โครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า Next Generation Network (NGN)
โครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า Next Generation Network (NGN)
โครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคม ที่มีการใช้งานอยู่ปัจจุบัน 2 ประเภท คือ โครงข่ายให้บริการเสียงพูด (Voice Network) และ โครงข่ายเพื่อให้บริการข้อมูล ( Data Network ) เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการตลาดในการให้บริการโทรคมนาคมที่ต้องการความรวดเร็ว รวมทั้งการดูแลบำรุงรักษาโครงข่ายชนิดต่างๆ ทำให้เกิดความสิ้นเปลือง และ เป็นการยากที่จะสร้างบริการใหม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และ เพียงพอ ดังนั้นจึงได้เกิดโครงข่ายใหม่ที่รวมเอา Voice Network และ Data Network เข้าด้วยกัน จึงเกิด Next Generation Network (NGN)หรือ เรียกว่า Voice Data Convergence ไปในทิศทางเดียวกัน คือ สามารถทำงานร่วมกันได้ เสมือนโครงเป็นโครงข่ายเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ง่ายต่อการดูแลบำรุงรักษา ลดค่าใช้จ่าย และ รองรับการพัฒนาบริการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้อย่างรวดเร็วทันใจ และ รองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และ ความต้องการการใช้ในอนาคตได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขึ้นของ Multimedia Traffic บนอินเตอร์เน็ต ดังนั้นการให้บริการด้านโทรคมนาคมจึงมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทางด้านสถาปัตยกรรม
โครงข่ายใหม่ เพื่อให้เกิดการบริการที่หลากหลาย มีการควบคุมจากศูนย์กลาง โดยให้โครงข่ายอยู่ใกล้ผู้ใช้มากที่สุด หรือ เรียกว่า Edge Switch การรวมโครงข่ายในลักษณะนี้ทำให้เกิดการลดต้นทุนให้ต่ำลง เพื่อทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารการจัดการโครงข่ายปัจจัยที่ผลักดันให้เกิด NGN
องค์ประกอบที่ทำให้เกิดโครงข่าย NGN ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยของข้อมูล 5 กรณีได้แก่
1. การเพิ่มขึ้นของข้อมูลชนิดมัลติมีเดีย โดยการเพิ่มขึ้นในด้านปริมาณ และ ประเภทของการบริการ ดังนั้น โครงข่าย NGN สามารถรองรับแบนวิดท์ (BandWidth) ที่มากขึ้น และ ประเภทที่เกิดขึ้นทั้ง เสียง วีดีโอ และ ข้อมูล
2.ระดับความต้องการบริการที่หลากหลาย (Multiple Degrees Services Aspects) เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการใช้งานในด้านข้อมูล จากการใช้งานจากเครื่องคอมพิวเตอร์ โครงข่าย LAN และ อินเตอร์เน็ต ดังนั้นโครงข่ายโทรคมนาคมจึงมีความจำเป็นในการเตรียมขีดความสามารถในการรองรับความต้องการดังกล่าว เช่น การกำหนดให้มีการรับประกันคุณภาพบริการในหลายระดับ (Multiple – Class Of Quality Of Services : QOS) การมีระดับการรับประกันความปลอดภัยของข้อมูล (Security Insurance Levels) และ การกำหนดขอบข่ายการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ (Ranges Of Mobility) ซึ่ง โครงข่าย NGN มีความสามารถในการตอบสนองลักษณะดังกล่าวได้ โดยการรวมเอา IP Technology และ ATM Technology ซึ่งเป็นทางออกของความต้องการดังกล่าว ดังนั้นผู้ใช้บริการจำเป็นต้องรองรับความต้องการดังกล่าว
3. จำนวนปริมาณข้อมูลประเภท Packet เพิ่มมากขึ้นจากลักษณะเดิมโครงข่ายของเสียง (PSTN) จะรองรับการให้บริการนำเสียง และ ในด้านของข้อมูลนั้น (Packet Switching) โครงข่าย IP Network และ ATM Network จะให้ประสิทธิภาพมากกว่า เพราะมีคุณสมบัติที่ส่งข้อมูลที่เป็น Packet มากกว่า และ มีความเร็วสูง เนื่องจากอุปกรณ์ปลายทาง ในปัจจุบันสามารถทำงานได้สูงมาก (Tb/s)
4. การพัฒนาที่ก้าวหน้าของเทคโนโลยี IP , ATM และ Voice Over Packet Networkเนื่องจากในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนามาตราฐานการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์ ระหว่าง ผู้ผลิตอุปกรณ์ กับ การพัฒนาเทคโนโลยี Voice Packet Network เช่น VoIP , VoATM , VoDSL , VoIP mobile.
5. การพัฒนาอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีไร้สาย (Wireless Technology) จากการพัฒนาของโครงข่ายไร้สายได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในการรับส่งข้อมูล
โครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า Next Generation Network (NGN) คืออะไร
โครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า Next Generation Network (NGN) คือโครงข่ายที่สามารถให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมที่หลากหลาย สามารถทำงานอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานของโครงข่ายความเร็วสูงที่สนับสนุนคุณภาพของบริการ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่องทั้งในสภาวะที่กำลังเคลื่อนที่หรืออยู่กับที่ จึงเป็นการประยุกต์เทคโนโลยี packet switching โดยใช้ Internet Protocol (IP) ในการสร้างโครงข่ายพื้นฐานในยุคหน้าเพื่อการหลอมรวมการให้บริการโดยไม่มีขีดจำกัดเนื่องจากสภาวะการเคลื่อนที่ของผู้ใช้ (fixed-mobile convergence) และมุ่งหวังให้เป็นปัจจัยเกื้อหนุนการเกิดสังคมที่มีการประยุกต์การสื่อสารโทรคมนาคมอย่างกว้างขวาง (ubiquitous communication society) ทั้งนี้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคม
คำนิยาม (จากข้อกำหนด ITU-T Y.2001)
Next Generation Network (NGN) คือ โครงข่ายโทรคมนาคมแบบแพ็คเกจที่สามารถให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมและบรอดแบนด์ที่หลากหลายรูปแบบ สามารถใช้เทคโนโลยีการส่งผ่านข้อมูลที่ให้คุณภาพบริการ มี Function การให้บริการแยกเป็นอิสระจากเทคโนโลยีการส่งผ่านข้อมูลที่รองรับ ผู้ใช้บริการบนโครงข่ายโทรคมนาคมแบบ NGN จะต้องสามารถเลือกใช้บริการใด ๆ จากผู้ให้บริการรายอื่น ๆ ได้ โดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อปลายทาง (Access) ใด ๆ ได้โดยไร้ขีดจำกัด โครงข่ายโทรคมนาคมนี้รองรับการใช้บริการแบบเคลื่อนที่ (Generalized Mobility) ได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างต่อเนื่อง (Consistent and Ubiquitous)
คุณลักษณะของโครงข่ายโทรคมนาคมแบบ NGN
ความหมายของ NGN โดยทั่วไป เป็นการยอมให้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานบริการในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ทั้งนี้ อาจขยายความ NGN จากคุณลักษณะเบื้องต้นได้ ดังนี้
1. เป็นการรับ-ส่งข้อมูลในลักษณะแบบ Packet-based
2. แยกการควบคุมเป็นอิสระต่อกันระหว่าง ส่วน Capability Call/Session และ Application/Service
3. เป็นการแยกส่วนของการบริการจากส่วนการส่งผ่านข้อมูลและเปิดกว้างสำหรับอุปกรณ์ต่อร่วม (Open Interface)
4. รองรับบริการอันหลากหลาย กลไกและการประยุกต์ใช้อยู่บนพื้นฐาน service building block (real time/streaming/non-real time/multi-media service)
5. รองรับ Broadband ที่มี end-to-end QoS
6.สามารถ Interworking กับโครงข่ายโทรคมนาคมแบบดั้งเดิม (Legacy Network) โดยการเปิดกว้างสำหรับอุปกรณ์ต่อร่วม (Open Interface)
7. Generalized Mobility
8.ไม่จำกัดการเข้าถึง (Access) จากผู้ใช้บริการ
9. ผู้ใช้บริการจะได้รับบริการที่มีคุณลักษณะที่ไม่แตกต่างกันไม่ว่าจะมาจากที่ใด
10. การหลอมรวมบริการ Fixed-Mobile Network
11. บริการไม่ถูกจำกัดโดยเทคโนโลยีการส่งผ่านใด ๆ
12. รองรับเทคโนโลยีการเข้าถึงในช่วงสุดท้ายก่อนถึงอุปกรณ์ปลายทางได้อย่างหลากหลายชนิด(Multiple Last Mile Technology) อาทิเช่น Wifi Broadcast เป็นต้น
โครงสร้างสถาปัตยกรรมของโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN)
ลักษณะการทำงาน NGN มีโครงสร้างพื้นฐานในการทำงาน ดังแสดงในรูป ซึ่งลักษณะการทำงาน NGN จะแบ่งได้ออกเป็น 2 layer ดังนี้
1 .layer บน เรียกว่า Service Stratum เป็นระบบย่อย (subsystem) ในการควบคุมแอพพลิเคชั่นขอบริการต่างๆสำหรับผู้ใช้ (โดยชั้นนี้จะแยกเป็นอิสระไม่ขึ้นกับประเภทของเทคโนโลยีในชั้นขนส่งตามคุณสมบัติหลักของ NGNฟังก์ชั่นหรือความสามารถที่เกี่ยวกับบริการซึ่งจะไม่ขึ้นกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการขนส่งข้อมูล จากคุณสมบัติข้างต้นโครงสร้างของโครงข่าย NGN จึงถูกออกแบบให้มีกลุ่มองค์ประกอบฟังก์ชั่นที่เกี่ยวกับการขนส่งข้อมูลแพ็คเกจ กับกลุ่มองค์ประกอบฟังก์ชั่นที่เกี่ยวกับการควบคุมบริการแอพพลิเคชั่นที่แยกเป็นอิสระต่อกันอย่างชัดเจน )องค์ประกอบฟังก์ชั่นหลักของชั้นนี้คือตัวService Control Functionsที่ไว้ควบคุมบริการซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้สำหรับส่วนนี้คือ IMS(IP Multimedia Subsystem) for NGN (ตามมาตรฐานITU-T Y.2021)
2. layer ล่างเรียกว่า Transport Stratum ทำหน้าที่เป็นระบบขนส่งข้อมูลจริงๆ ซึ่งมีหน้าที่เป็นโครงข่ายไอพีไว้ขนส่งแพ็คเกจข้อมูล(ที่ผู้ใช้ใช้ในการติดต่อจริงๆ)โดยจะประกอบด้วยส่วนที่ทำหน้าที่ขนส่งแพ็คเกจของข้อมูลโดยตรง (Transport Functionsในรูปซึ่งอาจประกอบด้วยส่วนที่เป็นAccessและCore Transport ) และส่วนที่ทำหน้าควบคุมการขนส่ง (Transport Control Functionในรูป) ซึ่งจะมีฟังก์ชั่นที่คอยควบคุมคุณภาพบริการ (QoS Control) ในการขนส่งแบบ End-to-End รวมถึงมีฟังก์ชั่น Security ต่างๆด้วย องค์ประกอบฟังก์ชั่นหลักในการทำให้โครงข่าย NGN มีคุณสมบัติเป็นโครงข่ายแบบแพ็คเกจที่สามารถประกันคุณภาพบริการแบบEnd-to-End ได้ละเอียดในระดับSessionของการติดต่อได้เลยทีเดียว (นั่นหมายความว่าถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ใช้คนเดียวกัน ถ้าใช้แอพพลิเคชั่นหรือบริการหลายๆตัวเช่น (1) เล่นอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ไปพร้อมๆกับ (2) โทรศัพท์ และ (3) ดูรายการวีดีโอบนโครงข่าย NGN ในเวลาเดียวกัน NGN สามารถให้ระดับคุณภาพบริการที่แตกต่างกันไปได้ในการติดต่อของแต่ละบริการ(1)(2)(3)สำหรับผู้ใช้เดียวกันในเวลาเดียวกัน)คือRACF(Resource and Admission Control Functions)ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของโครงข่าย NGN ที่ไม่มีในโครงข่ายมือถือไม่ว่าจะเป็น GPRS หรือ 3G อย่าง UMTS ก็ตาม ชั้นย่อยที่อยู่บนขึ้นมาในรูป(ระหว่างกลางของชั้นควบคุมบริการและชั้นย่อยที่ทำหน้าที่ขนส่งจริงๆ)ที่ทำหน้าที่ควบคุมหน้าที่การขนส่งอีกทีหนึ่งที่เรียกว่า Transport Control Functions โดยในชั้นย่อยนี้จะประกอบด้วยส่วนประกอบหน้าที่หลักๆอยู่สองส่วน ส่วนแรกคือหน้าที่ในการควบคุมทรัพยากรและการขอเข้าใช้โครงข่ายที่เรียกว่า RACF(Resource and Admission Control Function)และอีกส่วนหนึ่งคือหน้าที่ควบคุมการขอเชื่อมต่อเข้ากับโครงข่ายที่เรียกว่า NACF(Network Attachment Control Function) (1)ในส่วน RACFนั้นจะเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเด่นของNGN และมีช่วยกันศึกษาและกำหนดรายละเอียดกันมากที่สุดตัวหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ประกันคุณภาพบริการ(QoS)ของการขนส่งข้อมูลในการติดต่อสื่อสารผ่านโครงข่ายเข้าถึง(Access Transport) และโครงข่ายหลัก(Core Transport)ในชั้นย่อย Transport Functionsที่อยู่ข้างล่างลงไป นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ช่วย ซ่อน(hide)ความแตกต่างของเทคโนโลยีที่ใช้ในชั้นขนส่งจากชั้นService Stratum อย่างเช่นบางครั้งผู้ใช้อาจใช้สายใยแก้วนำแสง(FTTH) บางครั้งอาจใช้ ADSL หรือบางครั้งอาจใช้Wireless LAN ในการเข้าNGN เป็นต้น ทำให้ชั้นService Stratumไม่ต้องมากังวลหรือปรับเปลี่ยนการทำงานให้เหมาะกับรายละเอียดของเทคโนโลยีที่ใช้ในชั้นขนส่งรวมถึงโครงสร้าง(Network Topoly)เหล่านั้น (2)ในส่วนNACFนั้นจะมีหน้าที่หลักๆในการลงทะเบียนผู้ใช้และอุปกรณ์ที่มาขอเชื่อมต่อเข้าในโครงข่ายNGN รวมถึงควบคุมคุณสมบัติต่างๆในการขอเชื่อมต่อเข้าโครงข่ายของผู้ใช้นั้นๆให้เหมาะสม(initialization)ในระดับการเข้าถึงโครงข่าย ตัวอย่างหน้าที่ในรายละเอียดของชั้นนี้ก็เช่นการauthenticate ผู้ใช้และอุปกรณ์ที่มาขอเชื่อมต่อโครงข่าย(ในระดับNetwork Level) การจัดการไอพีแอดเดรส รวมถึงการจัดการข้อมูลที่เกี่ยวกับตำแหน่งจำพวกLocation Management เป็นต้น
นอกจากนี้ ได้มีการนิยามในเรื่องของการเชื่อมต่อ หรือ Interface ไว้ 3 ตำแหน่งด้วยกัน คือจุด User Network Interface (UNI), Application Network Interface (ANI) และ Network Network Interface (NNI)
ในการทำงานของโครงข่าย NGN จะเริ่มต้นเมื่อผู้ใช้บริการมีการเรียกการใช้บริการผ่านโครงข่าย NGN โครงข่าย NGN ในส่วนของ Transport Stratum จะรับ signaling ที่ขอรับบริการจากอุปกรณ์ของผู้ขอใช้บริการ ทั้งนี้เพื่อทำการตรวจสอบ Authorization และAuthentication ผู้ใช้บริการก่อน หลังจากที่มีการตรวจสอบเรียบร้อย Transport stratum จะทำการส่ง signaling ต่อไปยังส่วนของ Service stratum เพื่อทำการเรียกการใช้บริการต่อไป รวมทั้งจัดเตรียม QoS(เป็นตัวกำหนดชุดของคุณสมบัติของประสิทธิภาพของการติดต่อ หรือเรียกว่าเป็นการส่งข้อมูลในเครือข่ายโดยรับประกันว่าการส่งข้อมูลจะเป็นไปตามคุณภาพหรือเงื่อนไขที่ต้องการ เช่น ดีเลย์ แบนด์วิดธ์ การเปลี่ยนแปลงของดีเลย์ (jitter) อัตราการสูญหายของข้อมูล ) ที่เหมาะสมในการให้บริการ หลังจากนั้นจะเริ่มทำการเชื่อมต่อการสื่อสารเพื่อรองรับการให้บริการของผู้ใช้ โดยการรับส่งข้อมูลเพื่อการสื่อสารนั้นจะผ่าน Transport stratum ในรูป IP packet ด้วยเหตุนี้ NGN จึงสามารถให้บริการขนส่ง IP packet ที่มีการควบคุมคุณภาพการให้บริการได้ จากโครงสร้างสถาปัตยกรรมการทำงานของแต่ละ Stratum จะแยกการทำงานออกจากกันโดย
เด็ดขาด จึงทำให้สามารถเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงในการขยาย Capacity, Upgrade อุปกรณ์ต่าง ๆ ภายใน Stratum ได้โดยไม่กระทบกับการทำงานของ Stratum อื่น ๆ
แนวโน้มเทคโนโลยีที่ใช้ในโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN)
เทคโนโลยีที่คาดว่าจะนำมาใช้กับโครงข่ายของ NGN จะประกอบได้แก่
1. Internet Protocol version 6 ( IPv6 )
ระบบอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันที่ใช้ IP Address ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้จะต้องมีการพัฒนาระบบอินเทอร์เน็ตโดยการขยาย IP Address ให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับการทำงานในโลกอนาคตที่มีอย่างไม่จำกัด ซึ่งอินเทอร์เน็ต ที่ถูกพัฒนาขึ้นนี้จะก่อให้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาลและช่วยอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตในทุกๆด้านรวมไปถึงการศึกษาและด้านธุรกิจ
ความหมายของ IP Address IP Address ที่ใช้นั้นประกอบด้วยเลข 4 ชุด (หรือ 4 Bytes) แต่ละชุดจะแยกกันด้วยเครื่องหมาย “.” และแต่ละชุดจะเป็นตัวเลขได้ตั้งแต่ 0 – 255 (มาจาก 28-1) ดังตัวอย่าง 66.218.71.86 เป็นต้น มีด้วยกัน 5 Classes ได้แก่ Class A, B, C, D,และ E แต่ที่ใช้อยู่ในระบบเพียง 4 Classes โดย Class D นำมาใช้งานด้าน Multicast Application ส่งแพ็กเก็ตข้อมูลกระจายให้กลุ่มคอมพิวเตอร์ได้แก่งาน Tele-conference งานถ่ายทอด TV/Video บนระบบ IP Network เป็นต้น และสำหรับ Class E ไม่มีการใช้จริง
การขยาย IP จาก IPv4 เป็น IPv6 กลไกสำคัญในการทำงานของอินเทอร์เน็ต คือ อินเทอร์เน็ตโพรโตคอล ส่วนประกอบสำคัญของอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลคือ IP address ที่ใช้ในการอ้างอิงเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆบนอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเปรียบเสมือนการใช้งานโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารกันจะต้องมีเลขหมายเบอร์โทรศัพท์เพื่อให้อ้างอิงผู้รับสายได้ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเทอร์เน็ตก็ต้องมีหมายเลข IP Address ที่ไม่ซ้ำกับใครหมายเลข IP address ที่เราใช้กันทุกวันนี้ คือ Internet Protocol version 4 (IPv4) ซึ่งเราใช้เป็นมาตรฐานในการส่งข้อมูลในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ปีค.ศ. 1981 ทั้งนี้การขยายตัวของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว
นักวิจัยเริ่มพบว่าจำนวนหมายเลข IP address ของ IPv4 กำลังจะถูกใช้หมดไป ไม่เพียงพอกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตในอนาคตและหากเกิดขึ้นก็หมายความว่าเราจะไม่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้น จึงได้พัฒนาอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นใหม่ขึ้น คือ รุ่นที่หก (Internet Protocol version 6; IPv6) เพื่อทดแทนอินเทอร์เน็ตโพรโตคอลรุ่นเดิม โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของตัวโพรโตคอล ให้รองรับหมายเลขแอดเดรสจำนวนมากและปรับปรุงคุณลักษณะอื่นๆอีกหลายประการทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและความปลอดภัยรองรับระบบแอพพลิเคชั่น (application) ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล แพ็กเก็ต (packet) ให้ดีขึ้น ทำให้สามารถตอบสนองต่อการขยายตัวและความต้องการใช้งานเทคโนโลยีบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในอนาคตได้เป็นอย่างดี
Internet Protocol version 6 (IPv6) บางครั้งเรียกว่า Next Generation Internet Protocol หรือ IPngn ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้ดีในเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น Gigabit Ethernet, OC-12, ATMและในขณะเดียวกันก็ยังคงสามารถทำงานในเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพต่ำได้เช่น wireless network นอกจากนี้ยังได้มีการจัดเตรียมแพลตฟอร์มสำหรับฟังก์ชันใหม่ๆ ของอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นที่ต้องการในอนาคตอันใกล้ไว้ด้วย ความแตกต่างระหว่าง IPv6 และ IPv4 มีอยู่ 5 ส่วนใหญ่ๆคือ การกำหนดหมายเลขและการเลือกเส้นทาง (Addressing & Routing) ความปลอดภัย อุปกรณ์แปลแอดเดรส (Network Address Translator : NAT) การลดภาระในการจัดการ ของผู้ดูแลระบบ และการรองรับการใช้งานในอุปกรณ์พกพา (Mobile Devices)
2. DWDM (Dense Wavelength Division Multiplexing) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางด้านแสง (Fiber Optic Network) พัฒนามาจากระบบ WDM มีเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1980 สามารถส่งได้ 2 ช่อง เรียกว่า Wideband WDM ปี 1990 เป็นรุ่นที่ 2 ของ WDM สามารถส่งได้ 2-8 ช่องและแต่ละช่องห่างกัน 400GHz ในความยาวคลื่น 1550nm เรียกว่า Narrowband WDM ปี 1996 เป็นรุ่นที่ 3 ของ WDM โดยสามารถส่งได้ 16-40 ช่องและแต่ละช่องห่างกัน 100-200GHz และได้มีการพัฒนาจนสามารถส่งได้ 64-160 ช่องและแต่ละช่องห่างกัน 25-50GHz เรียกว่า Dense WDM (DWDM) โดยเริ่มจาก Transmitter ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนข้อมูลทางไฟฟ้าเป็นสัญญาณแสงแล้วส่งเข้าสู่เส้นใยแก้ว Transmitter หนึ่งชุดจะส่งแสงออกมา 1 ความยาวคลื่นถือเป็น 1 ช่องสัญญาณจากนั้นแสงทุกช่องสัญญาณที่มีความยาวคลื่นต่าง กันจะถูกรวมเข้าด้วยกันโดยกระบวนการทางแสงด้วย Optical Multiplexer (Mux) เพื่อส่งไปยังปลายทางด้วยเส้นใย แก้วเพียงเส้นเดียว ข้อมูลที่เดินทางในระหว่างเส้นทางจะถูกลดทอนสัญญาณทำให้แสงมีค่าความเข้มแสงอ่อนลง จึงต้องมี Optical Amplifier ทำหน้าที่ขยายสัญญาณแสงทุกช่องสัญญาณพร้อมกันให้มี ขนาดความเข้มแสงมากพอที่จะเดินทางต่อไปไกล เมื่อข้อมูลเดินทางถึงปลายทางสัญญาณแสงที่รวมทุกช่องสัญญาณมาก็จะถูกแยกออกให้เป็นช่องสัญญาณเดี่ยวตามค่าความยาวคลื่นแสงด้วยอุปกรณ์เชิงแสงที่เรียกว่า Optical Demultiplexer (DeMux) จาก นั้นก็เปลี่ยนข้อมูลทางแสงเป็นไฟฟ้า
ข้อดีของระบบ DWDM คือ 1. สนับสนุนหลากหลาย Protocol 2. ส่งได้ BandWidth เพิ่มขึ้น Speed สูงขึ้นในเส้นใยแก้วนำแสงเส้นเดิม 3. ประหยัดอุปกรณ์ทวนสัญญาณ, เส้นใยแก้วนำแสง และอุปกรณ์เชื่อมต่อ 4. ราคาถูกกว่าถ้าเทียบกับลาก fiber ใหม่ 5. สามารถใช้ได้กับโครงข่ายเดิม
3. ในวิวัฒนาการของโครงข่ายมือถือจากยุค3Gอย่างUMTSที่กำหนดโดย 3GPP ไปสู่ยุค 3.9G อย่าง LTE ที่เริ่มออกมาเป็นมาตรฐานใน 3GPP Rel.8 นั้นและเริ่มมีการให้บริการในประเทศต่างๆแล้ว(ในญี่ปุ่นเองนั้น NTT DoCoMo ก็จะเริ่มให้บริการปลายปีค.ศ.2010) นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับฝั่งโครงข่ายการเข้าถึงผ่านการรับส่งทางคลื่นวิทยุ (Radio Access Network ) แล้วนั้น ทางฝั่งสถาปัตยกรรมโครงข่ายหลัก (Core Network: CN) ก็จะมีการวิวัฒนาการเนื่องจากจุดประสงค์หลักของ LTE นั้นนอกเหนือจากการเพิ่มความเร็วขึ้นเป็นระดับ300Mbpsทางขาลง และระดับ 150Mbps ทางขาขึ้นแล้ว ยังมีจุดประสงค์ในการลดเวลาในการเข้าสู่การติดต่อ รวมถึงลด Delay Time ให้น้อยที่สุดเพื่อเพิ่มคุณภาพในการติดต่อสื่อสารผ่านโครงข่ายสื่อสารเคลื่อนที่ด้วย เพื่อการนี้ (1)ในส่วน RAN นั้นจากเดิมฝั่งสถานีฐานยุค3Gที่ประกอบด้วยอุปกรณ์สถานีฐาน(NodeB) และอุปกรณ์ ควบคุมอย่าง RNC นั้น ในยุค 3.9G นั้นจะเปลี่ยนไปเป็นอุปกรณ์สถานีฐานที่เรียกว่า eNodeเพียงตัวเดียว ที่มีหน้าที่หลักๆในการทำ header compression และเข้ารหัสของข้อมูลผู้ใช้ ในการทำจัดการทรัพยากรคลื่นวิทยุในการติดต่อ ในการทำประกันคุณภาพบริการ เป็นต้น (2) ในส่วนโครงข่ายหลักยุค3Gมีทั้งCircuit Switch(CS) CN สำหรับรับส่งบริการประเภทเสียงหรือ Video CallและPacket Switch (PS) CN สำหรับรับส่งบริการประเภทที่ใช้ข้อมูลแพ็คเกจในยุค3.9G นั้น โครงข่ายหลักที่เรียกว่า EPC(Evolved Packet Core) จะมีอุปกรณ์สามชนิดคือ (ก) Mobility Management Entity(MME )ที่ทำหน้าที่ในการจัดการการเคลื่อนที่ของเครื่องมือถือผู้ใช้รวมถึงการตรวจสอบทำAuthenticationของผู้ใช้เข้ารหัสสัญญานควบคุมที่ใช้ในการติดต่อกับเครื่องผู้ใช้ อีกทั้งทำ Location Registration และ Handover เป็นต้น อุปกรณ์ที่สองคือ(ข) Serving Gateway (SGW) ซึ่งทำหน้าที่ Routing และขนส่งแพ็คเกจของผู้ใช้ระหว่างฝั่งสถานีฐาน(EUTRANซึ่งประกอบด้วย eNodeB) กับEPC โดยจะทำหน้าที่ส่งต่อไอพีแพ็คเกจที่มาจาก/หรือไปยังเครื่องผู้ใช้ กับPGW นอกจากนั้นยังทำหน้าเป็นจุดหมุน(Anchor)ในกรณีที่มีการเคลื่อนที่ภายในLTEหรือ เคลื่อนที่ระหว่างโครงข่าย LTE กับ 3G WCDMA อุปกรณ์ที่สามคือ(ค) Packet data network Gateway(PGW) ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อโครงข่ายสื่อสารเคลื่อนที่ไปยังโครงข่ายไอพีภายนอกอย่างเช่นโครงข่ายองค์กรของลูกค้าหรือโครงข่ายของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต นอกจากนั้น ยังทำหน้าที่เป็นจุดหมุน(Anchor)ในกรณีที่มีการเคลื่อนที่ระหว่างโครงข่ายLTEกับโครงข่ายสื่อสารไร้สายบรอดแบนด์ที่ใช้เทคโนโลยีอื่นๆเช่น WiMAX, CDMA2000 EVDO, Wi-Fi โดยในการสร้างโครงข่ายจริงๆตัวSGWและPGWอาจรวมอยู่ในอุปกรณ์Hardware ตัวเดียวกันก็ได้
Mobile 4 G กำลังมีการการวิจัยและพัฒนาให้บริการในยุค 4G ในหลายบริษัท ตัวอย่างเช่น บริษัท KDDI ในประเทศญี่ปุ่น ได้คิดนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาโครงการที่อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ของ KDDI แล้ว พบว่า มีการวิจัยและพัฒนาครอบคลุมทุกๆ ด้าน อาทิ บริการด้านมัลติมีเดีย (Multimedia Applications) โครงข่ายการเชื่อมโยงด้วยบรอดแบนด์ (Broadband Access and Network Infrastructure) ระบบการสื่อสารไร้สายด้วยความเร็วสูงขึ้น (Next Generation Mobile Communications) ความปลอดภัยในการใช้งาน (Security) การสื่อสารแบบ Real time ในยุค 4G (Ubiquitous Communications)
4. Wireless LAN เริ่มจากความต้องการที่ทำให้การติดต่อภายในโครงข่ายLANให้สะดวกมากขึ้น(จากเดิมที่ต้องต่อด้วยสายEthernet)เป็นแบบไร้สายกลายเป็นมาตราฐานWireless LAN 802.11ของค่ายIEEE ตั้งแต่ปี1997 สำหรับใช้ติดต่อในโครงข่ายส่วนตัวครอบคลุมรัศมีใกล้ๆระยะหลายสิบเมตรหรือในสถานที่เฉพาะเช่นร้านกาแฟ สนามบินหรือHot Spotอื่นๆ โดยมีความเร็วสูงสุดตั้งแต่ระดับหลายสิบเมกะบิตต่อวินาทีอย่าง802.11a/b/gจนถึงระดับร้อยเมกะบิตต่อวินาทีอย่าง802.11n นอกจากนี้ทางค่ายIEEEนี้ก็ได้พัฒนาเทคโนโลยีให้สามารถใช้สื่อสารรับส่งข้อมูลแบบไร้สายอย่างWireless LANได้ในรัศมีที่กว้างขึ้นระดับหลายกิโลเมตร(แต่หยุดเคลื่อนที่ขณะใช้งาน)ตามมาตราฐาน 802.16-2004 ที่รู้จักกันในชื่อระบบว่า Fixed WiMAX(ความเร็วสูงสุดประมาณ37เมกะบิตต่อวินาทีเมื่อใช้คลื่นพาหะกว้าง10MHz) หลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาให้มาตราฐาน802.16นี้สามารถสื่อสารรับส่งข้อมูลได้แม้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงที่เรียกว่า802.16e หรือที่รู้จักกันในชื่อระบบว่า Mobile WiMAXนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าการต่อโครงข่ายเทคโนโลยีไร้สายต่างๆในรูปที่1เข้ากับโครงข่ายหลักของNGNจะทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อด้วยความเร็วระดับบรอดแบนด์ได้ในทุกที่ทุกขณะไม่ว่าจะกำลังใช้มือถือ Wireless LANหรือWiMAXอยู่ก็ตาม
ข้อดีของโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN)
จากที่มาดังกล่าว องค์กรโทรคมนาคมระหว่างประเทศ(International Telecommunication Union Telecommunication Standardization sector: ITU-T)รวมถึง สถาบันมาตรฐานโทรคมนาคมแห่งสหภาพยุโรป(European Telecommunications Standards Institute: ETSI) ซึ่งมีโครงการชื่อว่า TISPAN (Telecoms & Internet converged Services & Protocols for Advanced Network) ทำงานด้านโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้าและกำหนดเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ภาพรวมโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า โดยมีจุดเด่นและข้อดีต่อผู้ใช้ดังต่อไปนี้ ก) โครงสร้างของโครงข่ายจะเปลี่ยนไปจากเดิมที่แยกตามบริการแต่ละประเภท เป็นโครงข่ายหลักเดียวสำหรับบริการทุกประเภท ทั้งบริการโทรศัพท์บ้าน บริการต่อเข้าโครงข่ายอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่บริการติดต่อสื่อสารจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยข้อมูลจะถูกขนส่งโดยใช้โครงข่ายไอพีเป็นหลัก ซึ่งข้อมูลทุกชนิดจะถูกรับส่งเป็นกลุ่มข้อมูลหรือแพกเกจ (Packet) ข) โครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) จะมีการแบ่งชั้นทำหน้าที่ต่างๆกันอย่างชัดเจนเป็นโครงสร้างแบบแบ่งเป็นชั้น(Hierarchical) ที่ทำหน้าที่ขนส่งข้อมูลของผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นเสียง ภาพ หรือข้อมูลต่างๆที่ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เรียกว่าชั้นทำหน้าที่ขนส่ง (Transport Stratum) ชั้นที่อยู่เหนือชั้นทำหน้าที่ขนส่ง เรียกว่า ชั้นควบคุมบริการ(Service Stratum) ทำหน้าที่ควบคุมบริการต่างๆ ที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน เช่น ไอพีเทเลโฟนี(IP Telephony) หรือโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายไอพี รวมถึงการควบคุมคุณภาพของบริการ(Quality of Service) และความปลอดภัย (Security) ด้วย ค) จุดเชื่อมต่อต่างๆ(ระหว่างชั้นภายในโครงข่าย ระหว่างโครงข่ายกับผู้ใช้ หรือระหว่างโครงข่ายกับโครงข่ายอื่น) เป็นจุดเชื่อมต่อด้วยมาตรฐานเปิดที่ถูกกำหนดไว้ชัดเจน ทำให้การเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันไม่มีปัญหา ข้อดีของโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) จากจุดเด่นดังกล่าวนี้ประการแรกคือบริการทุกประเภทมีอยู่บนโครงข่ายเดียวกันและมีการต่อเชื่อมกันอย่างต่อเนื่อง บริการ ที่รวมทั้งบริการโทรศัพท์พื้นฐาน โทรศัพท์เคลื่อนที่ การสื่อสารข้อมูล และบริการการกระจายสัญญาณ(Broadcast) เข้าด้วยกันโดยไม่ต้องแยกเบอร์โทรศัพท์ผู้ใช้หรือชื่อผู้ใช้ตามประเภทโครงข่ายเหมือนเดิม นอกจากนี้ เนื่องจากข้อมูลถูกขนส่งเป็นแบบใช้ไอพีทั้งหมดจึงสามารถมีบริการใหม่ๆเช่น ผู้ใช้ที่บ้านสามารถพูดคุยโทรศัพท์แบบเห็นหน้าได้ขณะสนทนาหรือโทรศัพท์ภาพ สามารถเลือกชมรายการวีดีโอต่างๆได้เมื่อต้องการ เช่น บริษัทนิปปอนเทเลโฟนแอนด์เทเลกราฟ(Nippon Telephone & Telegraph:NTT)ซึ่งเป็นผู้ใหับริการโทรคมนาคมขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นได้ทดลองใช้บริการ ของโครงข่ายเอ็นจีเอ็น(NGN) ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.๒๕๔๙ และเปิดบริการจริงต้นปี พ.ศ.๒๕๕๑ ข้อดีถัดมา คือ จากการที่มีจุดเชื่อมต่อด้วยมาตรฐานเปิด ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถเปิดโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) ให้ผู้สร้างบริการเสริมหรือเอเอสพี (Application Service Provider: ASP) ต่างๆ มาแข่งขันกันสร้างบริการใหม่ๆ บนโครงข่ายให้กับผู้ใช้บริการได้สะดวกขึ้นโดยผู้ให้บริการโครงข่ายไม่ต้องลงทุนทำเองทั้งหมด ดังนั้นผู้ใช้จะมีบริการประเภทต่างๆให้เลือกใช้ได้มากขึ้นด้วยราคาที่เหมาะสมต่อไป
ลักษณะการใช้งานบริการบนโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN)
โครงสร้างของโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) จะคล้ายกับโครงข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมแต่ละรายจะมีโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) เป็นของตนเองและจะมาต่อเชื่อมกันเพื่อสามารถให้บริการติดต่อกันได้ทั่วโลกเช่นกัน แต่บริการที่สามารถนำมาติดต่อสื่อสารผ่านโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) จะต้องเป็นบริการที่ผู้ให้บริการโทรคมนาคมอนุญาตเท่านั้น นอกจากนี้การติดต่อสื่อสารผ่านโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) จะมีลักษณะเฉพาะอีกหลายประการ ก) สามารถประกันคุณภาพบริการโดยผู้ให้บริการโทรคมนาคม ผู้ใช้บริการที่ต้องการแบนด์วิดท์กว้างหรือความเร็วสูงในการติดต่อเช่น โทรศัพท์ภาพหรือ บริการดูรายการภาพยนตร์เมื่อต้องการ (Video on Demand) ที่มีความละเอียดคมชัดของภาพสูง (High Definition: HD) สามารถรับส่งข้อมูลได้โดยไม่มีผลกระทบจากความล่าช้าหรือสูญหายที่คาดไม่ถึง ผลคือผู้ใช้สามารถพูดคุยเห็นหน้า หรือชมรายการได้โดยไม่มีกรณีภาพเลอะ เบลอ หรืออาจจะหยุดเป็นช่วงๆ (เช่นกรณีที่การชมวีดีโอคลิปขนาดใหญ่ บนอินเทอร์เน็ตประสบปัญหาภาพเลอะ หรือกระตุกเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะช่วงเวลา ที่มีผู้ใช้บริการมาก)เพื่อการประกันคุณภาพนี้นอกจากจะต้องการโพรโตคอลจัดเส้นทาง(Routing Protocol) สำหรับขนส่งแพคเกจแล้ว ยังต้องการโพรโตคอลเช่น ซิป(SIP) ไว้ใช้ในการควบคุมดังกล่าวด้วย ข) สามารถเปิดโครงข่ายให้มีการพัฒนาบริการใหม่ๆได้มากขึ้นและเร็วขึ้น จากการที่มีจุดเชื่อมต่อด้วยมาตรฐานเปิด ผู้ให้บริการโทรคมนาคมสามารถเปิดโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) พร้อมด้วยฟังก์ชันหรือหน้าที่ๆ จำเป็น ให้ผู้สร้างบริการหรือแอพพลิเคชัน (ASP) ต่างๆ มาแข่งขันกันสร้างบริการใหม่ๆ วิ่งบนโครงข่ายให้กับผู้ใช้บริการได้สะดวกขึ้น ผู้ใช้จะได้มีบริการประเภทต่างๆให้เลือกใช้ได้มากขึ้นเช่น บริการเรียกดูสารคดี หรือรายการบันเทิงต่างประเทศ โดยอาศัยฟังก์ชันการสื่อสารแบบมัลติแคสหรือกระจายข้อมูลจากจุดหนึ่งไปหลายจุดพร้อมกัน ของโครงข่าย (Multicast) ค) ความสามารถทางด้านตรวจสอบความปลอดภัย(Security) และการพิสูจน์ตัวตน(Authorization) ที่สามารถตรวจสอบผู้ใช้ ที่จะเข้ามาในโครงข่ายและใช้บริการ ง) มีความน่าเชื่อถือสูงเนื่องจากโครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของโครงข่ายโทรคมนาคมหลัก เช่นโทรศัพท์พื้นฐานหรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ โครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า (NGN) จึงมีความสามารถที่จะควบคุมเมื่อมีปริมาณการติดต่อหรือรับส่งข้อมูล(Traffic)มากผิดปกติเช่นกรณีมีการติดต่อกันมากๆในช่วงหลังเกิดภัยธรรมชาติหรือไฟไหม้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้โครงข่ายเกิดการแออัด(Congestion)ขึ้นจนทั้งระบบไม่สามารถทำงานต่อได้ อีกทั้งตัวระบบยังต้องมีการออกแบบวงจรและอุปกรณ์เผื่อไว้เกิน(Redundancy)เพื่อที่ว่าหากมีวงจรหรือส่วนใดส่วนหนึ่งเสียหายกระทันหันโครงข่ายจะสามารถเปลี่ยนไปใช้วงจรหรือส่วนที่เผื่อไว้ได้ทันทีโดยไม่มีการหยุดชะงักของบริการ(ServiceInterruption)เกินกว่าที่กำหนดไว้เช่นบริการหยุดชะงักได้รวมทั้งหมดไม่เกิน๒ ชั่วโมงในระยะเวลา ๒๐ ปี เป็นต้น
โครงข่ายโทรคมนาคมยุคหน้า Next Generation Network (NGN)ในประเทศไทย
รัฐบาลปัจจุบันได้มีการกำหนดนโยบายเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งนโยบายการพัฒนาโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมพื้นฐานให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการสื่อสารอย่างเท่าเทียม เพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทั้งด้าน Software และ Hardware รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางด้าน ICT ในภูมิภาค
นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานในพิธีเปิดงานและบรรยายพิเศษ งานสัมมนา “การพัฒนากิจการโทรคมนาคมของประเทศไทยในอนาคตที่เกี่ยวกับโครงข่ายสมัยใหม่ “NGN Broadband Development and Implementation” ว่า ในอนาคตการให้บริการด้านโทรคมนาคมจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสถาปัตยกรรมโครงข่ายใหม่ โดยจะมีการรวมเอา Voice Network และ Data Network เข้าไว้เสมือนเป็นโครงข่ายเดียวกัน เพื่อให้เกิดการบริการที่หลากหลาย มีความรวดเร็ว รวมทั้งช่วยลดต้นทุนให้ต่ำลงและทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค Next Generation Network หรือ NGN ถือเป็นโครงข่ายสมัยใหม่ที่จะเข้ามาปฏิวัติสถาปัตยกรรมโครงข่ายโทรคมนาคมหลัก ตลอดจนวิธีการเข้าถึงโครงข่าย (Access Network) ที่จะเริ่มแปรเปลี่ยนโครงข่ายโทรคมนาคมทั่วโลกจากระบบ Analog ไปสู่โลกแห่ง Digital ซึ่งรวมถึงในประเทศไทยด้วย โดยรัฐบาลปัจจุบันได้มีการกำหนดนโยบายเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทั้งนโยบายการพัฒนาโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมพื้นฐานให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และสร้างโอกาสในการเข้าถึงบริการสื่อสารอย่างเท่าเทียม นโยบายการพัฒนาบริการสื่อสารที่ทันสมัย เพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งในแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย ฉบับที่ 2 ได้ระบุให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโทรคมนาคม ไว้ในยุทธศาสตร์ที่ 3 และการพัฒนาอุตสาหกรรม ICT เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ไว้ในยุทธศาสตร์ที่ 6 ด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายรัฐที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านไอซีทีของภูมิภาคดังนั้น ในช่วงรอยต่อปีพ.ศ. 2552 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงให้ความสำคัญในการพัฒนาและกำหนดแนวทางปฏิบัติไว้หลายด้าน คือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีเป้าหมายที่จะขยายโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ Broadband Internet ให้ได้ 5 ล้านพอร์ต (port) ในปี พ.ศ. 2553 รวมทั้งประสานงานกับคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. เพื่อติดตามและเร่งรัดการออกใบอนุญาตดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ตลอดจนใบอนุญาตในเรื่อง WIMAX และโครงข่ายสมัยใหม่ หรือ NGNรวมถึงวางแนวทางการพัฒนาศึกษาและวิจัยในเรื่อง Long Term Evaluation หรือ LTE ในอนาคต” นายธานีรัตน์ กล่าว ส่วนด้านกฎหมาย นอกจากกฎหมายที่มีข้อบังคับใช้แล้ว และร่างกฎหมายที่รอการพิจารณาจากสภาฯ ยังมีกฎหมายไอซีที เพื่อเตรียมพัฒนาประเทศให้ก้าวไปสู่สังคมสารสนเทศที่ต้องมีการผลักดัน ทั้งกฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ กฎหมายว่าด้วยการกำกับดูแลธุรกิจบริการ การให้บริการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (Certification Authority หรือ CA) และกฎหมายการประกอบกิจการไปรษณีย์ สำหรับด้านเวทีระหว่างประเทศที่จะมีการเลือกตั้งสมาชิกของสภาบริหาร สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU ที่ประเทศไทยได้เป็นสมาชิกสภานี้มาแล้ว 7 สมัย ต่อเนื่องกัน จึงควรจะได้เตรียมการหาเสียงเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ และในปี พ.ศ. 2554 จะมีการประชุมวิทยุโลกของ ITU ซึ่งเรียกว่า World Radio Conference2011 เพื่อจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุให้แก่กิจการต่างๆ กระทรวงฯ จึงต้องเตรียมแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมกับกทช. เพื่อเตรียมการในเรื่องนี้ซึ่งเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีด้านทรัพยากรมนุษย์ ที่กระทรวงฯ จะต้องเร่งสร้างบุคลากรด้านโทรคมนาคมให้เพียงพอ รวมทั้งต้องมีการลดช่องว่างด้านดิจิตอล ด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ และสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เพื่อค้นหาข้อมูลข่าวสาร อันเป็นการพัฒนาสังคมไทยให้ก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ และกระทรวงฯ ยังให้ความสำคัญในด้าน Green IT เนื่องจากปัจจุบันขยะอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ตลับหมึกที่ใช้จนหมด ล้วนเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นับวันจะก่อให้เกิดปัญหาต่อผู้ใช้ และสังคม
ในเรื่องของความร่วมมือเกี่ยวกับเรื่องNGNในประเทศไทยกับญี่ปุ่นนั้น ที่ผ่านมาก็มีการจัดกิจกรรมอย่างเช่นสัมมนาวิชาการต่างๆอย่าง NGN Technology and Applications ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือกทช.โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทางญี่ปุ่นโดยมีการเชิญวิทยากรมาบรรยาย มีการลงนาม MOUความร่วมมือระหว่าง NGN Forum Thailand (ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระตามที่ได้รับความเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งโดยกทช. โดยมีเป้าหมายในการศึกษา รวบรวม และกำหนดแนวทางร่วมกันในการพัฒนาของโครงข่ายโทรคมนาคมNGNของบ้านเราและมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐานทางเทคนิคที่เกี่ยวข้อง)กับคณะกรรมการเทคโนโลยีโทรคมนาคมหรือ TTC (Telecommunication Technology Committee) ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อกลางเดือนมกราคม ค.ศ.2010 โดยตัวแทนจากทั้งสององค์กรคือ ท่านจำรัส ตันตรีสุคนธ์ ประธานของ NGN Forum Thailandและ Dr.Yuji INOUE & CEOของTTC ที่เป็นหนึ่งใน SDO (Standard Development Organizationหรือองค์กรที่เป็นตัวแทนประเทศหรือภูมิภาคในการกำหนดมาตรฐาน) ของประเทศญี่ปุ่นโดยมีหน้าที่ในการศึกษาและออกมาตรฐานของโครงข่ายและระบบสัญญาณ (signaling) ต่างๆทั้งโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน โครงข่ายหลักของมือถืออย่าง 3G ทั้งระบบ W-CDMA และCDMA2000 รวมถึง NGN ด้วยมาตรฐานที่ออกมาจะเป็นเรียกว่ามาตรฐาน TTC สำหรับประเทศญี่ปุ่น ในการออกมาตรฐาน NGN ของประเทศญี่ปุ่นนั้นก็จะยึดถือเนื้อหาของมาตรฐานระหว่างประเทศของ ITU-T มาเป็นหลัก ซึ่งทาง ITU-T ได้เริ่มออกมาตรฐานระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับ NGN รวมถึงมาตรฐานของ IMS สำหรับ NGN มาตั้งแต่ปลายปีค.ศ.2004(โดยเริ่มจากRecommendations สองตัวแรกที่กล่าวถึงภาพรวมโดยทั่วไปและโครงสร้างอ้างอิงพื้นฐานคือ ITU-T Y.2001 ที่เกี่ยวกับ General Overview of NGN และY.2011 ที่เกี่ยวกับ General Principles and general reference model for Next Generation Networks)จนออกมาเป็นมาตรฐานในรายละเอียดต่างๆของ NGN Release1 ตั้งแต่ปีค.ศ.2006เป็นต้นมา โดยมี Recommendations หลักๆครอบคลุมขอบเขตของโครงข่าย ความสามารถ และ บริการในโครงข่าย NGN ขั้นแรก ยกตัวอย่างเช่น (1) Supplement 1 to Y.2000-Series Recommendations, NGN release 1 scope (2) Y.2201 NGN Release1 Requirements และ (3)Y.2111 Resource and Admission Control functionsเป็นต้น
แหล่งที่มา (References)http://www.ntc-ngn.in.th/index.php?option=com_content&view=article&id=11&Itemid=5
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2551/E/065/41.PDFhttp://www.nectec.or.th/bid/mkt_info_tech_NGN.htm
http://www.thaitelecomkm.org/TTE/http://www.thnic.or.th/article/18-technology
http://www.thaiinternetwork.com/content/detail.php?id=0424
http://www.thaiinternetwork.com/content/detail.php?id=0461
http://ngnforum.ntc.or.th/index.php?option=com_content&task=view&id=72&Itemid=1
http://www.telecomjournal.net/index.php?option=com_frontpage&Itemid=1
http://www.mict.go.th/ewt_news.php?nid=1654
http://munjoo.exteen.com/20080229/next-generation-network-ngnhttp://www.eng.chula.ac.th/newsletter
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น