วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไดเอ็ตด้วยนม ส่วนผสมง่าย ๆ

|0 ความคิดเห็น

ไดเอ็ตด้วยนม ส่วนผสมง่าย ๆ


ดื่มนม

ไดเอ็ตด้วยนม ส่วนผสมง่าย ๆ (Lisa)

          ในบรรดาสูตรไดเอ็ตที่แพร่หลายในปัจจุบัน น้อยนักที่จะเป็นสูตรดั้งเดิมอย่างการไดเอ็ตด้วยนมที่ทำได้ง่าย ๆ ด้วยการดื่มนมเป็นอาหารเสริมร่วมกับการควบคุมน้ำหนักให้ปกติ หรือลดน้ำหนักอย่างจริงจังด้วยนม และส่วนผสมที่คุณต้องการก็มีเพียงแค่นมสด และเวลาพักผ่อนที่เพียงพอเท่านั้นเอง

          1.เริ่มจากเลือกว่าคุณจะไดเอ็ตด้วยนมเป็นอาหารเสริม หรือลดน้ำหนักด้วยนมล้วน ๆ ซึ่งจะให้ผลที่ไม่ต่างกันนัก จึงขอแนะนำว่า ไดเอ็ตด้วยการดื่มนมเสริมจากอาหารสุขภาพแคลอรีต่ำจะดีกว่า

          2.การไดเอ็ตด้วยนมล้วน ๆ จะใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ที่คุณจะต้องดื่มแต่นมสด (ไม่พร่องมันเนย) ซึ่งคุณจะไม่มีพลังงานจากอาหารแท้ ๆ คอยเติมเชื้อเพลิงให้คุณ นั่นหมายความว่าคุณต้องดื่มนมแทนอาหาร และลดการทำกิจกรรมในระหว่างวันลง ซึ่งต้องระมัดระวังให้ดี จึงไม่แนะนำวิธีนี้

          3.ลองใช้วิธีไดเอ็ตด้วยการดื่มนมเสริม โดยคุณต้องดื่มนมสดพร่องมันเนย หรือนมสดไขมันต่ำหนึ่งแก้วแทนของว่างจุกจิกทั้งหมดที่คุณเคย (และชอบ) กิน ซึ่งอย่างน้อยแคลอรีที่ได้จากนมนั้น ร่างกายสามารถนำไปใช้และเสริมสร้างกระบวนการต่อได้

          4.ดื่มนมสดพร่องมันเนยหนึ่งแก้วกับอาหารแต่ละมื้อ หากคุณต้องการดื่มเพิ่มให้ดื่มน้ำเปล่า ไม่ใช่เครื่องดื่มอย่างอื่นที่ให้แคลอรีนะ

          5.แคลเซียมปริมาณสูงในนมจะสามารถช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ ด้วยการลดน้ำหนักส่วนเกิน และรักษาน้ำหนักตัวคุณให้อยู่ในระดับคงที่

นวดคอ ชะลอเหนียงยาน

|0 ความคิดเห็น

นวดคอ ชะลอเหนียงยาน


นวดคอ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          การนวดเบา ๆ ที่ต้นคอ เป็นการผ่อนคลายที่ดีอย่างหนึ่ง นอกจากจะช่วยคลายความเมื่อยล้า ยังช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับ ไม่หย่อนยานได้ด้วย เพราะจากความตึงเครียดและการละเลยการดูแลคอของเรา ทำให้ผิวหนังเริ่มเกิดริ้วรอย และตามมาด้วยอาการผิวหนังหย่อนคล้อย หรือที่เราเรียกกันว่า "เหนียงยาน" นั่นเอง ซึ่งไม่น่าดูเอาเสียมาก ๆ นอกจากเสียบุคลิกภาพแล้ว ยังทำให้ดูแก่กว่าอายุไปอีกโข เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาเริ่มบริหารกล้ามเนื้อต้นคอที่ทำได้ด้วยตัวเองกันดีกว่า
 
          อ๊ะ...แต่ก่อนจะเริ่มนวดคอ อย่าลืมหาน้ำมันสำหรับนวด อย่างน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันมะพร้าวเอาไว้ด้วยนะคะ เพื่อช่วยให้การนวดเป็นไปอย่างราบรื่นไม่สะดุด นอกจากนี้ระหว่างการนวด น้ำมันที่ซึมซาบลงสู่ผิวจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ด้วยค่ะ หรือหากสาว ๆ ชอบกลิ่นหอม ๆ จะเหยาะน้ำมันอโรมากลิ่นโปรดลงไปด้วยก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แถมยังเป็นการช่วยผ่อนคลายไปอีกทาง เอาล่ะ... เตรียมน้ำมันพร้อมแล้วก็เริ่มกันเลยค่ะ

1.หาท่านั่งสบาย ๆ

          เริ่มจากขั้นตอนแรก หาท่านั่งที่สบายค่ะ เนื่องจากคราวนี้จะเป็นการนวดด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นจะนอนนวดคงไม่ถนัดสักเท่าไหร่ ให้คุณสาว ๆ เลือกนั่งบนเก้าอี้มีพนัก แล้วหาท่านั่งที่ผ่อนคลาย สบาย ๆ ค่ะ

2. เอนศีรษะไปมาซ้าย-ขวา

          สเต็ปนี้ให้ใช้อุ้งมือทั้งสองประคองศีรษะเอาไว้ จากนั้นค่อย ๆ เอนศีรษะไปมาทางซ้ายและขวาสลับกัน ไม่ต้องเกร็งนะคะ ค่อย ๆ ทำไปช้า ๆ สบาย ๆ ระวังอย่าทำแรงหรือเร็วเกินไป ทำสลับไปมาเช่นนี้ 1-2 นาที

3. นวดคอ

          เอนหลังพิงพนัก เชิดศีรษะขึ้นเล็กน้อย หากเก้าอี้ที่คุณนั่งอยู่เป็นแบบพนักพิงสูง คุณจะเอนศีรษะพิงพนักเลยก็ได้ค่ะ จากนั้น แตะน้ำมันที่มือทั้งสองข้างแล้วเริ่มนวด โดยการนวดจะใช้นิ้วทั้งสี่ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ เรียงสี่นิ้วตั้งแต่นิ้วชี้ถึงนิ้วก้อยชิดกัน ไล้เบา ๆ ตั้งแต่คอขึ้นมาจนถึงคาง สลับกันด้วยมือทีละข้าง หากรู้สึกว่ายังไล้ขึ้นมาได้ไม่สะดวกนัก ลองแตะน้ำมันดูอีกนิดค่ะ ไล้สลับกันไปอย่างเบามือ

          ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 5-6 นาที และถือว่าเป็นท่าสำคัญที่จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อ คืนความยืดหยุ่นให้ผิวหนังที่คอของเราด้วยค่ะ

4. นวดต้นคอ

          นวดคอด้านหน้าไปแล้ว บริเวณคอด้านหลังหรือที่เราเรียกว่า ต้นคอ ก็ลืมไม่ได้เหมือนกันนะคะ การนวดใช้วิธีเดียวกับการนวดบริเวณด้านหน้า แต่สามารถนวดได้ทั้งแนวขึ้นและลง และเพิ่มน้ำหนักมือได้ค่ะ การนวดต้นคอจะช่วยคลายความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี

          เห็นไหมคะว่า การนวดคอทำได้ง่าย ๆ ทั้งนวดบริเวณด้านหน้าของคอ เพื่อกระชับกล้ามเนื้อ และนวดบริเวณต้นคอ เพื่อคลายความเมื่อยล้า ทั้งนี้อย่าลืมใช้น้ำมันด้วยทุกครั้งที่นวดนะคะ เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานขณะนวด ถ้าไม่ใช้น้ำมันช่วยแล้วอาจทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นกว่าเดิมก็ได้ โดยปริมาณของน้ำมันที่เหมาะสมในการนวดแต่ละครั้งอยู่ที่ 2 ช้อนชาค่ะ ซึ่งถ้าใช้น้ำมันน้อยเกินไปก็อาจทำให้การนวดสะดุดไม่ราบรื่น แต่ถ้าหากใช้มากเกินไปก็ทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่สบายผิวนั่นเอง

          รู้วิธีนวดคอด้วยตัวเองอย่างนี้แล้วอย่าลืมเอาไปใช้ดูนะคะ จะได้ช่วยคลายความเมื่อยล้า และมีกล้ามเนื้อคอที่กระชับ ไว้ใส่จี้สวย ๆ โชว์คองามระหงได้อย่างมั่นใจค่ะ

กินช็อกโกแลตอย่างไร ไม่ให้เสียแผนไดเอ็ต

|0 ความคิดเห็น

กินช็อกโกแลตอย่างไร ไม่ให้เสียแผนไดเอ็ต


ช็อกโกแลต


ตัดใจจากช็อกโกแลตไม่ได้ ทำไงดี (Lisa)

          ช็อกโกแลต คือของหวานสุดยอดปรารถนาของสาว ๆ และก็เป็นธรรมดาที่คุณจะโหยหาช็อกโกแลตแม้กระทั่งในช่วงไดเอ็ต นี่คือวิธีที่คุณพอจะดื่มด่ำกับช็อกโกแลตได้บ้าง โดยไม่เสียแผนไดเอ็ต

ลองดาร์กช็อกโกแลต

          หรือช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของโกโก้เข้มข้นแทนช็อกโกแลตนมที่มีความหวานมากกว่า และยังมีแคลอรีมากกว่าด้วย

พยายามกินแต่ช็อกโกแลตที่ไม่ใช่เค้ก

          หรือขนมที่มีช็อกโกแลตเป็นส่วนประกอบร่วมกับส่วนผสมแคลอรีสูงอื่น ๆ เช่น ครีม เนย น้ำตาล

อย่าอบขนมจากช็อกโกแลตเองในบ้าน

          แน่ล่ะ ถ้าคุณมีช็อกโกแลตเตรียมพร้อมไว้ขนาดนั้น โอกาสที่คุณจะสูญเสียการควบคุมตัวเองและหักห้ามใจย่อมสูงขึ้นด้วย

อย่าลืมว่าชิ้นเดียวก็พอ

          ไม่ว่าจะเป็นคัพเค้กช็อกโก หรือช็อกโกแลตบาร์ก็ตาม อย่าเลือกกินขนาดคิงไซส์ล่ะ

เมื่ออยากกินช็อกโกแลตขึ้นมาจริง ๆ

          หักช็อกโกแลตหนึ่งแผ่น หรือดื่มโกโก้แทน คุณอาจเก็บช็อกโกแลตไว้ที่ด้านข้างฝาตู้เย็นก็ได้ แล้วค่อยหยิบมากินเมื่อคุณอยากกินจริง ๆ เท่านั้น

เคล็ดลับความงามที่เกิดจากข้างใน

|0 ความคิดเห็น
เคล็ดลับความงามที่เกิดจากข้างใน

น้ำผักผลไม้สูตรในวัง

|0 ความคิดเห็น
น้ำผักผลไม้สูตรในวัง
น้ำผักผลไม้สูตรในวัง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณสดใสโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็งจะดีมากมีคนแถวบ้านเป็นมะเร็งอายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ต้องให้คีโมแต่ปรากฏว่าพอรับประทานน้ำผลไม้สูตรนี้ไปเป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดือนปรากฏว่ามีผมงอกขึ้น และแข็งแรงขึ้นมาก จนหมอตกใจ


ลองนำไปปั่นทานกันดู..น่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อยส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย

1. แอปเปิ้ล 1 ผล
2. แครอท 1 ลูก
3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
5. มะนาว 1 ลูก
6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว (ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
9. ฝรั่ง 1 ผล
10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก
11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ

นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วย
ให้รับประทานวันละ 1 ลิตร แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน

ที่มา : ShopAt7-อาหารเพื่อสุขภาพ

อาหารต้องห้าม ขณะเป็นโรคหรือมีไข้

|0 ความคิดเห็น
อาหารต้องห้าม

วันนี้หยิบเรื่องนี้มาฝากอาหารต้องห้ามสำหรับโรคบางชนิด ก็น่าจะมีประโยชน์สำหรับหลายๆคนเลยเอามา เล็กน้อยตามประสบการณ์ลองอ่านดูละกัน
เป็นไข้หวัด มีไข้สูง : ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมาก ๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก จะทำให้เกิดความร้อนสะสม อาจทำให้ตัวร้อนมากขึ้นได้ สำหรับคนที่มีอาการไอ ระคายคอ แนะนำว่า งดของทอด น้ำมัน กะทิ ไปเลยนะคะเพราะจะทำให้ไอมากขึ้นได้

โรคกระเพาะ : ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้ระคายกระเพาะได้ค่ะ ยิ่งทานในเวลาท้องว่างๆ ทางที่ดีควรจะรับประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

โรคความดันเลือดสูง : โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็ง ขาดความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น เค็มน้อย ไข่ปลา โกโก้ รวมทั้งสุรา เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้คอเลสเตอรอลสูงได้ ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความทำให้ความดันสูงขึ้นได้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหารหวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไย ขนุน ทุเรียน แต่หันมาทานผัก ผลไม้ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่นการเดิน การวิ่งจ๊อกกิ้ง

โรคตับและถุงน้ำดี : หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมันเช่น เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไป จำทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลง และเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

โรคหัวใจและโรคไต : ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด ไม่เติมเกลือหรือน้ำปลาเพิ่มในอาหารที่ปรุงเสร็จ หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เช่น หมูเค็ม เบคอน ไส้กรอก ผักดอง มัสตาร์ด และเนยแข็ง อาหารตากแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม หอยเค็ม กุ้งแห้ง ปลาแห้ง เนื้อสัตว์ปรุงรส ได้แก่ หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง อาหารกึ่งสำเร็จรูป เช่น บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กซอง ซุปซอง อาหารสำเร็จรูปบรรจุถุง เช่น ข้าวเกรียบ ข้าวตังปรุงรส มันฝรั่ง เครื่องปรุงรสที่มีเกลือมาก เช่น ซุปก้อน ผงชูรส ผงฟู อาหารหมักดองเค็ม เช่น กะปิ เต้าหู้ยี้ ปลาร้า ไตปลา ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง แหนม ไส้กรอกอีสาน ทางที่ดี จำกัดอาหารเค็ม รับประทานอาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ผัก หรือผลไม้ แทนการรับประทานอาหารที่ผ่านขบวนการถนอมอาหาร จำกัดน้ำที่ดื่มถ้าอยู่ในภาวะไตวาย หรือหัวใจวาย เพราะการกินหาารเค็ม และดื่มน้ำมาก ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ซึ่งถ้าขับไม่ทัน ก็จะบวมตามร่างกาย เกิดไตวาย หัวใจวายได้ค่ะ ควรรับประทาน ผักและผลไม้เป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ในผักและผลไม้จะมีสาร flavonoids, sterols, phenol, and sulfur-containing compounds ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดระดับ cholesterol มีผลดีต่อหัวใจและป้องกันมะเร็ง และโปรตีนจากถั่วเหลือง เนื้อปลา ถ้าจะทานพวกเนื้อไก่ก็ควรลอกหนังออก หลีกเลี่ยงการทานเนื้อวัว

โรคเบาหวาน : หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน มัน และเค็ม หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่งเ มันเทศ หลีกเลี่ยงอาหารทอด หันมา ปิ้งย่างแทน จะดีกว่า หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม แอลกอฮอล์ ควรหันมารับประทานอาหารพวกถั่ว เช่น เต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด ผลไม้ แทนจะดีกว่าค่ะ ถ้าร่างกายไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้คงเส้นคงวา แนะนำให้พกพวกท๊อฟฟี่ คุ๊กกี้ติดตัวด้วยค่ะ เอาไว้เผื่อน้ำตาลในเลือดต่ำกระทันหัน จะได้ไม่เป็นลมง่ายค่ะ

นอนไม่หลับ : หลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้นทั้งหลายแหลา รวมทั้งการสูบบุหรี่ เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับสนิท แต่ถ้าช่วงสอบ หรือต้องอ่านหนังสือไม่ว่ากันค่ะ เพราะตัวเองก็พึ่งพากาแฟอยู่เป็นประจำเวลาต้องทำงานดึกๆ ถ้าเป็นโรคนอนไม่หลับแนะนำว่า ให้ออกกำลังกายและดื่มน้ำมากๆช่วงเย็นๆ พอร่างกายใช้พลังงานมากๆ จะเพลียจนอบากจะหลับเลยเชียว

โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก : หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ หันมารับประทานผัก ผลไม้ ที่มีหรืออาหารที่มรการใยสูงจะดีกว่า ดื่มน้ำมากๆ ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา อันนี้ก็พอจะช่วยไดบ้างค่ะ

ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด : ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม ถั่วบางชนิด เพราะจะไปกระตุ้นและทำให้อาหารแพ้ มีผื่น หรือหอบหืดได้ แต่ถ้ารู้ว่าแพ้อะไรแล้วแน่ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้นไปเลยค่ะ มีงานวิจับหลายชิ้นที่บอกว่า วิตามินซี วิตามินอี และบีต้าแคโรทีนซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ไม่ได้ช่วยลดอาการหอบหืดแต่นเด็กอาจจะลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ๆได้

สิว หรือต่อมไขมันอักเสบ : มัน เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อน แคลอรี่สูง มีผลต่อ ความร้อนชื้นไปอุดตันผิวหนัง รูขุมขน ตามร่างกาย ทำให้เกิดสิว

11.โรคเก๊าท์ ห้ามอาหารรสเค็มเด็ดขาด ห้ามรับประทานผลไม้ที่มีปริมาณแป้งและน้ำตาลเยอะ เช่น ทุเรียน เงาะ ลำไย มะม่วงฯ อาหารที่ควรรับประทานจะต้องเป็นรสจืดทั้งหมด ควรรัปประทานผลไม้มากๆ เช่น มะละกอสุก ส้ม ลูกพรุน และต้องออกกำลังกายอย่างสมำเสมอ 20 - 30 นาที/วัน
|0 ความคิดเห็น

โรคเก๊าท์




โรคเก๊าท์ เป็นโรคที่เป็นผลมาจากการที่มีกรดยูริคในร่างกายมากเกินไป ยูริคที่มากเกินไปจะทำให้เกิดผลึกยูเรต สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่ข้อ เมื่อผลึกอยู่ในข้อมากขึ้น จะทำให้เกิดการอักเสบของข้อตามมา

โรคเก๊าท์ เป็นโรคเรื้อรัง และอาจจะเป็นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ได้ บางครั้งอาจจะทำให้เกิดก้อนตามเนื้อเยื่อรอบข้อ ทำให้เกิดการทำลายของข้อได้ และจะทำให้ไตเสื่อมลง และอาจเป็นโรคนิ่วที่ไตได้

โรคเก๊าท์ ที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง และมักจะพบว่ามีประวัติในครอบครัว ยูริคเป็นสารที่เกิดขึ้นจากการย่อยสลายของ purine ซึ่งมาจากอาหารที่รับประทาน ในบางรายที่มียูริคสูงกว่าปกติ ก็อาจจะไม่ได้มีอาการของข้ออักเสบหรือนิ่วในไต แต่ถือว่ามีความเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์ได้ ซึ่งมีผลทำให้ข้ออักเสบและมีก้อนที่เกิดจากผลึกยูริคในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย




ข้ออักเสบจะมีอาการปวดอย่างรุนแรง ข้ออักเสบจะมีอาการจากการที่ผลึกของยูริคในข้อ ทำให้มีการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เม็ดเลือดขาวหลั่งสารทำให้เกิดการอักเสบในข้อ ทำให้ปวด บวม ร้อน ในข้อ และอาจจะทำให้ปวดบ่อยขึ้นและเริ่มเป็นข้ออื่น ๆ มากขึ้น

โรคเก๊าท์ พบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 9 เท่า โดยผู้ชายมักจะเริ่มเป็นได้ตั้งแต่เริ่มเป็นผู้ใหญ่ ส่วนผู้หญิงมักจะเริ่มมีอาการหลังหมดประจำเดือน

ความเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์

  • ความเสี่ยงในการเกิดโรคเก๊าท์ นอกจากมีภาวะยูริคในเลือดสูงแล้ว
  • ความเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่
  • คนอ้วน
  • น้ำหนักขึ้นเร็วมาก ๆ
  • ดื่มแอลกอฮอล์มาก
  • ความดันโลหิตสูง
  • ผู้ป่วยที่มีการทำงานไตผิดปกติ
  • ยาบางชนิด เช่นยาขับปัสสาวะ แอสไพริน ยารักษาวัณโรค
  • โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือด บางชนิดจะผลิตยูริคมากขึ้นได้
  • ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง เมื่อมีภาวะบางอย่างที่มากระตุ้น อาจจะทำให้เกิดอาการขึ้นมาได้ ปัจจัยกระตุ้นได้แก่ ภาวะขาดน้ำ การบาดเจ็บต่อข้อ ไข้ การรับประทานมากเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
อาการของโรคเก๊าท์




ตำแหน่งข้อที่พบบ่อยที่สุด คือ ข้อที่โคนนิ้วหัวแม่เท้า

ข้อเท้า ข้อเข่า เป็นส่วนที่พบได้บ่อยรองลงมา

นอกจากนั้นอาจพบได้ที่ ข้อมือ นิ้วมือ และข้อศอก

อาการที่เป็นลักษณะของเก๊าท์ คือ อาการปวด บวม แดง ร้อนที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันอาการปวดจะรุนแรง อาจจะมีไข้ร่วมด้วย อาการปวดจะเป็นอยู่นานเป็นชั่วโมง หรือเป็นหลายวันได้ และมีอาการปวดบ่อย ๆ เป็นประจำ
ในรายที่เป็นแบบเรื้อรัง จะมีก้อนผลึกของยูริค Tophi อยู่ในเนื้อเยื่อ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือบริเวณรอบ ๆ ข้อ ส่วนใหญ่จะเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อศอก ข้อนิ้วหัวแม่เท้า






การวินิจฉัยโรคเก๊าท์




ลักษณะของการอักเสบของเก๊าท์ จะแตกต่าง กับโรคอื่น ๆ ตรงที่มักจะเริ่มเป็นทีละข้อ ซึ่งต่างจากโรค SLE หรือ Rheumatoid ซึ่งมักจะมีการอักเสบพร้อมกันทีละหลายๆ ข้อ
การตรวจที่แม่นยำที่สุด คือ การตรวจน้ำในข้อ แล้วพบว่ามีผลึกของยูริค ในข้อ นอกจากนั้นยังอาจจะตรวจพบได้ในเนื้อเยื่อที่เป็นก้อนตามร่างกาย

นอกจากนั้นคือการตรวจเลือด พบว่าระดับยูริคในเลือดสูง

การตรวจ X-rays จะพบว่ามีผลึกของก้อนได้ หรือพบว่ามีการทำลายของข้อจากการอักเสบได้


การรักษาโรคเก๊าท์

หลักการในการรักษา คือ

อันดับแรก ต้องลดการอักเสบของข้อ ลดอาการปวดในขณะที่กำลังมีอาการ
โดยการใช้ยากลุ่มที่ลดอาการอักเสบของข้อ เช่น naproxen และ colchicines
ยากลุ่มลดการอักเสบ NSAIDs อาจจะมีผลข้างเคียงในการทำให้กัดกระเพาะ
ส่วน Colchicine อาจจะทำให้มีอาการท้องเสียได้ หรือคลื่นไส้อาเจียนได้

ต่อมา จึงพยายามจัดการระดับยูริค และลดความถี่ในการอักเสบของข้อ และทำให้ก้อนตามร่างกายมีขนาดเล็กลง



  • การป้องกันการอักเสบ สามารถทำได้โดย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 2ลิตร
  • ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  • ปรับเปลี่ยนอาหาร
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์
  • รับประทานยาเพื่อควบคุมระดับยูริคในเลือดให้อยู่ในระดับปกติ เช่น allopurinol
อาหารสำหรับโรคเก๊าท์







  • อาหารที่ทำให้ระดับยูริคในเลือดสูงขึ้น คืออาการที่มี purine สูง ตัวอย่างเช่น เครื่องในสัตว์ ตับ สมอง ไต
  • อาหารกลุ่มอื่นที่ต้องระวัง ได้แก่ สัตว์ปีก เป็ด ไก่ แอลกอฮอล์ เบียร์ ยอดผัก เช่น หน่อไม้ฝรั่ง กระถิน ชะอม แตงกวา
  • มีการวิจัยพบว่าอาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ อาหารทะเล และอาหารโปรตีน สูง จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการได้
  • เนื่องจากการลดน้ำหนักจะช่วยในการลดความถี่ในการอักเสบของข้อ จึงต้องจำกัดแคลอรีที่ร่างกายได้รับ และลดอาหารมันทั้งหลายด้วย

อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์

|0 ความคิดเห็น
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์


โรคเก๊าท์เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ เกิดจากความผิดปกติในการใช้สารพวกพิวรีน ทำให้เกิดสารยูริคสูงในเลือด และจะสะสมในข้อโดยเฉพาะข้อเล็กๆ เช่น ข้อนิ้วเท้า ข้อนิ้วมือ ทำให้เกิดอาการปวด บวม แดง ร้อน ในข้อ
การใช้ยารักษาโรคเกาท์จะช่วยทำให้อาการของโรคดีขึ้นและช่วยขับกรดยูริคออกจากร่างกาย แต่การทานอาหารที่ถูกต้องจะช่วยบรรเทาให้อาการลดลง และไม่กำเริบบ่อย หลักในการจัดอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ มีดังนี้
ทานอาหารที่มีพิวรีนน้อยหรือไม่มีพิวรีน ได้แก่ นม ไข่ ฯลฯ งดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมาก เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาซาร์ดีน ฯลฯ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนปานกลาง เช่น สัตว์ปีก อาหารทะเล อาหารที่ปรุงไม่ควรใส่ผงชูรส หลีกเลี่ยงอาหารทอด น้ำต้มเนื้อ เช่นก๊วยเตี๋ยวน้ำ


ในคนที่อ้วนควรลดน้ำหนัก โดยทานอาหารให้มีพลังงานต่ำประมาณวันละ 1,200 – 1,500 แคลอรี
ควรจำกัดอาหารที่มีไขมันสูง เพราะอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ ควรงดเครื่องดื่มพวกโกโก ช็อคโกแลต ควรทานนมพร่องมันเนย
งดการดื่มสุรา ส่วนกาแฟอาจทานได้บ้างพอประมาณ
ควรทานผักใบเขียวที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อทดแทนธาตุเหล็กที่ขาดเนื่องจากการงดทานเนื้อสัตว์

โดย พญ.รุ่งทิพย์ วรรณวิมลสุข แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว

โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease )

|0 ความคิดเห็น
โรคอัลไซเมอร์ ( Alzheimer’s disease )




เมื่อพูดถึงโรคสมองเสื่อม คนส่วนมากจะนึกโรคอัลไซเมอร์ก่อนอย่างอื่น ซึ่งความจริง สมองเสื่อมไม่ได้เป็นโรค แต่เป็นภาวะหนึ่งของสมอง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยที่อัลไซเมอร์ ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุเหล่านั้น ภาวะสมองเสื่อม (dementia) นั้น ต่างจากความจำเสื่อม (forgetfullness) โดย มักมีอาการ อื่นนอกจากความจำเสื่อมร่วมด้วย และมักมีผลต่อชีวิตประจำวัน อาการอื่นๆเช่น นึกคำพูดไม่ออก บวกลบเลขง่ายๆไม่ได้ ไม่สามารถทำอะไรที่ง่ายๆที่เคยทำประจำเช่น ติดกระดุมเสื้อเองไม่ค่อยได้ พฤติกรรมหรือบุคลิกเปลี่ยนไปจากเดิม เป็นต้น

สาเหตุของสมองเสื่อมแบ่งเป็นสองแบบ คือ แบบรักษาให้หายได้กับแบบรักษาไม่ได้ คนที่สงสัยว่าจะมีอาการสมองเสื่อม ควรพบแพทย์ทางระบบประสาท เนื่องจากอาจเป็นสาเหตุที่ สามารถรักษาได้ โรคในกลุ่มนี้เช่น โรคซึมเศร้า เนื้องอกในสมอง โรคไทรอยด์ โรคติดเชื้อ โรคขาดสารอาหารบางชนิด เป็นต้น สำหรับสมองเสื่อมจากสาเหตุที่รักษาไม่หายนั้น สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดก็คือโรคอัลไซเมอร์นั่นเอง นอกนั้นก็เป็นโรคทางสมองอื่นๆที่พบได้รองลงไป เช่น เส้นเลือดสมองตีบ(บางราย) เป็นต้น
อัลไซเมอร์ เป็นโรคที่พบในผู้สูงอายุ โดยในกลุ่มคนที่อายุ 65 ปี พบได้ประมาณ 10% ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งพบได้บ่อยขึ้น โดยเมื่อดูผู้ที่อายุเกิน 85ปี จะพบได้ถึงเกือบ 50% อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยบางกลุ่มที่พบตั้งแต่อายุ 40-50ปี แต่ก็เป็นส่วนน้อย ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่มีประวัติโรคนี้ ในครอบครัวค่อนข้างชัดเจน หรือผู้ที่เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่ากลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome)
สาเหตุ ของโรคอัลไซเมอร์นั้น ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าอาจมีส่วนจากกรรมพันธุ์ โดยที่อาจมีปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย เช่น อาหาร สิ่งแวดล้อม การติดเชื้อบางชนิด เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ก็ไม่สามารถชี้ชัดได้
การตรวจชิ้นเนื้อของสมองในผู้ป่วยอัลไซเมอร์หลังเสียชีวิต พบว่ามีโปรตีนบางชนิดในปริมาณ ที่มากกว่าผู้สูงอายุที่ไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์
อาการของอัลไซเมอร์นั้น ในระยะแรกๆอาจแยกจากภาวะความจำเสื่อมตามธรรมชาติในผู้สูงอายุได้ลำบาก แต่ไม่นานก็มัก จะมีลักษณะบางอย่างที่เด่นชัดขึ้นมาซึ่งต่างจากการเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ ในผู้สูงอายุ อาการแรก และมักเป็นอาการที่ญาติจะสังเกตได้ค่อนข้างเร็วและมักพามาพบแพทย์คือ ความจำที่แย่ลง ซึ่งจริงๆแล้ว ในผู้สูงอายุก็จะมีอาการนี้เกิดขึ้นได้บ่อย โดยมักเป็นความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ ที่ผ่านมาไม่นาน เช่น ลืมว่าต้มน้ำทิ้งไว้ พอนึกออกก็ตกใจวิ่งไปถอดปลั๊กไฟ แต่ในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ อาจเป็นมากกว่านั้นคือลืมไปด้วยซ้ำว่าต้มน้ำไว้ อาจถามญาติว่าใครเป็นคนต้มน้ำ หรืออาจต้องคิด นานกว่าจะนึกออกว่าเป็นคนต้มไว้เอง เป็นต้น
เมื่อโรคดำเนินต่อไปเรื่อยๆ นอกจากความจำที่แย่ลงเป็นลำดับ ก็จะมีอาการอื่นๆเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ เช่น คิดเลขง่ายๆไม่ค่อยถูก ทอนเงินผิด การตัดสินใจหรือความคิดต่างๆไม่ค่อยสมเหตุสมผล ซึ่งผิดจากความจำเสื่อมทั่วไป เช่น ผู้สูงอายุที่ความจำเสื่อมโดยธรรมชาติ อาจลืมของบ่อย เช่น มักลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ในห้องแล้วนึกไม่ออก แต่ในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ อาจลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ในตู้เย็น กล่าวคือ นอกจากความจำไม่ดีแล้ว ความมีเหตุผล การตัดสินใจหรือความคิดต่างๆ ก็จะผิดแปลก ออกไปด้วย
ระยะต่อไปก็จะเริ่มมีอาการที่ทำให้ผู้ป่วยหรือญาติ เริ่มพบกับความลำบากหรือยุ่งยากมากขึ้น ได้แก่ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป บางคนซึมลง บางคนก้าวร้าว บางคนเคยมีเหตุผล ใจเย็น ก็กลายเป็นไร้เหตุผล หงุดหงิดง่าย ฉุนเฉียวบ่อย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอาการที่ญาติต้องคอยระวังคือ บางคนจะเดินไปเรื่อย โดยไม่มีจุดหมาย ไม่มีเหตุผล ที่สำคัญคือจะจำทางไม่ค่อยได้ ถ้าเดินออกไปนอกบ้าน มักจะกลับไม่ถูก บางคนเดินไปขึ้นรถเมล์นั่งไปๆกลับๆทั้งวัน จนตำรวจต้องช่วยพากลับบ้าน
ระยะหลังๆ ผู้ป่วยจะเริ่มช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น แต่งตัว อาบน้ำ ทานข้าว โดยต้องให้ญาติคอยช่วยเหลือตลอด อาจไม่สามารถบอกเมื่อจะปัสสาวะ หรืออุจจาระ โดยปล่อยออกมาเองโดยอาจรู้หรือไม่รู้สึกตัวก็ได้ เมื่อช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็จะเริ่มมีโรคแทรกซ้อนตามมา เช่น การติดเชื้อในปอด หรือทางเดินปัสสาวะ แผลกดทับ ขาดสารอาหารเนื่องจากทานได้น้อย ร่างกายจะค่อยๆอ่อนแอลง ในที่สุดส่วนมากจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อแทรกซ้อน โดยระยะเวลาทั้งหมด ตั้งแต่อาการแรกจนเสียชีวิตนั้น แตกต่างกันไปในแต่ละคน มีตั้งแต่ 3-4 ปี จนถึงเกือบ 20ปีก็มี แต่โดยเฉลี่ยจะประมาณ 8-10ปีเป็นส่วนใหญ่
การวินิจฉัยอาศัยการซักประวัติจากญาติที่ดูแล การตรวจร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ( ตรวจเลือด,เอ็กซเรย์สมองด้วยคอมพิวเตอร์หรือถ้าสงสัยสาเหตุบางอย่างอาจตรวจสมองด้วย คลื่นแม่เหล็ก (MRI)ถ้าจำเป็น) เพื่อดูให้แน่ว่าไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่นซึ่งรักษาได้ ซึ่งถ้าดูแล้วไม่มีสาเหตุอื่น แพทย์ก็มักจะพอแยกได้จากความจำเสื่อมตามธรรมชาติในผู้สูงอายุ โดยมีความแม่นยำในการวินิจฉัยประมาณ 80-90% เนื่องจากการวินิจฉัยให้ได้ 100% นั้น มีวิธีเดียว คือการตรวจชิ้นเนื้อของสมอง ซึ่งถ้าจะทำก็จะทำเมื่อผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วเท่านั้น
การรักษา ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาให้หายขาดได้ แต่มียาซึ่งอาจช่วยควบคุมอาการต่างๆ ให้น้อยลงได้ชั่วคราว แต่โรคก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงระยะที่เป็นมากๆ ยาก็จะไม่ได้ผล อย่างไรก็ตาม มีการพยายามคิดค้นยาเพื่อรักษา และวิธีการทางการแพทย์ที่จะใช้วินิจฉัย ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ เพื่อจะได้สามารถให้มีการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ทั้งผู้ป่วยและญาติ หรือแม้แต่การวินิจฉัยตั้งแต่อยู่ในครรภ์เพราะไม่แน่ว่าต่อไปในอนาคต อาจมีการตัดต่อสารพันธุกรรมเพื่อไม่ให้เป็นโรคนี้ได้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์
ปัจจุบัน คนทั่วไปมักพูดถึงสมุนไพรบางชนิด หรือน้ำมันปลา ว่าสามารถรักษาได้หรือไม่ ซึ่งจริงๆแล้วยังไม่มีการยืนยันได้แน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจชลออาการได้บ้าง คือทำให้อาการแย่ลงช้ากว่าที่ควรบ้างเล็กน้อย และไม่ได้ผลเสมอไป คือบอกไม่ได้ว่าใครได้ผลหรือใครไม่ได้ผล แต่ไม่สามารถทำให้หายขาดได้แน่นอน
การดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ต้องให้ความเข้าใจ เห็นใจ ว่าผู้ป่วยไม่ได้ตั้งใจที่จะก้าวร้าว หงุดหงิดอย่างที่เราเห็น แต่เป็นจากตัวโรคเอง ไม่ควรทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่มั่นใจ อาย หรือหงุดหงิด เช่น ถ้าคุยอะไรแล้วผู้ป่วยนึกไม่ค่อยออกหรือจำไม่ได้ ควรเปลี่ยนเรื่อง เอาเรื่องที่คุยแล้วมีความสุข หรือถ้ามีความคิดอะไรผิดๆ ไม่ควรเถียงตรงๆ ถ้าไม่จำเป็นก็อาจไม่ต้องอธิบายมาก เนื่องจากจะทำให้หงุดหงิด และหมดความมั่นใจ
ควรจัดห้องหรือบ้านให้น่าอยู่ สดใส ใช้สีสว่างๆ ถ้าในรายที่ชอบเดินไปมามากๆ ต้องใช้เทคนิคการเบี่ยงเบนความสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรืออาจใช้การพาดเสื้อผ้า ไว้ที่ลูกบิดประตูเพื่อไม่ให้เห็นลูกบิด ต้องเก็บของมีคม หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มิดชิด ปิดวาวล์เตาแก๊สไว้เสมอ เป็นต้น
ในรายที่มีอาการที่เริ่มจะดูแลยาก เช่น ก้าวร้าวมาก เอะอะโวยวาย สับสนมาก หรือ เดินออกนอกบ้านบ่อยๆ ควรพาไปพบแพทย์ระบบประสาท เนื่องจากอาจจำเป็นต้องใช้ยาช่วยลดอาการดังกล่าว
สรุป ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ ได้แก่
อัลไซเมอร์เป็นโรค ไม่ใช่ภาวะสมองเสื่อมตามธรรมชาติ หรือตามอายุที่มากขึ้น
สาเหตุยังไม่ทราบชัด แต่น่าจะมีส่วนจากพันธุกรรม อาจมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย ดังนั้นสามารถเกิดได้กับทุกคน
ขณะนี้ ยังไม่สามารถป้องกัน และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
การดูแล ความเห็นอกเห็นใจ และความเข้าใจ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลผู้ป่วย
ถ้ามีญาติที่เริ่มมีอาการหลงลืม ควรพบแพทย์ระบบประสาท อาจเป็นสาเหตุอื่นที่รักษาหายขาดได้
โรคนี้มักเกิดในผู้สูงอายุ ดังนั้น ผู้ที่รู้สึกว่าหลงลืมบ่อยโดยที่อายุไม่มาก (20-50 ปี) มักเกิดจากสาเหตุอื่น ส่วนมากเกิดจากการพักผ่อนไม่พอ เครียด ไม่มีสมาธิ ควรแก้ไขสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยปรึกษาแพทย์ เพราะมักเป็นสาเหตุที่รักษาให้หายขาดได้
ไม่ควรกลัวโรคนี้จนเกินไป เนื่องจากขณะนี้มีการวิจัยเรื่องนี้มากมายทั่วโลก เชื่อว่าอีกไม่นานนัก อาจมียาที่รักษาหรือป้องกันได้
ในทางการแพทย์ ยังไม่แนะนำให้ทานยาใดๆเพื่อป้องกัน เพราะมักไม่ได้ผล และยาหรือสมุนไพรหรืออาหารเสริมเหล่านี้ส่วนมากมีราคาแพง และมักโฆษณาเกินความจริง

โดย นพ.เขษม์ชัย เสือวรรณศรี อายุรแพทย์ประสาท

สิทธิผู้ป่วย

|0 ความคิดเห็น
สิทธิผู้ป่วย

แพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข
ร่วมกันประกาศสิทธิผู้ป่วย 16 เมษายน 2541




สิทธิ หมายถึง ความชอบธรรมที่บุคคล ใช้ยันกับผู้อื่นเพื่อคุ้มครอง หรือ รักษาผลประโยชน์ อันเป็นส่วนพึงได้ของบุคคลนั้น
สิทธิผู้ป่วย จึงหมายถึง ความชอบธรรมที่ผู้ป่วยจะพึงได้รับเพื่อคุ้มครองหรือ รักษาผลประโยชน์ อันพึงมีพึงได้ของตนเอง โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น
1. ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพ ตามที่บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ
คำอธิบาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
“บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและผู้ยากไร้มีสิทธิ ได้รับการรักษาพยาบาล จากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งนี้ตาม ที่กฎหมายบัญญัติ
การบริการทางสาธารณสุขของรัฐต้องเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพโดยจะต้องส่งเสริมให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น และ เอกชนมีส่วนร่วมด้วยเท่าที่จะกระทำได้
การป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายรัฐต้องจัดให้แก่ประชาชน โดยไม่คิดมูลค่าและทันต่อ เหตุการณ์ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ”
2. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยไม่มีการเลือก ปฏิบัติ เนื่องจาก ความแตกต่างด้าน ฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา ลัทธิการเมือง เพศ อายุ และลักษณะ ของความเจ็บป่วย
คำอธิบาย ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับบริการสุขภาพในมาตรฐานที่ดีที่สุดตามฐานานุรูป โดยไม่มีการเลือก ปฏิบัติทั้งนี้ มิได้หมายรวมถึง สิทธิอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น การไม่ต้องชำระค่ารักษาพยาบาล การพักในห้องพิเศษต่าง ๆ และบริการพิเศษอื่น ๆ เป็นต้น
3. ผู้ป่วยที่ขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอและชัดเจน จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอม หรือไม่ยินยอม ให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือ รีบด่วนหรือจำเป็น
คำอธิบาย ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพมีหน้าที่ต้องอธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงอาการการดำเนินโรค วิธีการรักษา ความยินยอมของผู้ป่วยนั้นจึงจะมีผลตามกฎหมายยกเว้นเป็นการช่วยเหลือใน กรณีเร่งด่วน ฉุกเฉิน ตามข้อ 4
4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต มีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือ รีบด่วน จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ โดยทันทีตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่คำนึง ว่าผู้ป่วยจะร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่
5. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบชื่อ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ ที่เป็น ผู้ให้บริการแก่ตน
คำอธิบาย ในสถานพยาบาลมีผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพต่าง ๆ หลายสาขาปฏิบัติงานร่วมกันในการ ช่วยเหลือผู้ป่วยร่วมกับบุคลากร ผู้ช่วยต่าง ๆ หลายอาชีพ ซึ่งบ่อยครั้งก่อให้เกิดความไม่แน่ใจและความไม่เข้าใจ แก่ ผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป การกำหนดสิทธิข้อนี้ทำให้ผู้ป่วยกล้าที่จะสอบถามข้อมูลที่จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและ สามารถตัดสินใจเพื่อ คุ้มครองความปลอดกัยของตนเอง โดยเฉพาะจากผู้ให้บริการซึ่งไม่มีคุณภาพเพียงพอ
6. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริการแก่ตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการและสถานบริการ
คำอธิบาย ปัจจุบันผู้ป่วยยังมีความเกรงใจและไม่ตระหนักถึงสิทธินี้ ทำให้เกิดความไม่เข้าใจและความ- ขัดแย้ง ขณะเดียวกันผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพจำนวนมากก็ยังมีความรู้สึกไม่พอใจเมื่อผู้ป่วยขอ ความเห็นจาก ผู้ให้บริการสุขภาพผู้อื่น หรือไม่ให้ความร่วมมือในการที่ผู้ป่วยจะเปลี่ยนผู้ให้บริการหรือสถานบริการ การกำหนดสิทธิผู้ป่วยนี้จึงมีประโยชน์ที่จะลดความขัดแย้งและเป็นการ รับรองสิทธิผู้ป่วยที่จะเลือกตัดสินใจด้วยตนเอง
7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพ ด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยหรือการปฏิบัติ หน้าที่ตามกฎหมาย
คำอธิบาย สิทธิส่วนบุคคลที่จะได้รับการปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วยนี้ถือเป็นสิทธิที่ได้รับ การรับรอง ตามกฎหมายอาญามาตรา 323 พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ. 2540 ข้อบังคับแพทยสภาพ.ศ. 2526 ซึ่งถือว่าสังคมได้ให้ความสำคัญกับสิทธิผู้ป่วยในข้อนี้มาก เพราะถือว่าเป็นรากฐานที่ผู้ป่วยให้ความไว้วางใจต่อแพทย์
8. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วนในการตัดสินใจเข้าร่วม หรือถอนตัว จากการเป็นผู้ถูกทดลองในการทำวิจัยของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ
9. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตน ที่ปรากฏในเวชระเบียน เมื่อร้องขอ ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิด สิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่น
คำอธิบาย ข้อมูลที่ปรากฎในเวชระเบียนถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเจ้าของประวัติมีสิทธิที่จะได้รับ ทราบข้อมูลนั้นได้ ทั้งนี้รวมถึงกรณีผู้ป่วยยินยอมให้เปิดเผยข้อมูลของตนต่อบุคคลที่สาม เช่นในกรณี ที่มีการประกันชีวิต หรือสุขภาพ
10. บิดา มารดา หรือ ผู้แทนโดยชอบธรรม อาจใช้สิทธิแทน ผู้ป่วยที่เป็นเด็ก อายุยังไม่เกิน สิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถ ใช้สิทธิด้วยตนเอง
เมื่อท่านได้ทราบถึงสิทธิของผู้ป่วยหวังว่าท่านจะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง ผู้ให้บริการ และ ผู้รับบริการ

ขอขอบคุณ นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ

โรคกระเพาะอาหาร

|0 ความคิดเห็น
โรคกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะอาหารเป็นคำที่ใช้เรียกภาวะผิดปกติที่ก่อให้เกิดอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ อืดแน่น เกิดขึ้นได้ทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร บางรายรู้สึกเหมือนอาหารไม่ย่อย อาจมีอาการจุก เสียด คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งอาการมักจะดีขึ้นถ้าได้รับประทานยาลดกรดในกระเพาะอาหาร อาการที่เกิดขึ้นมักจะเป็นเรื้อรัง มีระยะที่โรคสงบไปได้เองเป็นช่วง ๆ
อาการเหล่านี้อาจเกิดในผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร , ลำไส้เล็กส่วนต้น หรืออาจในคนที่ไม่มี แผลก็ได้ ซึ่งปัญหาที่ทำให้เกิดแผลอยู่ที่ความผิดปกติของ กรดในกระเพาะอาหารที่เพิ่มขึ้น และ กลไกธรรมชาติในการป้องกันการเกิดแผลเสียไป
ในปัจจุบัน พบว่าแบคทีเรีย Helicobacter pylori ที่อาศัยอยู่ในชั้นเมือกที่ปกคลุมผิวกระเพาะอาหาร มีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำให้เกิดแผลขึ้น นอกจากนี้ยังมียาแอสไพริน ยาลดการอักเสบ (Non-steroidal antiinflammatory drugs:NSAIDs) ที่เป็นสาเหตุของการเกิดแผลได้บ่อย
                                             มะเร็งกระเพาะอาหาร

อาการโรคกระเพาะในบางรายอาจเกี่ยวข้องกับมะเร็ง กระเพาะอาหาร ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มี อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก ซีด คลำได้ก้อนผิดปกติบริเวณลิ้นปี่ กลืนลำบาก มีประวัติมะเร็งทางเดินอาหารในครอบครัว หรือ เริ่มเกิดอาการเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป

ปัจจุบันมีการตรวจวินิจฉัยที่ได้ผลดีหลายวิธี นอกเหนือจากการซักประวัติและตรวจร่างกายทั่วไปแล้ว การตรวจ X-ray กลืนสารทึบรังสี และการส่องกล้องตรวจในกระเพาะอาหาร สามารถตรวจพบแผล เก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อในกระเพาะอาหารตรวจหาเซลมะเร็ง และตรวจหาเชื้อ H. pylori ได้

การรักษา
การรักษาทำได้โดย
การรับประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่ปล่อยให้หิว ไม่รับประทานอิ่มเกินไป
พยายาม เลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการ เช่น อาหารรสเผ็ด กาแฟ งดเหล้า งดบุหรี่ 
หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน NSAIDs สเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น และ
ลดความเครียด ร่วมกับ
การใช้ยารักษาโรคกระเพาะอาหารอย่างเหมาะสม

โดย นพ.พรเทพ วรวงศ์ประภา อายุรแพทย์

โรคหัวใจขาดเลือด

|0 ความคิดเห็น
โรคหัวใจขาดเลือด



โรคหัวใจขาดเลือดคืออะไร




หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิต เลี้ยงร่างกาย โดยอาศัยการบีบตัว ของกล้ามเนื้อหัวใจ ตัวกล้ามเนื้อหัวใจ เองนั้นก็ต้องอาศัยเลือด ไปเลี้ยงเช่นกัน โดยผ่านทางหลอดเลือด ไปเลี้ยงเช่นกัน โดยผ่านทางหลอดเลี้ยงหัวใจ ที่มีชื่อว่า "โคโรนารี่" หลอดเลือดนี้มี 2 เส้น ขวาและซ้าย แตกแขนงออกไป เลี้ยงทุกส่วน ของกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นเนื่องจาก หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ หรือตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจ มีเลือดไปเลี้ยงลดลง หรือไม่มีเลยเป็นผลให้ การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ผิดปกติ หากรุนแรง ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจ ตายบางส่วนได้


การที่หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ เกิดการตีบหรือตันนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจาก หลอดเลือดแข็งตัวขึ้น เนื่องจากมีไขมันสะสม ในผนังด้านในของหลอดเลือด เป็นผลให้ทางที่เลือดไหน ผ่านแคบลง เลือดไหลไม่สะดวก กล้ามเนื้อหัวใจ จึงได้รับเลือดน้อยกว่าปกติ นอกจากนั้น ยังอาจเกิดจากเกร็ดเลือด และลิ่มเลือดอุดตันอีกด้วย
มีอาการอย่างไร
อาการที่สำคัญ ของภาวะหัวใจขาดเลือด คือ อาการเจ็บ แน่นหน้าอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะออกแรง พักแล้วดีขึ้น โดยจะรู้สึกแน่น ๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก หรือ ค่อนมาทางซ้าย เจ็บลึก ๆ หายใจไม่สะดวก อาจมีอาการ อื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตก ใจสั่น หน้ามืด บางรายนอกจาก แน่นบริเวณหน้าอกแล้ว ยังอาจเจ็บร้าว ไปที่หัวไหล่ แขน หรือ คอ
ตรวจอย่างไร ถึงจะทราบว่าเป็นโรคนี้
แพทย์จะซักประวัติ โดยละเอียด ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และดูดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ขณะพักนั้น บ่อยครั้ง ที่ให้ข้อมูลไม่เพียงพอ ที่จะวินิจฉัยโรค แพทย์ จะแนะนำให้ตรวจ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ขณะออกกำลังเพิ่มเติม เรียกว่า "Exercise Stress Test" จากนั้น แพทย์จะนำข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ มาวิเคราะห์ดูว่า มีโอกาส เป็นโรคหัวใจขาดเลือด มากน้อยเพียงใด
ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคนี้
หากท่านมีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เรียกว่าท่านมี "ปัจจัยเสี่ยง" ในการเกิดโรคนี้ ยิ่งมีมากข้อ โอกาสเกิดโรคก็มากขึ้นด้วย ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ได้แก่
เพศชาย หรือ เพศหญิงในวัยหมดประจำเดือน
ประวัติครอบครัวมีโรคนี้
ความดันโลหิตสูง
เบาหวาน
ไขมันในเลือดสูง (โคเลสเตอรอลรวม หรือ โคเลสเตอรอล แอล ดี แอล ชนิดร้าย)
ไขมันโคเลสเตอรอล เอช ดีแอล (ชนิดดี) ต่ำ
การสูบบุหรี่
ขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ
บุคคลิกภาพชนิด เจ้าอารมณ์ โกรธ โมโห ง่าย เครียดเป็นประจำ
นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมโรคนี้ เช่นกัน เช่น ความอ้วน ไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง

รักษาอย่างไร
แนวทางการรักษาที่สำคัญมี 3 ประการ คือ รักษาด้วยยา รักษาโดยการ ขยายหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ เพื่อให้เลือดไหลผ่านได้มากขึ้น โดยอาจใช้ลูกโป่ง หรือ วิธีอื่น ๆ และสุดท้ายรักษา โดยการผ่าตัด ทำทางเบี่ยงให้เลือด ไปเลี้ยงหัวใจ เรียกว่าทำ "บายพาส" (Bypass Graft) โดยมากแล้วแพทย์ จะเริ่มต้นการรักษาด้วยยา ก่อนเสมอ เมื่อไม่ได้ผลดีด้วยยา แพทย์จะแนะนำให้ ตรวจดูหลอดเลือดโดยตรง โดยการเอกซเรย์ เรียกว่า "การฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ" (Angiogram) จะได้ทราบว่าตีบ หรือตันจุดใดบ้าง เพื่อเลือกวิธีรักษา ให้เหมาะสม ในผู้ป่วยแต่ละราย
จะป้องกันไม่ให้เป็นได้อย่างไร
ท่านสามารถลดโอกาสเสี่ยง ที่จะเป็นโรคนี้ โดยการหลีกเลี่ยงหรือ ลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น
ไม่สูบบุหรี่
ควบคุมความดันโลหิต และเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
บริโภคอาหารไขมันต่ำ หรือ รับประทานยาลดไขมันในรายที่จำเป็น
ควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะ
ออกกำลังกายแบบ แอโรบิคอย่างสม่ำเสมอ
ฝึกสมาธิ ทำจิตใจให้ผ่องใส

หากท่านโชคร้าย เกิดโรคขึ้นมาแล้ว การปฎิบัติตัวดังกล่าว อย่างเคร่งครัด จะช่วยชลอการดำเนินโรค ให้รุนแรงช้าลงได้

โรคลูปัส (SLE)

|0 ความคิดเห็น
โรคลูปัส (SLE)


ปัจจุบันมีการกล่าวถึงโรคนี้กันมาก ส่วนมากมักคิดว่าโรคนี้เป็นโรคที่ร้ายแรงใครเป็นแล้ว มักจะต้องเสียชีวิตเช่น นักร้องลูกทุ่งคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ จริงๆแล้วยังมีความเข้าใจ ที่คลาดเคลื่อนอยู่บ้างเพราะผู้ป่วยด้วยโรคลูปัสมักมีการดำเนินโรคที่ไม่รุนแรงและสามารถมีชีวิตยืนยาว ตามปกติได้ถ้าปฎิบัติตัวอย่างถูกต้อง

โรคลูปัสคืออะไรและ มีสาเหตุจากอะไร
โรคลูปัสเป็นโรคที่เกิดจากภูมิต้านทานในร่างกาย(antibody)เกิดการเปลี่ยนแปลงไป ปกติantibody จะมีหน้าที่จับและทำลายสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคจากภายนอกร่างกายเปรียบเสมือน ทหารที่มีหน้าที่ป้องกันศัตรูจากนอกประเทศแต่เมื่อเป็นโรคจะเกิดความผิดปกติขึ้นมาทหารของร่างกาย จำประชาชนของตัวเองไม่ได้คิดว่าเป็นศัตรูแปลกปลอมเข้ามา จึงทำร้ายประชาชนของตัวเอง ก็เหมือน antibodyที่เข้าจับกับเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆกระตุ้นให้เกิดการอักเสบแล้ว เกิดอาการของโรคลูปัส ขึ้นมา
โรคลูปัสเป็นโรคที่ ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดแต่มีปัจจัยบางอย่างที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค เช่น
กรรมพันธุ์

ฮอร์โมนเพศหญิง การตั้งครรภ์

สภาพแวดล้อมเช่นแสงแดด หรือ รังสีultravioletการติดเชื้อหรือสารเคมีบางชนิด

โรคลูปัสจะเกิดกับใครบ้าง
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง อายุระหว่าง 20-45 ปี ผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นได้ มากกว่าผู้ชาย 9-10 เท่า

อาการของโรคลูปัส
โรคลูปัสเป็นโรคที่เรื้อรัง รักษาไม่หายขาดจะมีช่วงที่มีอาการกำเริบสลับกับช่วงที่โรคสงบ โรคนี้ก่อให้เกิดอาการแสดงได้แทบทุกระบบ โดยมีความแตกต่างทั้งในแง่ลักษณะอาการและ ความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยแต่ละราย
อาการและอาการแสดงของผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อมๆกันและจะมีการแสดงออกเพียงอวัยวะใด อวัยวะหนึ่งทีละอย่างก็ได้ ดังนั้นจะเห็นว่าการวินิจฉัยโรคลูปัสจะมีปัญหามากโดยเฉพาะ ในระยะแรกที่มีอาการไม่มากนัก
อาการของโรคลูปัสแบ่งตามระบบได้ดังนี้
อาการทั่วไป
ผู้ป่วยมักมีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อาการเหล่านี้อาจพบเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
อาการทางผิวหนัง
พบได้บ่อยในผู้ป่วยไทยประมาณ 80-90% รอยโรคทางผิวหนังพบได้หลายแบบ แต่ผื่นที่มีลักษณะเฉพาะ คือ ผื่นแดงที่เกิดบริเวณใบหน้า ตั้งแต่บริเวณสันจมูก ไปที่บริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้างเป็นรูปคล้ายผีเสื้อ ผู้ป่วยบางรายมีแผลในปากโดยเฉพาะบริเวณเพดานปากเป็นๆหายๆ

ผม
อาการผมร่วงพบบ่อยในขณะที่โรคเป็นรุนแรง

อาการทางข้อและกล้ามเนื้อ
พบได้ประมาณ 85% ผู้ป่วยมักมีอาการปวดข้อเวลาที่โรคกำเริบโดยเฉพาะข้อนิ้วมือ ข้อเท้า ข้อไหล่ หรือมีอาการของกล้ามเนื้ออักเสบได้

อาการทางไต
พบได้ประมาณ 80% ของผู้ป่วยคนไทย ผู้ป่วยจะมีอาการบวมบริเวณเท้า ทั้งสองข้าง หน้า หนังตา หรือบวมทั้งตัว การตรวจปัสสาวะจะพบมีไข่ขาวรั่วออกมาในปัสสาวะเป็นจำนวนมาก ในรายที่มี อาการรุนแรงจะ มีความดันโลหิตสูง ปัสสาวะออกน้อยลง ในรายที่เป็นรุนแรงมากอาจถึงขั้นมีไตวายได้

อาการทางระบบประสาท
อาจมีอาการอักเสบทางสมองหรือระบบประสาทส่วนปลายก็ได้

อาการทางระบบโลหิต
พบได้ประมาณ 80%ในคนไทย ผู้ป่วยอาจมีอาการของภาวะโลหิตจางเช่นอ่อนเพลีย หน้ามืดบ่อยๆ มีเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่ายได้

อาการทางหัวใจและหลอดเลือด
พบได้ประมาณ 20%ในคนไทย ผู้ป่วยอาจมีการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ หรือกล้ามเนื้อ หัวใจ มีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น เหนื่อยง่าย บางครั้งอาจมีอาการใจสั่นจากกล้ามเนื้อ หัวใจอักเสบ บางคน มีอาการอุดตันของหลอดเลือด

อาการทางระบบเดินอาหาร
พบได้ประมาณ10% โดยจะมีอาการของเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ หรือหลอดเลือดในช่องท้องอักเสบ

อาการทางปอด
พบได้ประมาณ 20% โดยจะมีอาการของเยื่อหุ้มปอดอักเสบ หรือปอดอักเสบ

จะเห็นได้ว่า โรคลูปัสเป็นโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะได้หลายระบบแต่อาจ มีอาการของโรคได้ตั้งแต่น้อย จนมากและตั้งแต่ระบบเดียวหรือหลายระบบก็ได้ แต่มีอาการบางอย่างที่ควรสงสัยว่าเป็นโรคลูปัสดังนี้คือ
1. เมื่อมีไข้ไม่ทราบสาเหตุนานเป็นเดือน
2. มีอาการปวดบวมตามข้อ
3. มีผื่นแดงขึ้นที่หน้าโดยเฉพาะเวลาถูกแสงแดด
4. ผมร่วงเรื้อรัง
5. บวมตามหน้า ตามเท้า

การรักษา
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความเข้าใจของผู้ป่วยเพื่อที่จะได้ปฎิบัติตัวอย่างถูกต้องดังต่อไปนี้
1. ในระยะแรกต้องได้รับการรักษาด้วยยา ต้องรับประทานยาตามขนาดและระยะเวลาที่แพทย์ กำหนด อย่างเคร่งครัด จากประสพการณ์พบว่าในระยะแรกของการรักษา แพทย์มักจำเป็นต้องใช้ ยาสเตียรอยด์ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยอ้วนขึ้น มีความอยากอาหารมากขึ้นจึงทำให้ผู้ป่วยจำนวนหนื่งไม่สามารถทนรับประทาน ยาได้แพทย์จึงต้องอธิบาย และทำความเข้าใจกับผู้ป่วยถึงผลข้างเคียงของยา ซึ่งการใช้ยาสเตียรอยด์นี้ใน ช่วงแรกซึ่งโรคมีความรุนแรงมีความจำเป็นต้องใช้ยาในขนาดสูง แต่ต่อไป เมื่อควบคุมโรคได้ดีขึ้นก็จะลด ขนาดยาลง ทำให้อาการข้างเคียง เช่นความอ้วนลดลงด้วย ถ้าผู้ป่วยเข้าใจถึงวิธีการรักษาก็จะทำให้ผู้ป่วย สามารถ รับประทานยาได้อย่าง ต่อเนื่องและทนต่อผลข้างเคียงของยาได้
2. ควรพยายามอย่าให้ผิวหนังถูกแสงแดดโดยตรง ควรใส่หมวกปีกกว้าง กางร่มและสวมใส่เสื้อแขนยาว เวลาที่จำเป็นต้องออกแดด
3. ทำจิตใจให้สบาย ไม่ควรเครียด ท้อถอย เศร้าใจ หรือกังวลใจ เพราะทำให้อาการกำเริบได้ ควรมีกำลังใจและมีความอดทนต่อการรักษา
4. เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดย เฉพาะอาหารประเภท เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผักและผลไม้ต่าง มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและนอนหลับอย่างเพียงพอ
5. เนื่องจากผู้ป่วยลูปัสมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายทั้งจากตัวโรคเองหรือยาเช่นสเตียรอยด์ ดังนั้นผู้ป่วย จึงต้องระวังตัวไม่เข้าใกล้ผู้อื่นที่กำลังติดเชื้อ ไม่อยู่ในที่ชุมชนแออัด รับประทานอาหารที่สุก สะอาด
6. ไม่ควรซื้อยารับประทานเองเพราะจะมีโอกาสแพ้ยาได้บ่อยและรุนแรงกว่าคนธรรมดา
7. ไม่ควรเพิ่มหรือลดขนาดยาเอง
8. ถ้ามีอาการผิดปกติ มีไข้หรือไม่สบาย ควรรีบกลับไปปรึกษาแพทย์ผู้รักษาทันทีหรือ หากจะไปหาแพทย์อื่นควรนำยาที่กำลังรับประทานอยู่ไปให้แพทย์ ดูด้วยทุกครั้งเพื่อแพทย์ที่ดูแลจะได้จัดยาได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับยาที่ได้อยู่เดิม
9. ผู้ป่วยหญิงที่แต่งงานแล้วไม่ควรมีบุตรในระหว่างที่โรคกำเริบเพราะอาจ เป็นอันตรายต่อแม่และเด็กในครรภ์ การคุมกำเนิดควรจะขอคำแนะนำจากแพทย์ไม่ควรซื้อยาคุมกำเนิดมารับประทานเองเพราะ อาจทำให้อาการของโรคกำเริบได้ นอกจากนั้นถ้าผู้ป่วยต้องการจะมีบุตรควรปรึกษาแพทย์ที่ทำการรักษาเพราะ ยาที่ใช้รักษาอยู่อาจมีผลกับบุตรในครรภ์ได้ และถ้าเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อจะได้ทำการปรึกษากับ สูตินารีแพทย์เพื่อจะได้รับการดูแลที่เหมาะสมต่อไป
สรุป
ในขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจนของโรคจึงไม่สามารถป้องกันโรคลูปัสได้ ถ้าท่านมีความสงสัยว่าตัวท่านหรือบุคคลในครอบครัวเป็นโรคนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อ จะได้รับการตรวจและวินิจฉัยโรค อย่างถูกต้องเพราะการได้รับการรักษาที่ล่าช้าหรือไม่ถูกต้องอาจทำให้โรค กำเริบอย่างรุนแรงได้

โดย พต.นพ.ชาติวุฒิ ค้ำชู อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซึ่ม

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จีอีร่วมวง Holographic Storage เล็งคลอดดิสก์ใหม่จุเท่าดีวีดี 100 แผ่น

|0 ความคิดเห็น
จีอีร่วมวง Holographic Storage เล็งคลอดดิสก์ใหม่จุเท่าดีวีดี 100 แผ่น
บทความโดย surachai

ภาพประกอบ holographic storage disc


          จีอีหรือ General Electric ประกาศความสำเร็จการพัฒนาเทคโนโลยีแผ่นดิสก์เก็บข้อมูลชนิดใหม่ Holographic Storage แม้ยังไม่ประกาศแผนการจำหน่าย แต่นักวิจัยของจีอีระบุว่า แผ่นดิสก์ Holographic Storage ขนาดเท่ากับแผ่นดีวีดีมาตรฐานจะสามารถให้ความจุข้อมูลได้สูงถึง 500GB เทียบเท่าแผ่นดีวีดี 100 แผ่นหรือแผ่น Blu-ray ซิงเกิลเลเยอร์จำนวน 20 แผ่น

           ประธานโครงการ Holographic Storage ของจีอีกล่าวว่าการพัฒนาของจีอีในครั้งนี้คือก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการส่งเทคโนโลยี Holographic Storage เจเนอเรชันหน้าสู่วิถีประจำวันของผู้บริโภค โดยนอกจากความจุที่เหนือกว่าบลูเรย์ดิสก์ (Blu-ray) หน่วยวิจัย GE Global Research ยังให้ข้อมูลด้วยว่า แผ่นดิสก์เทคโนโลยี Holographic นั้นสามารถใช้อ่านและเขียนบนเครื่องเล่นบลูเรย์หรือดีวีดีแบบเดิมได้

          เบื้องหลังความสำเร็จของการเพิ่มเนื้อที่ความจุข้อมูลให้แผ่นดิสก์ Holographic คือการใช้เทคโนโลยี micro-holographic ของจีอีเพื่อบันทึกข้อมูลด้วยแสงเลเซอร์พิเศษในลักษณะภาพโฮโลแกรม 3 มิติลงบนดิสก์ ทำให้สามารถเพิ่มพื้นที่ในการเก็บข้อมูลได้มากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้วันที่ผู้บริโภคสามารถสะสมภาพยนตร์ความละเอียดสูงหลายเรื่องไว้ในแผ่นดิสก์แผ่นเดียว รวมถึงภาพยนตร์เทคนิกตระการตาเช่น สามมิติ นั้นใกล้เป็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

           จีอีเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะโดนใจผู้บริโภควงกว้างเนื่องจากสามารถใช้กับเครื่องเล่นเดิมที่มีอยู่ โดยระบุว่าดำเนินการวิจัยเรื่อง holographic storage มานานกว่า 6 ปีแล้ว เป้าหมายหลักคือการแผ่นดิสก์ความจุ 1,000GB

           ไม่ใช่จีอีรายเดียวที่เชื่อมั่นในเทคโนโลยี Holographic Storage มากกว่าบลูเรย์ เพราะปี 2005 บริษัทแม็กเซลล์ (Maxell) บริษัทในเครือฮิตาชิซึ่งร่วมมือกับบริษัทในเครือลูเซนต์เทคโนโลยีส์ (Lucent) ได้ออกมาประกาศความสำเร็จในการพัฒนาสตอเรจ Holographic Storage ที่มีความจุในการบันทึกข้อมูลสูงถึง 300GB แล้ว โดยใช้เทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลลักษณะภาพโฮโลแกรม 3 มิติเช่นกัน เป้าหมายสูงสุดคือการพัฒนาแผ่นดิสก์ Holographic ความจุ 1.6 เทราไบต์ให้ได้


กระจก-แว่นตาไร้ฝ้า ฉาบด้วย

|0 ความคิดเห็น
กระจก-แว่นตาไร้ฝ้า ฉาบด้วย
บทความโดย surachai



อนุภาคนาโนที่นักวิจัยจีนได้พัฒนาขึ้น เมื่อนำไปฉาบที่กระจกแล้ว จะสามารถป้องกันหมอกฝ้าได้ ส่วนภาพเล็กมุมขวาคือลักษณะ
                                                                         ของอนุภาคที่คล้ายผลราสเบอร์รี

          นักวิจัยจีนพบวิธีกำจัดฝ้าเกาะกระจก เพียงฉาบด้วยอนุภาคนาโน ที่มีรูปลักษณ์เหมือนผลราสเบอร์รี แค่นี้หมอกฝ้าไม่มากล้ำกลายแว่นตา หรือหน้าต่างใดๆ ได้

ฝ้าที่เกาะกระจกรถยนต์หรือตามแว่นตาของผู้สวมใส่นับว่าสร้างความเสี่ยงอันตรายให้แก่เจ้าของยานพาหนะหรืออุปกรณ์นั้นๆ ได้ และแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีไล่ฝ้า หรือสเปรย์ต่างๆ นานา บรรดาฝ้าพวกนั้นก็กลับมาใหม่อยู่เนืองๆ ล่าสุดนักวิจัยจากจีนได้พัฒนาอนุภาคขนาดนาโนนำไปฉาบตามแผ่นกระจก เพื่อไม่ให้ฝ้าหรือหมอกเกาะตามแผ่นกระจกได้อีกต่อไป

          นักวิจัยชาวจีนและทีมงานแห่งห้องปฏิบัติการนาโนวัสดุ สถาบันเทคโนโลยีฟิสิกส์และเคมี สถาบันวิทยาศาสตร์จีน (Technical Institute of Physics and Chemistry, Chinese Academy of Sciences : CAS) ได้ร่วมกันศึกษาเทคโนโลยีเพื่อจัดการกับหมอกฝ้ามานานหลายปี จนค้นพบอนุภาคนาโนที่มีลักษณะเหมือนผลราสเบอร์รี นำมาฉาบที่กระจกเพื่อป้องกันไม่ให้มีฝ้าหรือหมอกเกิดขึ้นที่กระจกนั้นๆ

           ที่ห้องทดลอง พวกเขาได้นำแผ่นกระจกที่เคลือบอนุภาคดังกล่าวมาทำให้เย็น และนำไปอังไอน้ำร้อนต่อ แต่แผ่นกระจกดังกล่าวก็ยังใสและชัดเจน

          อย่างไรก็ดี การค้นพบครั้งนี้เป็นเพียงในระดับห้องปฏิบัติการ เพราะยังไม่ผู้นำต่อยอด และดูความเป็นไปได้ในการผลิตเพื่อใช้ในระดับอุตสาหกรรมการพาณิชย์แต่อย่างใด แต่ทางด้านนักวิจัยเชื่อว่าอนาคตอันใกล้ คงจะได้พัฒนาประยุกต์เป็นผลิตภัณฑ์ออกขายตามท้องตลาดได้อย่างแน่นอน

          อนุภาคนาโนที่นักวิจัยจีนพัฒนาขึ้น เพื่อขจัดหมอกฝ้าบนกระจก มีลักษณะคล้ายผลราสเบอร์รี (สีแดงภาพล่าง) นับเป็นเทคนิคพิเศษที่ช่วยป้องกันปัญหาดังกล่าวได้