงานเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น
การสังเกตุ อย่างผิวเผินโดยทั่วไปไม่สามารถที่จะทราบถึงสถานภาพความพร้อมในการ
ทำงานของระบบได้ ซึ่งแตกต่างจากระบบอื่นๆ เช่น ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง หรือ ระบบ
ปรับอากาศ ที่สามารถทราบถึงความบกพร่องได้เมื่อไฟดับหรือเครื่องปรับอากาศไม่เย็น
จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบ และทดสอบระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัยอย่างสม่ำเสมอ


5) ทำไมจึงไม่สามารถควบคุมการลุกลามของไฟและควันในกรณี “อัคคีภัยโรงแรมรอยัลจอม
เทียน” เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี จนทำให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ถึง 91 ศพ?

จากข้อมูลการสอบสวนของ NFPA พบว่า อาคารโรงแรมดังกล่าวเป็นอาคารที่มีการออกแบบ
และติดตั้งระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นกระบวนการปรกตื
ที่ไม่แตกต่างจากอาคารทั่วไป แต่ขาดการตรวจสอบ และ บำรุงรักษาระบบอย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้ระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัยดังกล่าวไม่ทำงานขณะเกิดเหตุ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แจ้งว่า
ไม่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัย และไม่มีน้ำในระบบดับเพลิง ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ไม่สามารถ
ควบคุมการลุกลามที่รวดเร็วของไฟได้ ทำให้เกิดความเสียหายทั้ง 91 ชีวิตที่มิอาจทดแทน และ
ธุรกิจที่กำลังดำเนินอยู่ต้องเสียหายและหยุดชะงักลง NFPA ได้สรุปและนำเสนอแนวทางแก้ไข
ปัญหาที่สำคัญข้อหนึ่งคือการตรวจสอบระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัยในอาคาร

ระบบป้องกันฟ้าผ่า

|0 ความคิดเห็น
ระบบป้องกันฟ้าผ่า

ระบบป้องกันฟ้าผ่ามีส่วนประกอบที่สำคัญๆ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนดังนี้
1.       หัวล่อฟ้า (Lightning Air-terminal)2.       ตัวนำลงดิน (Down Conductor/Down Lead)3.       แท่งกราวนด์ฟ้าผ่า (Lightning Ground)
1.  หัวล่อฟ้า ในกรณีที่เกิดฟ้าผ่าขึ้นหัวล่อฟ้าจะเป็นตำแหน่งที่เราต้องการให้ฟ้ามาผ่าลง ดังนั้นหัวล่อฟ้าจึงควรติดอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้  เช่น อยู่เหนือจากจุดที่สูงที่สุดของอาคาร ( เสาอากาศทีวี, เสาอากาศวิทยุ, แท๊งค์น้ำ ฯลฯ ) ขึ้นไปอย่างน้อย 2 เมตร (ตามมาตรฐานของบริษัทสตาบิล)   ตัวหัวล่อฟ้าควรทำด้วยโลหะที่มีคุณสมบัติการเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทนต่อการหลอมละลาย เช่น แท่งทองแดง แท่งสเตนเลส แท่งทองแดงชุบดีบุก แท่งเหล็ก หรือวัสดุตัวนำอื่นๆ ซึ่งการพิจารณาวัสดุที่นำมาใช้ สามารถพิจารณาได้จากพื้นที่ที่ติดตั้ง  เช่น กรณีอยู่ใกล้ทะเลควรใช้วัสดุที่สามารถทนการกัดกร่อนได้ดี หรือพิจารณาจากงบประมาณที่ตั้งไว้เป็นต้น การติดตั้งหัวล่อฟ้าจะต้องไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของหัวล่อฟ้าเชื่อมต่อกับตัวอาคาร ทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบจากฟ้าผ่าที่อาจเกิดขึ้นกับตัวอาคารและระบบไฟฟ้าในอาคารของท่าน  ตัวหัวล่อฟ้าควรมีลักษณะเป็นปลายแหลม เนื่องจากจะมีคุณสมบัติในการถ่ายเทประจุไฟฟ้าในอากาศได้ดี และควรมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 3/8 นิ้ว ยาวไม่น้อยกว่า 10 นิ้ว ( ตามมาตรฐาน UL96)  ทั้งนี้เพื่อให้สามารถรองรับกระแสฟ้าผ่าขนาดใหญ่ได้ดี
2.  ตัวนำลงดิน ควรใช้สายตัวนำที่มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้าได้ดี ทนต่อการหลอมละลาย เช่นสายไฟ THW,  สายทองแดงเปลือย, สายเหล็ก หรือสายตัวนำอื่นๆ ขนาดพื้นที่หน้าตัดไม่น้อยกว่า 70 มม2.(ตามมาตรฐานของบริษัทสตาบิล)  ซึ่งการพิจารณาวัสดุที่นำมาใช้ สามารถพิจารณาได้จากพื้นที่    เช่นกรณีอยู่ใกล้ทะเลควรใช้วัสดุที่สามารถทนการกัดกร่อนได้ดี พิจารณาจากความยากง่ายในการติดตั้ง และจากงบประมาณที่ตั้งไว้เป็นต้น การต่อลงดินควรหาแนวเดินสาย ( จากหัวล่อฟ้าจนถึงแท่งกราวนด์ฟ้าผ่า ) ที่สั้นที่สุดและเป็นแนวเส้นตรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้เพื่อลดการเกิด Flash over เข้าบริเวณด้านข้างของอาคาร การต่อสายตัวนำลงดินควรใช้ Down-lead Support ชนิดลูกถ้วย Ceramic ในการยึดสาย ทั้งนี้เพื่อให้ระบบนำลงดิน แยกจากตัวอาคารได้อย่างแท้จริง
 3. แท่งกราวนด์ฟ้าผ่า ท่านสามารถดูได้จากกระทู้ก่อนหน้านี้ ในหัวข้อเรื่อง กราวนด์ลึกมีหลักการทำงานอย่างไรในปัจจุบันหัวล่อฟ้าที่ใช้กันอยู่ในท้องตลาดมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น หัวล่อฟ้าแบบ Faraday, หัวล่อฟ้าแบบ Early Streamer Emission, หัวล่อฟ้าแบบ Radio Active, หัวล่อฟ้าแบบร่ม และหัวล่อฟ้าแบบอื่นๆ เป็นต้น   ซึ่งตามที่บริษัท สตาบิล จำกัด ได้กล่าวมาข้างต้น และจะขอแนะนำนั้น เป็นหัวล่อฟ้าแบบ Faraday ซึ่งหัวล่อฟ้าแบบ Faraday นี้ เป็นหัวล่อฟ้าแบบที่สามารถใช้งานได้ดี  มีราคาถูก และเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายโดยทั่วไป มีมุมในการป้องกันฟ้าผ่าโดยเฉลี่ยประมาณ 45 องศา ( วัดจากปลายสุดของหัวล่อฟ้า ) จากประสบการณ์ของบริษัทสตาบิลที่ผ่านมาพบว่า การนำหัวล่อฟ้าแบบ Faraday มาต่อใช้งานร่วมกับระบบกราวนด์ฟ้าผ่าแบบกราวนด์ลึก จะทำให้ประสิทธิภาพและมุมในการป้องกันฟ้าผ่ามีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากหัวล่อฟ้าจะสามารถถ่ายเทประจุไฟฟ้าระหว่างดินและประจุไฟฟ้าในอากาศผ่านแท่งกราวนด์ฟ้าผ่าแบบกราวนด์ลึกได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
การติดตั้งระบบป้องกันฟ้าผ่า จุดเชื่อมต่อทุกจุด เช่น ระหว่างหัวล่อฟ้ากับสายตัวนำลงดิน  และระหว่างสายตัวนำลงดินกับแท่งกราวนด์ฟ้าผ่า จะทำการเชื่อมต่อด้วยวิธีหลอมละลายเนื้อโลหะเข้าด้วยกัน ( Exothermic Welding ) ซึ่งการเชื่อมต่อด้วยวิธีหลอมละลายเนื้อโลหะเข้าด้วยกันนี้ จะทำให้การถ่ายเทกระแสฟ้าผ่า ซึ่งเป็นกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ในระยะเวลาอันสั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงทำให้การเกิดผลกระทบจากฟ้าผ่าต่อตัวอาคารและระบบไฟฟ้าในอาคารของท่านลดน้อยไปด้วยเช่นกัน
รายการที่ควรตรวจสอบระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า
1. ปลายแหลมของหัวล่อฟ้า (SPIKE) ควรขัดทำความสะอาด AIR TIP และเช็คสภาพหัวล่อฟ้า
2. หัวล่อฟ้า (AIR TERMINAL DYNASPHER) ควรวัดค่าความต้านทาน ความเป็ฯฉนวนเพื่อดูว่า HI IMPEDANT ยังมีค่าปกติหรือไม่
3. เสา-ฐานเสา-กล่องวัดค่ากราวด์ (MAST/POLE STEEL/TEST BOX) ควรตรวจสอบสภาพการถูกการกัดกร่อน และควรทาสีเพื่อความเรียบร้อยและสวยงาม
4. สลิง-ตัวยึดสลิง (SUPPORT/GUY WIRE) ควรตรวจสอบความแข็งแรงของสลิงที่ยึดเสาว่ามีความแข็งแรงเพียงพอต่อการต้านลมหรือไม่
5. สายนำลงดิน (INSULATION OF DOWN CONDUCTOR) ควรตรวจสอบสภาพ DOWN CONDUCTOR
6. ตัวยึดสายนำลงดิน (DOWN CONDUCTOR FIXING) ควรตรวจสอบความแข็งแรงและความเรียบร้อยของท่อร้อยสายไฟ
7. จุดตรวจสอบของค่าความต้านทาน (TEST CLAMP) ควรทำความสะอาดและตรวจสอบความแข็งแรงของจุดต่อ
8. เครื่องนับจำนวนครั้งฟ้าผ่า (STROKE COUNTER) ควรตรวจสอบการทำงานของ COUNTER
9. วัดความต้านทาน (EARTH RESISTANCE) ควรวัดค่าความต้านทานลงดิน
10. เปลี่ยนซิลิโคน (SEALING) ควรเปลี่ยนซิลิโคนใหม่ หากมีการชำรุดเสียหาย หรืออยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ
ขั้นตอนการตรวจเช็คระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า (Early Stremer Emission) 
1. ตรวจวัดค่าความเป็นฉนวนของตัว Air Terminal ว่าอยู่ในสภาพปกติหรือไม่
2. ตรวจเช็คสาย Down Conductor จากตำแหน่งหัวล่อฟ้าจนถึง Ground Test Box ว่าสายขาดหรือไม่
3. วัดค่ากราวด์ของระบบว่าได้ค่ามาตรฐานหรือไม่ คือต้องได้ค่าไม่เกิน 5 โอห์ม
4. ทดสอบการทำงานตัวนับจำนวนฟ้าผ่า (Event Counter)
5. Seal Siliocone ระหว่างเสากับหลังคาเพื่อป้องกันน้ำรั่ว
6. ทดสอบในส่วนของอุปกรณ์ป้องกันน้ำรั่วโดยการใช้น้ำราด


Fire Alarm System

|0 ความคิดเห็น
Fire Alarm System

ขั้นตอนทั้ง 4 เมื่อมีไฟไหม้ มีรายละเอียดดังนี้
1 ไฟไหม้จะมีความมืดปกคลุม ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ความมืดนั้นอาจเนื่องจาก อยู่ภายในอาคารแล้ว กระแสไฟฟ้าถูกตัด หมอกควันหนาแน่น หรือเป็นเวลากลางคืน
2 ไฟไหม้ จะมีแก๊สพิษและควันไฟ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุเพลิงไหม้ประมาณ ร้อยละ 90 % เป็นผลจากควันไฟ ซึ่งมีทั้งก๊าซพิษ และทำให้ขาดออกซิเจน
3 ไฟไหม้ จะมีความร้อนสูงมากหากหายใจเอาอากาศที่มีความร้อน 150 องศาเซลเซียส เข้าไปท่านจะเสียชีวิตทันที ในขณะที่เมื่อเกิดเพลิงไหม้แล้วประมาณ 4 นาทีอุณหภูมิจะสูงขึ้นกว่า 400 องศาเซลเซียส
4 ไฟไหม้ลุกลามรวดเร็วมาก เมื่อเกิดเปลวไฟขึ้นมาแล้ว ท่านจะมีเวลาเหลือ ในการเอา ชีวิตรอดน้อยมาก
ระยะการเกิดไฟไหม้ มี 3 ระยะ ดังนี้
4.1 ไฟไหม้ขั้นต้น คือ ตั้งแต่เห็นเปลวไฟ จนถึง 4 นาที สามารถที่จะดับได้ โดย ใช้เครื่องดับเพลิงเบื้องต้น แต่ ผู้ใช้จะต้องเคยฝึกอบรมการใช้เครื่องดับเพลิงมาก่อน จึงจะมีโอกาส ระงับ เหตุ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.2 ไฟไหม้ขั้นปานกลาง ถึงรุนแรง คือ ระยะเวลาไฟไหม้ไปแล้ว 4 นาที ถึง 8 นาที อุณหภูมิจะสูงมากเกินกว่า 400 องศาเซลเซียส หากจะใช้เครื่องดับเพลิง เบื้องต้น ต้องมีความ ชำนาญ และ ต้องมีอุปกรณ์จำนวนมาก เพียงพอ จึงควรใช้ระบบดับเพลิงขั้นสูง จึงจะมีความปลอดภัย และมี ประสิทธิภาพมากกว่า
4.3 ไฟไหม้ขั้นรุนแรง คือ ระยะเวลาไฟไหม้ต่อเนื่องไปแล้ว เกิน 8 นาที และ ยังมีเชื้อเพลิงอีกมากมายอุณหภูมิ จะสูงมากกว่า 600 องศาเซลเซียส ไฟจะลุกลามขยายตัวไป ทุกทิศทาง อย่างรุนแรง และ รวดเร็ว การดับเพลิง จะต้องใช้ผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี พร้อมมีอุปกรณ์ ในการระงับเหตุที่ดี และเพียงพอ กับการระงับเหตุ ขั้นรุนแรง
สรุปการป้องกันเหตุ เพลิงไหม้ ที่ดีที่สุดคือ
- ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับ การป้องกันเหตุเพลิงไหม้
- หมั่นตรวจสอบ แหล่งจ่ายไฟต่างๆในสถานที่ และตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
- ติดตั้งระบบสัญญาณแจ้งเตือนเหตุอัคคีภัย ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของทาง NFPA และ ว.ส.ท. กำหนดไว้
- ติดตั้งถังดับเพลิง และศึกษาวิธีใช้งานอย่างถูกต้อง
- ติดตั้งอุปกรณ์ไฟส่องสว่างฉุกเฉิน ( Emergency Light ) ซึ่งทำงานได้ด้วยแบตเตอรี่ทันที ที่ กระแสไฟฟ้าถูกตัด
- ฝึกซ้อมการอพยพ ออกจากสถานที่ เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้
- เก็บทรัพย์สินมีค่า และเอกสารสำคัญ ไว้รวมกัน เมื่อเกิดเหตุจะได้เอาออกมาได้โดยง่าย

การเกิดอัคคีภัยก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากในขณะที่เริ่มเกิดเหตุเพลิงไหม้จะไม่มีคนอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เกิดเหตุ หรือเกิดในบริเวณที่ไม่มีคนมองเห็นได้ การติดตั้งระบบอุปกรณ์สัญญาณแจ้งเตือนเหตุอัคคีภัยนี้จะช่วยลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินต่าง ๆ ภายในอาคารสถานที่ได้เป็นอย่างดี
 

ปัญหาที่มาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของการวางแท็งค์น้ำ

|0 ความคิดเห็น
ปัญหาที่มาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของการวางแท็งค์น้ำ
ยังมีสาเหตุอีกหลากหลายประการที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ต่ออาคารบ้านเรือนซึ่งถือว่าเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของวิศวกรหรือสถาปนิกที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นเพราะจะเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอีกมาก เช่น การนำแท็งค์น้ำไปวางบนพื้นที่ไม่ได้ถูกออกแบบให้รับน้ำหนักเอาไว้ นำตู้หนังสือหลาย ๆ ชั้นไปวางในห้อง การเสริมชั้นลอย ตัดเสา เหล่านี้เป็นต้นครับ

โดยทั่วไปแล้วอาคารต่าง ๆ จะถูกออกแบบเพื่อการใช้งานเฉพาะอย่าง เช่น เป็นที่อยู่อาศัย เป็นสำนักงาน อาคารจอดรถ หรือ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ซึ่งอาคารแต่ละประเภทก็จะมีลักษณะเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกันไป อีกทั้งความแข็งแรงของวัสดุที่เลือกใช้ก็มีความแตกต่างกันด้วย อย่างเช่น ในการออกแบบพื้นบ้านเพื่อเป็นที่พักอาศัยนั้นจะเน้นที่ความแข็งแรง ทนทานเช่นกันแต่ก็น้อยกว่าพื้นของโรงงาน เพราะพื้นของโรงงานจะมีรูปแบบสำหรับใช้งานเพื่อรองรับน้ำหนักบรรทุกมากกว่า อีกทั้งขนาดเสา คาน หรือโครงสร้างก็จะต้องมีขนาดใหญ่กว่าบ้านพักอาศัย
นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่อาจก่อให้เกิดปัญหาได้ หากในการออกแบบหรือการก่อสร้างไม่ได้คำนึงถึงวัสดุในการก่อสร้างเพื่อประโยชน์ใช้สอยที่จำเป็นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน หรือ อาคารเพื่อการประกอบธุรกิจใด ๆ ก็ตามแล้วผลกระทบที่ตามมาก็ย่อมก่อให้เกิดการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเพื่อความสมบูรณ์แบบต่อไป เช่น การดัดแปลงอาคารพาณิชย์สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยให้เป็นที่เก็บของโดยไม่มีการปรึกษาวิศวกรหรือผู้ที่มีความชำนาญเสียก่อน เช่น การเสริมชั้นลอย ตัดเสา (อันตรายมากอย่ากระทำโดยพลการอย่างเด็ดขาด) การใช้พื้นสำเร็จรูปทำเป็นพื้นห้องน้ำ พื้นดาดฟ้าซึ่งเป็นพื้นถ่ายน้ำหนักทางเดียวแทนที่พื้นหล่อในที่ซึ่งเป็นการออกแบบให้กระจายน้ำหนักทุกทิศทางการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเป็นผลให้โครงสร้างอาคารที่ออกแบบไว้นั้นถูกเปลี่ยนแปลง โดยอาจจะต้องรับน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าที่ออกแบบไว้เป็นผลกระทบที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนประกอบของอาคารได้
ตัวอย่างของการนำแท็งก์น้ำไปไว้บนบ้าน หรือ ดาดฟ้าโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง เพราะปกติน้ำ 1 ลบ.ม. หรือ คิวนั้น จะหนักมากถึง 1 ตัน (1,000 กิโลกรัม) ถ้าเรานำแท็งก์น้ำขนาด 1x1x1 ม. ซึ่งหนักถึง 1,000 กิโลกรัมไปวางไว้ ในขณะที่พื้นบ้านหรือดาดฟ้าโดยทั่วไปนั้น ถูกออกแบบให้รับน้ำหนักได้เพียง 200 กิโลกรัม / ตารางเมตร เท่านั้นก็เท่ากับว่าน้ำหนักของน้ำนั้นเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า เมื่อน้ำหนักของน้ำนั้นมีมากเกินมาตรฐานที่ออกแบบไว้ ทำให้พื้นคานและเสา ต้องรับน้ำหนักมากผิดปกติ เกิดการแตกร้าวเกิดเป็นช่องว่างให้ความชื้นสามารถเข้าได้ หรือน้ำซึมผ่านถึงพื้น คานโก่ง เกิดปัญหาเรื่องสนิมของเหล็ก และปัญหาท่อรั่วตามมาอีกมาก ถ้าเป็นพื้นดาดฟ้าอาจจะทำให้พื้นเป็นแอ่งได้ และเนื่องจากดาดฟ้าจะต้องโดนทั้งแดดและฝน ซึ่งกลางวันแดดจะเผาทำให้คอนกรีตขยายตัวที่ผิวบน ตกกลางคืน อากาศเย็นตัวลงคอนกรีตจะหดตัวกลับ ผ่านการใช้งานที่อยู่ในอาการเช่นนี้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานคอนกรีตที่ผิวบนก็จะเริ่มเสื่อมสภาพลง แตกเป็นลายงา น้ำจะซึมตามรอยแตกไปถึงเนื้อเหล็กเสริมได้ ก่อให้เกิดสนิมจนพังทลายลงมาได้ในที่สุด
ก็ลองกลับไปสำรวจที่บ้านของท่านดูนะครับว่า กำลังมีการต่อเติมหรือปรับปรุงบ้านที่ผิดประเภทอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจก็รีบให้สถาปนิกหรือวิศวกรที่มีความรู้ความชำนาญมาตรวจสอบดูแลความถูกต้องให้ อย่าให้ความโลภหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มาทำลายบ้านอันเป็นทั้งที่รักและที่พักของท่านเลยนะครับ
 

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Legend Marking, Stencil Method

|0 ความคิดเห็น
Legend Marking, Stencil Method

Baking and Preheating

|0 ความคิดเห็น
Baking and Preheating

Outline
This procedure covers baking and preheating of printed boards and printed board assemblies to prepare the product for the subsequent operations. Included are steps for:
  1. Baking
    Baking is used to eliminate absorbed moisture. Whenever possible circuit boards and circuit board assemblies should be baked prior to soldering, unsoldering and coating operation to prevent blistering, measling or other laminate degradation.
  2. Preheating
    Preheating is used to promote the adhesion of subsequent materials to the board surfaces and to raise the temperature of the circuit board to allow soldering and unsoldering operations to be completed more quickly.
  3. Auxiliary Heating
    Auxiliary heating is the addition of a second source of heat. This can be from a hot air tool, or from a second
    soldering station. A common application is to provide additional heat when removing through hole components that may have connections to internal power or ground planes.
  4. Thermal Profiles
    Ball Grid Array, Chip Scale Packages, and Flip Chip Packages may require the development of "Time Temperature Profiles" to remove or install these devices.
Caution
Baking and preheating procedures must be carefully selected to ensure that temperature and time cycles used do not degrade the product. Environmental conditions must also be carefully considered to ensure that vapors, gases, etc., generated during the heating process do not contaminate the product's surfaces.

Caution
Some manufacturers of ceramic chip capacitors recommend that the Preheat Ramp Rate not exceed 2-4 �C/Sec.

Caution
To prevent fluxes or other contaminates from being baked onto the board surface, thoroughly clean the board or assembly prior to baking or preheating.

Epoxy Mixing and Handling - Prepackaged Two Part Epoxy

|0 ความคิดเห็น
Epoxy Mixing and Handling - Prepackaged Two Part Epoxy
For prepackaged epoxy, remove divider clip and mix resin and hardener inside package.

Figure 1: For prepackaged epoxy, remove divider clip and mix resin and hardener inside package.



1.
Remove the clip separating the resin and hardener. Mix by squeezing both halves together with your fingers. Mix for at least one minute to ensure a complete mix of the resin and activator. (See Figure 1).
 
2.
Cut open one end of the epoxy tube and squeeze the contents into a mixing cup. Mix again with a mixing stick to ensure a thorough mixture of the resin and hardener.
Apply epoxy as needed.

Figure 2: Apply epoxy as needed. Foam swabs may be used to add texture for soldermask repair.

Note
For bubble free epoxy, remove the clip separating the resin and hardener. Cut open one end of the Epoxy tube and squeeze the contents into a mixing cup. Slowly stir the mixture with the mixing stick. Be sure to stir the mixture for at least 2 minutes to ensure that all the resin and hardener have completely mixed.
3.
If needed, add color agent to the mixed epoxy. Stir slowly to prevent bubbles.
 
4.
Apply or use as needed. (See Figure 2
 
5.
Cure the epoxy for 24 hours at room temperature or 1 hour @ 165�F (74�C)
 
Evaluation
 
1.
Visual examination of epoxy for texture and color match.
 
2.
Testing of epoxy surface for complete cure.
 
3.
Electrical tests as applicable.

Coating Replacement, Solder Mask

|0 ความคิดเห็น
Coating Replacement, Solder Mask
For large surfaces, apply the replacement coating with a foam swab to create a texture.


 

1.
Clean the area.

Caution
Surfaces to be coated must be thoroughly cleaned prior to coating to ensure adequate adhesion, minimized corrosion, and optimized electrical properties.
 
2.
If needed, apply Kapton tape to outline the area where the soldermask will be applied.
3.
Mix the epoxy or replacement coating. If desired, add color agent to the mixed epoxy to match the circuit board color.
 
4.
Apply the replacement coating to the board surface as required. A brush or foam swab may be used to apply and spread the epoxy or replacement coating. (See Figure 1).
 
5.
Cure the epoxy per Procedure 2.7 Epoxy Mixing and Handling.

Caution
Some components may be sensitive to high temperature.
 
Evaluation
 
1.
Visual examination for texture, color match, adhesion and coverage.
 
2.
Electrical tests to conductors around the repaired area as applicable.
 

Solid Capacitor คืออะไร

|0 ความคิดเห็น
Solid Capacitor คืออะไร

Solid Capacitor เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตัวหนึ่งที่พูดถึงกันมากในวงการคอมพิวเตอร์
ที่เห็นกันมากที่สุดในปัจจุบันก็คือการนำไปใช้งานบนเมนบอร์ด, กราฟฟิคการ์ด รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ

ตัวอย่างเมนบอร์ดที่ใช้ solid capacitor (เฉพาะภาคจ่ายไฟ)



และด้วยความสงสัยส่วนตัวว่า Solid Capacitor มีดีอะไร? ทำไมถึงถูกนำมาใช้กันอย่างมากมาย?
หรือแค่เป็นตัวช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าอย่างนึง ? ด้วยความสงสัยแบบนี้ผมก็เลยหาข้อมูลเกี่ยวกับ
solid capacitor ซึ่งก็พบคำตอบของคำถามหลายๆ ข้อ ... ก็ขอนำมาแชร์กันในบอร์ดครับ

Solid Capacitor หรือ Solid Polymer Aluminum Capacitor หรืออาจจะเีรียกเต็มๆ ยศก็คือ
Conductive Polymer Aluminum Solid Capacitor ซึ่ง solid capacitor ก็คือตัวเก็บประจุชนิดหนึ่ง
ที่มีหน้าตาแบบข้างล่างนี้ ...



หลายต่อหลายคนก็อาจจะยังงงๆ อยู่ว่า " แล้วก่อนที่จะเป็น solid capacitor เค้าใช้อะไรกัน? "

ตอบ : ก่อนที่จะเป็น solid capacitor ก็คือ electrolytic capacitor ครับ (หน้าตาตามรูปข่างล่าง)




Electrolytic Capacitor

เอาหละ .. ก่อนจะไปถึงรายละเอียดของ solid capacitor ขอยกคำโฆษณาของเมนบอร์ดรายหนึ่ง
ที่บอกว่า " solid capacitor มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า electrolytic capacitor "

ทำไมคำโฆษณานี้ถึงถูกนำมาใช้? .... แสดงว่าของแบบนี้มันมีประวัตศาสตร์!!!



ประวัตศาสตร์ที่ว่าก็คือ ...

เมื่อก่อนนั้นตัวเก็บประจุ หรือ capacitor บนเมนบอร์ดส่วนใหญ่จะเป็นแบบ electrolytic capacitor
ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่พบว่า electrolytic capacitor บนเมนบอร์ดหลายรุ่นจากหลายยี่ห้อเกิด " บวม "
หรือ " ระเบิด " ก็มีให้เห็นกันมาแล้ว โดยอาการเสียของตัวเก็บประจุบนแบ่งได้ 3 รูปแบบดังนี้



เมนบอร์ดที่โด่งดัง หรือจะพูดว่าขึ้นชื่อในเรื่องตัวเก็บประจุบวมก็คือ ABIT แต่จากการหาข้อมูล
พบว่าแ้ม้แต่ Asus, Gigabyte, MSI ก็พบอาการตัวเก็บประจุบวมทั้งนั้น

แล้วสาเหตุอะไรหละที่ทำให้ Electrolytic capacitor เกิดอาการบวมหรือระเบิด?

ก่อนอื่นต้องมาดูโครงสร้างของ Electrolytic capacitor กันก่อน ... จากรูปข้างล่างคือ
basic capacitor ซึ่งประกอบด้วยแผ่นตัวนำ 2 แผ่น ที่ถูกคั่นกลางด้วยไดอิเล็กทริค
ซึ่งผมจะไม่ขอพูดถึงรายละเอียด ที่มาที่ไป และการคำนวนค่าความจุครับ .... ^_^
แค่จะบอกว่า electrolytic capacitor มีโครงคล้ายกับ basic capacitor มาก



ทีนี้มาดูโครงสร้างของ Electrolytic Capacitor ของจริงกัน ...



นี่แหละหน้าตาของ Electrolytic Capacitor .. ดูแบบนี้อาจจะงงว่าอะไรม้วนๆ ????????
จริงแล้วก็ไม่มีอะไร ก็แค่จับ basic capacitor ม้วนก็จะได้เป็น electrolytic capacitor แล้ว
เพียงแต่ไดอิเล็กทริคจะต่างไปคือใช้กระดาษบางๆ(tissue)ชุบสารอิเล็กโตรไลท์แทนที่จะเป็นอากาศ
สาเหตุที่ทำให้ Electrolytic Capacitor บวมและระเบิด!!
ง่ายๆได้ใจความ...

" ผู้ผลิตเมนบอร์ดหรือกราฟฟิคการ์ดเลือกใช้ Electrolytic Capacitor ที่มีคุณภาพไม่ดี(ห่วย) "

Electrolytic Capacitor ที่มีคุณภาพไม่ดีก็คือมีน้ำเป็นส่วนผสมอยู่ในสารอิเล็กโตรไลท์ เมื่อน้ำปะปน
อยู่ในสารอิเล็กโตรไลท์จะทำให้ตัวเก็บประจุไม่เสถียร ทำให้ตัวเก็บประจุ leak และ brake down
ทำให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนขึ้นในตัวถังของตัวเก็บประจุ และเกิดแรงดันทำให้ตัวเก็บประจุบวมและระเบิด

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ Electrolytic Capacitor เสียหายก็คือความร้อน ซึ่งเกิดจากรอบข้าง
โดยตัวไปของการจัดวางอุปกรณ์บนเมนบอร์ดตัวเก็บประจุ ขดลวด และมอสเฟตมักจะวงอยู่ใกล้กัน
ตัวเก็บประจุคุณภาพไม่ดีเมื่อใช้ไปสักระยะค่าความจุจะลดลงและ ESR* จะมีค่ามากขึ้น

( ESR หรือ equivalent series resistance คือ ค่าความต้านทานอนุกรมภายในของตัวเก็บประจุ)

เมื่อค่าความจุลดลงและ ESR มีค่ามากขึ้นทำให้ภาคควบคุมของวงจรสวิชชิ่งเพิ่มความถี่ในการสวิตช์
เพื่อชดเชยไฟขาออกให้ได้ตามที่กำหนดไว้ ส่งผลให้มอสเฟตมีความร้อนสูงขึ้นเนื่องจากต้องสวิตช์
ความถี่มากขึ้น ความร้อนจากมอสเฟตมีส่วนทำให้คุณสมบัติต่างๆ ของตัวเก็บประจุผิดเพี้ยนไป เช่น
ค่า ESR เพิ่มมากขึ้น, ค่า EPR ลดลง ส่งผลให้ภายในตัวเก็บประจุ leak มากขึ้นแก๊สไฮโดรเจนเกิด
มากขึ้นและความร้อนทำให้แก๊สขยายตัวมากขึ้น

... ท้ายที่สุดคือระเบิด!!

ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ยุคหลังๆ ผู้ผลิตเมนบอร์ดหันมาใส่ใจกับคุณภาพของ electrolytic capacitor มากขึ้น


Solid Capacitor

มาถึงคราว Solid Capacitor กันบ้าง

โครงสร้างของ Solid Capacitor อธิบายแบบง่ายๆ ก็คือการเปลี่ยนโครงสร้างภายในของ Electrolytic capacitor
ที่เป็นกระดาษบางๆชุบสารอิเล็กโตรไลท์เป็นโพลิเมอร์ (highly conductive polymer)

ข้อดีของ Solid Capacitor ...

ESR ต่ำ : อย่างที่อธิบายไปก็คือค่าความต้านทานอนุกรมภายในของตัวเก็บประจุ ซึ่งยิ่งมีค่าน้อย
จะยิ่งดี (ESR มีผลต่อค่าการตอบสนองของตัวเก็บประจุ) ซึ่งค่า ESR จะมีผลอย่างมากต่อวงจร
DC to DC convertor ซึ่งมีอยู่บนเมนบอร์ดทุกตัว ยิ่ง ESR น้อยจะยิ่งทำให้ภาคจ่ายไฟของเมนบอร์ด
มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ค่า Time Constant ลดลง : ข้อดีข้อนี้เป็นผลพวงจากค่า ESR ที่น้อยลง ทำให้ค่า Time Constant
มีค่าน้อยตามลงไปด้วย ผลคือทำให้ัตัวเก็บประจุตอบสนองได้ไวขึ้น หรือชาร์จและึคายประจุได้เร็วขึ้นนั่นเอง

ไม่ระเบิด : อันนี้เป็นข้อดีแบบสุดๆ ของ solid capacitor ไม่ว่าจะด้วยการช๊อต ไฟเกิน ความร้อน
เนื่องจากคุณสมบัติของ polymer ที่เมื่อเกิดความร้อน(จากการช๊อตหรืออะไรก็ตาม)ความร้อนจะ
ทำให้สารประกอบของ polymer มีความต้านทานสูงขึ้นทำให้กระแสไหนน้อยลง (คล้ายกับการลด
กระแสเมื่อความร้อนสูงของมอสเฟต)




สรุป
>> Solid Capacitor มีข้อดี ESR ต่ำ, ไม่ระเบิด

>>
Solid Capacitor จำเป็นกับการใช้งานที่มีความถี่สูงโดยเฉพาะภาคจ่ายไฟของเมนบอร์ดและกราฟฟิคการ์ด
>> เมนบอร์ดที่ดีไม่จำเป็นต้อง All Solid Capacitor
>> Solid Capacitor ห่วยๆ ก็มี

>> เมนบอร์ดไม่จำเป็นต้องใช้
Solid Capacitor เสมอไปแต่สามารถใช้ Electrolytic Capacitor คุณภาพสูงแทนได้

>>
Solid Capacitor มีผลต่อการ overclock แต่ไม่ทั้งหมด

>>
Solid Capacitor อายุการใช้งานนานจริง แต่คุณจะใช้เมนบอร์ดนานขนาดนั้นเหรอ(10ปี)?

>> ซื้อเมนบอร์ดไม่ต้องสนใจว่า
Solid Capacitor หรือไม่ ให้ดูผู้ผลิต
ปล. หากผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้ด้วย

ตัวเก็บประจุ,คาปาซิเตอร์ (Capacitor)

|0 ความคิดเห็น
ตัวเก็บประจุ,คาปาซิเตอร์ (Capacitor)
ตัวเก็บประจุ , คาปาซิเตอร์ (Capacitor) หรือ ตัว C ที่เรานิยมเรียกกัน ตัวเก็บประจุจะทําหน้าที่เก็บ
ประจุไฟฟ้าและคายประจุไฟฟ้า โดยจะว่าไปแล้วตัวเก็บประจุทําหน้าที่คล้ายกับแบตเตอรี่ แต่จะเก็บ
กระแสไฟฟ้า ได้น้อยกว่าและจะจ่ายกระแสไฟฟ้าไฟฟ้าได้เร็ว กว่า
โดยตามโครงสร้างแล้วตัวเก็บประจุจะประกอบด้วยแผ่นตัวนําวางประกบกันโดยเว้น ระยะห่างของ
แผ่นตัวนําโดยภายในจะมีสารไดอิเล็กตริกอยู่ เราจึงนิยมมักเห็นตัวเก็บประจุอยู่ในวงจร
อิเล็กทรอนิกส์เสมอ นอกจากเราจะใช้ตัวเก็บประจุ เก็บและคายประจุให้วงจรอิเล็กทรอนิกส์แล้วเรา
ยังใช้ตัวเก็บประจุ ในวงจรกรองความถี่ได้อีกด้วย หน่วยของตัวเก็บประจุเรียก ว่า F (ฟารัส)
10uF(10ไมโครฟารัส) 0.01uF (0.01ไมโครฟารัส) เป็นต้น ซึ่งการอ่านค่าและ การแปลงหน่วยจะ
กล่าวถึงในส่วนต่อไป

ชนิดของตัวเก็บประจุ
ตัวเก็บประจุเองนั้นสามารถแบ่งออกได้หลายชนิดเช่น แบ่งตามการใช้งานตามขั้วไฟฟ้าจะมีตัวเก็บ
ประจุแบบมีขั้ว ( คือต้องต่อให้ถูกขั้วจึงจะทํางาน) และตัวเก็บประจุไม่มีขั้ว(จะต่อแบบใดก็ได้)
หรือจะแบ่งตามชนิดโครงสร้างก็สามารถแบ่งออกได้หลายแบบ เช่น ตัวเก็บประจุอิเล็กทรอไลท์ ตัว
เก็บประจุเซรามิค ตัวเก็บประจุแทนทาลั่ม ตัวเก็บประจุโพลีเอสเตอร์ เป็นต้น
หรือแบ่งตามการเปลี่ยนแปลงค่า สามารถแบ่งเป็นตัวเก็บประจุแบบค่าคงที่ ตัวเก็บประจุเปลี่ยนค่า
ได้(พบมากในเครื่องรับวิทยุ) และตัวเก็บประจุที่เลือกค่าได้(มีหลายตัวอยู่ในตัวเดียวกัน นอกจากนี้
ยังมีอีกมากมายแต่ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างรูปร่างและการใช้งานพื้นฐานของตัว เก็บประจุที่เรามักจะ
พบเห็นเสมอในวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ตัวเก็บประจุอิเล็กทรอไลท์

ตัวเก็บประจุชนิดนี้จะมีค่าความจุ อยู่ในช่วง1 uF -
30,000 uFขึ้นไป และมีการใช้งานที่ แรงดัน ตามที่ระอยู่บนตัวมันอยู่แล้วเช่น 10V , 16V , 25V
,50V 100V เรานิยมใช้ตัวเก็บประจุชนิดนี้ในวงจรทั่วไป ตัวเก็บประจุ ชนิดนี้มีใช้ทั้งแบบมีขั้ว และ
ไม่มีขั้วค่าความจุ และแรงดันใช้งาน จะพิมพ์ตัวเก็บประจุเลย และจะมีแถบสีขาวด้านข้างซึ่งจะ
แสดง ตําแหน่งขาลบ(-) ของตัวเก็บประจุ

ตัวเก็บประจุเซรามิค

ตัวเก็บประจุชนิดนี้จะมีขนาดเล็ก ไม่มีขั้ว ค่าความจุต่ํา อยู่ในช่วง พิโก - นาโน (pF - nF ) การระบุค่าของตัว เก็บประจุจะเขียนเป็น code (ศึกษาการอ่านค่าใน
ส่วนล่าง) และไม่ค่อยระบุการใช้ แรงดัน แต่ปกติจะ ใช้แรงดันที่ 50V 100V 1000V ขึ้นอยู่กับขนาด
ของมันหรือสอบถามจาก พนักงานขายได้ ปกติแล้ว ตัวเก็บประจุชนิดนี้จะใช้ในงานกรองความถี่
พบมากในพวกเครื่องรับ-ส่ง และวงจรทั่วไป

ตัวเก็บประจุโพลีเอสเตอร์ (ไมล่า)


ตัวเก็บประจุชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่ชึ้นมา เป็นตัว
เก็บประจุแบบไม่มีขั้ว ค่าความจุจะสูงกว่าแบบ เซรามิคขึ้นมา อาจจะอยู่ในช่วง นาโน -10 ไมโคร
(nF - 10uF ) และการใช้งานจะอยู่ที่ 50V , 100V หรือมากกว่า การอ่านค่าจะเขียนอยู่ในรูปแแบบ
code การใช้งานจะคล้ายกับตัวเก็บประจุแบบเซรามิค

ตัวเก็บประจุโพลี

ตัวเก็บประจุชนิดนี้อาจแบ่งได้หลายแบบ เช่น โพลีเอสเตอร์ โพลี
คาร์บอนเนต โพลีโพไฟลีน ซึ่งรายละเอียดจะหามาลงในบทความต่อไป ค่าความจุจะอยู่ในช่วง นา
โน - ไมโคร เช่นเดียวกับ ตัวเก็บประจุไมล่าการใช้งานแรงดัน อยู่ในช่วง 50V - 100 V หรือมากกว่า
ซึ่ง จะเขียนติดไว้ที่ตัวเก็บประจุอยู่แล้วและค่าตัวเก็บประจุ จะพิมพ์อยู่บนตัวเก็บประจุเลย โดย
อาจจะเป็นค่า pF หรือ uF ขึ้นอยู่กับค่าความจุในการใช้งานส่วนมากจะใช้งานในระบบเสียง เสียง
เครื่องเสียง ระบบความคุม เป็นต้น

ตัวเก็บประจุแทนทาลั่ม


ตัวเก็บประจุชนิดนี้จะมีทั้งแบบมีขั้ว และไม่มีขั้วมีขนาดเล็ก
ความความจะอยู่ในช่วง 1-100uF ราคาสูงใช้แทนตัวเก็บประจุอิเล็กทรอไลท์

—————————————————————————————–

การอ่านค่าตัวเก็บประจุ และการแปลงค่าของตัวเก็บประจุ
ดังที่กว่าไปแล้วว่าหน่วยของตัวเก็บประจุคือ F (ฟารัส) แต่ตัวเก็บประจุที่ใช้ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์

ส่วนใหญ่ จะมีค่าต่ําๆเป็น u(ไมโคร) n(นาโน) p(พิโก) ซึ่งหน่วยดังกล่าวสามารถแปลงกลับไป
กลับมาได้ เช่น หากไปซื้อตัวเก็บประจุแล้วทาง ร้านบอกค่ามาเป็น n(นาโน) เราก็สามารถแปลงเป็น
p(พิโก) ได้ หรือ การอ่านค่าตัวเก็บประจุบางชนิดซึ่งอาจจะอ่านเป็นค่า n(นาโน) เราก็สามารถแปลง
มาเป็น p(พิโก) หรือ u(ไมโคร) ได้การเทียบหน่วยของตัวเก็บประจุ
1 ฟารัส (1F) = 1,000,000 ไมโครฟารัส (1,000,000uF)
1 ไมโครฟารัส(1uF) = 1,000 นาโนฟารัส(1,000nF)
1 นาโนฟารัส (1nF) = 1,000 พิโกฟารัส(1,000pF)
การอ่านค่าตัวเก็บประจุแบบต่างๆ โดยทั่วไปแล้วตัวเก็บประจุชนิด เซรามิก หรือ ไมล่า จะเขียน
โคด(code) รหัสแสดงการบอกค่าความจุของตัวเก็บประจุ โดยจะแสดงในรูปของจํานวนตัวเลข 3
ตัว เช่น 103 ในการแปลงค่า2หลักแรก(10) จะเป็นค่าคงที่ ส่วนหลักที่ 3(3) จะแทนจํานวนเลข ศูนย์(0)

เท่ากับจํานวนนั้น และหน่วยที่ทําการ อ่านจากรหัสเหล่านี้จะเป็น พิโก (p) เสมอ เช่น
103 จะเขียนเป็น 10,000pF
221 จะเขียนเป็น 220pF
253 จะเขียนเป็น 25,000pF เป็นต้น
จากนั้นเราก็จะเแปลงเป็นหน่วยอื่นได้ตามที่ต้องการ
แต่จะมีวีแปลงจากรหัสเหล่านี้ไปอยู่ในรูปของ ไมโคร (uF) ได้โดยเราจะมองที่หลักสุดท้ายคือ
ลงท้ายด้วย 1 จะเป็น 0.000 เช่น 231 จะเป็น 0.00023uF (230pF)
ลงท้ายด้วย 2 จะเป็น 0.00 เช่น 232 จะเป็น 0.0023uF (2300pF)
ลงท้ายด้วย 3 จะเป็น 0.0 เช่น 233 จะเป็น 0.023uF (23000pF)
ลงท้ายด้วย 4 จะเป็น 0. เช่น 234 จะเป็น 0.23uF(230000pF)
** แต่ในตัวเก็บประจุเซรามิคอาจจะเป็นตัวเลขตัวเดียว เช่น 1 2 แสดงถึงค่า 1pF 2PF ได้เลย

ตัวเก็บประจุไฟฟ้า ในโน๊ตบุ๊ค

|0 ความคิดเห็น

ตัวเก็บประจุทางไฟฟ้า

  • ตัวเก็บประจุทางไฟฟ้า หรือ คาปาซิเตอร์ (Capacitor) หรือ คอนเดนเซอร์ (Condenser) แต่มักจะถูกเรียกแบบสั้นๆ ว่า ?ซี? (C) เป็น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่พบกันมากในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ใช้ทำหน้าที่เก็บประจุไฟฟ้า (Charge) และคายประจุไฟฟ้า (Discharge) ถ้าเป็นทางระบบไฟฟ้าแล้วละก้อ? ตัวเก็บประจุจะทำหน้าที่ให้กระแสไฟฟ้าเรียบ ไม่มี Ribble ไปรบกวนในวงจรทางไฟฟ้า? ทำให้วงจรทางไฟฟ้ามีความเสถียรในการทำงานอย่างมากนะครับ

โครงสร้างของตัวเก็บประจุ

  • ตัวเก็บประจุ มีคุณสมบัติทางประจุไฟฟ้า เกิดขึ้นได้จากการนำแผ่นโลหะ หรือ แผ่นสารตัวนำสองแผ่นวางอยู่ใกล้ ๆ กันแต่ไม่แตะถึงกัน โดยมีแผ่นไดอิเล็กตริกซึ่งมีลักษณะเป็นฉนวนกั้นอยู่ระหว่างแผ่นโลหะทั้งสอง ค่าความจุที่ได้จะขึ้นอยู่กับ พื้นที่ของแผ่นตัวนำและ ระยะห่างระหว่างแผ่นโลหะทั้งสอง
  • ค่าความจุของตัวเก็บประจุ มีหน่วยเรียกเป็น ฟารัด (Farad) ไมโครฟารัด (m F) นาโนฟารัด (nF) ฟิกโกฟารัด (pF)
c1

คุณสมบัติทางไฟฟ้าของตัวเก็บประจุ

  • การทำงานของตัวเก็บประจุกับไฟดีซี ตัวเก็บประจุจะทำการเก็บประจุและคายประจุเมื่อทำงานกับไฟดีซี การเก็บประจุ (Charge) และ การคายประจุ (Discharge)
  • การทำงานของคาปาซิเตอร์กับไฟฟ้ากระแสสลับ เมื่อนำคาปาซิเตอร์ไปต่อเข้ากับไฟไฟ้ากระแสสลับ จะมีการทำงานดังนี้ในครึ่งไซเกิลแรกตัวเก็บประจุจะทำการเก็บประจุ ทำให้มีกระแสไหลจากเฟสบวกไปยังแผ่นโลหะ A ทำการเก็บประจุ ผ่านโลหะแผ่น B ไปครบวงจรที่แหล่งจ่าย ?ในครึ่งไซเกิลหลัง เมื่อไฟเอซีสลับเฟส ตัวเก็บประจุที่เก็บประจุไว้ก็จะคายประจุออก แล้ว เก็บประจุใหม่ในทิศทางตรงกันข้าม การทำงานจะสลับกันไปมาตลอดเวลาตามไซเกิลของไฟเอซี ลักษณะของหลอดไฟจะสว่างตลอดทั้งในครึ่งไซเกิลแรก และ ครึ่งไซเกิลหลัง ไฟเอซีจะไหลผ่านคาปาซิเตอร์ได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความถี่ของไฟเอซีและ ค่าของตัวเก็บประจุ
  • ถ้าความถี่ของไฟเอซี สูง จะไหลผ่านได้มาก ความถี่ต่ำจะไหลได้น้อย
  • ถ้าคาปาซิเตอร์ค่ามากการเก็บประจุและคายประจุได้มาก ไฟเอซีก็ผ่านได้มาก
  • ถ้าคาปาซิเตอร์ค่าน้อยการเก็บประจุและคายประจุน้อย ไฟเอซีก็ผ่านได้น้อย

การนำไปใช้ประโยชน์ของคาปาซิเตอร์

  • จากการเก็บและคายประจุของคาปาซิเตอร์ สามารถนำมาใช้ประโยชน์มากมายเช่น การ กรองไฟดีซีให้เรียบ (Filter) การถ่ายทอดสัญญาณ และเชื่อมโยงระหว่างวงจร (Coupling) การกรองความถี่ (Bypass) การกั้นการไหลของกระแสไฟดีซี (Blocking) เป็นต้น

ชนิดของตัวเก็บประจุ

  • ตัว เก็บประจุมีมากมายหลายชนิด มีชื่อเรียกต่าง กันออกไปตามลักษณะของโครงสร้าง และชนิดของสารที่นำมาทำเป็นไดอิเล็กตริก หรือ แบ่งออกได้ตามลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
* ชนิดค่าคงที่ (Fixed Capacitor)
* ชนิดปรับค่าได้ (Variable Capacitor)

อาการเสียของตัวเก็บประจุ

  • เท่าที่ตรวจพบเจอ? อาการเสียของตัวเก็บประจุจะมีอยู่หลักๆ คือ
  • ค่าความจุลด? จากเดิมอาจมี 2200 ไมโครฟารัด อาจลดลงมาต่ำกว่ามาก? ซึ่งทำให้การเก็บและคายประจุ ไม่ได้ผลดีสำหรับวงจรนั้นๆ
  • ตัวเก็บประจุช้อต ขั้วบวกและ ลบ ช้อตถึงกัน? ซึ่งพบเจอได้มากในวงจรของโน๊ตบุ๊ค
  • ตัวเก็บประจุ เสื่อมค่า เก็บความจุไม่อยู่
  • ตัวเก็บประจุบวม? เน่า?? อันเนื่องจาก การทำงานที่หนักเกินไป? อาจเป็นคุณสมบัติของตัวเก็บประจุนั้นไม่เหมาะสมกับวงจรที่ใช้? จึงทำให้ตัวเก็บประจุทำงานหนักเกินไป เช่นค่าความจุ และโวลท์ ที่ไม่ได้ตามค่าที่ระบุไว้ที่ตัวของอุปกรณ์
  • ตัวเก็บประจุช้อต? จะมีผลทำให้มีการดึงกระแสไฟลงกราวด์ของวงจร? ทำให้การจ่ายไฟไม่สามารถไปเลี้ยงวงจรส่วนต่างๆ ได้

  • ตัวเก็บประจุเสื่อมค่า เน่า บวม แตก? มีผลทำให้การเก็บและคายประจุไม่มีประสิทธิภาพ? อาจพบเห็นในคอมพิวเตอร์ พีซี ที่จะมีอาการ เช่น การ Restart ตัวเอง , การแฮี้งค์ , การติด และดับ เองโดยไม่มีการสั่งงาน ฯลฯ



เมื่อตัวเก็บประจุเสื่อม

|0 ความคิดเห็น
เมื่อตัวเก็บประจุเสื่อม
สิ่งที่สังเกตได้จากการรั่วของสาร Electrolyte คือตะกั่วบัดกรีบริเวณตัวเก็บประจุ SMD มีสีคล้ำและสึกกร่อน

       เครื่องมืออันทันสมัยในปัจจุบันมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวควบคุม หนึ่งในอุปกรณ์เหล่านี้เรียกว่า
Surface Mount Device (SMD) การใช้อุปกรณ์พวก SMD จะบัดกรีบน Printed Circuit Board (PCB) ด้านเดียวกับลายทองแดง แตกต่างจากอุปกรณ์แบบดั้งเดิมที่มีขาและจะถูกบัดกรีในด้านตรงกันข้ามกับอุปกรณ์ เมื่อตัวเก็บประจุ
(Electrolytic Capacitor)
ทำงานในสภาวะของอุณหภูมิที่ร้อนมากเกินไปตัวกลางของเหลวนำไฟฟ้า (Electrolyte) เริ่มกลายเป็นไอ ความดันเพิ่มขึ้น และรั่วซึมออกมาจากตัวกระป๋องกักเก็บ ทำให้ค่าประจุลดลง และเนื่องจากของเหลว Electrolyte เป็นสารกัดกร่อนทำให้อุปกรณ์รอบข้างเกิดความเสียหายได้ สิ่งที่สังเกตได้จากการรั่วของสาร
Electrolyte คือตะกั่วบัดกรีบริเวณตัวเก็บประจุ SMD มีสีคล้ำและสึกกร่อนแตกต่างจากรอยบัดกรีปกติในบริเวณอื่นซึ่งจะเรียบเป็นมันวาว ข้อสังเกตุนี้ก็จะนำไปสู่การพิจารณาว่าสมควรจะตรวจวัดตัวเก็บประจุนั้นหรือไม่

เมื่อไฟฟ้ากระแสสลับผ่านไดโอดแล้วจะได้ไฟฟ้ากระแสตรงที่มีแรงดันกระเพื่อม และเมื่อถูกกรองด้วยตัวเก็บประจุก็จะได้ไฟฟ้าที่เรียบ ถ้าตัวเก็บประจุเสื่อมจะทำให้เกิดแรงดันกระเพื่อม (ripple) มีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นเราสามารถใช้ AC volt meter วัดเพื่อตรวจสอบความผิดปกติ ถ้าแรงดันที่วัดได้อยู่ระดับเป็น 1-100 millivolt ถือว่าปกติ แต่ถ้าค่าแรงดันที่วัดได้อยู่ในระดับที่สูงพอสมควร เช่น 1-2 volt ถือว่าตัวเก็บประจุอาจจะเสื่อม แต่อาจจะมีสาเหตุอื่นๆ อีกก็ได้นะครับ เช่น มีการลัดวงจรที่ load ไดโอดบางตัวผิดปกติ

     สรุปว่าใช AC volt meter วัดค่าแรงดันและไม่ควรจะมีค่าสูงมากนัก

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ร้านค้า

|0 ความคิดเห็น
MCN-300 SOLDER PASTE 50g Sn63/Pb37 25-45um

 Jackly Branded 16 In 1 Universal Tool Set

DIGITAL POCKET SCALE 100G X 0.01G

32pcs screwdriver set jackly JK-6032-A

8 in 1 Multi Screwdriver with LED Portabl 

Economy Headband Magnifier

loop head Magnification

GIFT--BGA Solder assist 6 in 1

DigiMicro 200X Zooming USB Digital Microscope

Special Platform of Repair Mobile Model: F-204

Amtech NC-559-ASM-TPF Flux Paste 10cc

Mini Soldering Station

EasyCap Video Capture Card

ATTEN AT9205D

แว่นขยายตาเดียว กำลังขยาย 20 เท่า

หัวแร้งปรับอุณหภูมิ ATTEN 936B 

เครื่องเป่าลมร้อน ATTEN 850B

หัวแร้งปรับอุณหภูมิ ATTEN 936-2 

Supply ซัพพลายเข็ม Atten 1501T+ 

ปืนดูดตะกั่ว AOYUE 474A  

กล้องไมโครสโคป มินิ กำลังขยาย 60 เท่า

เครื่องตรวจจับโลหะแบบมือจับ

T862 IRDA Welder Infrared SMT SMD BGA Rework Station

เครื่องล้างอุลตร้าโซนิค 30 w  

โคมไฟแว่นขยายแบบหนีบ 

video microscope  

Light Head Magnifying Glass 

เครื่องขัดรองเท้า 

เครื่อง spot battery ขนาด 10 KVA รองรับ battery notebook ทุกชนิด  

ตู้อบชิป