วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โทรศัพท์มือถือทำให้คุณหลังค่อมจริงหรือ?

|0 ความคิดเห็น
โทรศัพท์มือถือทำให้คุณหลังค่อมจริงหรือ?


ทุกวันนี้ในขณะที่กำลังเดินตามท้องถนน คุณจะเห็นว่ามีสักกี่คนเชียวที่เดินศีรษะตั้งตรงและไ ม่ก้มลงวุ่นอยู่กับ โทรศัพท์มือถือ คำตอบก็คือดูเหมือนจะไม่มีเลย เพราะแต่ละคนก็คงกำลังก้มเลือกฟังเพลงจากไอพอด ส่งข้อความบนโทรศัพท์ เช็คอีเมลจากแบล็คเบอรี่ พอมองไปที่คนเหล่านั้นก็คงจะเห็นแต่หัว แทนที่จะเห็นลูกกะตา
จริงอยู่เทคโนโลยีอาจทำให้การสื่อสารง่ายขึ้น แต่ Kirsten Lord นักกายภาพบำบัดและกรรมการผู้จัดการของ Edinburgh Physiotherapy Centre บอกว่าการก้มลงใช้อุปกรณ์สื่อสารตลอดเวลาอาจทำให้คุณ หลังค่อมได้ เธอบอกว่าเนื่องจากร่างกายคนเราคือผลผลิตของสิ่งที่เ ราทำในแต่ละวัน อีกทั้งวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปยังทำให้ร่างกายเราเปลี ่ยนไปด้วย ถ้าเราก้มศีรษะลงบ่อยๆ เราก็จะพัฒนาความโค้งของร่างกายไปข้างหน้า ซึ่งจะทำให้กระดูกสันหลังของเราห่อตัวลงมา ไหล่ของเราจะงอ และในเวลาที่ยืนตัวตรงหรือยืดคอ เราจะรู้สึกผิดปกติตรงส่วนนั้นเพราะกล้ามเนื้อบริเวณ นั้นที่เคยใช้ในการยืด ตัวหรือยืดคอได้หดสั้นลงไปเพราะขาดการใช้
ในสมัยก่อนอาการผิดปกติของร่างกายมักเกิดกับท่อนหลัง ส่วนล่าง แต่ในระยะห้าปีที่ผ่านมาปัญหาย้ายไปเกิดที่บริเวณคอ ซึ่งนักกายภาพบำบัดโทษว่าเป็นเพราะเทคโนโลยีปัจจุบัน ที่เราใช้กันอยู่ อีกทั้งพวกเขายังเจอคนไข้ที่ร่างกายมักโดนผลกระทบจาก งานที่ทำ
การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หลายๆ ปีอาจทำให้คอของบางคนยื่นออกมาโดยไม่รู้ตัวจนกลายเป็ นท่าธรรมชาติของคอไปโดย ปริยาย การยื่นคอไปข้างหน้าเวลาใช้คอมพิวเตอร์ทำให้ส่วนบนขอ งกระดูกสันหลังถูกบีบ เส้นประสาทโดนกดจนทำให้ปวดศีรษะ ซึ่งอาจปวดมากขึ้นระหว่างวัน และการก้มลงมองแล็ปท็อปอาจทำให้มีผลด้านลบต่อการวางท ่าทางของร่างกาย
การนั่งอยู่หน้าจอคอมทำให้ส่วนกลางของแผ่นหลังเกิดอา การรัดตัว หมายความถึงมีความยืดหยุ่นน้อยลงและเป็นอันตรายต่อร่ างกายมากขึ้น ในขณะที่ความเมื่อยและอ่อนล้าของกระดูกซี่โครงที่ติด อยู่กับกระดูกสันหลัง อาจทำให้หายใจลึกๆ ได้ลำบาก
แล็ปท็อป หรือคอมพิวเตอร์แท็บเล็๋ต ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะหากคุณใช้อุปกรณ์เหล่านี้ขณะที่นั่งตัวงออยู ่บนโซฟาและไม่มีแท่น อะไรมารองรับ
การใช้คีย์บอร์ด โทรศัพท์ และแท็บเล็ตต่างๆ ต้องการความเคลื่อนไหวของร่างกายเพียงน้อยนิด ถึงกระนั้น คนจำนวนหนึ่งในสิบเชื่อว่าประสบอุบัติเหตุในขณะที่เด ินและส่งแมสเสจไปด้วย
ในฐานะนักกายภาพบำบัด Kirsten คิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต่อต้านเทคโนโลยี วิธีที่ดีคือรณรงค์ให้คนใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในท่าทางท ี่เอื้อต่อสุขภาพที่ดี ของร่างกายจะดีกว่า เช่น หยุดการใช้สักพักและเปลี่ยนท่าเพื่อให้กล้ามเนื้อและ ข้อต่อได้ผ่อนคลาย
การลุกขึ้นยืนตรงและตั้งคอให้ตรงอย่างสม่ำเสมอ โดยจินตนาการว่ามีเชือกดึงคอของคุณขึ้นมาจากตรงกลางศ ีรษะอาจช่วยได้ ในขณะเดียวกัน พยายามฝึกบีบกล้ามเนื้อบั้นท้ายเพื่อให้กล้ามเนื้อส่ วนนั้นได้หดตัวบ้าง

ชวนทุกบ้าน "บริหารสมอง" ก่อนความจำเลือนหาย

|0 ความคิดเห็น
ชวนทุกบ้าน "บริหารสมอง" ก่อนความจำเลือนหาย

เชื่อได้เลยว่า "อาการหลงๆ ลืมๆ" คงจะเคยเกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ บางครั้งต้องการไปหยิบของบางอย่าง แต่พอเดินไปหาของกลับจำไม่ได้ว่าต้องการอะไร ซึ่งเป็นเรื่องของความจำในระยะเวลาสั้น หรือบางคนทำงานจนเกิดอาการเบลอ ขี้ลืมจนกลายเป็นเรื่องปกติ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นนิสัยก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มักพบอาการนี้ จนก่อให้เกิดเป็น "โรคความจำเสื่อม" ได้
กับเรื่องนี้ "นภาพร ฤทธิวีระกูล" หรือ "พี่หน่อย" หน่วย พัฒนาสุขภาพ ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า หลายคนคิดว่าโรคความจำเสื่อมเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ก็ถือว่าเป็นโรคที่สามารถคุกคามการใช้ชีวิตได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ระบบต่างๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมลง ถึงแม้ว่าตามธรรมชาติจะมีการพัฒนาสมองตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ตาม แต่สมองของมนุษย์มีการทำงาน โดยแบ่งเป็น 2 ซีก ระหว่างซ้ายกับขวา เมื่อเราทำงานหรือทำกิจกรรมที่ออกแรงไปในข้างใดข้างห นึ่งของร่างกาย ก็อาจส่งผลให้มีบุคลิกภาพในการเคลื่อนไหวที่ไม่ดี รวมไปถึงเรื่องความคิด ความจำของสมองแต่ละซีกให้มีประสิทธิภาพในการทำงานลดล ง
อย่างที่ทราบกันดีว่า สมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่างกายด้านขวา ส่วนสมองซีกขวาจะควบคุมการทำงานของร่างกายด้านซ้าย ขณะเดียวกันสมองจะแบ่งการทำงานออกเป็นระบบความจำ ระบบของประสาทการรับความรู้สึก ระบบการเคลื่อนไหวของร่างกาย ระบบการมองเห็น ระบบการควบคุมด้านอารมณ์และภาวะของจิตใจ ดังนั้นการบริหารสมองจึงเป็นการเสริมสร้างระบบการทำง านให้ปรับความสมดุลของ ร่างกายทั้งสองด้าน หากไม่มีการบริหารสมองเราจะเกิดความเคยชินตามร่างกาย ด้านที่มีความถนัดด้าน ใดด้านหนึ่งเท่านั้น ทำให้สมองอีกซีกไม่มีการพัฒนา
สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ควรมีการบริหารสมอง ส่วนใหญ่จะเป็นในผู้สูงอายุที่หลงๆ ลืมๆ ความ สามารถในการจำลดน้อยลง คือความจำในระยะเวลาสั้นๆ จะทำได้ดี แต่ความจำในระยะเวลาที่ยาวจะทำได้ไม่ดีมากนัก หรือบางคนอาจจำอะไรไม่ได้เลย ซึ่งการบริหารสมองจะเป็นการกระตุ้นเซลล์ประสาทในสมอง ให้มีการเชื่อมโยงและ ถ่ายทอดข้อมูลแก่กันทั้งซีกซ้ายและซีกขวา เพราะปกติเซลล์สมองของแต่ละคนมีมากกว่า 1 ล้านเซลล์ แม้ว่าการบริหารสมองจะไม่ได้ช่วยให้เซลล์สมองทั้งหมด เกิดการทำงานที่มี ประสิทธิภาพได้ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกัน ทั้งระบบของสมอง ทำให้เกิดการสร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่ดีได้
ทั้งนี้ การเริ่มบริหารสมองตั้งแต่เด็กเป็นทางออกที่ดีที่สุด ในการช่วยชะลออาการหลง ลืมเมื่อเข้าสูวัยชรา หากมีการบริหารอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายมีพัฒนาก ารที่ดีขึ้นและการทำงาน ของระบบต่างๆ ในร่างกายก็ดีขึ้นตาม พี่หน่อยบอกเคล็ดลับการบริหารสมองเพื่อให้สมองทั้งสอ งซีกทำงานไปพร้อมๆ กันว่า เริ่มจากการกระตุ้นเซลล์สมอง ด้วยการดื่มน้ำสะอาด หรือค่อยๆ จิบทีละนิด หากร่างกายขาดน้ำจะทำให้เลือดไม่ไหลเวียนไปเลี้ยงส่ว นต่างๆ ของสมอง ส่งผลให้การบริหารสมองไม่ประสบผลสำเร็จ ทั้งนี้การบริหารสมองไม่ควรทำในช่วงเวลาที่อิ่มหรือห ิวเกินไป ขณะที่ทำการบริหารสมองต้องทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ควบคุมการหายใจ โดยให้การหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบ


ขั้นตอนที่ 1 กระตุ้น การทำงานของเซลล์สมอง ระบบการรับความรู้สึก โดยจะเลือกบริหารที่เป็นปุ่มของเซลล์สมองซึ่งจะอยู่ต ามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณขมับ โดยใช้ปลายนิ้วมือกดเบาๆ ตรงขมับทั้ง 2 ข้าง จากนั้นนวดเป็นวงกลมประมาณ 1 นาที ซึ่งวิธีนี้จะกระตุ้นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ และอีกส่วนหนึ่งที่ควรบริหารอยู่บริเวณกระดูกไหปลาร้ า ใช้วิธีการนวดเป็นวงกลมเหมือนกันแต่จะสลับข้างกัน โดยใช้มือซ้ายกดเบาๆ บริเวณปุ่มกระดูกไหปลาร้าด้านขวา ส่วนอีกมือจะวางไว้บริเวณหน้าท้อง จากนั้นก็ทำสลับข้างกันจนกว่าจะรู้สึกว่าผ่อนคลาย
ขั้นตอนที่ 2 เป็นการบริหารการเคลื่อนไหวร่างกายแบบสลับข้าง ด้วยการวิ่งที่ให้เท้ากับแขนเคลื่อนไหวสลับกัน เช่น ถ้าเริ่มก้าวเท้าขวา ดังนั้นแขนซ้ายก็จะแกว่งตาม หรืออาจบริหารแบบเบาๆ โดยการย่ำเท้าอยู่กับที่ประมาณ 2-3 นาที รวมถึงวิธีการบริหารสมองจากการนับเลขแบบสลับข้างด้วย การนับเลขที่มือ เช่น ถ้ามือข้างช้ายนับ 1 มือข้างขวาก็จะนับ 2 และก็ทำสลับกันไปเรื่อยๆ ตามต้องการ ทั้งนี้การบริการสมองแบบสลับจะช่วยให้กระบวนการทำงาน ของสมองจะเกิดการสมดุล
ขั้นตอนที่ 3 เป็นการคลายความตึงของเส้นประสาท โดยยืดส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ตึง เช่น การยืดแขน ยืดขา และการผ่อนคลายสมองด้วยการใช้นิ้วมือนวดเคาะตั้งแต่ห น้าผากไปจนทั่วศีรษะ ซึ่งท่านี้จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี
อย่างไรก็ตาม พี่หน่อยแนะนำและฝากทิ้งท้ายว่า การ บริหารสมองสำหรับผู้สูงอายุควรเน้นเป็นท่าที่ง่ายๆ ไม่หักโหมร่างกายจนเกินไป ผู้สูงอายุที่มีโรคความดันสูงควรหลีกเลี่ยงการทำท่าท ี่ต้องก้มหรือลุกขึ้น ยืนเร็วๆ เพราะอาจจะทำให้หน้ามืดได้ ทางที่ดีหากไม่มั่นใจหรือผู้สูงอายุบางคนที่ทรงตัวได ้ไม่ค่อยดีก็สามารถนั่ง ทำได้ การบริหารสมองควรทำอย่างต่อเนื่องทุกวันและสามารถทำไ ด้ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงผุ้สูงอายุ ซึ่งเป็นกิจกรรมภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเด็กๆ มีการบริหารสมองร่วมกับคุณตาคุณยาย นอกจากจะช่วยให้สมองเกิดพัฒนาการ ยังช่วยให้ผู้สูงอายุในบ้านจดจำท่าในการบริหารสมองได ้และช่วยให้ท่านมี สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างความรักความอบอุ่นในครอบครั วอีกด้วย

มะเขือเทศอาหารวิเศษเพื่อสุขภาพ

|0 ความคิดเห็น
มะเขือเทศอาหารวิเศษเพื่อสุขภาพ





มะเขือเทศฝานบางๆ สีแดงอมส้มสดใสน่ากินมักกลายเป็นเครื่องประดับอาหารจ านอร่อยหลากหลายรายการ เป็นต้นว่าข้าวผัด ยำต่างๆ ของทอด ของว่างต่างๆ โดยที่บางท่านไม่แตะต้องมันเลยสักชิ้น


แต่คุณรู้บ้างไหมว่าถ้าคุณรับประทานมะเขือเทศเพียงวั นละ 1-2 ผลเท่านั้น จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายของคุณมากมายมหาศาลเพียงใด


ต้าน โรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา บำรุงสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัวเยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก บำรุงผิวพรรณ


ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถ้าคุณรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำสม่ำเสมอ วันละ 1-2 ผลทุกวัน สุขภาพของคุณก็จะสดชื่นแข็งแรงและได้ประโยชน์จากสรรพ คุณอันแสนวิเศษของ มะเขือเทศทั้งหมดนั้นอย่างแน่นอน









คอนแทคเลนส์แฟชั่น ทำวัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด

|0 ความคิดเห็น
คอนแทคเลนส์แฟชั่น ทำวัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด


วัยรุ่นไทยเสี่ยงตาบอด (สสส.)

เอา กันใหญ่แล้ว!!! สำหรับวัยรุ่นไทย กับการนิยมชมชอบแฟชั่นต่าง ๆ นานา ที่มาจากต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี โดยเฉพาะที่กำลังแพร่หลายอยู่ในขณะนี้ อย่างเทรนด์ "ตาเล็ก" ,"ตาชั้นเดียว" หรือแม้กระทั่ง "ดวงตาสีสันต่าง ๆ" ที่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปผ่าตัดให้สิ้นเปลือง เพราะเค้าใช้!!! "คอนแทคเลนส์"

ถึงแม้ที่ผ่านมา จะมีข่าวคราวกรณีที่มีทั้งเด็กตาอักเสบ ตาบวม บางรายจนถึงขั้นตาบอดไปเลย เหตุเพราะใส่คอนแทคเลนส์ผิดวิธี แต่นั่น!! ก็ไม่ได้ทำให้ความนิยมของแฟชั่นเสริมสวยดวงตาลดลงแต่ อย่างไร กลับยิ่งทวีความนิยมสูงขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะราคาของคอนแทคเลนส์ที่ถูกแสนถูก มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ส่วนระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้

ซ้ำ ร้ายไปกว่านั้นยังสามารถหาซื้อได้ง่าย จากเดิมที่มีขายแต่ร้านแว่นตา หรือจำเป็นต้องแพทย์สั่งเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีวางขายตามแผงค้าตามแหล่งแฟชั่น ตลาดนัด รวมไปถึงการวางจำหน่ายในเว็บไซต์ ทำให้ผู้บริโภคหาซื้อมาสวมใส่ได้ง่ายยิ่งขึ้น และด้วยเหตุผลนี้เอง ที่ทำให้วัยรุ่นไทยกำลังเสี่ยงกับการอันตรายถึงขั้นต าบอดได้...

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วิชัย ประสาทฤทธา ภาควิชาจักษุวิทยา รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า โดยปกติแล้วการสวมใส่คอนแทคเลนส์ หรือเลนส์สัมผัส มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้น้อยมาก หากมีการดูแลรักษาความสะอาดของคอนแทคเลนส์ตามคำแนะนำ อย่างถูกต้อง ส่วนในรายที่เกิดอาการ อาจเป็นเพราะผู้สวมใส่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่อง การรักษาความสะอาด และอาจสวมใส่คอนแทคเลนส์ในเวลานอนหลับ เพราะนั่นถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เวลานอนดวงตาได้รับออกซิเจนน้อยลง ออกซิเจนจะไปเลี้ยงกระจกตาได้น้อยกว่าปกติ จึงเกิดการติดเชื้อขึ้น และเนื่องจากเป็นเลนส์สัมผัส ทำให้อาการติดเชื้อมีความรุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็ ว จนถึงขั้นทำให้ตาบอด...

หากยังคงให้ตัวอันตรายอย่าง "คอนแทคเลนส์" หาซื้อได้ง่ายเช่นนี้ เหล่าวัยรุ่นไทยกว่าครึ่งต้องเสี่ยงตาบอดกันเป็นแน่ ด้วย เหตุนี้กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกประกาศควบคุมมาตรฐานคอนแทคเลนส์ (contact lens ) หรือเลนส์สัมผัส โดยจะต้องจัดให้มีฉลากบนภาชนะบรรจุ หรือบห่อและต้องแสดงข้อความภาษาไทยที่อ่านได้ชัดเจน ทั้งนี้จะมีภาษาอื่นด้วยก็ได้ แต่ความหมายต้องตรงกับข้อความภาษาไทย

ส่วน ในแต่ละรายการจะต้องแสดงชื่อคอนแทคเลนส์ และวัสดุที่ใช้ทำ บอกคุณสมบัติของเลนส์ บอกชื่อของสารละลายที่ใช้แช่เลนส์ ระยะเวลาการใช้งาน ให้ละเอียด ยกเว้นคอนแทคเลนส์ ที่ไม่กำหนดระยะเวลาการใช้งาน มีเดือนปีที่หมดอายุ เลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ ชื่อและสถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ในกรณีที่นำเข้าให้แสดงชื่อผู้ผลิต เมืองและประเทศผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์นั้นด้วย โดยต้องระบุชนิดของเลนส์ให้ชัดเจนว่า เป็นเลนส์ชนิดใช้งานพียงครั้งเดียว หรือชนิดใส่และถอดทุกวัน รวมถึงข้อความว่า โปรดอ่านเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์ก่อนใช้ และพิมพ์ข้อความว่า การใช้คอนแทคเลนส์ ควรได้รับการสั่งใช้และตรวจติดตามทุกปีโดยจักษุแพทย์ หรือผู้ประกอบโรคศิลปะ


ที่สำคัญคือ ข้างบรรจุภัณฑ์จำเป็นต้องพิมพ์คำแนะนำ คำเตือน ข้อห้ามใช้และข้อควรระวังในการใช้เลนส์ไว้ว่า การใช้คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธี มีความเสี่ยงต่อการอักเสบ หรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาอย่างถาวรได้ โดยให้แสดงข้อความการห้ามใช้ดังนี้คือ

1. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์นานเกินระยะเวลาที่กำหนด

2. ห้ามใช้ร่วมกับบุคคลอื่น

3. ห้ามใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้ว่าจะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม

ควรถอดล้างทำความสะอาดทุกวัน และกำหนดให้พิมพ์ข้อความควรระวัง ผู้ที่ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ ดังนี้ คือ ผู้ที่มีสภาวะของดวงตาผิดปกติ เช่น เป็นต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง หรือกระพริบตาไม่เต็มที่ และให้ใช้น้ำยาล้างเลนส์ที่ใหม่ และเปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่แช่เลนส์ ควรเปลี่ยนตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุก 3 เดือน

แต่ถึงแม้จะมีฉลากอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์แล้วก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเอามาใส่แล้วจะไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา หากผู้ที่สวมใส่ไม่ใส่ใจในการรักษาความสะอาด และยังคงใส่ผิดวิธี อันตรายก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน


ซึ่งการสวมใส่ คอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมนั้น ควรสวมใส่ได้ในระยะเวลา 8-12 ชั่วโมงติดต่อกัน โดยหลังจากนั้นต้องดูแลทำความสะอาดโดยใช้น้ำยาล้างคอ นแทคเลนส์ น้ำยาสลายคราบโปรตีน และน้ำยาแช่ฆ่าเชื้อ โดยคอนแทคเลนส์รายเดือนนั้นมีอายุการสวมใส่ 1- 1 เดือนครึ่ง ขึ้นอยู่กับการดูแลทำความสะอาด หากไม่รักษาความสะอาดให้ดีเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก็อาจจะมีสิ่งสกปรกตกค้างจนต้องเปลี่ยนคู่ใหม ่ แต่หากรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี ก็จะทำให้อายุการใช้งานนานขึ้นไปด้วย

ที่สำคัญที่ต้องล้างมือให้สะอาดและทำให้แห้งก่อนสัมผ ัสเลนส์ การสวมและการเปลี่ยนเลนส์ก็ให้เป็นไปตามระยะที่กำหนด การล้างและการเก็บรักษาเลนส์ก็ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำข องแพทย์ ส่วนภาชนะที่เก็บเลนส์ก็ต้องรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ

ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น ห้ามใส่ขณะว่ายน้ำเพราะอาจทำให้ติดเชื้อที่ตา และต้องถอดทำความสะอาดทุกวัน

หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และให้รีบไปพบแพทย์หรือจักษุแพทย์โดยเร็ว...

เพียง เท่านี้ คุณก็จะปลอดภัยจากการอันตรายที่อาจเกิดจากคอนแทคเลนส ์ได้แล้ว หากแต่หลีกเลี่ยงไม่ใส่เลยน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด เพราะการสวยแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึงอะไร น่าจะปลอดภัยกว่า 100% นะคะ




ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์

|0 ความคิดเห็น
ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์




หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหาร อยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน

แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ

ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟั กทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่ง มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลู กหมากของผู้ชายขยายใหญ่ ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อ ยู่ในระดับปกติ

ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้




ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

ได้เห็นประโยชน์ดี ๆ ของ "ฟักทอง" แล้วอย่าลืมหามาทานกันนะคะ
__________________

วิจัยพบสารสกัดใบหม่อนช่วยเพิ่มสมรรถภาพจดจำดีขึ้น

|0 ความคิดเห็น
วิจัยพบสารสกัดใบหม่อนช่วยเพิ่มสมรรถภาพจดจำดีขึ้น
กรม วิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษาวิจัยพบสารสกัดใบหม่อนมีฤทธิ์ต่อสมรรถภาพทางกาย และจิตใจทำให้กล้าม เนื้อต้นขามีความแข็งแรง การเรียนรู้และการจดจำดีขึ้นเตรียมต่อยอดขยายผลสู่กา รผลิตเชิงพาณิชย์ซึ่งจะ เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย
นายแพทย์จักรธรรม ธรรมศักดิ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยสมุนไพร ได้ร่วมมือกับคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดำเนินการวิจัย “ฤทธิ์ของสารสกัดใบหม่อนต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิ ตในอาสาสมัครวัยกลางคน และสูงอายุ” โดยศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดใบหม่อนต่อสมรรถภาพทางกาย สมรรถภาพทางจิต การเรียนรู้และการจดจำ ในกลุ่มประชากรอายุตั้งแต่ 55-70 ปี จำนวน 60 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มๆ ละ 20 คน อาสาสมัครกลุ่มที่ 1, 2 และ 3 จะได้รับยาหลอก สารสกัดใบหม่อนขนาด 1,050 มิลลิกรัม/วัน และ 2,100 มิลลิกรัม/วัน ตามลำดับโดยใช้เครื่องมือในการตรวจประเมินการเรียนรู ้และความจำ การประเมินอารมณ์และการประเมินสมรรถภาพทางกายที่เป็น มาตรฐานและใช้กันอย่าง แพร่หลายหลังจากอาสาสมัครรับประทานสารสกัดครั้งแรก 30 นาทีวัดประเมินฟังก์ชันการเรียนรู้และความจำหลังจากน ั้นให้อาสาสมัครรับ ประทานสารสกัดต่อไปตามตารางที่กำหนดจนครบ 3 เดือนทุกๆ เดือนจะนัดอาสาสมัครมาตรวจประเมินผลต่อการเปลี่ยนแปล งฟังก์ชันการเรียนรู้ และความจำสมรรถภาพ ทางกายและจิต
การ เปลี่ยนแปลงทางอารมณ์การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนค อติซอล และการทำงานของระบบประสาทซิมแพทเทติก รวมทั้งติดตามความปลอดภัยของสารสกัดหม่อนในอาสาสมัคร โดยการตรวจประเมินการเปลี่ยนแปลงทางโลหิตวิทยา และเคมีคลินิกทุกเดือน พบว่า การรับประทานสารสกัดใบหม่อนขนาด 1,050 และ 2,100 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน มีความปลอดภัยและมีศักยภาพในการที่จะทำให้ทั้งสมรรถภ าพทางกายและจิตของอาสา สมัครดีขึ้น สารสกัดใบหม่อนมีศักยภาพที่จะทำให้อาสาสมัครมีการทรง ตัวได้ดีขึ้นทำให้กล้าม เนื้อต้นขามีความแข็งแรงมากขึ้น จึงมีประโยชน์ในการลดความเสี่ยงในการหกล้มทำให้อาสาส มัครมีการเรียนรู้และ ความจำชนิดความจำใช้งาน (working memory) เพิ่มขึ้นโดยทำให้สามารถให้ความสนใจต่อสิ่งเร้าเพื่อ นำข้อมูลมาประมวลผลใน กระบวนการระยะต่างๆ ของความจำได้ดี มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และมีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการบูรณาการข้ อมูลในกระบวนการเรียน รู้และการจดจำ(cognitiveprocessing)

อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าวต่ออีกว่า สารสกัดใบหม่อนจึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อกลุ่มผู้ที่มีป ัญหาเรื่องความจำ บกพร่องโดยตรง และกลุ่มเด็กที่มีปัญหาเรื่องความใส่ใจ (attention)นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สารสกัดใบหม่อนยังมีฤทธิ์ในการลดกลุ่มอาการ ซึมเศร้าและกลุ่มอาการ วิตกกังวลในอาสาสมัคร ทั้งนี้ ประสิทธิผลของสารสกัดในการเพิ่สมรรถภาพทางกายและจิตร วมถึงเพิ่มการเรียนรู้ และความจำในอาสาสมัครขึ้นกับปริมาณหรือขนาดของสารสกั ดที่ได้รับต่อวัน และระยะเวลาที่อาสาสมัครบริโภคสารสกัดจึงมีศักยภาพใน การนำไปประยุกต์ใช้ใน รูปผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพผู้สูงอายุทั้งในภาวะปกติเพื ่อสร้างเสริมสุขภาพและ นำไปใช้เสริมการรักษา (adjuvant therapy) ในหลายโรค เช่น ในกรณีที่มีความจำบกพร่อง กรณีซึมเศร้า หรือในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการทรงตัว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแพทย์และสาธารณสุข และสามารถขยายผลสู่การผลิตเชิงพาณิชย์เป็นการส่งเสริ มอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย
นางมาลี บรรจบ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสมุนไพรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย ์กล่าวเพิ่มเติมว่า หม่อน (Morus alba Linn.) วงศ์Moraceae เป็นสมุนไพรทั้งในการแพทย์แผนไทยและจีน จากการศึกษาวิจัยในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ผ่านมาพ บว่า ใบหม่อนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระลดความบกพร่องในการเรี ยนรู้และความจำที่เกิด จากความบกพร่องของระบบประสาทโคลิเนอร์จิก (cholinergic) ที่จำลองภาวะความจำบกพร่องในภาวะสูงอายุ และโรคอัลไซเมอร์(Alzheimer’s disease) นอกจากนั้นใบหม่อนยังมีสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด ได้แก่กลูโคส, วิตามิน A, B1, B12 และ C และจากการศึกษาความเป็นพิษ ในสัตว์ทดลองและความปลอดภัยในคนสารสกัดหม่อนในขนาดที ่ใช้ในการรักษาก็ไม่ทำ ให้เกิดพิษดังนั้นจึงมีมีศักยภาพสูงในการที่จะพัฒนาเ ป็นอาหารเสริมสุขภาพ เพื่อชะลอความเสื่อมของร่างกาย เพิ่มสมรรถภาพทางกายและจิตตลอดจนคุณภาพชีวิตได้ด้วยเ หตุนี้กรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ โดย สถาบันวิจัยสมุนไพรจึงได้จัดประชุมวิชาการเรื่อง “หม่อนรักษ์คุณภาพชีวิต ส่งเสริมเศรษฐกิจไทย” ในวันที่ 17 กันยายน 2553 ณ โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทบุรี เพื่อเผยแพร่คุณค่าของสมุนไพรหม่อนให้เป็นที่ประจักษ ์ต่อประชาชนได้หันมา นิยมใช้ผลิตภัณฑ์เสริมคุณภาพจากสมุนไพรภายในประเทศ ทดแทนผลิตภัณฑ์สุขภาพประเภทเดียวกันที่นำเข้าจากต่าง ประเทศ ซึ่งจะเป็นอีกก้าวหนึ่งที่คนไทยจะช่วยส่งเสริมเศรษฐก ิจไทย สนับสนุนนโยบายไทยเข้มแข็งของรัฐบาล

ไขเทคนิค 20 วิธี พาใจหลับสบายเมื่อหัวถึงหมอน

|0 ความคิดเห็น

เลือกสบู่ขัดถูตามต้องการ

|0 ความคิดเห็น
เลือกสบู่ขัดถูตามต้องการ


สบู่ที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด มีหลายระดับราคา แต่ถ้าเลือกไม่ถูกชนิด การทำความสะอาดผิวหนังอาจไม่มีประสิทธิภาพ เปลืองสตางค์ เปลืองสบู่ เสียของเปล่า


เมื่อเป็นเช่นนั้น ‘เดลินิวส์ออนไลน์’ นำข้อควรรู้สำหรับการเลือกใช้สบู่ให้เหมาะกับสภาพผิว และความต้องการ

โดยสบู่ทั่วไป ทำจากเกลือของไขมันสัตว์หรือพืช ผสมน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปาล์ม ทำให้สบู่มีฟองมาก ราคาย่อมเยาว์ เหมาะกับการขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกที่อยู่บนผิวหนัง เช่น ฝุ่นละออง คราบไคล เครื่องสำอาง แต่อาจไม่เหมาะกับผิวบอบบางแพ้ง่าย เนื่องจากจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง กระตุ้นการระคายเคืองมากขึ้น

ส่วน สบู่ใส มักทำจากไขมันและน้ำมันระหุง เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายและผิวแห้ง แต่สบู่ชนิดนี้มักไม่ค่อยมีฟอง ที่เป็นก้อนจะละลายเร็ว ดังนั้น หลังฟอกสบู่แล้วควรวางในที่แห้ง

ต่อมา สบู่ไร้ฟอง มีส่วนประกอบของสารสังเคราะห์ดีเทอร์เจน มีความเป็นด่างน้อย จึงเหมาะกับผู้ที่มีสภาพผิวแพ้ง่าย แต่ถ้าผู้ใช้มีสภาพผิวแห้งร่วมด้วย แนะนำให้ทาครีมอ่อน ๆ หลังอาบน้ำ เพื่อเติมความชุ่มชื่นให้ผิวหนัง

สำหรับ สบู่ไขมันสูง มีส่วนผสมของไขมันและน้ำมันมากกว่าสบู่ชนิดอื่น สามารถขจัดสิ่งสกปรกบนผิวหนังได้อย่างหมดจด แต่ก็เติมความชุ่มชื่นให้ผิวได้ในเวลาเดียวกัน เหมาะกับเจ้าของผิวบอบบางและไวต่อการแพ้

สบู่ดับขัดถู จะมีชิ้นส่วนเล็ก ๆ รวมอยู่ในเนื้อสบู่ เพื่อช่วยขจัดคราบไคล สิ่งสกปรกให้หลุดออกจากผิวหนัง แต่ถ้าผิวหนังกำลังเกิดอาการอักเสบ มีสิว หรือแผล ไม่ควรนำสบู่ชนิดนี้ไปขัดถูบริเวณดังกล่าว

นอกจากนี้ยังมี สบู่ยา สบู่ดับกลิ่น ที่ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนนำมาใช้เพื่อความปลอดภั ยของผิว

เข้าใจสรรพคุณของสบู่กันแล้ว ครั้งหน้าหวังว่า คุณผู้อ่านจะเลือกสบู่ได้อย่างถูกต้อง.

รักษาโรคด้วยปลายเข็ม

|0 ความคิดเห็น
รักษาโรคด้วยปลายเข็ม


เดี๋ยวนี้เห็นหลายคนให้ความสนใจเรื่องการฝังเข็มรักษ าโรคกันอยู่มาก ‘มุมสุขภาพ’ จึงเตรียมเรื่องราวเกี่ยวกับการฝังเข็มและกลไกลในการเยียวยาสุขภาพด้วยวิธีดังที่กล่าวซึ่งเ ป็นศาสตร์การรักษาของแพทย์แผนจีน มีมานานกว่า 4,000 ปี และที่น่าประหลาดใจคือการค้นพบวิชาฝังเข็มเกิดขึ้นจา กการที่ร่างกายถูกของแหลมทิ่มแทงจากการต่อสู้หรือทำง าน แต่เมื่อบาดแผลเหล่านั้นทุเลาลง โรคประจำตัวบางโรคที่เคยเป็นอยู่ก็หายไปด้วย

แต่เดิมในตำราจีนโบราณบอกถึงการค้นพบจุดฝังเข็มทั่วร ่างกายที่สามารถรักษาโรคได้มี 356 จุด และจนถึงขณะนี้มีการค้นพบเพิ่มเติมมากเกือบ 2,000 จุด โดยกระจายอยู่บน ‘เส้นลมปราณ’ หรือเส้นเชื่อมต่ออวัยวะภายในร่างกาย หากใครพลังลมปราณไม่ดี ไหลเวียนติดขัด ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย

ส่วนสาเหตุที่ทำให้พลังลมปราณไม่ดี คือ ‘หยิน-หยาง’ ที่ไม่สมดุล เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันบั่นทอนสุขภาพ อาทิ กินอาหารไม่มีประโยชน์ ละเลยการออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ จิตใจขุ่นมัว

การฝังเข็ม กระตุ้นพลังลมปราณและเลือดลม จึงเป็นวิธีที่ช่วยปรับสมดุล หยิน-หยาง ทั้งยังสอดคล้องกับการแพทย์แผนปัจจุบัน นั่นคือ การแพทย์แบบองค์รวม

วันนี้รู้ที่มาที่ไปของการฝังเข็มแล้ว พรุ่งนี้ ‘ภาษาหมอ’ จะคอยบอกว่า โรคใดบ้างที่ควรรักษาด้วยปลายเข็ม.

รู้ทันมะเร็งช่องปาก กับตัวการ "เชี่ยนหมาก" ของคุณยาย

|0 ความคิดเห็น
รู้ทันมะเร็งช่องปาก กับตัวการ "เชี่ยนหมาก" ของคุณยาย

แม้ว่าปัจจุบันวัฒนธรรมการ "เคี้ยวหมากเคี้ยวพลู" ของผู้เฒ่าผู้แก่จะมีให้เห็นน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับ สมัยก่อน เนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังมีคุณตาคุณยายบางบ้านที่ยังต้องมี "เชี่ยนหมาก" ไว้ข้างกายตลอดเวลา ซึ่งถือว่าเป็นภาพความทรงจำในวัยเด็กของใครหลายคน ที่มักจะนั่งเล่นอยู่ข้างๆ ยามที่คุณตาคุณยายท่านกำลังเคี้ยวหมากจนปากแดง บางคนก็เคยทำหมากให้ท่านกิน แต่ก็หารู้ไม่ว่าสิ่งที่คุณกำลังทำมันเป็นการหยิบยื่ นโรคภัยให้กับคุณตาคุณ ยายอย่างไม่รู้ตัว
กับเรื่องนี้ "พญ. สมจินต์ จินดาวิจักษณ์" หัวหน้ากลุ่มงาน โสต ศอ นาสิก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวให้ความรู้ว่า โดยทั่วไป "มะเร็งช่องปาก" จะ เป็นมะเร็งของเยื่อบุในช่องปาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชนิด squamous cell carcinoma โดยมะเร็งชนิดนี้จะมีกลไกในการเกิดโรคจากการได้รับสา รก่อมะเร็งเป็นเวลานานๆ และมักพบในกลุ่มคนช่วงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตามการเกิดมะเร็งในตำแหน่งของช่องปากก็ม ีโอกาสพบได้เกือบทุกเพศ ทุกวัย แต่จะเป็นมะเร็งชนิดอื่น เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
"การ สูบบุหรี่ การดื่มสุรา รวมถึงการเคี้ยวหมากของผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งช่องปากมาก ถึง 15 เท่า นอกจากนี้หากผู้สูงอายุและสมาชิกในบ้านมีสุขภาพช่องป ากที่ไม่ดีอยู่แล้วเช่น การมีฟันแหลมคมหรือการใส่ฟันปลอมที่มีขนาดไม่พอดีกับ ช่องปาก อาจส่งผลให้เกิดเป็นแผลอักเสบเรื้อรัง และกลายเป็นมะเร็งในช่องปากได้ นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นพบว่า ในผลหมากมีสารก่อมะเร็ง หากมีการเคี้ยวหมากร่วมกับยาเส้นที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่นเดียวกับบุหรี่เป็น เวลานาน ผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในช่องปากไ ด้มากถึง 9.9 เท่าของผู้ที่ไม่เคี้ยวหมากหรือสูบบุหรี่"
สำหรับอาการโดยทั่วไปของโรคนี้ ในระยะเริ่มต้น คุณหมอบอกว่า อาจจะแผลในช่องปากปากที่รักษาไม่หายยาวนานกว่า 3 สัปดาห์ โดยสังเกตได้ง่ายๆ ว่าจะมีรอยฝ้าขาวหรือฝ้าแดง ตุ่ม ก้อน ที่รักษาไม่หาย จากนั้นตุ่มและก้อนจะโตขึ้นเรื่อยๆ มีเลือดปนน้ำลาย ทำให้การกลืนอาหารหรือเคี้ยวอาหารลำบาก เนื่องจากอาจมีฟันโยกหรือหลุด บางรายไม่สามารถใส่ฟันปลอมได้เหมือนเดิมจากการที่มีร อยของโรค บางกรณีที่ร้ายแรงจะมีก้อนบริเวณลำคออีกด้วย
"หาก บ้านไหนมีผู้สูงอายุหรือสมาชิกคนอื่นๆ ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคมะเร็งในช่องปา ก ควรหมั่นสังเกตและสำรวจภายในช่องปากเพื่อตรวจหามะเร็ งช่องปากด้วยตนเอง โดยอ้าปากที่หน้ากระจกและใช้ไฟฉายส่อง เพื่อตรวจดูบริเวณด้านข้างลิ้น กระพุ้งแก้ม พื้นปาก เหงือกบนล่าง ริมฝีปาก หากมีแผลที่รักษาไม่หายเกิน 3 สัปดาห์ควรต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่ างเร่งด่วน โดยการวินิจฉัยของแพทย์ จะใช้หลักฐานจากการซักประวัติผู้ป่วยว่ามีปัจจัยเสี่ ยงหรือไม่ จากนั้นก็ตรวจร่างกาย ว่ามีรอยโรคหรือไม่ และเมื่อแพทย์ตรวจพบรอยโรคที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งจะทำ การตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำ ไปพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา" พญ. สมจินต์อธิบายเมื่อตรวจพบความเสี่ยงต่อโรคฯ

ทั้งนี้ หลังจากที่แพทย์ได้ทำการตรวจพิสูจน์ทางพยาธิวิทยาแล้ วว่าเป็นมะเร็ง แพทย์ก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อทำการประเมินระดับอ าการของโรค โดยการตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และวางแผนการรักษา ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานที่ได้มีการศึกษามาแล้ว โดยใช้การรักษาหลักๆ คือ การผ่าตัด การฉายรังสี และการให้เคมีบำบัด ผู้ป่วยที่เป็นในระยะเริ่มแรกจะใช้วิธีการรักษาโดยกา รผ่าตัด หรือการฉายรังสีอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หากเป็นในระยะลุกลาม จำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาหลายวิธีร่วมกัน เช่น การผ่าตัด และการฉายรังสีรักษาร่วมกับเคมีบำบัดในภายหลัง
อย่างไรก็ดี พญ. สมจินต์ แนะนำว่า การ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา และการเคี้ยวหมาก โดยหันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพในช่องปากของตัวเอง นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน ประเภทผักผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือแดง เช่น มะเขือเทศ แครอท และฟักทองก็สามารถลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งในช่องปาก ได้ รวมถึงการปฎิบัติตัวที่ดีหมั่นออกกำลังกายและคอยสังเ กตความเปลี่ยนแปลงของ ตัวเอง หากพบอาการผิดปกติรีบไปปรึกษาแพทย์ก่อนที่มะเร็งจะลุ กลามไปสู่อวัยวะอื่นๆ ที่ใกล้เคียงได้

ใส่กางเกงยีนส์ให้ดูผอมสวย

|0 ความคิดเห็น
ใส่กางเกงยีนส์ให้ดูผอมสวย

สาวๆ ขาลุยที่ชอบใส่กางเกงยีน แต่ขาดความมั่นใจทุกครั้งเมื่อมีคนทักถึงส่วนเกินของ เรียวขา วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีเคล็ดลับดี ๆ มาแนะนำ


เริ่มจากวิธีง่าย ๆ คือ เลือกใส่กางเกงยีนส์สีเข้ม คู่กับรองเท้าบู๊ตหรือรองเท้าส้นสูงโทนสีเข้ม เลือกสีที่เหมาะสมกับกางเกง แค่นี้ก็จะช่วยให้ขาดูยาวและรูปร่างดูเพรียวขึ้นได้

อีกหนึ่งวิธีคือ เลือกขนาดกระเป๋ากางเกงให้เหมาะสม ถ้ากางเกงตัวใหญ่ กระเป๋ากางเกงก็ควรจะใหญ่ด้วย เพราะถ้ากระเป๋าขนาดเล็กมาอยู่บนกางเกงตัวใหญ่ กางเกงตัวนั้นจะยิ่งดูไซส์ใหญ่ขึ้น

ช่วงระยะทางจากปลายขากางเกงกับรองเท้าก็เป็นสิ่งสำคั ญ เพราะขากางเกงที่ยาวจนเหลือช่องว่างระหว่างกางเกงกับ รองเท้าน้อย จะทำให้ดูเพรียวมากขึ้น

ที่สำคัญอย่าพยายามสวมกางเกงที่ไซส์เล็กเกินกว่าขนาด จริงของตัวเอง เพราะจะทำให้ดูอ้วนเตี้ย ตัน แถมยีนส์ตัวเล็กยังทำให้พุงปลิ้นและช่วงขาปริไม่น่าม อง

รอบเดือนเป็นพิษ พิชิตง่ายไม่ต้องพึ่งหมอ

|0 ความคิดเห็น
รอบเดือนเป็นพิษ พิชิตง่ายไม่ต้องพึ่งหมอ


สาว ๆ ที่ประสบปัญหาทางร่างกายที่แตกต่างกันไปในการเกิดรอบ เดือนแต่ละครั้ง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธีแก้ง่ายๆ ของแต่ละอาการมาเล่าสู่กันฟัง


สำหรับคนที่มีรอบเดือนแล้ว เจ็บหน้าอก ให้เลือกทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง แซลมอนหรือไม่ก็กล้วยปั่นแก้วโตๆ ใส่น้ำเชื่อมน้อยๆ เพื่อช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนที่จะบรรเทาอาการปวดบวมที ่หน้าอก

สาวๆ ที่รอบเดือนมักมาพร้อมกับการ ปวดท้อง ควรเลือกทานอาหารที่มีแมกนีเซียม เช่น ผักโขม ยำปลาใส่กระเทียมเยอะๆ หรือไม่ก็พวกถั่วทั้งหลายยิ่งมากยิ่งดี สารอาหารนี้จะช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อในช่องท้ องส่วนคนที่มักเกิดอาการ ตัวบวม น้ำเท่านั้นเป็นสิ่งที่คุณต้องการ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ ตลอดวัน และงดการทานอาหารเค็มจนกว่าจะหมดรอบเดือน

ความหงุดหงิด ที่มาพร้อมกับประจำเดือน แก้ได้ด้วยการทานอาหารที่มีแคลเซียม อาทิ นมไขมันต่ำ โยเกิร์ต ชีส เต้าหู้ ผักคะน้า ฯลฯ หมั่นทานให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยปรับฮอร์โมนให้คงที่ อารมณ์แปรปรวนก็จะค่อยๆหายไป

แค่เลือกทานอาหารให้ถูกหลัก ก็ไม่ต้องมานั่งทรมานกับปัญหาจากรอบเดือนอีกต่อไป

เทคนิคถนอมหลัง ช่วยทุกบ้านห่างไกลอาการปวด

|0 ความคิดเห็น
 เทคนิคถนอมหลัง ช่วยทุกบ้านห่างไกลอาการปวด


ด้วย ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องเผชิญกับความเร่งรีบ อยู่กับคอมพิวเตอร์ ขับรถ โหนรถเมล์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่อาการปวดหลังได้ง่าย ซึ่งเป็นอาการสุขภาพเสื่อมถอยที่พบในประชากรวัยผู้ให ญ่มากถึง 4 จาก 5 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 80 โดยประมาณครึ่งหนึ่ง สามารถหายจากความไม่สบายกายนี้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ในขณะที่ร้อยละ 90 จะหายภายใน 3 เดือน
แต่ สำหรับคนที่ปวดหลัง ร้อยละ 5-10 จะมีอาการปวดหลังเรื้อรัง และก้าวไปถึงขั้นเส้นประสาทถูกทำลาย มีอาการแสดงให้เห็น 2 ด้านชัดๆ ได้แก่ กลั้นปัสสาวะ หรืออุจจาระไม่อยู่ และแขนขาอ่อนแรง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ดังนั้นก่อนที่อาการทรมานจะมาถึง ลองอ่านเทคนิคจากแผนงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ ที่ทีมงานนำมาฝากกันดู เชื่อว่าจะช่วยให้คุณ และคนในครอบครัวห่างไกลจากอาการปวดหลังได้ไม่น้อย
เทคนิคจัดท่วงท่าให้เข้าที่
การ นั่งหรือยืนให้ถูกท่าเป็นสิ่งที่ต้องทำต่อเนื่องทุกว ันไปจนตลอดชีวิต เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง รวมทั้งความเสื่อมของข้อ กระดูกและกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ
ท่ายืน ควรจะยืนตัวตรงหลังไม่โก่งหรือคด แนวติ่งหู ไหล่ และข้อสะโพกควรเป็นแนวเส้นตรง ไม่ควรยืนนานเกินไป ไม่ควรใส่รองเท้าที่มีส้น ควรจะมีเบาะรองฝ่าเท้า อย่างไรก็ตาม หากต้องยืนนานๆ ควรมีที่พักเพื่อสลับเท้าพัก หรือมีเก้าอี้หรือโต๊ะเล็กไว้วางเท้าข้างหนึ่ง
การนั่ง เป็นการเพิ่มแรงกดต่อกระดูกหลังมากที่สุด ควรมีพนักพิงหลังบริเวณเอว เลือกใช้เก้าอี้ทำงานที่นั่งสบายหมุนได้เพื่อป้องกัน การบิดของเอว และมีที่พักแขนขณะที่นั่งพักหัวเข่าควรอยู่สูงกว่าระ ดับข้อสะโพกเล็กน้อย รวมทั้งมีเบาะรองเท้า และหมอนเล็กๆ รองบริเวณเอว เก้าอี้ต้องไม่สูงเกินไป ระดับเข่าควรจะอยู่สูงกว่าระดับสะโพก โดยอาจหาเก้าอี้เล็กรองเท้าเวลานั่ง
การขับรถ โดยเฉพาะการขับรถทางไกล ควรเลื่อนเบาะนั่งให้ใกล้เพื่อป้องกันการงอหลัง หลังส่วนล่างควรจะพิงกับเบาะ เบาะไม่ควรเอียงเกิน 30 องศา เบาะนั่งควรจะยกด้านหน้าให้สูงกว่าด้านหลังเล็กน้อย หากขับรถทางไกลควรจะพักเดินทุกชั่วโมง และไม่ควรยกของหนักทันทีหลังหยุดขับ
การนอน ที่นอนไม่ควรจะนุ่มหรือแข็งเกินไป ควรจะวางไม้หนา 1/4 นิ้ว ระหว่างสปริงและฟูก ท่าที่ดีคือให้นอนตะแคงและก่ายหมอนข้าง หรือนอนหงายโดยมีหมอนรองที่ข้อเข่า ไม่ควรนอนหงายโดยที่ไม่มีหมอนหนุน หรือนอนตะแคงโดยไม่มีหมอนข้างหรือนอนคว

อย่างไรก็ดี หลักการป้องกันโรคปวดหลังดีที่สุด คือ การออกกำลังกายและป้องกันหลังมิให้ได้รับอุบัติเหตุ โดยการบริหารร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอโดยเฉพาะกล้าม เนื้อหลัง เพราะหากไม่เคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเน ื้ออ่อนแรง การออกกำลังจะต้องค่อยๆ สร้างความแข็งแรงทั้งกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้ อหลัง และจะต้องให้ข้อมีการเคลื่อนไหวได้ดีไม่มีข้อติด โดยการออกกำลังกายอาจจะทำได้โดยการเดินการขี่จักรยาน หรือการว่ายน้ำจะทำให้หลังแข็งแรงอีกสิ่งหนึ่งที่ต้อ งทำควบคู่กันไปก็คือ รักษาน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม ไม่ให้อ้วนโดยการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น การวิ่ง ขี่จักรยาน เป็นต้น
เชื่อหรือไม่? เดินโทรฯ กระทบสันหลัง!
มีผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวีนสแลน ด์ ในออสเตรเลีย ระบุหากคุยโทรศัพท์ขณะเดินอยู่ อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ ทั้งนี้เนื่องมาจากวิธีในการหายใจของเรานั่นเป็นเพรา ะร่างกายมนุษย์ถูกออก แบบมาให้หายใจออกเวลาเท้าแตะพื้น ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันการกระแทกของกระดูกสันหลัง ดังนั้น การพูดและเดินไปพร้อมๆ กันจะทำให้รูปแบบการหายใจนี้เสีย และส่งผลต่อกระดูกสันหลังของเราได้
คณะวิจัยได้ทำการวัดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลำตัว ซึ่งเป็นส่วนที่ปกป้องกระดูกสันหลังในอาสาสมัครแต่ละ คน พบว่า กล้ามเนื้อส่วนลำตัวจะทำงานได้อย่างเหมาะสมในคนที่เด ินเฉยๆ แต่คนที่เดินไปพูดไปจะมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบ ริเวณนี้น้อยกว่าปกติ และจะเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลัง
"ปัญหา นี้เกิดขึ้นเนื่องจากวิธีในการสั่งงานของสมอง โดยกล้ามเนื้อจะมีหน้าที่หลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน และถูกสั่งการโดยสมองตามลำดับความสำคัญ ดังนั้น ขณะที่คุยโทรศัพท์และเดินไปในเวลาเดียวกัน สมองก็จะให้ความสำคัญกับการคุยโทรศัพท์มากกว่า และทำให้เสี่ยงต่อการปวดหลังได้มากขึ้น" คณะวิจัยกล่าวในการนำเสนอผลวิจัยนี้ต่อที่ประชุมสมาค มประสาทวิทยาสหรัฐอเมริกา
สำหรับ การเดินคุยกับคนอื่นๆ นั้น ก็จัดว่าเสี่ยงต่อการปวดหลังด้วยเช่นกัน แต่การคุยโทรศัพท์มือถือขณะเดินจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นพ ิเศษ เพราะมักใช้เวลากับการเดินและคุยมากกว่าปกติ

นอนหลับเพียงพอ ช่วยเรียกหุ่นสวย

|0 ความคิดเห็น
นอนหลับเพียงพอ ช่วยเรียกหุ่นสวย

สาว ๆ ที่มีปัญหาน้ำหนักเกิน หรือมีไขมันตกค้างตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อาจได้เฮ เมื่อมีทางช่วยให้ร่างกายขจัดส่วนเกินนั้นออกไปได้ง่ าย ๆ ด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในคนอ้วนที่อยากลดน้ำหนักนั้น การควบคุมอาหารเป็นเรื่องทรมานมากเรื่องหนึ่ง แต่เหล่าคนอ้วนก็จำเป็นต้องอดทนทำ หากต้องการให้หุ่นเพรียวสวยสมใจ อย่างไรก็ดี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโกพบว่า การได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอในตอนกลางคืนก็สามารถช่ว ยให้ร่างกายกำจัดไขมัน ส่วนเกินออกไปได้เช่นกัน พร้อมกันนี้ยังพบว่า คนที่มีเวลานอนตอนกลางคืนน้อยก็มีโอกาสอ้วนสูงด้วย
โครงการนี้ได้ทำการทดสอบโดยมีอาสาสมัคร 10 คนเข้าร่วมการทดลองเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ซึ่งตลอดการทดลอง นักวิจัยกำหนดให้อาสาสมัครทุกคนรับประทานอาหารแคลอรี ่ต่ำ
ในช่วงสองสัปดาห์แรก เหล่าอาสาสมัครจะได้นอนคืนละ 8.5 ชั่วโมง และอีกสองสัปดาห์ต่อมา จะได้นอนเพียงแค่ 5.5 ชั่วโมง
เมื่อ สิ้นสุดการทดลอง นักวิจัยชาวสหรัฐได้ศึกษา - เปรียบเทียบปริมาณน้ำหนักที่ลดลงของอาสาสมัครแต่ละรา ยพบว่า แม้จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ไม่แตกต่างกันในสองอาทิตย์แ รกกับสองอาทิตย์หลัง แต่สัดส่วนของไขมันที่ลดลงในแต่ละช่วงนั้นกลับไม่เท่ ากัน โดยพบว่า อาสาสมัครสามารถลดไขมันในร่างกายลงได้มากกว่าในสองสั ปดาห์แรก ซึ่งเป็นช่วงที่อาสาสมัครได้นอนหลับพักผ่อน 8.5 ชั่วโมงต่อคืน (เฉลี่ยลดไขมันได้ 3.1 ปอนด์ ขณะที่สองสัปดาห์หลังลดไขมันได้เฉลี่ย 1.3 ปอนด์เท่านั้น)
ส่วนค่าเฉลี่ย งานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่า อาสาสมัครสามารถลดน้ำหนักได้ประมาณ 3 กิโลกรัม ในช่วง 14 วัน

แนะดูแลผ้าปูนอน-ป้องภูมิแพ้จากไรฝุ่น

|0 ความคิดเห็น
แนะดูแลผ้าปูนอน-ป้องภูมิแพ้จากไรฝุ่น

ภูมิแพ้ จาม ไอ หอบหืด เป็นอาการที่คนกว่าครึ่งหนึ่งของโลกต้องประสบพบเจอ เนื่องสภาพอากาศที่เป็นพิษ หรือในเขตที่มีอากาศร้อนชื้น เคยสังเกตกันไหมว่าทำไมเวลาตื่นนอนตอนเช้า ถึงมีอาการจามถี่ๆ น้ำมูกไหล คันตา ยิ่งบางท่านมีอาการรุนแรง อาจถึงหอบหืด ต้องใช้ยาแก้แพ้เป็นประจำ ทำให้เกิดอาการง่วง เหงา หาว นอน ซึ่งถ้าเป็นเด็กก็มักมีผลกระทบถึงการเรียน และการเจริญวัย ส่วนวัยทำงานก็ดูจะเป็นอุปสรรคกับความก้าวหน้าของงาน อยู่ไม่น้อย

ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ร้อยละ 70 มีสาเหตุมาจากไรฝุ่น และสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น ซึ่งไรฝุ่นเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ขนาด 0.1-0.3 มิลลิเมตร ที่ฝังตัวอยู่ในที่นอนและหมอน จะถ่ายมูลและลอกคราบออกมา ซึ่งล้วนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการของโรคภูมิ แพ้ เพราะเวลาเรานอนหลับจะสูดหายใจเอามูลและคราบของไรฝุ่ น ซึ่งมีขนาดเล็กมากที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาผ่านหลอดลมเข้า สู่ปอด ทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ เช่น หอบ หืด น้ำมูกไหล คันตามผิวหนังและตา ซึ่งโรคภูมิแพ้จากไรฝุ่นนี้จะพบมากในประเทศร้อนชื้นอ ย่างบ้านเรา หรือประเทศที่เป็นเกาะเช่น ญี่ปุ่น

วิธีการกำจัดไรฝุ่น มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การใช้ความร้อน ซักเครื่องนอน คงทำได้เฉพาะผ้าปูและปลอกหมอน ส่วนไรฝุ่นที่อยู่ในฟูกและหมอนไม่สามารถกำจัดได้ การใช้เครื่องดูดฝุ่น ต้องใช้ที่พลังดูดสูงๆ แต่ถ้าไรฝุ่นที่อยู่ในพรม หรือฟูก ก็กำจัดยากเช่นกัน การใช้ผ้าที่ทอเนื้อแน่น จะช่วยป้องกันไม่ให้ไรฝุ่นและมูลฟุ้งกระ จายในอากาศ ลดการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ทั้งทางผิวหนัง และการหายใจ จึงช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้ และเพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ หมอนหรือผ้าห่มก็ควรเลือกที่ใช้ผ้าที่ทอเนื้อแน่น ให้ลองส่องกับไฟ จะไม่เห็นแสงลอด เมื่อเทียบกับผ้าปูทั่วไปหรือผ้าที่เคลือบน้ำยาป้องก ันไรฝุ่น หรือถ้าจะให้มั่นใจก็เลือกผลิตภัณฑ์ที่แพทย์แนะนำ