วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดัชนีการแกว่งของปริมาณการซื้อขายสะสม VOLUME ACCUMULATION OSCILLATOR (VAO)

|0 ความคิดเห็น
ดัชนีการแกว่งของปริมาณการซื้อขายสะสม VOLUME ACCUMULATION OSCILLATOR (VAO)

เส้น VAO เกิดจากการนำค่า VOLUME ACCUMULATION (VA) มาสร้างเป็น OSCILLATOR (ดัชนีการแกว่งตัว) โดยค่า VA เป็นการให้น้ำหนัก (WEIGHT) ต่อราคาและปริมาณซื้อขายในช่วงวันนั้น ๆ ว่ามีน้ำหนักค่อนไปในทางใด โดยให้ราคาเฉลี่ย (ราคากลาง) ของวันนั้น เป็นเกณฑ์วัดการเปลี่ยนแปลงของราคา ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเฉลี่ย ค่า VA จะมีค่าเป็นบวกตามอัตราส่วนของราคาปิดต่อราคาเฉลี่ย ถ้าราคาปิดต่ำกว่าราคาเฉลี่ย ค่า VA จะมีค่าเป็นลบตามอัตราส่วนของราคาปิดต่อราคาเฉลี่ย และถ้าหากราคาปิดเท่ากับราคาสูงสุด ปริมาณการซื้อขายของวันนั้นจะมีค่าเป็นบวกทั้งหมด แต่ถ้าราคาปิดเท่ากับราคาต่ำสุดปริมาณการซื้อขายของวันนั้นจะมีค่าเป็นลบทั้งหมด
วิธีการสร้างเส้น VAO เกิดจากการสร้างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 วัน และ 10 วันจากค่า VA จากนั้นก็นำส่วนต่างของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 วัน และ 10 วัน มาสร้างเป็นเส้น (LINE) หรือแท่ง (HISTOGRAM) โดยมีเส้น 0 เป็นแกนกลาง
โดย VA และ VAO มีสูตรการคำนวณ ดังนี้
 

VA =( (CLOSE-LOW)-(HIGH-CLOSE) *VOLUME)/( HIGH-LOW)
VAOn = MA3 (VA)-MA10 (VA)

หลักการวิเคราะห์
 ถ้าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 3 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วันขึ้นส่วนต่างนั้นจะเปลี่ยนจากค่าลบเป็นค่าบวก และเส้น VAO จะตัดเส้น 0 ขึ้น ซึ่งหมายถึงสัญญาณให้ซื้อ แต่ถ้าเส้นค่าเฉลี่ยที่ 3 วัน ตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วันลง ส่วนต่างนั้นจะเปลี่ยนจากค่าบวกเป็นค่าลบ และเส้น VAO จะตัดเส้น 0 ลง ซึ่งหมายถึงสัญญาณให้ขาย
 สัญญาณซื้อขายที่เกิดจาก VAO นี้จะต้องสอดคล้องกับแนวโน้มของราคาด้วย

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมทาง / แยกทาง MOVING AVERAGES CONVERGENCE/ DIVERGENCE

|0 ความคิดเห็น
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมทาง / แยกทาง MOVING AVERAGES CONVERGENCE/ DIVERGENCE

เครื่องมือที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ในปัจจุบันนั้นมีอยู่มากมายหลายวิธี แต่ละวิธีจะให้สัญญาณซื้อขายที่ถูกต้อง ชัดเจน ในสภาพตลาดที่แตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เครื่องมือที่เหมาะสำหรับดูวงจรหุ้นในระยะสั้น - ปานกลาง (4-6 อาทิตย์) ที่ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงกว้าง ๆ คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมทาง - แยกทาง (MACD)
MACD เป็นเครื่องมือวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคที่สร้างขึ้น และพัฒนาโดย GERALD APPEL ในปี ค.ศ.1979 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับราคา (TREND FOLLOWING) สามารถใช้วัดระดับ (DEGREE) ตลาดว่าเป็นตลาด BULL หรือตลาด BEAR
วิธีการคำนวณ
เส้น MACD สร้างขึ้นโดยใช้ความต่างระหว่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 เส้น โดยที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เส้นหนึ่ง ใช้ระยะเวลาในการคำนวณยาวกว่าเส้นค่าเฉลี่ยฯ อีกเส้นหนึ่ง และเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 2 เส้นนี้ นิยมใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ EXPONENTIAL ส่วนจำนวนวันที่นำมาหาค่าเฉลี่ย ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ 12 วัน และ 25 (หรือ 26 วัน) มีข้อสังเกตว่า เส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวนี้ จะมีระยะเวลายาวนาน กว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นประมาณ 1 เท่า
การให้สัญญาณซื้อขายที่นิยมวิธีหนึ่งของ MACD คือ การใช้สัญญาณ (SIGNAL LINE) ตัดกับเส้น MACD
MACD =  EMA (12 DAYS) - EMA (25 DAYS)

SIGNAL LINE =  EMA 9 DAYS OF MACD
EMA  =  EXPONENTIAL MOVING AVERAGE
เส้น MACD และเส้นสัญญาณ (SIGNAL LINE) จะเหวี่ยงตัวอยู่บนกราฟที่มี SCALE 0 เป็นค่าแกนกลาง

หลักการวิเคราะห์
1.  ถ้า MACD มีค่าเป็นบวก แสดงว่าราคาหุ้นอยู่ในแนวโน้มขึ้นระยะกลาง

2.  ถ้า MACD มีค่าเป็นลบ แสดงว่าราคาหุ้นอยู่ในแนวโน้มลงระยะกลาง
3.  ถ้า MACD มีค่าเป็นบวก และตัดเส้นสัญญาณ (SIGNAL LINE) ขึ้นไป แสดงว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มสูงขึ้น เป็นสัญญาณซื้อ (BUY SIGNAL)
4.  ถ้า MACD มีค่าเป็นลบ และตัดเส้นสัญญาณ (SIGNAL LINE) ลงมา แสดงว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มลดลง เป็นสัญญาณขาย (SELL SIGNAL)
5.  ถ้า MACD มีค่าเป็นบวก แต่ตัดเส้นสัญญาณ (SIGNAL LINE) ลงมา แสดงว่าราคาหุ้นกำลังมีแนวโน้มชะลอการลงหรือปรับตัวขึ้นช่วงสั้น
6.  ถ้า MACD มีค่าเป็นลบ แต่ตัดเส้นสัญญาณ (SIGNAL LINE) ขึ้นไป แสดงว่าราคาหุ้นกำลังมีแนวโน้มชะลอการลงหรือปรับตัวขึ้นช่วงสั้น
7.  ถ้า MACD มีค่าเป็นบวก และอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับยอดเก่า แสดงว่าราคาหุ้นมีโอกาสที่จะทรงตัวหรือปรับตัวลดลง
8.  ถ้า MACD มีค่าเป็นลบ และอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับฐานเก่า แสดงว่าราคาหุ้นมีโอกาสที่จะทรงตัวหรือปรับตัวสูงขึ้น
9.  ถ้า MACD และเส้นสัญญาณ (SIGNAL LINE) มีค่าเป็นบวก แสดงว่าตลาดเป็นตลาด BULL
10. ถ้า MACD และเส้นสัญญาณ (SIGNAL LINE) มีค่าเป็นลบ แสดงว่าตลาดเป็นตลาด BEAR
ข้อสังเกต

เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบ MACD นี้ อาจมีข้อจำกัดสำหรับตลาดหุ้นไทย ในความเป็นจริง คือ MACD มักจะให้สัญญาณซื้อขายค่อนข้างช้า ดังนั้น จึงควรนำเอาเครื่องมืออื่น ๆ ที่ใช้สำหรับดูวงจรหุ้นในระยะสั้นมาประกอบพิจารณาในการซื้อขายด้วย เช่น STOCHASTIC และ MOMENTUM เป็นต้น
การใช้เครื่องมือ MACD เพียงอย่างเดียว มักจะทำให้ผู้ลงทุนไม่ได้กำไรสูงสุด ดังนั้น จึงควรนำหลักการของ DIVERGENCE มาประกอบการตัดสินใจ
การแยกตัวออกจากกันของ MACD กับดัชนีราคา (DIVERGENCE)
DIVERENCE คือ การแยกตัวออกจากกันของ MACD กับราคาหุ้นมี 2 ลักษณะคือ
1. NEGATIVE DIVERGENCE จะเกิดขึ้นเมื่อ MACD มีการปรับตัวลงสวนทางกับการสูงขึ้นของดัชนีราคา เป็นการเตือนว่าราคาหุ้นอาจมีการปรับตัวลง

2. POSITIVE DIVERGENCE จะเกิดขึ้นเมื่อ MACD มีการปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกับการลดลงของดัชนีราคา เป็นการบอกว่าการลดลงของราคาหุ้นใกล้สิ้นสุด
เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนสูงสุด ผู้ลงทุนควรจะรอจนกว่าจะเห็นรูปแบบ NEGATIVE หรือ POSITIVE DIVERGENCE เสียก่อน และควรใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ มาประกอบด้วย MACD OSCILLATOR (MACDO)
MACD OSCILLATOR (MACDO)
MACD OSCILLATOR คือ การเปลี่ยนเส้น MACD และเส้นสัญญาณ (SIGNAL LINE) ให้เป็นเส้นดัชนีเส้นเดียวที่เคลื่อนไหวอยู่รอบเส้นศูนย์
วิธีการคำนวณ

MACD OSCILLATOR = MACD - SIGNAL LINE
หลักการวิเคราะห์

คือ ถ้า MACD OSCILLATOR ตัดเส้นศูนย์ขึ้นเป็นสัญญาณซื้อ และตัดเส้นศูนย์ลงเป็นสัญญาณขาย
MACD OSCILLATOR ให้สัญญาณเหมือนกับ MACD ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าชอบแบบใด

การประยุกต์ใช้ A/D LINE โดยการนำเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MOVING AVERAGE) มาใช้ประกอบการวิเคราะห์

|0 ความคิดเห็น
การประยุกต์ใช้ A/D LINE โดยการนำเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MOVING AVERAGE) มาใช้ประกอบการวิเคราะห์

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของ A/D LINE สามารถใช้บอกแนวรับ (SUPPORT) และแนวต้าน (RESISTANCE) ได้เช่นเดียวกับเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของดัชนีตลาดฯ และในบางครั้ง จะให้สัญญาณเตือนที่เร็วกว่าด้วย
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ที่จะใช้ขึ้นอยู่กับนักวิเคราะห์แต่ละท่าน แต่ที่นิยมใช้ในตลาดหุ้นไทย คือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วัน 25 วัน 75 วัน และ 200 วัน ของ A/D LINE ซึ่งมีลักษณะเหมือนเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของดัชนีตลาดฯ
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ดังกล่าวข้างต้นนี้เอง ที่ถือเป็นแนวรับและแนวต้านสำหรับเส้น A/D LINE โดยกรณีที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เส้นใดเส้นหนึ่งอยู่เหนือ A/D LINE ณ ระดับนั้นถือเป็นแนวต้าน และถ้าเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เส้นใดอยู่ใต้ A/D LINE ณ ระดับนั้นก็ถือเป็นแนวรับ
ส่วนกรณีสัญญาณที่เกิดขึ้นแบ่งเป็น สัญญาณในทางบวก (POSITIVE) โดยเกิดเมื่อ A/D LINE เคลื่อนที่ตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เส้นใดเส้นหนึ่งขึ้นไป และสัญญาณในทางลบ (NEGATIVE) ที่เกิดจาก A/D LINE เคลื่อนที่ตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เส้นใดเส้นหนึ่งลงมา
หมายเหตุ สัญญาณบวกหรือลบที่เกิดมาจาก A/D LINE นี้จะมีน้ำหนักน้อยกว่าสัญญาณซื้อและขายของดัชนีตลาดฯ และสัญญาณเหล่านี้เมื่อเกิดจะถือเป็นตัวสนับสนุนการขึ้นหรือลงของดัชนีฯ (กรณี A/D LINE มีทิศทางเดียวกับดัชนีฯ) หรือถ่วงการขึ้นหรือลงของดัชนีฯ (กรณี A/D LINE มีทิศทางตรงกันข้ามกับดัชนีฯ)
ความหมายเมื่อ A/D LINE ตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ขึ้นหรือลง
กรณี สัญญาณ

 A/D LINE ตัด SMA 10 ลง ระยะสั้นเริ่มไม่ดี
 A/D LINE ตัด SMA 25 ลง ระยะสั้นถึงกลางเริ่มไม่ดี
 A/D LINE ตัด SMA 75 ลง ระยะกลางเริ่มไม่ดี
 A/D LINE ตัด SMA 200 ลง ระยะยาวเริ่มไม่ดี
 A/D LINE ตัด SMA 10 ขึ้น ระยะสั้นเริ่มดี
 A/D LINE ตัด SMA 25 ขึ้น ระยะสั้นถึงกลางเริ่มดี
 A/D LINE ตัด SMA 75 ขึ้น ระยะกลางเริ่มดี
 A/D LINE ตัด SMA 200 ขึ้น ระยะยาวเริ่มดี

การคาดคะเนเป้าหมาย

|0 ความคิดเห็น
การคาดคะเนเป้าหมาย
การคาดคะเนเป้าหมายมีประโยชน์อย่างยิ่ง ในการที่จะหาว่าราคาจะสามารถวิ่งขึ้นไปได้ถึงไหน และลงไปได้ถึงเท่าไร ทำให้สามารถจับจังหวะในการซื้อและขายได้อย่างถูกต้อง
 การคาดคะเนเป้าหมายนิยมใช้กฎอยู่ 3 ข้อ ด้วยกัน คือ

 กฎ 20 X
 กฎ 50 %
 กฎการวัดการเคลื่อนที่ (Measure Move)
กฎ 20 X
กล่าวคือกฎนี้นี้จะบอกว่าหากราคาสูงต่อเนื่องกันขึ้นมาตั้งแต่ 20 X ขึ้นไปแล้ว มักจะมีการปรับตัวลงของราคา

กฎ 50 %
 กฎ 50% (บางครั้งนิยมใช้กฎ 30% หรือ 1 ใน 3 มาหาแนวรับเบื้องต้นก่อน) กล่าวคือเมื่อราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปจนสูงสุด และเริ่มตกลง หากเราไม่สามารถหาแนวรับที่ชัดเจนได้เราอาจคาดคะเนได้ว่าราคาจะตกลงมาประมาณ 50% ของราคาที่ขึ้นไป

กฎวัดการเคลื่อนที่ (Measure Move)
 กล่าวคือหากราคาขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วตกลงมาถึงจุดต่ำสุดจุดหนึ่ง แล้วเริ่มตีกลับสูงขึ้นไปจนสูงกว่าจุดสูงสุดเดิม ราคาอาจสามารถไปต่อได้เท่ากับระยะทางที่วิ่งขึ้นมาในช่วงแรก

 หมายเหตุ : กฎทั้ง 3 ข้อนี้ สามารถนำไปคาดคะเนเป้าหมายในกรณีหุ้นขาลงได้ในทำนองเดียวกัน เช่น กฎ 20 O เปรียบได้กับ กฎ 20 X เป็นต้น

THE RIGHT-ANGLE TRIANGLE

|0 ความคิดเห็น

THE RIGHT-ANGLE TRIANGLE

เป็นรูปแบบที่น่าเชื่อถือกว่า SYMMETRICAL TRIANGLE มี 2 รูปแบบ คือ
ASCENDING TRIANGLE
 เป็นรูปสามเหลี่ยมที่สร้างจากเส้นที่ลากต่อกันระหว่างจุดยอดกับจุดยอดในแนวราบ และเส้นที่ลากระหว่างฐานกับฐานจะเอียงขึ้น เมื่อราคาหุ้นวิ่งทะลุผ่านเส้นแนวต้านทางด้านบนขึ้นได้ จะเป็นสัญญาณให้ซื้อ แต่ถ้าทะลุเส้นแนวรับลงมาข้างล่าง จะไม่มีความหมายสำหรับการวิเคราะห์
 DESCENDING Triangle
 เป็นรูปสามเหลี่ยมที่สร้างจากเส้นที่ลากต่อกันระหว่างจุดยอดกับจุดยอด ในลักษณะเอียงลง และเส้นลากระหว่างฐานกับฐาน จะเป็นไปในแนวราบ เมื่อราคาหุ้นวิ่งทะลุผ่านเส้นแนวรับลงมาทางด้านล่างได้ จะเป็นสัญญาณให้ขาย แต่ถ้าทะลุเส้นแนวต้านขึ้นไป จะไม่มีความหมายสำหรับการวิเคราะห์

SPEED LINES

|0 ความคิดเห็น
SPEED LINES
เป็นเทคนิคที่ประกอบด้วย TRENDLINES (เส้นแนวโน้ม) กับ PERCENTAGE RETRACEMENT (การย้อนกลับของราคา ณ ระดับเปอร์เซนต์ต่าง ๆ) เทคนิคนี้พัฒนาโดย DESON GOULD OF ANAMETRICS ซึ่งเป็นการนำความคิดในเรื่องของการแบ่งแนวโน้มออกเป็น 3 ส่วนมาประยุกต์ใช้ โดย SPEED LINES มีความแตกต่างจาก PERCENTAGE RETRACEMENT ที่ SPEED LINES เป็นการวัดอัตราการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของแนวโน้ม (อัตราเร่งของแนวโน้ม)

หลักการสร้าง? SPEED LINES

BULLISH SPEED LINES เริ่มจากหาจุดต่ำสุดและสูงสุดของแนวโน้มขึ้น แล้วลากเส้นตั้งฉากจากจุดยอดมายังฐาน โดยเส้นตั้งฉากนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน SPEED LINES จะเริ่มลากจากจุดต่ำสุดผ่านระดับ 1/3 และ 2/3 ของเส้นตั้งฉากตามลำดับ
BEARISH SPEED LINES วิธีการสร้างเส้น SPEED LINES จะตรงกันข้ามกับ BULLISH โดยเริ่มจากหาจุดสูงสุดและต่ำสุดของแนวโน้มลง แล้วลากเส้นตั้งฉากจากจุดต่ำสุดมายังยอด โดยเส้นตั้งฉากนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน SPEED LINES จะเริ่มลากจากจุดสูงสุดผ่านระดับ 1/3 และ 2/3 ของเส้นตั้งฉากตามลำดับ
หลักการวิเคราะห์

ทฤษฎีของ SPEED LINES จะคล้ายกับ 33% และ 66%? RETRACEMENT

ในแนวโน้มขึ้น การปรับตัวลงของราคา โดยปกติหยุดลงที่ SPEED LINES เส้นบน (2/3) แต่หากว่าราคายังคงตกต่ำกว่าเส้นบน แนวรับต่อไปจะอยู่ที่? SPEED LINES เส้นล่าง (1/3) หากราคาตกทะลุแนวรับนี้ลงไป ราคาจะมีโอกาสตกต่อเนื่องกลับไปสู่ระดับเริ่มต้นของแนวโน้มขึ้นที่ผ่านมา

ในแนวโน้มลง หากว่าราคาสามารถดีดตัวขึ้นทะลุ ?? SPEED LINES เส้นล่าง (2/3) จะเป็นการแสดงถึงโอกาสที่ราคาอาจสามารถวิ่งขึ้นต่อไปยัง SPEED LINES เส้นบน และหากราคาทะลุผ่านแนวต้านนี้ขึ้นไป ราคาจะมีโอกาสขึ้นต่อเนื่องไปสู่ระดับเริ่มต้นของแนวโน้มลงที่ผ่านมา

เช่นเดียวกับเส้นแนวโน้มโดยทั่วไป แนวรับของ SPEED LINES จะเปลี่ยนเป็นแนวต้านหลังจากราคามีการทะลุผ่านแนวรับนั้นลงไปและในทางตรงกันข้าม แนวต้านของ SPEED LINES จะเปลี่ยนเป็นแนวรับหลังจาก ราคามีการทะลุผ่านแนวต้านนั้นขึ้นมา เช่นในแนวโน้มขึ้น หากราคาทะลุผ่าน SPEED LINES เส้นบน (2/3) ลงมาแล้วไปพบกับแนวรับที่ SPEED LINES เส้นล่าง (1/3) เราถือว่า SPEED LINES เส้นบน (2/3) จะเปลี่ยนเป็น แนวต้าน หลังจากนั้นถ้าราคาสามารถทะลุผ่านแนวต้านนี้ขึ้นไปได้ ราคาอาจมีโอกาสสูงขึ้นกว่ายอดสูงสุดเดิม

หลักการนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในแนวโน้มลงได้เช่นกัน

สัญญาณซื้อ

   เกิดเมื่อราคาทะลุผ่าน SPEED LINES ที่เป็นแนวต้านขึ้นไป

   เกิดเมื่อราคาตกมาพบ SPEED LINES ที่เป็นแนวรับแล้วดีดตัวกลับ
 

 สัญญาณขาย

   เกิดเมื่อราคาทะลุผ่าน SPEED LINES ที่เป็นแนวรับลงไป

   เกิดเมื่อราคาวิ่งขึ้นมาพบ SPEED LINES ที่เป็นแนวต้านแล้วปรับตัวลง







HIGH/LOW OSCILLATOR (HLO)

|0 ความคิดเห็น
HIGH/LOW OSCILLATOR (HLO)HLO เป็นเครื่องมือที่ใช้ดูถึงความสัมพันธ์ของราคาสูงสุด ณ วันปัจจุบันกับราคาปิดในอดีต โดยนำมาคำนวณเป็นอัตราส่วนตามผลรวมของช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อใช้ดูความเปลี่ยนแปลงของราคาในปัจจุบัน
หลักในการคำนวณ
HLO มีสูตรในการคำนวณดังนี้

HLO   =   HIGH - CLOSE t-1 *100
                                  MAX (A, B, C)
MAX (A,B,C) = ราคาที่มีค่ามากที่สุดเพียงตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น
A = ราคาสูงสุดวันปัจจุบัน - ราคาปิดในอดีตย้อนหลัง 1 วัน
B = ราคาสูงสุด - ราคาต่ำสุด ณ วันปัจจุบัน
C = ราคาปิดในอดีตย้อนหลัง 1 วัน - ราคาต่ำสุด ณ วันปัจจุบัน
หลักการวิเคราะห์
รูปแบบของกราฟจะแกว่งตัวอยู่ระหว่าง -100 ถึง +100 โดยจะมีค่า 0 เป็นค่ากลาง เพื่อใช้วัดความแตกต่างของราคาสูงสุด ณ วันปัจจุบันกับราคาปิดในอดีตย้อนหลัง 1 วันว่ามีความแตกต่างเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร (ค่าที่อกมาจะคิดความเปลี่ยนแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์) โดยมี

หลักการวิเคราะห์ดังนี้
1. ถ้าเส้นกราฟราคาเพิ่มสูงขึ้นกว่าเส้นกราฟในอดีตแสดงให้เห็นว่าราคาได้มีการเลปี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นในทางบวก ยิ่งเพิ่มสูงมากเท่าใดยิ่งชี้ให้เห็นว่าราคามีแนวโน้มที่ดี แต่ถ้ากราฟขึ้นมาอยู่ในระดับ +100 แสดงว่าราคาได้เปลี่ยนแปลงขึ้นมามากแล้ว อาจจะมีการปรับตัวลดลงได้ในช่วงต่อ จึงเป็นสัญญาณให้ขาย
2. ถ้าเส้นกราฟราคาลดลงต่ำกว่าเส้นกราฟราคาในอดีต แสดงให้เห็นว่าราคาได้มีการเปลี่ยนแปลงลดลง ยิ่งลดลงมากเท่าใดยิ่งชี้ให้เห็นว่าราคาเริ่มมีแนวโน้มที่ไม่ดี ควรขายออกไปก่อน และถ้ากราฟตกมาจนถึงระดับ -100 แสดงว่าราคาได้เปลี่ยนแปลงลดลงมามากแล้ว อาจจะมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ในช่วงต่อไปจึงเป็นสัญญาณให้ซื้อได้
3. ถ้าเส้นกราฟราคาตัดเส้นแกน 0 ขึ้นหรือลงก็อาจบอกได้ว่าเป็นสัญญาณให้ซื้อหรือขาย กล่าวคือ ถ้ากราฟตัดเส้น 0 ขึ้นก็เป็นสัญญาณให้ซื้อ และถ้ากราฟตัดเส้น 0 ลงมาก็เป็นสัญญาณให้ขาย

เครื่องมือ OSCILLATOR ดังกล่าวข้างต้น ล้วนอาจก่อให้เกิดประโยชน์หรือโทษพอ ๆ กัน ดังนั้น วิธีการที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและโทษน้อยที่สุดคือ จงมองเครื่องมือเหล่านี้ด้วยใจเป็นกลาง ไม่โน้มเอียง เข้าข้างตัวเอง ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียหายได้ และการใช้เครื่องมือมากตัวเข้ามาประกอบกัน ยิ่งมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นผลดีในการกลั่น กรอง เช่น การนำเครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้มต่าง ๆ อันได้แก่ MOVING AVERAGE, TREND LINE เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องมากที่สุดต่อตัวนักลงทุนเอง

HAMMING - WEIGHTED MOVING AVERAGE (HMA)

|0 ความคิดเห็น
HAMMING - WEIGHTED MOVING AVERAGE (HMA)HAMMING - WEIGHTED MOVING AVERAGE เป็นวิธีที่ปรับใช้ตัวแปรสำหรับถ่วงน้ำหนักให้กับข้อมูลราคา โดยมีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์แบบ SPECTRAL ANALYSIS หรือวิธี HAMMING การเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักแบบ HAMMING จะให้ผลที่ถูกต้องต่อข้อมูลที่มีการเคลื่อนไหวแบบวัฏจักร (CYCLE) ดีกว่าวิธีหาเส้นค่าเฉลี่ยแบบดั้งเดิม ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของราคาที่ผิดปกติ และให้ความถูกต้องในการชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มได้ดีกว่า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบการใช้ค่าเฉลี่ยโดยวิธีนี้กับการเฉลี่ยแบบอื่น ๆ จะพบว่าวิธี HAMMING AVERAGE นี้อาจช่วยหาสัญญาณซื้อขายได้ดีกว่าวิธีอื่น ๆ
รูปแสดงเส้นค่าเฉลี่ยฯ ชนิด HMA 10, 25 และ 75 วัน

Forex คืออะไร

|0 ความคิดเห็น
Forex คืออะไรForex ย่อมาจาก Foreign Exchange บางครั้งเรียกย่อว่า FX คือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
Forex Market หรือ ตลาด Forexเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากกว่า US$ 2trillion (2 ล้านล้านดอลลาร์) ต่อวัน เป็นตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูงมาก ตลาดเปิดทำการซื้อขาย 24 ชั่วโมง ตลอดวันทำการโดยหยุดการซื้อขาย แค่วัน เสาร์-อาทิตย์เท่านั้นการซื้อขายใน ตลาด Forexเป็นการซื้อขายค่าเงิน โดยซื้อเงินสกุลหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ขายเงินอีกสกุลหนึ่งออกไป หรือเป็นการจับคู่แลกเปลี่ยนซื้อขายค่าสกุลเงินนั่นเอง ตัวอย่างเช่น เงินสกุลยูโร/ดอลลาร์สหรัฐฯ(EUR/USD) หรือ เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น (USD/JPY) เป็นต้น

ค่าเงินสกุลต่างๆ ที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขายในตลาด Forex ที่สำคัญ มีดังนี้

Symbolชื่อสกุลเงิน ชื่อเรียก ประเทศตลาด เปิด-ปิด
USDดอลลาร์Buckสหรัฐอเมริกา19.00-03.00
EURยูโรFiberสหภาพยุโรป13.00-21.00
JPYเยนYenญี่ปุ่น06.00-14.00
GBPปอนด์Cableอังกฤษ14.00-22.00
CHFฟรังซ์Swissyสวิสเซอร์แลนด์13.00-21.00
CADดอลลาร์Loonieแคนาดา19.00-03.00
AUDดอลลาร์Aussieออสเตรเลีย05.00-12.00
NZDดอลลาร์Kiwiนิวซีแลนด์-

การที่เราจะซื้อขายใน ตลาด Forex จะต้องเปิดบัญชีกับ Forex Brokerเป็นโบรกเกอร์ทางอินเตอร์เน็ต เราสามารถเทรดออนไลน์ได้ ตลอด 24 ชั่วโมงตั้งแต่เช้าวันจันทร์ ถึง คืนวันศุกร์ สำหรับมือใหม่ ยังไม่เคยเทรดเลยแนะนำลองเปิดบัญชีของ Marketiva ดูครับ มีเงินปลอมให้เล่น $20000 (เบิกเป็นเงินจริงไม่ได้ เอาไว้ฝึกเทรด) และมีเงินจริงให้ฟรีอีก $5 ดอลลาร์ หรือ โบรกเกอร์ที่แนะนำ คลิกที่นี่
ตารางเวลาเปิด-ปิดตลาด ของแต่ละโซน (ค่าเงิน)
ตลาดของแต่ละโซนจะเปิด-ปิด คาบเกี่ยวกันตลอดทั้งวัน ทำให้เราสามารถเทรดได้24 ช.ม. แต่ช่วงที่เหมาะแก่การเทรดคือช่วง ตลาดยูโร (EUR) เปิด ถึงหลังตลาดอเมริกา (USD) เปิด 4-5 ชม. คือแถบสีแดงด้านบน ประมาณเวลา 13.00 -24.00 ตามเวลาไทย ปกติจะเป็นช่วงที่ตลาดผันผวนราคามีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าช่วงอื่น
การลงทุนคือความเสี่ยง ยิ่งผลตอบแทนเยอะความเสี่ยง ก็ยิ่งเยอะตามไปด้วย จึงควรศึกษาให้เข้าใจก่อน การลงทุนครับ

1.ศึกษากราฟ รูปแบบราคา อินดิเคเตอร์ เพื่อหาแนวโน้มของราคาและสัญญาณในการเข้าเทรด การหาจังหวะปิดเพื่อทำกำไร เหล่านี้สามารถหาศึกษาได้ตามเว็บต่างๆ ตามลิงค์ด้านขวามือครับ
2. ศึกษาหลักการบริหารเงินในบัญชี และบริหารความเสี่ยง
3. ขยันศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเสมอครับ
การเล่นหุ้นในมาร์เก็ตติวา

ก็คือการเก็งกำไรจากค่าการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรานั่นเอง เช่นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันนี้ เวลา 08.00 น. ระหว่าง ดอลลาร์/เยนญี่ปุ่น อยู่ที่ = 116.34 (สมมุติ) จากนั้นอีก 3 ชั่วโมงถัดไป ค่ามันอาจเปลี่ยนไปที่ =116.54 และจากนั้นอีก 1 ช.ม. ค่ามันลดลงมาอยู่ที่ 116.14 เห็นมั๊ยครับ ว่าเราจะได้กำไรหรือขาดทุนกันจากตรงใหน ถ้ายังงงๆอยู่ก็ค่อยๆอ่านต่อไปแล้วคุณจะเข้าใจ
การสร้างกำไรจาก Marketiva
1.กำไรจากการเข้าซื้อ (Buy) เมื่อกราฟในค่าเงินมันพุ่งขึ้น นั่นคือ ถ้าคุณเข้าซื้อไว้แล้วหลังจากนั้นกราฟมันยิ่งพุ่งสูงขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้กำไรมากขึ้น ( แต่กลับกัน ถ้ากราฟมันพุ่งลง คุณก็ขาดทุน)
2. กำไรจากการขายออก ( Sell ) เมื่อกราฟในค่าเงินมันพุ่งลง นั่นคือ ถ้าคุณเข้าซื้อไว้แล้วหลังจากนั้นกราฟมันยิ่งพุ่งต่ำลงเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้กำไรมากขึ้น ( แต่กลับกัน ถ้ากราฟมันพุ่งสูงขึ้น คุณก็ขาดทุน)

แค่นี้เองหลักในการเล่นไม่มีอะไรมากมายเลย  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้องรู้ว่ามันจะขึ้นหรือว่ามันจะลง เท่านี้เองครับ  และแน่นอนในโลกนี้ถ้าทุกคนรู้กันหมดก็คงไม่มีใครจน ที่สำคัญคือ การคาดการณ์ล่วงหน้าที่ใกล้ความเป็นจริงมากที่สุด และแน่นอนครับ เพียงคุณติดตามทุกการเคลื่อนไหวจากเรา คุณจะได้รับข้อมูลที่ดีที่สุดแน่นอน และสำหรับในกระดานสนทนา ของโปรแกรมซื้อขายหุ้น (Streamster) ก็ยังมีห้องสนทนาของคนไทย คือห้อง Thailand ไว้ให้คุณปรึกษาข้อมูลได้ตลอดเวลา หรือถ้าคุณมีภาษาอังกฤษที่ดีก็สามารถเข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แนวทางการเล่นได้เลยที่ห้องนานาชาติ คือห้อง Forex ซึ่งจะรวมเอานักเล่นหุ้นจากทั่วโลกมาไว้ที่ห้องนี้ สำหรับแนวทางการเล่นในแต่ละวันคุณสามารถเข้าไปชมได้ที่
ซึ่งข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดจะเป็นข้อมูลนี้ได้คัดเลือกและวิเคราะห์แล้วว่าควรนำเสนอออกมา จึงจะออกสู่สายตาของทุกท่าน ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเข้าเป้า 80-90 % เลยทีเดียว และโปรดจำไว้ว่า ไม่มีใครในโลกนี้ ที่จะบอกคุณได้แน่นอนว่ามันจะเป็นไปอย่างไร  ท้ายที่สุดคือทุกอย่างอยู่ที่การหาข้อมูลและเหตุผล + การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของคุณ
การเล่น Marketiva นั้น
ก่อนอื่นเปิดโปรแกรม Streamster ขึ้นมา Log in เข้าไปให้เรียบร้อย จากนั้นมองมาที่ฝั่งซ้ายมือ จะเจอเมนู Forex Rates ปกติมันจะเปิดขึ้นเองอยู่แล้ว ถ้าไม่มีแสดงว่าอยู่หัวข้ออื่น ให้คุณคลิกที่เมนูนี้ จะพบกับตัวเลขต่างๆ สีเขียวสีแดงสีดำ วูบๆวาบๆ นั่นหละอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินในขณะนั้นๆ ตัวหลักๆ ที่ให้จับตาดูคือ
1.EUR/USD เป็นอัตราซื้อขายค่าเงินระหว่าง ยูโร กับ ดอลลาร์สหรัฐ
2.EUR/JPY เป็นอัตราซื้อขายค่าเงินระหว่าง ยูโร กับ เยนญี่ปุ่น
3.USD/JPY เป็นอัตราซื้อขายค่าเงินระหว่าง ดอลลาร์สหรัฐ กับ เยนญี่ปุ่น

ส่วนตัวอื่นๆ ก็ค่อยๆศึกษากันไป เช่น ดอลลาร์ออสเตเรีย,เงินฟรังซ์,เงินหยวน ,มีหมดแหละครับ และถ้ามือใหม่ยังไม่แนะนำครับบอกตรงๆ มันผันผวนสูง เสี่ยงมากๆ
จากนั้นก็เหลือบมองไปทางฝั่งขวาของจอภาพ ก็จะเจอกับกราฟต่างๆ ในหัวข้อ Charting ซึ่งปกติจะขึ้นหัวข้อโชว์ไว้ 4 กราฟ ถ้าคุณกำลังสนใจอัตราแลกเปลี่ยนตัวใหนก็คลิกที่หัวข้อนี้ไปทีละ Charting จนกว่าจะพบตัวที่คุณต้องการ
แต่ถ้าคลิกจนครบ 4 ชาท แล้วยังไม่เจอก็เปิดขึ้นมาชาร์ทใดชาร์ทหนึ่ง แล้วคลิกขวาเข้าไปตรงที่ว่างๆ กลางชาร์ทนั้นๆ
จากนั้นจะพบกับเมนูย่อยต่างๆ ให้คลิกที่ Instrument แล้วมองหาอัตราแลกเปลี่ยนที่คุณต้องการ อยากให้กราฟโชว์ตัวใหนก็คลิกเอาเลยครับ แต่ละชาร์ท คุณสามารถทำวิธีเดียวกันนี้เพื่อให้หลากหลาย พออยากดูตัวไหนก็ไปคลิกที่หัวข้อ Charting นั้นๆ ได้ทันที

ต่อไปเป็นการทำเงินแล้ว
1.การซื้อ Buy หรือเราเรียกอีกอย่างว่า การเล่นแบบ Long
เป็นการเล่นเมื่อคุณคิดว่ากราฟของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตัวนั้นๆ มันจะพุ่งขึ้นสูงกว่าเดิม เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะเล่นตัวนี้หละ สมมุติว่า USD/JPY ละกัน ให้คุณไปคลิกตรงช่องอัตราแลกเปลี่ยนของ USD/JPY ที่ตัวเลขที่มันปรากฎอยู่ตรงช่อง Offer จากนั้นจะมี

ตารางสี่เหลี่ยมขึ้นมาให้กรอก
- Instrument = หน่วยเงินตราที่คุณซื้อขาย
- Price = ราคาที่คุณตกลงซื้อ
- Duration = เวลาตอนนั้น
- Quantity = จำนวนเงินที่คุณจะใช้ซื้อ /ขาย ( มีหน่วยเป็นเซ็นต์ ถ้าลง 1 เหรียญ ต้อง

กรอก 100 ลง 10 เหรียญ
กรอก 1000 ลง 100 เหรียญ กรอก 10000 เป็นต้น )
- Desk = เลือกว่าจะเล่นเงินจริง หรือเงินปลอม ( Live Trading = เงินจริง ,Virtual Trading=เงินปลอม )
- Exit Stop Loss = จุดที่คุณยอมขาดทุนได้สูงสุด (เช่น ตอนนี้มันอยู่ที่ 116.00 คุณคาดว่ามันจะขึ้นไป 116.35 แต่ถ้ามันเกิดพุ่งลงคุณจะให้มันหยุดที่ใหน ปกติเราจะตั้งไว้ที่ 35  50 จุด ในที่นี้ก็เอาสัก 40 จุด คุณก็ต้องกรอกตัวเลขที่ 115.60 หมายถึงคุณจะให้ขาดทุนได้ไม่เกิน 40 จุดเท่านั้นเอง เป็นการป้องกันการขาดทุนมากเกินความจำเป็น )
- Buy/Sell = เป็นชนิดว่าคุณจะซื้อ / หรือ ขาย (อ่านจากหัวข้อบนๆ นู้น )
- Price Type = ไม่ต้องสนใจ
- Quantity Type =ไม่ต้องสนใจ
- Exit Target = คุณจะปิดการซื้อขายที่เท่าไรดี ( คล้าย Stop Loss) แต่ตัวนี้คือเป้าหมายที่ตั้งไว้ต่างหาก ในที่นี้สมมุติคุณจะเอาที่ + 35 จุด ก็กรอกตัวเลข 116.35 เข้าไป ถ้ากราฟมันวิ่งไปถึงมันก็จะขายให้อัตโนมัติเลย อิๆๆ กำไรๆๆ
- Text = ไม่ต้องสนใจ

2.การขายออก Sell หรือเราเรียกอีกอย่างว่า การเล่นแบบ Short
เป็นการเล่นเมื่อคุณคิดว่ากราฟของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตัวนั้นๆ มันจะพุ่งต่ำลงกว่าเดิม เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะเล่นตัวนี้หละ สมมุติว่า USD/JPY อีกทีละกัน ให้คุณไปคลิกตรงช่องอัตราแลกเปลี่ยนของ USD/JPY ที่ตัวเลขที่มันปรากฎอยู่ตรงช่อง Bid จากนั้นจะมีตารางสี่เหลี่ยมขึ้นมาให้กรอก ก็เหมือนเดิมครับ แต่จุดใหญ่ๆ ที่ต้องตรวจดูก็คือ ช่อง Buy / Sell , ต้องดูให้แน่ว่ามันเป็น Sell ตามที่เราต้องการหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็คลิกปุ่มลูกศรข้างๆ เพื่อเปลี่ยน
สรุป ไม่ว่าจะ Buy หรือ Sell คุณสามารถคลิกได้ทั้ง 2 ช่อง (Bid ,Offer) เพียงแต่มาเปลี่ยนเอาในตารางสี่เหลี่ยมทีหลังก็เท่านั้นเองครับ .. จากนั้นก็นั่งลุ้นกันว่าตัวเลขของคุณมันจะแดงหรือเขียว

สรุปสิ่งที่ควรรู้ + เทคนิคการเล่น
1.Buy หรือ Long คือการเล่นขาขึ้น คลิกตัวเลขที่ช่อง Offer
2.Sell หรือ Short คือการเล่นขาลง คลิกตัวเลขที่ช่อง Bid
* เวลาที่ท่านคลิกเพื่อเข้าทำการเทรด ช่วงที่ท่านกำลังเปลี่ยนข้อมูลในตารางสี่เหลี่ยมอยู่นั้นบางที บางคน มัวแต่มะมุมมะง่าม อยู่นั่น หารู้ไม่ว่าอัตราแลกเปลี่ยนในตารางมันอาจวิ่งไปอีก 5-6 จุดแล้วก็ได้ ขอบอกว่า พอคุณกรอกข้อมูลในใบออร์เดอร์ (กล่องสี่เหลี่ยมนั่นหละ) เสร็จ ก่อนจะคลิกตกลง ให้ดูว่าค่าเงินในตาราง Forex Rate มันเป็นค่าที่คุณต้องการหรือไม่ ถ้ามันตรงกันกับช่องสี่เหลี่ยม ก็ค่อยกดตกลง ถ้าไม่ตรงกันมันจะเอาอัตรา ณ ปัจจุบันที่คุณกดตกลงแทน มันจะไม่เอาค่าในใบออร์เดอร์นะจ๊ะ เทคนิคง่ายๆ พอตารางสี่เหลี่ยมขึ้นมา ก็เอาเมาท์ วางที่ขอบมันแล้วลากออกมาวางห่างๆ ตารางอัตราแลกเปลี่ยน จากนั้นก็ชำเลืองดูควบกันไปด้วย อย่าปล่อยให้โอกาสดีๆลอยนวลไปเดี๊ยวจะมาโวยว่าเปิดราคาที่ 1.654 แต่พอกดตกลงไหงมันไปเปิดที่ 1.650 อัตราแลกเปลี่ยนมันวิ่งแทบทุกวินาที ทางที่ดีก็รอให้อัตรามันนิ่งๆ ก่อนก็ ค่อยเข้าไปซื้อขาย นะ ..
3.Exit Stop-Loss เรียกย่อสั้นๆ ว่า Sl. คือ ค่าที่ตั้งไว้ไม่ให้ขาดทุนเกินนี้
4.Exit Target คือ ค่าที่ตั้งไว้ให้ปิดการซื้อขายเมื่อหุ้นขึ้นหรือลงมาถึงจุดนี้ กล่าวคือเป็น เป้าหมายที่คุณต้องการนั่นเอง
5.Pipe คือระยะห่างระหว่างจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง เช่น Pipe ระหว่าง Bid กับ Offer ของ Eur/Usd = 3 นั่นหมายถึง ถ้าคุณเข้าซื้อ หรือขาย หุ้นตัวนี้ ทันทีที่คุณ

รับมา มันจะติดลบทันที 3 จุด คือขาดทุนก่อนแน่นอน 3 จุด ดังนั้น
* ไม่ควรเข้าเล่นหุ้นที่มีค่า Pipe ระหว่าง Bid/Offer มากกว่า 5 จุด ถ้าคุณไม่แน่จริง หุๆ..จะว่าไม่เตือนนะ.. แต่ถ้ามือถึงแล้วก็ลุยตามสบายครับไม่ว่ากัน..!!
6.ระหว่างเล่นหมั่นสังเกตกราฟ หุ้นตัวที่คุณเล่นและตัวอื่นๆ ที่อาจมีผลเกี่ยวเนื่องกัน อย่าลืมว่าเราเล่นค่าเงิน ถ้าค่าเงินตัวหนึ่งเพิ่ม อาจมีผลให้อีกตัวหนึ่งเพิ่มตาม หรือลดลงสวนทางกัน ถ้าคุณจับทางถูก รวยลูกเดียวครับ ขอบอก..!!
7.กราฟแต่ละตัวสามารถปรับระยะเวลาการเคลื่อนไหว และรูปแบบได้ครับ ระยะเวลาคือเริ่มตั้งแต่เร็วสุด 5 นาที 15 ,30 นาทีไปจนถึง เดือน เลยครับ ส่วนรูปแบบก็หลากหลายแต่ที่นิยมสุดก็มีกราฟเส้น,กราฟแท่งเทียน นี่แหละครับ ดูง่ายดี ระหว่างเล่นก็หมั่นตรวจดูทุกช่วงเวลาว่ากราฟมันน่าจะขึ้นหรือลง การเข้าไปปรับระยะเวลาของกราฟให้คลิกขวาที่กราฟนั้นๆ แล้วเลือก Timescale ครับ จากนั้นเลือกช่วงเวลาที่คุณต้องการได้เลย
8.Indicator เป็นเส้นชี้นำภายในกราฟครับ ถ้าไม่ตั้งอะไรปกติจะมีแค่ 2 เส้น แต่เซียนบางคนเขาไปตั้งเพิ่มกัน 3-4 เส้น ก็ว่ากันไปตามสไตล์ใครมัน อันนี้มีบทเรียนให้ศึกษาครับ คนที่จะก้าวเข้าสู่มืออาชีพต้องไปศึกษาดู ดีมากครับเป็นการวิเคราะห์เส้นกราฟต่างๆ ว่ามันขึ้นยังงี้ ตัดกันตรงนั้นตรงนี้ แล้วหุ้นมันจะไปทางใหน ขึ้นหรือลง 9.ระหว่างเล่นหมั่นเข้าไปคุยหรือสังเกตการณ์ในห้องแชทบ่อยๆ เข้าไปคลิกตรงหัวข้อ Discussion มุมขวาของจอ ในนั้นจะมีให้คุยได้หมดทั้งทีมงานช่วยเหลือจากมาร์เก็ตติวา (Support) ที่ให้คำปรึกษาเรื่องปัญหาต่างๆของโปรแกรม คุยได้แบบสดๆ ออนไลน์ทันที หรือจะเข้าไปคุยกับฝรั่งในห้อง Forex เพื่อถามแนวทางกันแบบนาทีต่อนาที แต่ถ้าไปใหนไม่ถูกก็ห้อง Thailand ของเรา คุยไทยพิมพ์ไทยได้เลย ขอเตือน ห้องใหนที่ไม่ใช่ห้องไทย ห้ามไปพิมพ์ไทยในนั้น ให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก มันเป็นกฎ ถ้าฝืนคุณอาจจะโดนแบน การโดนแบนเป็นเรื่องที่แย่ที่สุด คุณอาจไม่ได้เล่นเป็นเวลา 1 อาทิตย์ ที่สำคัญคือนำเงินออกไม่ได้
10.การเล่น (หรือการเข้าเทรด) ไม่ว่าจะด้วยเงินจริงหรือเงินปลอม ภายใน 4 ชั่วโมง รวมกันห้ามเกิน 10 ครั้ง ( ซึ่งปกติก็ไม่มีใครเทรดกันถี่ขนาดนั้นอยู่แล้ว )มิเช่นนั้นจะโดนแบน เพราะมันจะทำให้ระบบเซิร์ฟเวอร์ทำงานหนัก
11.การเล่นให้สังเกตแนวทางการขึ้นลงจากกราฟ บวกข่าว (Signal) ซิกแนว ต่างๆ ที่คุณได้มา เบื้องต้นให้ตั้งค่าต่างๆ ตามซิกแนวไปก่อน จากนั้นหมั่นสังเกต ตามความเป็นจริง เช่นซิกแนวบอกว่ากราฟจะขึ้นไปที่ 1.265 แต่เราเฝ้ามา 3 ชั่วโมง มันขึ้นๆลงๆ แค่ 1.260 พอดูเส้น Indicator มันเริ่มจะพุ่งหัวลงแล้ว ถ้าตอนนั้นเราเห็นว่ามันได้กำไรพอสมควรแล้วก็ปิดมันซะ ก่อนที่มันจะพุ่งหัวลงไปมากกว่านี้ทำให้ขาดทุนเปล่าๆ ครับ
12.ที่สำคัญหมั่นเข้ามาศึกษาหาความรู้กันในเว็บ
www.e-money4u.is.in.th ของเราบ่อยๆ หรือทุกวันเลยยิ่งดี อิๆๆ
รับรองที่นี่มีแต่ให้คุณครับ ขอเพียงเราชาวไทยมีน้ำใจต่อกัน ถ้าคนไทยไม่รักกัน แล้วใครจะมารักเรา
สนใจสมัครเล่นที่นี่
Marketiva Manual
 การเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ Forex (Foreign Exchange) เป็นชื่อที่ใช้เรียกการซื้อขาย ค่าเงินกันโดยตรง ของตลาดเงินตรา ที่มีมูลค่า $1.4 Trillion (ล้านล้าน) ต่อวัน ตลาด Forex มีมูุลค่าการซื้อขายสูงกว่า ตลาดทางการเงินอื่นๆ รวมกัน ถึง 46 เท่า ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ Forex is the world’s most liquid market ในอดีตที่ผ่านมา การซื้อขาย แลกเปลี่ยนค่าเงิน ถูกจำกัดไว้เฉพาะแต่ในแวดวงของธนาคาร และ สถาบันการเงิน ขนาดใหญ่ เท่านั้น แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น ทำให้สามารถพัฒนาระบบการเทรดแบบ Online ที่ยอมให้นักลงทุนรายย่อย ได้มีโอกาสเข้ามาทำการซื้อขาย ค่าเงิน กันได้โดยตรงในตลาด Forex โดย Foreign Exchange เทรดได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง การซื้อขาย สามารถทำได้หลายช่องทางทั้งทางโทรศัพท์และทางระบบ Internet ทำให้มันเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่หรือเวลาใดๆ ในอดีตการลงทุนในตลาด Forex ยังจำกัดอยู่ในวงแคบๆ ไม่ค่อยแพร่หลายเท่าที่ควร เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูงในการเปิดบัญชีกับทาง Brokers ยกตัวอย่างการเปิดบัญชีกับ
www.forex.com กำหนดการลงทุนขั้นต่ำของ Standard account ไว้ที่ 2,500 $ และ 250 $ สำหรับ Mini account คนที่มีเงินลงทุนน้อยหมดสิทธิ์อย่างแน่นอน จนกระทั่งปี 2005 เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการตลาดเงินของโลก นั่นก็คือ Marketiva นั่นเอง! โดยแจกเงินลงทุนให้ฟรี 5 ดอลลาร์!!About Marketiva
 Marketiva Corporation เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศ
Switzerland หมายเลข Registration number IBC CAP. 291 Reg.  646819 อยู่ภายใต้หน่วยงาน Jurisdiction of Financial Services Commission (FSC) Marketiva เปิดตัวช่วงต้นปี 2005 ที่ผ่านมา ด้วยสโลแกนที่ว่า “Forex ใครๆ ก็เล่นได้” ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำแค่ 1$ ดอลลาร์ ทำให้ตอนนี้ Marketiva กลายเป็นบริษัท Forex ที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ มีคนให้ความสนใจและไปเปิดบัญชีลงทุนกันอย่างมากมาย การสมัครสมาชิก
โดยในขั้นตอนการสมัคร ให้เรากรอกรายละเอียดต่างๆ ให้ตรงกับความเป็นจริง เพราะต้องมีการส่งเอกสารไปยืนยันถึงความมีตัวตนด้วย Marketiva อนุญาติให้ สมัครได้ 1 คน ต่อ 1 account ห้ามสมัครเกิน ถ้าทางเว็บตรวจเจอว่ามีการสมัครหลายๆ account โดย คนๆ เดียวกันก็จะบล็อกไม่ให้ใช้งาน จนกว่าเราจะส่งเอกสารไปยืนยัน ดังนั้นควรทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ ชื่อและนามสกุล กรอกให้ตรงกับในบัตรประชาชนหรือใน Passport ส่วนที่อยูุ่่ก็ให้กรอกตรงกับที่อยูุ่่ในพวกใบเสร็จของ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ทั้งชื่อและที่อยูุ่่รายละเอียดต่างๆ ที่กรอกไปแล้ว เราไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเองในภายหลัง ถ้าเราต้องการแก้จะต้องทำการส่งข้อความถึง Support ขอแก้ไขข้อมูลและแจ้งเหตุผลในการขอแก้ไขด้วย ฉะนั้นกรอกให้ถูกต้องเวลาเปิด-ปิดตลาด เทียบกับเวลาในประเทศไทย คือ
เปิด 04.00 ของเช้าวันจันทร์ - ปิด 04.00 ของเช้าวันเสาร์ (ตลอด 24 ชม.)

EXPONENTIAL MOVING AVERAGE (EMA)

|0 ความคิดเห็น
EXPONENTIAL MOVING AVERAGE (EMA)วิธีนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา และถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น วิธีนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญของเวลาในการวิเคราะห์ ราคาทุกราคาจะมีผลต่อค่าของ EMA แม้ว่าราคาล่าสุดจะมีความสำคัญมากที่สุดก็ตาม ซึ่งวิธีนี้เป็นการพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจากวิธี SMA กล่าวคือ EMA นั้น จะถ่วงน้ำหนักโดยให้ความสำคัญกับวันสุดท้ายมากที่สุด และจะเอาค่าทุก ๆ ค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดยจะไม่ทิ้งข้อมูลเก่าที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่าทุกค่าสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา
 ขณะที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัวอื่น ๆ ให้ความสำคัญต่อคาบเวลา แต่ EMA จะให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่เรียกว่า SMOOTHING FACTOR (SF) หรือ SMOOTHING CONSTANT โดยที่ SF = 2/(n+1) ซึ่งวิธีการสร้าง EMA มีสูตรการคำนวณคือ
 EMA = EMAt-1 + SF(Pt - EMAt-1)
เมื่อ EMAt  คือ ค่าของ Exponential Moving Average ณ เวลาปัจจุบัน

EMAt-1  คือ ค่าของ Exponential Moving Average ณ คาบเวลาก่อนหน้า
SF  คือ ค่าของ Smoothing Factor = 2/(n+1)
Pt  คือ ราคาปัจจุบัน
n คือ จำนวนวัน
 หมายเหตุ : การคำนวณค่าเฉลี่ยของวันแรก จะใช้ราคาในวันแรกนั้นเป็น EMA

รูปแสดงเส้นค่าเฉลี่ยฯ ชนิด EMA 10, 25 และ 75 วัน

COMMODITY CHANNEL INDEX (CCI)

|0 ความคิดเห็น
COMMODITY CHANNEL INDEX (CCI)CCI นั้นใช้ในการพิจารณาหาความแตกต่างของราคาหุ้นจากราคาเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนดขึ้น ว่ามีมากหรือน้อยเพียงไร ทั้งในขณะราคาเพิ่มสูงขึ้นหรือลดลง ช่วงเวลาที่กำหนดขึ้นนั้นส่วนใหญ่จะนิยมใช้คือ 10 วัน และ 14 วัน ดังนั้นเครื่องมือตัวนี้จึงเหมาะสมกับการวิเคราะห์ระยะกลางขึ้นไป แต่เทคนิคนี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับการวิเคราะห์ในระยะสั้น เช่น 5 วัน ได้เช่นกัน
หลักในการคำนวณ
การคำนวณหาค่า CCI จะใช้สูตรดังต่อไปนี้
CCIt = (TPt - MAt) / (.015 *MD)
MD = Mean Deviation คือ (MAt - P1) + (MAt - P2) + (MAt - Pn) / n
n = ช่วงเวลา
TPt = (ราคาสูงสุด + ราคาต่ำสุด + ราคาปิด ณ วันปัจจุบัน) / 3
MAt = ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตามเวลาที่กำหนด เช่น 10 วัน ฯ
Pi = ราคาปิดในวันย้อนหลัง i วัน

หลักการวิเคราะห์
CCI เป็นเครื่องมือวัดการแกว่งของราคา โดยรูปแบบที่ออกมาจะเป็นกราฟที่ส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง -100 ถึง +100 (อาจปรับได้ตามความเหมาะสม ตัวอย่างเช่น BISNEWS จะมีช่วงอยู่ระหว่าง -200 ถึง +200) โดยมีค่า 0 เป็นแกนกลาง หรือค่ากลางซึ่งสามารถอภิปรายได้ว่า ณ ระดับราคา 0 แสดงว่า ราคาปัจจุบันไม่เปลี่ยนแปลงจากราคาในช่วงเวลาที่กำหนดในอดีต แต่ ณ ระดับที่มีค่าเป็นบวกหรือลบ แสดงถึงราคาในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือลดลง จากราคาในอดีตโดยเฉลี่ย โดยเฉพาะถ้าการเปลี่ยนแปลงมีค่าเป็นบวก หรือลบมากขึ้นเท่าใด ยิ่งเป็นเครื่องชี้ชัดว่า การเปลี่ยนแปลงของราคาในปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า หรือน้อยกว่าในอดีตโดยเฉลี่ยมากขึ้นเท่านั้น

การวิเคราะห์ในระยะสั้น
หากเส้นกราฟอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า +100 (+200) แสดงว่าระดับราคาได้เปลี่ยนแปลงสูงขึ้นมามากแล้วราคาจึงอาจจะมีการทรงตัว หรือระดับอาจจะลดลงได้ในช่วงต่อไป จึงเป็นสัญญาณให้ขาย
หากเส้นกราฟอยู่ในระดับที่ต่ำเกินกว่า -100 (-200) แสดงว่าระดับราคาได้เปลี่ยนแปลงลดลงมามากแล้ว ราคาจึงอาจจะมีการทรงตัว หรือระดับราคาอาจจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ในช่วงต่อไปจึงเป็นสัญญาให้ซื้อ
หากเส้นกราฟตัดเส้นแกนกลางหรือค่ากลางที่เป็น 0 ขึ้นหรือลง อาจจะเป็นสัญญาณของราคาได้อีกด้วย โดยหากเส้นกราฟตัดเส้น 0 ขึ้นไป จะเป็นสัญญาณให้ซื้อ และหากเส้นกราฟตัดเส้น 0 ลงไป จะเป็นสัญญาให้ขาย
การวิเคราะห์ในระยะปานกลาง
หากเส้นกราฟอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า +100 แสดงว่าระดับราคาได้เริ่มสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่ราคาจะสูงขึ้นต่อไปอีกช่วงเวลาหนึ่งจึงเป็นสัญญาณให้ซื้อ
หากเส้นกราฟอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า -100 แสดงว่าระดับราคาได้เริ่มต่ำลง และมีแนวโน้มที่ราคาจะลดลงต่อไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง จึงเป็นสัญญาณให้ขาย

เส้นแนวโน้ม

|0 ความคิดเห็น
เส้นแนวโน้ม (TREND LINE) หมายถึง ทิศทางของหุ้นที่มีการเคลื่อนที่ไปในแนวทางใดทางหนึ่ง ตามแนวโน้มนั้น ๆ ทำให้เราทราบถึงแนวโน้มของราคาหุ้นในอนาคต เราสามารถนำเส้นแนวโน้มไปหาแนวต้าน, แนวรับ หรือหาทิศทางของราคาได้ในแผนภูมิแบบแท่ง, แผนภูมิแบบแท่งเทียน หรือในแผนภูมิแบบ POINT & FIGURE และเราสามารถนำเอาเส้นแนวโน้มไปใช้ร่วมกับ เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคตัวอื่น ๆ ได้ เช่น RSI, MOMENTUM ฯลฯ
การวิเคราะห์แนวโน้ม
การวิเคราะห์แนวโน้มสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
  แนวโน้มขึ้น (UPTREND)

 แนวโน้มลง (DOWNTREND)
  แนวโน้มที่เคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง (SIDEWAYS TREND)
แนวโน้มขึ้น (UPTREND)
มีรูปแบบที่จุดยอดของราคาที่ขึ้นไปในแต่ละครั้งจะสูงกว่ายอดเก่า และราคาต่ำสุดของหุ้นที่ลดลงในครั้งใหม่จะสูงกว่าครั้งก่อน โดยเส้นแนวโน้มขึ้น (UPTREND LINE) จะเป็นเส้นตรงที่ลากผ่านจุดต่ำอย่างน้อยสองจุดในแนวขึ้น โดยไม่ควรมีจุดฐานที่ต่ำกว่าเส้นแนวโน้มขึ้นดังกล่าว ต่อมาหากราคาหุ้นตกทะลุผ่านเส้นแนวโน้มนี้ เป็นการบอกถึงแนวโน้มหุ้นจะเปลี่ยนเป็นลง

แนวโน้มลง (DOWNTREND)
มีรูปแบบที่จุดยอดของราคาที่ขึ้นไปในแต่ละครั้งจะต่ำกว่ายอดเก่า และจุดต่ำสุดของการลดลงครั้งใหม่จะต่ำกว่าครั้งก่อน โดยเส้นแนวโน้มลง (DOWNTREND LINE) จะเป็นเส้นตรงที่ลากผ่านจุดสูงสุดอย่างน้อยสองจุดในแนวลง โดยไม่ควรมีจุดยอดที่สูงกว่าเส้นแนวโน้มลงดังกล่าวต่อมา หากราคาหุ้นทะลุผ่านเส้นแนวโน้มนี้ขึ้นไป เป็นการบอกถึงแนวโน้มหุ้นจะเปลี่ยนเป็นขึ้น

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มาเปลี่ยนไฟในห้องโดยสารโครโนสเป็นแบบ แอล อี ดี

|0 ความคิดเห็น

เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็ต้องไปหาซื้ออุปกรณ์มาก่อนเลยครับ สิ่งที่ต้องใช้ก็มี หลอดแอลอีดี แบบสี่ขา หลอดนึง 5-7 บาทแล้วแต่ร้านและ ก็จำนวนที่ซื้อครับ (ส่วนสีแล้วแต่ตามใจชอบ) อาร์ 1 k โอห์ม หรือ 510 โอห์ม หรือ10, 20 โอห์ม 1/4 w ตะกั่ว หัวแร้ง สายไฟ หางปลา และที่ขาดไม่ได้เลยก็แผ่นปริ้นสำหรับเสียบหลอดไฟครับ ของผมได้มาในราคาแผ่นละ 30 บาท แต่ขอแนะว่าถ้าติดเรื่องราคา ก็อย่าทำเลยดีกว่าครับ ราคาค่อนข้างสูงครับ



หาของได้ครบแล้ว ก็ลงมือกันเลยดีกว่าครับ เริ่มจากไฟที่บานประตูก็แล้วกัน ก่อนอื่นก็แงะฝาครอบไฟออกมาตอนแงะออกให้แงะด้านข้างซ้ายหรือ ขวาก็ได้ครับ แต่แงะดีๆค่อยๆแงะให้เดือยที่ฝาครอบพ้นร่องที่ขบอยู่กับโคมก่อนแล้วค่อยงัดออก ไม่งั้นหักแน่นอน ซึ่งผมก็ทำหักไป แล้ว 2 อัน


หลังจากงัดฝาออกได้แล้วก็จะเจอหลอดไฟหรี่แบบเสียบถึงออกมาตรงๆเลย

แล้วก็หากระดาษค่อน ข้างแข็งสักหน่อยมาตัดเป็นแบบให้ได้พอดีโคม พอได้แล้วก็เอาไปทาบกับแผ่นปริ้นท์ตัดให้ได้ตามขนาดแบบ ก่อนจะตัดแผ่นปริ้น ก็ให้เอาหลอดไฟมาเสียบดูซะหน่อยแล้วเอากระดาษที่ทำเป็นแบบไว้มาทาบดูซะหน่อยว่าจะตัด ให้ตรงกับรูไหนที่แผ่นปริ้น หรือไม่ให้ตรงกับรูไหน

ตอนตัดแผ่นปริ้นให้ตัดใหญ่กว่าแบบสักเล็กน้อยเผื่อไว้สำหรับตอนแต่งลบมุมให้เรียบร้อยจะได้พอดี กับโคม

ต่อไปก็เอาไปพ่นสีซะก่อนมันจะได้ดูกลมกลืนกับแผงประตู (แต่ของผมไม่ได้พ่นสีเพราะวันที่อยากทำมากๆยังไม่ได้ ซื้อสีเตรียมไว้เลย) พอสีแห้งก็เอามาเสียบหลอด เสียบอาร์ (ดูขั้วบวก ขั้วลบของหลอดไฟดีๆ)

ของผมต่อแบบขนาน หรือใครจะต่อ แบบอนุกรมก็ได้นะครับไม่มีใครว่า แต่วางแผนดีๆว่าจะวางหลอดไฟ วางอาร์อย่างไรไฟถึงจะเดินได้ครบวงจร ที่ผมต่อแบบขนาน เพราะว่าถ้าหลอดใดหลอดหนึ่ง ขาดหลอดที่เหลือก็ยังติดอยู่ แต่ถ้าต่อแบบอนุกรมหลอดใดหลอดหนึ่งขาดแล้ว มันจะดับหมดทั้งวงจร

เสร็จแล้วก็ลองใส่กับโคมแล้วแง้มๆดูด้านหลังว่าจะต่อสายไฟอย่างไรที่ต่อแล้วไม่ให้สายมันขัด แล้วก็ไม่ให้มันช๊อตกัน หลังจากที่คิดได้แล้วว่าจะ ต่อสายไฟอย่างไรก็เอาหางปลามาตัดเอาเฉพาะส่วนปลายเชื่อมกับสายไฟที่ เตรียมไว้อย่าให้ยาวมากและก็อย่าให้สั้นเดี๋ยวตอน ติดตั้งจะทำงานลำบาก [/BLUE](ของผมเอาสายไฟจากปลั๊กที่ซื้ออะไหล่มือสองแล้ว ได้ปลั๊กติดมาด้วยมาใช้เพราะสายทองแดงข้างในมัน เต็มดีกว่า และฉนวนก็บางกว่าของในบ้านเราทำ)

ด้านหลังแผงไฟต่อสายไฟ กับเดินวงจรแบบนี้

เสร็จแล้วก็ต่อ เข้ากับโคมเลยครับเช็คก่อนว่าไฟมาขั้วไหนซ้ายหรือขวา ผมไม่แน่ใจครับจำไม่ได้ ถ้าต่อผิดข้างไฟไม่ติดครับ หรือถ้ามีมัลติมิเตอร์เอามาวัดโวลท์ดูก็ได้ครับเอาปลายสายมัลติมิเตอร์จิ้มที่ ขั้วไฟข้างละเส้นสาย สีแดงคือขั้วที่ไฟมา ถ้าจิ้มถูกขั้วเข็มมัลติมิเตอร์จะขึ้นมาทางขวามือในสเกลไม่เกิน 12 โวลท์ แต่ถ้าจิ้มผิดขั้ว เข็มมัลติมิเตอร์จะตกสเกลไปทางซ้ายมือ หรือจะเอาหลอดแอลอีดีต่อก็ได้ครับแต่ให้ต่อผ่านอาร์ก่อน ไม่งั้นหลอดไหม้

เสียบหางปลาเข้าขั้วเสร็จแล้วก็เก็บแผงให้เรียบร้อย เช็คไฟดูว่าติดทุกดวงหรือเปล่า แล้วใช้ปืนกาวเนี่ยะแหละครับแต้มไว้ 4 จุดกันเคลื่อน

พอกาวแห้งก็ใส่ฝาครอบ แล้วก็นั่งชื่นชมผลงาน) อื่ม....ดูดีขึ้นแฮะ แต่ถ้าได้พ่นสีเทาที่แผ่นปริ้นก่อนใส่หลอด น่าจะดูดีกว่านี้อีกไม่น้อยเลย โดยเฉพาะรุ่น 5 ประตูจะดูดีมากๆ เหมือน หลายๆท่านว่าคนขับรุ่น 5 ประตูจะหน้าตาดีกว่า คนขับรุ่น 4 ประตู รถก็น่าจะเหมือนกันเนาะ

แต่อย่าชื่นชมนานยังเหลืออีกไฟประตูอีก 3 บานที่ต้องทำรีบๆทำให้เสร็จแล้วจะดู ดีขึ้นกว่าเก่าอีก

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฟังเพลงอย่างนักเล่นเครื่องเสียง

|0 ความคิดเห็น
ฟังเพลงอย่างนักเล่นเครื่องเสียง

ประโยชน์ของการฝึกการฟังที่ถูกต้องก็คือการฝึกให้ประสาทหูได้รู้จักแยกแยะเสียงในลักษณะต่าง ๆ ออกจากกัน ซึ่งถ้าหูของคนเราสามารถแยกแยะรายละเอียดของเสียงได้ดีเพียงใด ก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงวิญญาณของเพลงที่ฟังได้มากเท่านั้น ในโลกของดนตรีนั้นศิลปินผู้สรรค์สร้างงานเพลงได้อาศัย "เสียง" เป็นสื่อในการถ่ายทอดความหมายไปยังผู้ฟัง ไม่ว่าผู้แต่งจะเป็นคนเชื้อชาติใด ภาษาใด แต่ "เสียง" ซึ่งเป็นภาษาดนตรีที่ถูกใช้ในการสื่อสารกันนั้นถือว่าเป็นภาษาสากล
การเรียนรู้ในเรื่องของการฟังก็เหมือนการเรียนรู้ภาษาสากลของดนตรีนั่นเอง
การได้เรียนรู้ถึงความหมายของการฟังที่ถ่องแท้ จะทำให้การเล่นเครื่องเสียงของเราบรรลุถึงเป้าหมายที่แท้จริง การหยิบเพลงของศิลปินขึ้นมาฟังก็เหมือนกับการเสพงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ซึ่งเครื่องเสียงก็เป็นเพียงเครื่องมือในการถ่ายทอดงานศิลปะชิ้นนั้นออกมาให้เราเสพ บทเพลงหรืองานศิลปะดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดออกมาได้ตรงตามความหมายของผู้สรรค์สร้างมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่องเสียงซึ่งเป็นตัวถ่ายทอดส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับ "วิธีการปรับแต่งให้ชุดเครื่องเสียงเหล่านั้นอยู่ในสภาวะที่สามารถถ่ายทอดงานศิลปะออกมาได้หมดจดที่สุด" นั่นเอง

(1) อิมเมจ หรือ ตัวเสียง หมายถึง รูปลักษณ์หรือเสียงที่ให้รูปทรงเป็นชิ้นดนตรีหรือเครื่องเสียงที่มีคุณภาพดี จะต้องสามารถให้รูปทรงของชิ้นดนตรีที่ชัดเจนขึ้นรูปเป็นสามมิติ (9) และมีสัดส่วน (10)ที่สมจริง
(2) ซาวนด์สเตจ หรือ เวทีเสียง หมายถึง อาณาเขตโดยรอบที่อิมเมจหรือตัวเสียง (1)ทั้งหมดเรียงตัวอยู่ในอากาศ ลักษณะความกว้าง-แคบหรือตื้น-ลึกของเวทีเสียงจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของชุดเครื่องเสียง และการปรับแต่งตำแหน่งลำโพงและการปรับแต่งสภาพอะคูสติกในห้องฟังเป็นสำคัญ
(3) ไดนามิก-คอนทราสต์ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงความดังอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถ่ายทอดการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงของชิ้นดนตรีได้ต่อเนื่องละเอียดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ก้าวกระโดด ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการสี เป่า และร้อง ลักษณะการบรรเลงของนักดนตรีที่กระทำต่อเครื่องดนตรีบางประเภทนั้นสามารถให้ได้ทั้งไดนามิก-คอนทราสต์และไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ (4)
(4)ไดนามิก-ทรานเชี้ยนต์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของระดับความดังอย่างรวดเร็ว หรือสัญญาณเสียงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เป็นลักษณะของการเปลี่ยนระดับความดังจาก 0 เดซิเบลขึ้นไปจนถึงจุดพีคสุดของสัญญาณอย่างรวดเร็วมาก ๆ ดังเช่นสัญญาณเสียงที่เกิดจากการตี ทุบ หรือเคาะที่นักดนตรีกระทำต่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ เครื่องเสียงที่ดีนั้นต้องสามารถตอบสนองสัญญาณในลักษณะดังกล่าวที่ให้สปีดรวดเร็วสมจริง
(5) หัวเสียง (Impact) หมายถึง สัญญาณเสียงแรกที่เครื่องดนตรีถูกกระทำ เครื่องเสียงที่มีคุณภาพดีจะต้องให้หัวเสียงที่ประกอบด้วยความชัดเจนและความเร็ว ในส่วนของความชัดเจนนั้นก็คือต้องให้ตัวเสียงที่มีความเข้ม มีมวลอิ่ม และมีขนาดที่สมจริง เช่น หัวเสียงที่เกิดจากการเคาะเหล็กสามเหลี่ยมจะให้ตัวเสียงที่มีขนาดเล็กกว่าหัวเสียงที่เกิดจากการย่ำกระเดื่องกลอง ส่วนความเร็วของหัวเสียงนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางของความถื่มาถึงหูของเรา เช่น เสียงย่ำกลอง ซึ่งอยู่ในย่านเสียงทุ้มจะเดินทางมาถึงหูของเราช้ากว่าเสียงเคาะเหล็กสามเหลี่ยมซึ่งอยู่ในย่านเสียงสูง เหล่านี้ เป็นต้น
(6) ความกว้างของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากซ้ายสุดของเวทีเสียงไปจนถึงชิ้นที่อยู่ขวาสุดของเวทีเสียง เพลง ๆ เดียวกันจากแผ่นซีดีแผ่นเดียวกันก็อาจจะให้ความกว้างของเวทีเสียงต่างกันได้เมื่อฟังจากชุดเครื่องเสียงต่างกัน เครื่องเสียงที่ให้เวทีเสียงกว้างมาก ๆ ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะคุณภาพของเวทีเสียง (2) ย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับความลึก (7) ด้วย การแยกลำโพงทั้งสองข้างให้ถ่างออกจากกันจะเป็นการเพิ่มระยะความกว้างให้กับเวทีเสียง แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างถูกแยกห่างกันมากเกินไปจะทำให้ความเข้มข้น ( 8 ) ของชิ้นดนตรีบริเวณกลาง ๆ เวทีเสียงเจือจางลง
(7) ความลึกของเวทีเสียง หมายถึง ระยะทางจากระนาบของแถวชิ้นดนตรีที่อยู่ด้านหน้าลงไปถึงด้านหลัง เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นต้องสามารถให้ความลึกของชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ ที่แผ่กว้าง ไม่ใช่หุบเข้าหาตรงกลางเวที การดึงลำโพงทั้งสองข้างให้เข้าใกล้ชิดกันจะทำให้ความลึกของเวทีเสียงชัดเจนขึ้น แต่ถ้าลำโพงทั้งสองข้างวางชิดกันเกินไป ชิ้นดนตรีในระนาบหลัง ๆ จะเบียดกระจุกกันอยู่บริเวณกลางเวที ไม่แผ่กระจายออก
( 8 ) ความเข้มข้น กับ ความบอบบาง หมายถึง ความหนาแน่น หรือความเจือจางของมวลเนื้อเสียงของชิ้นดนตรี พิจารณาที่อิมเมจ หรือตัวเสียง (1) ที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นความรู้สึกว่าชิ้นดนตรีเหล่านั้นคงอยู่ในอากาศด้วยความชัดเจนมากน้อยเพียงใด ถ้ามากขนาอที่รู้สึกจะเหมือนกับ "มองเห็น" ชิ้นดนตรีนั้น ๆ ลอยอยู่ในอากาศได้ชัดเจนก็บอกได้ว่าชิ้นดนตรีนั้นมีเนื้อเสียงที่เข้มข้น แต่ตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกแต่เพียงเลา ๆ เหมือนกับว่าเสียงชิ้นดนตรีนั้นลอยอยู่ตรงนั้นตรงนี้ บอกได้ไม่ชัดเจนนัก ก็คือชิ้นดนตรี นั้นให้เสียงที่มีมวลเนื้อบอบบางนั่นเอง
(9) ความเป็นสามมิติ หมายถึง ภาพลักษณ์ของเวทีเสียงที่เกิดจากการจัดเรียงของชิ้นดนตรีขึ้นเป็นเวทีเสียงที่ประกอบไปด้วยความกว้าง แคบ ความตื้น-ลึก และความต่ำ-สูง ความเป็นสามมิติของเวทีเสียงนี้จะเกิดขึ้นได้ ตัวเสียงหรืออิมเมจ (1) ของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นก็ต้องมีรูปทรงที่ให้ความรู้สึกเป็นสามมิติด้วยเช่นกัน คุณสมบัติข้อนี้นอกจากจะต้องอาศัยประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงที่ดีแล้วนั้น สิ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องอาศัยความละเอียดพิถีพิถันในการปรับแต่งตำแหน่งการจัดวางลำโพงและสภาพอะคูสติกภายในห้องฟังที่เหมาะสมอีกด้วย
(10) ขนาดของชิ้นดนตรี หมายถึง การประกอบกันของเสียงหลักและฮาร์มอนิกของเสียงนั้น ถ้ามีความสมบูรณ์เพียงพอก็จะเกิดเป็นขนาดของเสียงที่แตกต่างกันออกไปตามคลื่นเสียงหลักธรรมชาติของชิ้นดนตรีนั้น ๆ เช่น เสียงเปียโนจะให้ขนาดที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับเสียงอะคูสติกเบส แม้ว่าจะเล่นโน้ตตัวเดียวกันก็ตาม และในเครื่องดนตรีชิ้นเดียวกันก็จะให้ขนาดเสียงของตัวโน้ตแต่ละตัวที่ไม่เท่ากันด้วย เช่น เสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือขวาจะให้ขนาดเสียงที่เล็กกว่าเสียงเปียโนที่เล่นด้วยมือซ้าย ความแตกต่างอันนี้จะเกิดจากระดับเสียงที่สูง-ต่ำไปตามออกเตปของตัวโน้ต เครื่องเสียงที่ดี ๆ นั้นจะต้องสามารถแยกแยะคุณสมบัติดังกล่าวของเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณสมบัติข้อนี้เรียกว่าเป็น "รายละเอียดเบื้องลึก" หรือ Inner Detail ของเสียงส่วนหนึ่ง
(11) ความใส (Transparency) หมายถึง ลักษณะที่ทำให้สามารถ "มองเห็น" หรือรับรู้รายละเอียดของเสียงบนเวทีเสียงทั้งหมดตั้งแต่ระนาบต้นจนลึกลงไปถึงระนาบหลัง ๆ สิ่งนี้จะตรงข้ามกับ "ความขุ่นมัว" ซึ่งจะทำให้การรับรู้รายละเอียดดังกล่าวไม่ชัดเจนเปรียบเหมือนการมองเข้าไปในที่มีหมอกปกคลุมนั่นเอง

การเลือกครอสโอเวอร์ในรถยนต์

|0 ความคิดเห็น
ครอสโอเวอร์ ในที่นี้ เราหมายถึง " แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ " ที่เป็นอุปกรณ์ตัดแบ่งช่วงความถี่เสียง ซึ่งต้องมีการป้อนแรงดันไฟเข้าไปในวงจร แตกต่างจาก พาสซีฟ ครอสโอเวอร์ ที่มีอยู่ในชุดลำโพง ทำงานคนละส่วนแต่มีหน้าที่ทำงานคล้ายๆกัน มีคุณลักษณะที่เป็นข้อสังเกตดังนี้
พาสซีฟ ครอสโอเวอร์ เป็นวงจรที่มีราคาไม่แพงนัก และง่ายในการติดตั้ง โดยปกติมันถูกออกแบบเพื่อให้ใช้เฉพาะความถี่ ถ้าคุณต้องการความรวดเร็วในการปรับแต่ง พาสซีฟ ครอสโอเวอร์อาจเป็นทางเลือกที่ดีในเรื่องนี้ แต่มันก็ยังมีความยึดหยุ่นน้อยและไม่สามารถทำการปรับแต่งน้ำเสียงอย่างละเมียดได้เหมือนกับ " แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ "
แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ ต้องมีสายแรงดันไฟ และสายต่อลงกราวด์ แต่สามารถช่วยให้คุณควบคุมน้ำเสียงดนตรีได้ดีกว่ากันมาก แอคทีฟ ครอสโอเวอร์ ช่วยให้เพาเวอร์แอมป์ของคุณคัดทิ้งความถี่ที่ไม่ต้องการได้ก่อน ที่แอมป์จะต้องขยายมันให้เปลืองแรง เป็นวิธีที่เพาเวอร์แอมป์จะสามารถรวบรวมกำลังไปจ่ายให้แต่เพียง ความถี่ที่คุณต้องการได้ยินมันเท่านั้น โดยไม่ต้องไปใส่ใจกับความถี่ที่คุณไม่ต้องการมัน
ถ้าคุณวางแผนเอาไว้ว่าจะมีการขยายระบบในอนาคต มันก็ต้องมีการเตรียมการเรื่อง ครอสโอเวอร์เอาไว้ด้วย เพราะในเพาเวอร์แอมป์บางเครื่องอาจไม่มีครอสโอเวอร์ติดตั้งเอาไ ว้ด้วย หรือถึงมีก็อาจไม่เหมาะสมกับระบบที่เราจะขยายมันในอนาคต
ครอสโอเวอร์ทำอะไรให้คุณได้บ้าง ?
ครอสโอเวอร์เป็นอุปกรณ์ที่จำกัดขอบเขตของความถี่ที่จะถูกส่งไปย ังลำโพง ความคิดเกี่ยวกับครอสโอเวอร์เน็ตเวิร์ค ที่เปรียบเหมือนตำรวจจราจร ที่ให้เสียงสูงผ่านไปยัง ทวีตเตอร์ เสียงกลางผ่านไปยัง มิดวูฟเฟอร์ และเสียงต่ำผ่านไปยัง ซับวูฟเฟอร์
ถ้าปราศจากครอสโอเวอร์แล้วคลื่นเสียงก็มีลักษณะเหมือนการจราจรที่ติดขัด มิดเรนท์ และ ซับวูฟเฟอร์จะพ้องเสียงไปในความถี่เดียวกัน และซับวูฟเฟอร์ในระบบก็จะพยายามส่งเสียงในย่านเสียงตัวโน๊ตสูงๆ ที่มันไม่สามารถทำได้ ก่อให้เกิดอาการ " สุมรวมกันอย่างรุนแรง " ( Fatal pile-up ) และทำลายเสียงแหลมด้วยลักษณะการแปรเปลี่ยนปัจจัยของโน๊ตเสียงเบ ส ซึ่งกระตุกต่อเนื่องในเปลายทางที่ผิดพลาด
ด้วยว่าเหตุเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง คุณจึงต้องค้นหาครอสโอเวอร์ในรูปแบบที่เหมาะสมกับลำโพงแต่ละตัว ถ้าเป็นการใช้ในลำโพงวางหิ้งในระบบเครื่องเสียงบ้านแบบ สองทาง 1 คู่ มันจะใช้ครอสโอเวอร์แบบ 2 ทาง ซึ่งในลักษณะของครอสโอเวอร์แบบนี้ ตัวกรองความถี่สูงผ่านจะขวางกั้นเสียงต่ำไว้ และผ่านเฉพาะย่านความถี่สูงไปให้กับทวีตเตอร์ ในขณะเดียวกันตัวกรองความถี่ต่ำผ่านจะขวางกั้นเสียงสูง และผ่านเฉพาะย่านความถี่ต่ำไปยังวูฟเฟอร์
ทำไมต้องใช้แบบแอคทีฟ ?
ขั้นตอนการใช้งานของพาสซีฟ ครอสโอเวอร์จะต่อในช่วงสัญญาณหลังผ่านเพาเวอร์แอมป์ โดยทั่วไปจะใช้คาปาซิเตอร์หรือคอยส์ที่มีค่าเหมาะสมวางไว้ในระหว่างทางของสายลำโพง ดังนั้นมันจึงปรุงแต่งเฉพาะเสียงที่ผ่านการขยายกำลังแล้วเท่านั ้น การใช้พาสซีฟ ครอสโอเวอร์ จะต้องมีกำลังเสียงพอเพียง จุดตัดครอสโอเวอร์จะแปรเปลี่ยนไปตามอิมพีแดนซ์ของลำโพง เพราะความถี่จะถูกกำหนดโดยปฎิกริยาของโหลดลำโพง เมื่อคุณเปลี่ยนลำโพงจาก 4 โอห์มไปเป็น 8 โอห์มจุดตัดความถี่จะเปลี่ยนไปครึ่งหนึ่ง เช่น 100 Hz ก็จะเปลี่ยน 50 Hz

ในทางกลับกัน แอคทีฟครอสโอเวอร์จะมีการกระทำโดยตรงกับสัญญาณเสียงก่อนที่จะถูกป้อนเข้าเพาเวอร์แอมป์ ดังนั้นมันจึงไม่มีผลกระทบจากอิมพีแดนซ์ของลำโพง และทำให้ระบบเสียงนั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก การติดตั้งในระดับสัญญาณปรีแอมป์ ทำให้เพาเวอร์แอมป์ได้รับสัญญาณที่เข้มข้นเพื่อการขับขยายที่เต็มพละกำลังในช่วงความถี่นั้นๆ เพื่อผ่านต่อไปยังชุดลำโพง
ข้อด้อยของมันมีแค่เพียงเรื่องของความต้องการไฟ +12 โวลท์ , กราวด์ และสายควบคุมการ เปิด/ปิด อีเล็คโทรนิคครอสโอเวอร์ อาจมีส่วนใรการเพิ่มเสียงรบกวนให้กับระบบ แต่ด้วยงานติดตั้งคุณภาพสูงๆในปัจจุบันไม่น่าเกิดปัญหานี้ (นอกจากงานติดตั้งห่วยๆ ) แต่ข้อได้เปรียบของอิเล็คทรอนิคครอสโอเวอร์นั่นคือ การให้ความสะอาดชัดของเสียงแม้ว่าจะเปิดฟังความดังของระบบเสียง ในระดับแข่งขัน