วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หิวบ่อยๆ ทำยังไงดี?

|0 ความคิดเห็น
หิวบ่อยๆ ทำยังไงดี?

สาวๆ หลายคนคงเจอปัญหาอาการหิวบ่อย ๆ อยากกินนู่นกินนี่ตลอดเวลา จนทำให้รูปร่าง สัดส่วนเปลี่ยนไป ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินกันดูค่ะ
………ลดความอ้วน เมื่อกินอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมาก ร่างกายจะผลิตอินซูลินออกมามากเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และเมื่อระดับน้ำตาลลดลงอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกอยากกินโน่นกินนี่ขึ้นมาอีก ทำให้เกิดปัญหารูปร่าง ทำให้สาวๆ มีสัดส่วนที่เปลี่ยนไปอย่างแน่นอน หากรู้สึกหิวมากๆ อยากกินอาหารมื้อหนักๆ ก่อนอาหารลองหาเครื่องดื่มที่สามารถ ช่วยลดความอยากอาหาร และดูดซึมแป้งได้ดี จะช่วยให้คุณอิ่มไปตลอดทั้งวัน ช่วงระหว่างวันลองหาอาหารที่มีประโยชน์เพิ่อเพิ่มระบบการเผาผลาญให้ร่างกาย ดูนะคะ ขอแนะนำ อาหารที่อุดมด้วยแร่ธาตุและวิตามิน แถมจะมาช่วยลดพฤติกรรมอาการหิวบ่อยๆได้ด้วยค่ะ

1. ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว
อุดมไปด้วยโครเมียมที่ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด ให้คงที่ มีแมกนีเซียมที่ช่วยปรับระดับอินซูลินแถมด้วยวิตามินบีที่จำเป็นต่อระบบเม แทบอลิซึม

2. อาหารทะเล
ลองหันมากินปลา หอย ปลาเล็กปลาน้อยที่มีซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี แร่ธาตุเหล่านี้ ช่วยรักษาสมดุลของสารสื่อประสาท ทำให้ไม่หิวบ่อย

3. ถั่ว
ของกินเล่นช่วยให้อารมณ์ดีที่อุดมด้วยวิตามินบี และแมกนีเซียม ช่วยในการปรับระดับอินซูลิน และช่วยการทำงานของระบบประสาท

4. แอปเปิ้ล
มีเส้นใยอาหารมาก ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ กินแล้วอยู่ท้อง รสชาติไม่หวานจัด และเป็นผลไม้ที่ดีต่อร่างกายทุกส่วน

5. ลูกพรุน
อุดมด้วยโครเมียม กินครั้งละน้อย ๆ จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้

6. ลูกเกด
กินเป็นของว่าง ทำให้ไม่คิดถึงขนมขบเคี้ยว ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างช้า ๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย



ที่มาจาก  Trueslen coffee


สาว ๆ 6 อาชีพ ระวัง! เส้นเลือดขอดกำลังถามหา

|0 ความคิดเห็น
สาว ๆ 6 อาชีพ ระวัง! เส้นเลือดขอดกำลังถามหา

เส้นเลือดขอด (Varicose Veins) หรือ Spider Vein เป็นหนึ่งใน ปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงกลุ้มใจ แถมยังมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่าเลยทีเดียว!

         เส้นเลือดขอดมักเกิดตามผิวของขา ตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนีบด้านใน พบบ่อยบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่ต้องยก ของหนักเป็นประจำหรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน หรือ บางคนโชคไม่ดีอาจมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรืออุ้งเชิงกรานไปกดหลอดเลือดดำ เป็นต้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด

          ดูเหมือนเส้นเลือดโป่งพองเห็นเป็นสีคล้ำเขียว-แดง และมีความยาวคดเคี้ยวขยุกขยิก เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขาที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจโดยอาศัยแรงบีบตัวของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า  แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้น พลอยดึงให้ลิ้นถ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิทเลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมา คั่งอยู่ในหลอดเลือดดำของขาบริเวณใกล้ผิวหนัง

          โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือ ผิวหนังบริเวณที่มี เส้นเลือดขอดแตก เป็นแผลอักเสบเรื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยากและอาจมีเลือดออกรุนแรง

             รู้ไหมว่า อาชีพและไลฟ์สไตล์ที่ต้องยืนท่าเดิมเป็นเวลานานๆ ก็ทำให้สาวๆ 6 อาชีพต่อไปนี้เสี่ยงต่อการเป็นเส้นเลือดขอดได้เช่นกัน มาดูกันซิว่า คุณเสี่ยงจะเป็นโรคเส้นเลือดขอดหรือไม่

นางพยาบาล


             นางฟ้าในชุดขาวที่คอยดูแลผู้เจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลาย ควรจะหันมาใส่ใจตัวเองให้มากขึ้นเช่นกันค่ะ เพราะอาชีพนางพยาบาลที่ต้องเดินไปคอยดูแลคนไข้ตามเตียงต่างๆ หรือทำงานเกี่ยวกับทะเบียน เอกสาร ส่วนมากต้องอยู่ในอิริยาบถยืนเกือบตลอด ทำให้เท้ารับน้ำหนักตัวตลอดทั้งวัน ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดขอดได้ง่ายเช่นนั้นแล้ว เราจึงมักเห็นพยาบาลหลายๆ คน สวมใส่ผ้ายืดไว้รัดน่อง เพื่อป้องกันโรคเส้นเลือดขอดนั่นเอง

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน

             เป็นอาชีพใฝ่ฝันของสาวๆ หลายๆ คนเลยทีเดียว เพราะนอกจากการเป็นแอร์โฮสเตสจะได้รับค่าตอบแทนสูงแล้ว ยังดูดีมีราศี แถมยังได้เดินทางท่องเที่ยวไปหลายๆ ประเทศด้วย แต่เป็นที่รู้กันว่า สาวๆ แอร์โฮสเตสต้องยืน และเดินนานๆ บนรองเท้าส้นสูง เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับภาวะขึ้นลงของความดันอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แอร์โฮสเตสเสี่ยงต่อการเป็นเส้นเลือดขอดมากกว่า อาชีพอื่นๆ ด้วย

             แต่หากสาวๆ แอร์โฮสเตสเปลี่ยนมาใส่รองเท้าส้นเตี้ยบ้างในขณะเดินเสิร์ฟอาหารให้ผู้โดยสาร และใส่ถุงน่องที่รัดกระชับใต้เข่า รวมทั้งเดินไปเดินมาบ่อยๆ ในเครื่องบิน ก็จะช่วยให้ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดขอดลดลงได้ค่ะ

คุณครู

             เป็นอีกอาชีพที่เสี่ยงต่อการเป็นเส้นเลือดขอด เพราะแทบจะตลอดชั่วโมงของคาบเรียน คุณครูจะต้องยืนสอนนักเรียนอยู่หน้าชั้น แถมโรงเรียนบ้านเรามักจะให้คุณครูใส่ชุดยูนิฟอร์มของโรงเรียน ซึ่งจะให้ดูเรียบร้อยก็ต้องใส่ถุงน่อง และรองเท้าส้นสูงด้วย นี่แหละค่ะ ยิ่งเป็นปัจจัยให้โรคเส้นเลือดขอดถามหาคุณครูเร็วขึ้น

พนักงานขาย - พนักงานต้อนรับ

             "ท่ายืน" เป็นการแสดงถึงความพร้อม และเต็มใจที่จะให้บริการลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการ ฉะนั้นแล้วเวลาเราไปห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ หรือโรงแรม ร้านอาหาร เราจึงมักเห็นพนักงานขาย แคชเชียร์ที่เก็บเงินตามจุดต่างๆ รวมทั้งพนักงานต้อนรับ ยืนให้บริการลูกค้ากันทั้งนั้น ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วคนกลุ่มนี้ มักจะยืนติดต่อกันนานกว่า 6-8 ชั่วโมงโดยแทบไม่มีเวลานั่งพักเลยทีเดียว

พนักงานเก็บค่าโดยสารบนรถเมล์

             แน่นอนว่า หน้าที่ของพนักงานเก็บค่าโดยสารบนรถเมล์ คือ การเดินเก็บค่าโดยสารผู้โดยสาร ซึ่งคนกลุ่มนี้มักจะต้องยืนโหนรถเมล์เป็นส่วนใหญ่ ยิ่งรถเมล์สายไหน มีผู้โดยสารมาก พนักงานเก็บค่าโดยสารก็แทบจะยืนตลอดเส้นทางจากต้นสายถึงสุดสายเป็นเวลานานหลายชั่วโมงเลยทีเดียว แถมยังต้องทรงตัวให้ดีขณะยืนบนรถเมล์ด้วย

สาวออฟฟิศ

             สาวออฟฟิศทั้งหลายก็ใช่ว่าจะรอดพ้นความเสี่ยงจากโรคเส้นเลือดขอดนะคะ แม้คุณจะบอกว่า วันๆ แทบไม่ได้ยืน หรือเดินนานๆ สักหน่อย แต่อย่าลืมนะคะว่า เวลาส่วนใหญ่ของคุณใช้กับไปการนั่งทำงานที่โต๊ะเป็นเวลานานเกือบ 8 ชั่วโมง แถมบางคนยังชอบนั่งไขว่ห้าง ก็ยิ่งทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวกเกิดโรคเส้นเลือดขอดตามมาได้ง่ายๆ

             ส่วนสาวออฟฟิศที่นิยมใส่รองเท้าส้นสูง แล้วยังต้องเดินไปติดต่อเรื่องงานในแผนกต่างๆ เดินไปเดินมาด้วยรองเท้าส้นสูงทั้งวัน ก็ยิ่งมีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดขอดได้ไม่แพ้อาชีพอื่นเลยเช่นกัน เพราะฉะนั้น สาวออฟฟิศทั้งหลายควรกระดกข้อเท้าขึ้นและลงติดต่อกันหลายๆ ครั้ง ให้กล้ามเนื้อน่องเกร็งและคลายตัวสลับกัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเส้นเลือดขอดได้ค่ะ
อย่างไรก็ตามนอกจาก 6 อาชีพนี้แล้ว อาชีพอื่นๆ อย่างช่างทำผม ศัลยแพทย์ พนักงานเสิร์ฟ หรืออาชีพที่ต้องยืนนานๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมง ก็ยังมีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดขอดอย่างคาดไม่ถึง

วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด

          ถ้าคุณเป็นคนอ้วนควรลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดน้ำหนักลงที่เท้าและขา หลีกเลี่ยงการยืนหรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด ในกรณีที่อาชีพการงานบังคับ ต้องอาศัยการออกกำลังกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อน่องและขา โดยการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง และพอถึง ช่วงที่ได้นั่งพักให้ถอดรองเท้าส้นสูงออกนั่งลงบนเก้าอี้ หลังตรงและยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพกและหมุนข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลงจากนั้นทำสลับอีกข้าง

          หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข่า ซึ่งทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดไหลไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้า หรือถุงน่องควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่องรัดห่างใต้เข่าประมาณ 2 นิ้ว

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

ส่วนใหญ่แพทย์แนะนำ เพื่อบรรเทาอาการปวดบวมมากกว่าเรื่องของความสวยงาม ซึ่งในกรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดไม่มาก สามารถใช้ครีมนวดรักษาหรือบรรเทาได้

          แต่กรณีที่มีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่ขอด เพื่อสลายหลอด เลือดที่แข็งตัวและตีบตันให้ไหลเวียนไปสู่หลอดเลือดอื่นบริเวณรอบๆ ได้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาดภายในครั้งเดียว อาจต้องฉีดซ้ำหลายครั้งหากเป็นมาก และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยหลังการรักษาจำเป็นต้องสวมผ้ารัดหรือถุงน่องเพื่อบีบให้ผนังหลอดเลือดกระชับจนกว่าบริเวณที่ฉีดยาจะบวมน้อยลงและเวลานอนพักต้องใช้หมอนหนุนยกระดับเข่าให้สูงกว่าสะโพก และปลายเท้าสูงกว่าระดับเข่า

การรักษาแบบผ่าตัด

          เป็นการผ่าตัดในกรณีที่เส้นเลือดขอดเกิดภาวะอุดตัน ภายในหลอดเลือด และอาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยแพทย์จะให้ยาชา ก่อนการผ่าตัด และใช้เครื่องมือเข้าไปผูกเส้นเลือดที่ขอดแล้วดึงหลอด เลือดดำที่ขอดออกเป็นบางส่วน หรือการผ่าดึงหลอดเลือดดำที่ขอดทั้งเส้น โดยหลังการผ่าตัดจะมีอาการเท้าบวม มีเลือดออกหรือเจ็บแผลและจำเป็นต้องใส่ผ้ารัดหรือถุงน่องพยุงต่อประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์

          การรักษาเส้นเลือดขอดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100%และแพทย์อาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุดและที่สำคัญบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอดมีอาการปวดหรือบวม คุณควรไปปรึกษาแพทย์ทันที

             เพราะฉะนั้น หมั่นเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ หากทำได้ เพื่อให้เลือดไหลเวียน หรือจะหาเวลายืนเขย่งปลายเท้าขึ้น-ลง เพื่อบริหารกล้ามเนื้อบ้าง แล้วถอดรองเท้าส้นสูงทิ้งไปซะในบางเวลา คุณสาวๆ จะได้ไม่ต้องกลุ้มใจกับโรคที่ไม่ได้รับเชิญอย่างไรล่ะ

เหงื่อออกมากหรือน้อย บอกอะไรกับคุณ

|0 ความคิดเห็น
เหงื่อออกมากหรือน้อย บอกอะไรกับคุณ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะว่า เหงื่อของเราสามารถบอกถึงโรคต่างๆ ที่กำลังเป็นอยู่ได้ โดยได้มีการศึกษาความสัมพันธ์นี้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญว่าสามารถสังเกตได้ 2 แบบ ดังนี้

โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก

            
1. โรคเครียด  เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น
            2. โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ คอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย
            3. วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วตัวในเวลากลางคืน สลับกับเป็นไข้ ไอเรื้อรัง
            4. เบาหวาน เหงื่อซึมทั่วตัว โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม
            5. โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง
            6. ภาวะใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากสมองหลั่งฮอร์โมนเพศหญิงโพรเจสเทอโรนน้อยลง เหงื่อจะออกมากในเวลากลางคืน

โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย


            1. โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด

            2. ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากร่างกายได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสม แต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน

            รู้แบบนี้แล้วก็ลองนำเอาไป สังเกตอาการป่วยของคุณดูนะคะ หรือถ้าไม่แน่ใจอย่างไรก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ

ขอ ขอบคุณข้อมูลจากWoman's Story


ทานอาหารในรถ ระวังเชื้อโรคมาเยือน

|0 ความคิดเห็น
ทานอาหารในรถ ระวังเชื้อโรคมาเยือน
ใครที่ชอบทานอาหารในรถ แถมยังไม่ค่อยทำความสะอาดรถต้องระวังให้ดีค่ะ โดยเฉพาะยามที่อากาศร้อนขึ้นเช่นนี้ สุขภาพของคุณก็ยิ่งเป็นอันตราย วันนี้กระปุกดอทคอม มีเรื่องนี้มาบอกค่ะ

          นั่นก็เพราะงานวิจัยพบว่า ผู้ที่นั่งรถยนต์ที่สกปรกจะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส ซีเรียส (Bacillus cereus) และสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) ทุกครั้งที่คุณเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ซึ่งจากการสุ่มตรวจภายในรถยนต์ของกลุ่มตัวอย่าง ก็พบเชื้อโรคนี้แทบจะในทุกคัน โดยพบทั้งในรถ บริเวณเกียร์ ล้อรถยนต์ รวมทั้งที่จับเปิดประตู

          ทั้งนี้ แบคทีเรียทั้งสองชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิที่ยิ่งสูงขึ้นอย่างในปัจจุบัน โดยแบคทีเรียสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส สามารถทำให้เกิดโรคผิวหนังอย่างรุนแรง และอาหารเป็นพิษได้ ขณะที่บาซิลลัส ซีเรียส จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง อาเจียน รวมทั้งท้องร่วงได้ด้วย

          โดยแอนโธนี่ ฮิลตัน อาจารย์ด้านจุลชีววิทยา แห่งมหาวิทยาลัยแอสตัน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า เราควรตระหนักถึงความน่ากลัวจากการรับประทานอาหารในรถยนต์ ให้เหมือนกับการนั่งรับประทานอาหารบนฝาชักโครก เพราะมันมีเชื้อโรคที่ทำอันตรายต่อสุขภาพของคนได้ไม่แตกต่างกัน

          "มันเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้อากาศร้อนขึ้น หากคุณทำเศษอาหาร ร่วงหล่นในรถ แม้ว่าจะเป็นเพียงชิ้นเล็ก ๆ แบคทีเรียก็จะสามารถเจริญเติบโตได้ดี เช่นเดียวกับการที่คุณนำสัตว์เข้ามาในรถ ก็มีส่วนทำให้เกิดจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคนได้เช่นกัน ฉะนั้นแล้ว หากคุณจำเป็นต้องทานอาหารในรถ ก็ควรรักษาสุขลักษณะ ให้เหมือนกับการที่คุณทานบนโต๊ะอาหารในบ้านด้วยเช่นกัน"

ใส่กางเกงยีนส์ฟิตๆ ต้องระวัง

|0 ความคิดเห็น
ใส่กางเกงยีนส์ฟิตๆ ต้องระวัง
กางเกงยีนส์ฟิตเปรี๊ยะเป็นกระแสหนึ่งที่นิยมมากในกลุ่มผู้หญิงซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเหล่าดาราศิลปินที่ชื่นชอบ ส่วนพวกผู้ชายก็ใส่กางเกงแบบนี้เช่นกันเพื่อโชว์หุ่นเท่ที่ทุ่มฟิตออกกำลังกาย

หลายๆคนกล่าวว่ากางเกงรัดแบบนี้ใส่ไม่ค่อยสบาย แต่ก็ไม่อยากจะไม่คิดมากเรื่องนี้เพื่อจะเกาะกระแสแฟชั่นได้สุดๆ แม้จะเต็มใจแลกกับความไม่สะดวกสบายแต่พวกเขาจะกล้าเต็มใจเสี่ยงต่อสุขภาพตนเองหรือไม่

ทั้งๆที่คนเราทราบดีว่าไม่ควรใส่รองเท้าส้นเข็ม กระเป๋าสะพายใหญ่เกินไปเพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ แต่เราก็ยังคงใช้มันอยู่

ในการที่ใส่กางเกงฟิตมากหรือคับมาก ผลเสียต่อร่างกายเกิดขึ้นกับระบบประสาท เช่น แขนงประสาทผิวหนังด้านข้างจะได้รับแรงกดทับซึ่งอาจทำให้เกิดการปวดแสบปวดร้อน การปวดเสียวคล้ายหนามแทงในบริเวณช่วงขาด้านข้าง อาการนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Meralgia Paresthetica” ในบางกรณีแต่มีไม่มากนัก ผู้ที่เผชิญกับอาการนี้ต้องเข้ารับการผ่าตัดหากการปวด การชา และการปวดแปลบๆยังไม่หายไป

และอีกเรื่องที่สำคัญก็คือการใส่กางเกงยีนส์คับๆแบบนี้จะทำให้เกิดการติดเชื้อจากยีสต์มากขึ้น โรคผิวหนังอักเสบ และความสามารถในการมีลูกอีกด้วย




ขอบคุณข้อมูลจาก : Kristie Leong MD

รู้จักมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย

|0 ความคิดเห็น
รู้จักมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย 

เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า ลูคีเมีย มาบ้างแล้ว โดยลูคีเมีย คือ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ๆ 2 ชนิด คือ ชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง

1. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute leukemias)
             เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติได้ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันมักเกิดกับเด็ก โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายในไม่กี่เดือน

2. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic leukemia)
             เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมาเป็นจำนวนมากกว่า เซลล์เม็ดเลือดที่ปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติในร่างกายเป็นจำนวนมาก โดยปกติแล้วมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง มักจะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ในหลายๆ ช่วงอายุ




นอกจากนี้ มะเร็งเม็ดเลือดขาวยังสามารถแบ่งได้ตามลักษณะของเม็ดเลือดขาว ได้แก่

             Lymphocytic leukemia คือ การที่พบเซลล์ในสาย Lymphoid ได้แก่ ลิมโฟไซท์ (Lymphocytes) และพลาสมาเซลล์ (plasma cells) ที่ผิดปกติเป็นจำนวนมากในกระแสเลือด
             Myelogenous leukemia คือ การที่พบเซลล์ที่ผิดปกติในสายไมอีลอยด์ ได้แก่ eosinophils, neutrophils, และ basophils เพิ่มมากขึ้นในกระแสเลือด

ดังนั้นเราจะพบมะเร็ง เม็ดเลือดขาวตามชนิดและแบบได้ใหญ่ๆ 4  อย่างคือ

             1. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันแบบไมอีลอยด์ (acute myeloid leukemia  หรือ AML) พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก
             2. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันแบบลิมฟอยด์ (acute lymphoid leukemia หรือ ALL) พบได้ในเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี รวมถึงในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีอีกด้วย
             3. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบไมอีลอยด์ (chronic myeloid leukemia หรือ CML) พบในผู้ใหญ่ ไม่ค่อยพบในเด็ก
             4. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบลิมฟอยด์ (chronic lymphocytic leukemia หรือ CLL) พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี และสามารถพบในเด็กได้บ้าง แต่ไม่ค่อยส่งผลกระทบเท่าไหร่

             เนื่องจากในผู้ป่วยผู้ใหญ่ในประเทศไทยส่วนใหญ่ จะพบมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันแบบไมอีลอยด์ (AML) และมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังแบบไมอีลอยด์ (CML) ดังนั้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะ 2 โรคนี้เท่านั้น


มะเร็งเม็ด เลือดขาวชนิดเฉียบพลันแบบไมอีลอยด์ (AML)


            มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน เกิดจากการที่เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ไม่สามารถเจริญเติบโต (differentiate) ไปเป็นเซลล์ตัวแก่ได้ แต่มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน (proliferation) ในระยะของเซลล์ตัวอ่อนในไขกระดูกเป็นจำนวนมาก และขยายตัวออกมาในกระแสเลือดหรือเนื้อเยื่ออื่นๆ ทำให้เกิดอาการและอาการแสดงต่างๆ เป็นผลให้ไขกระดูกไม่สามารถผลิตเซลล์เม็ดเลือดปกติได้ ไม่ว่าจะเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวปกติ ตลอดจนเกล็ดเลือด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการจากการขาดเซลล์เม็ดเลือดดังกล่าว

             อุบัติการณ์ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน ในประชากรทั่วไปเท่ากับ 2-3 ราย ต่อประชากร 100,000  คน ต่อปี ส่วนใหญ่พบในคนที่อายุมากกว่า 15 ปี พบเป็นร้อยละ 70-80  ของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันในผู้ใหญ่

สาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง ได้แก่
             1. พันธุกรรม อุบัติการณ์ของการเกิดโรคในพี่น้องของผู้ป่วยพบสูงกว่าประชากรทั่วไป 3 เท่า ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางโครโมโซมแต่กำเนิด เช่น ดาวน์ชินโดรม จะมีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคสูงกว่าคนปกติ
             2. สารรังสี  ประชากรญี่ปุ่นที่รอดชีวิตจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ พบว่า มีอุบัติการณ์ของการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน มากกว่าคนปกติ ถึง  30  เท่า
             3. สารเคมี ผู้ป่วยที่ได้รับสารเบนซิน จะมีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคสูงกว่าคนทั่วไป 10 เท่า  นอกจากนี้ยาฆ่าแมลง ยาย้อมผม หรือน้ำยาสเปรย์ผม ก็พบอุบัติการณ์ของโรคสูงขึ้นด้วย
             4. ยาเคมีบำบัด ผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัดจะมีอุบัติการณ์ของการเกิดโรคสูงขึ้น
             5. บุหรี่ การศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า บุหรี่สามารถเพิ่มอัตราเสี่ยงการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันได้

             อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต่างๆ ข้างต้น เป็นเพียงปัจจัยเสี่ยงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีปัจจัยดังกล่าวจะเกิดโรคเสมอไป คงมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายอย่าง

การพยากรณ์โรค
             1. อายุ  ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยจะมีการพยากรณ์โรคดีกว่าผู้ป่วยที่มีอายุมาก

             2. ความผิดปกติทางสารพันธุกรรม พบว่าใน AML สามารถบอกการพยากรณ์โรคของผู้ป่วยได้ตามโครโมโซมที่พบ ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ
                2.1 กลุ่มที่มีการพยากรณ์โรคดี ได้แก่ พวกที่มี  t(8;21); t(15;17) และ inv(16)
                2.2  กลุ่มที่การพยากรณ์โรคปานกลาง ได้แก่ กลุ่มที่มีโครโมโซมปกติ หรือความผิดปกติอื่นๆ  นอกจากข้อ  2.1,  2.3 กลุ่มที่มีพยากรณ์โรคไม่ดี ได้แก่ คนที่มี  -7, 7q-, -5, 5q-, 11q23, 3q21, +8, พวกที่มี multiple chromosome abnormalities หรือรายที่เป็น  MDS  นำมาก่อน

อาการและอาการแสดง
             อาการซีดและเหนื่อยง่าย เป็นอาการสำคัญที่พบบ่อยมาก เหตุจากการที่ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงได้ตามปกติ
             อาการเลือดออกง่าย มีสาเหตุมาจากเกล็ดเลือดต่ำ เนื่องจากไขกระดูกสร้างได้น้อยลง จะพบจุดเลือดออกบริเวณแขนขา เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล ประจำเดือนออกมาก อาจมีเลือดออกในจอประสาทตา ทำให้ตามัวได้  ถ้ามีภาวะเลือดออกในสมองมักจะรุนแรงและทำให้เสียชีวิตได้
             อาการไข้ มักเป็นอาการสำคัญที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ อาจจะมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ  หรือเกิดจากตัวโรคเอง
             เหงือกบวมโต (gum hypertrophy) พบได้ประมาณร้อยละ  25-50 ของผู้ป่วย
             น้ำหนักลด เป็นอาการแสดงสำคัญ พบได้ถึงร้อยละ  70  ของผู้ป่วย
             อาการปวดกระดูกหรือปวดตามข้อ ในระยะแรกมักจะพบน้อย แต่พบได้บ่อยในระยะที่โรคลุกลามไปมาก
             อาการทางสมอง มักจะมีการดำเนินโรครุนแรงจนทำให้เสียชีวิต มีอุบัติการณ์เฉลี่ยร้อยละ 10-30 ผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน คอแข็ง อัมพาตของเส้นประสาท เป็นต้น

เกณฑ์การวิ นิจฉัย
             เกณฑ์การวินิจฉัยที่สำคัญ คือ การพบเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว (blast cells) อย่างน้อยร้อยละ 30  ของเซลล์ทั้งหมดในไขกระดูก

การรักษา
1. การรักษาแบบประคับประคอง (supportive care) หมายถึงการรักษาอย่างอื่นๆ  นอกเหนือจากการให้เคมีบำบัด
             1.1. การให้ส่วนประกอบของเลือด ให้เกล็ดเลือดเข้มข้น เพื่อให้ระดับของเกล็ดเลือดในเลือดสูงเกิน 20 x 109/ลิตร
                   - ให้เม็ดเลือดแดงเข้มข้น เมื่อผู้ป่วยซีดหรือระดับ Hct ต่ำกว่า  24-25%  ในรายที่อายุน้อย  หรือต่ำกว่า  28-30 %  ในรายที่อายุน้อยมาก

             1.2. ผู้ป่วยที่มีไข้มากกว่า 38 องศาเซลเซียส และมีจำนวนของเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophil  ต่ำกว่า 0.5 x 109/ลิตร แพทย์จะทำการสืบค้นเบื้องต้นเพื่อหาตำแหน่งของการติดเชื้อ แล้วพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะชนิดครอบคลุมกว้างขวางเข้าหลอดเลือดดำ

             1.3. ผู้ป่วยที่มีกรดยูริคสูง จะให้ยาต้านกรดยูริค (allopurinal)  300 มก/วัน  แต่มีผลข้างเคียงที่ควรระวังในผู้สูงอายุหรือมีโรคไต

             1.4. พิจารณาการแยกส่วนประกอบของเลือด โดยแยกเฉพาะเม็ดเลือดขาวออก (leukapheresis)  ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวมากกว่า 100 x 109/ลิตร  หรือมีอาการของอวัยวะต่างๆ ขาดเลือดจากการที่เม็ดเลือดขาวจำนวนมากไปอุดตันการไหลเวียนของเลือด เช่น มีอาการทางปอด มีหอบเหนื่อย แน่นหน้าอก หรืออาการทางสมอง เช่น ปวดศีรษะ ซึม สับสน หรือ ชัก เป็นต้น

เปิดโผ 10 อาชีพที่เครียดที่สุดในปี 2011

|0 ความคิดเห็น
เปิดโผ 10 อาชีพที่เครียดที่สุดในปี 2011

คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันโลก ของเรามีปัญหารุมเร้ามากมาย เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2011 เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม ดินถล่ม พายุฝนตก หิมะตกหนัก โลกร้อน ฯลฯ ซึ่งจากการที่หลายพื้นที่ หลายประเทศต้องประสบปัญหาทางภัยพิบัติทางธรรมชาติเหล ่านี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย ์สินเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น ด้านสุขภาพ มลพิษทางอากาศ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ฯลฯ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ถือเป็นปัญหาที่หลายประเทศกำลังประสบในขณะนี้ หลายประเทศรายได้ของคนส่วนใหญ่ยังเท่าเดิม อีกทั้งยังต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงต่ออาชีพในอนาคต แต่ค่าครองชีพกลับพุ่งสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความเครียด ทั้ง นี้ ผลการสำรวจล่าสุดของสมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาได ้ออกมายืนยันแล้วว่า ลูกจ้างกว่า 70% กล่าวว่า งานเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขาเกิดความเครียดสำหรับการสำรวจภาพรวมของอาชีพต่าง ๆ รวม 200 อาชีพของสมาคมจิตวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่า 10 อาชีพที่สร้างความเครียดได้มากที่สุดในปี 2011 นี้ มีดังนี้
1. นักบิน
อันดับความเครียด 199
 คะแนน 59.53
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน 91 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงาน 9
 รายได้ต่อปี $106,153.00

นักบินของสายการบินพาณิชย์ต่าง ๆ มีระดับความเครียดสูง เนื่องจากพวกเขาจะต้องรับรองความปลอดภัยของผู้โดยสาร หลายชีวิตในแต่ละเที่ยว บิน อีกทั้งยังต้องทำงานภายใต้ระยะเวลาที่เข้มงวด เนื่องจากพวกเขาต้องนำเครื่องบินลงสู่ที่หมายให้ตรงต ามเวลาไม่ว่าสภาพอากาศ จะเป็นเช่นใดก็ตาม

2. เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์

 อันดับความเครียด198
 คะแนน47.60
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน111 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงาน9
 รายได้ต่อปี $90,160.00

เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของบริ ษัท ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสร้างและรักษาภาพลักษณ์ของบริษั ทให้ดีต่อหน้าสาธารณชน และยังต้องคอยนำเสนองานต่าง ๆ ต่อหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ

3. ผู้บริหารระดับสูง

 อันดับความเครียด 197
 คะแนน47.41
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน143 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงาน11
 รายได้ต่อปี $161,141.00

ผู้บริหารระดับสูงจะต้องมีหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนก ารต่าง ๆ ภายในบริษัท ในขณะเดียวกัน ก็ต้องสามารถประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ได้โดยตรง ผู้บริหารระดับสูงนี้มักจะถูกคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู ้ที่มีความรอบรู้ใน เรื่องราวต่าง ๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง และมีทัศนวิสัยกว้างไกล มองสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรอบด้าน นอกจากนี้พวกเขายังต้องเผชิญความเครียดเนื่องจากเขาเ ป็นผู้ชี้ชะตาของบริษัท หากตัดสินใจผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้บริษัทถึง กับล้มละลายได้ภายใน พริบตา


4. ช่างอัดรายการข่าวโทรทัศน์
 อันดับความเครียด 196
 คะแนน47.09
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน113 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงานขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท
 รายได้ต่อปี $40,209.00

ช่างอัดรายการข่าวโทรทัศน์จะต้องรู้จักจับภาพจากเรื่ องราวต่าง ๆ ให้ปะติดปะต่อสอดคล้อง และเน้นจุดสำคัญให้ได้โดยผ่านเลนส์ และในบางครั้งพวกเขาก็ต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อให้ได้ข ่าวมาเนื่องจากความ อันตรายของพื้นที่ที่ทำข่าวแล้ว ยังมีกำหนดเวลาส่งงานที่เข้มงวด และปัญหาความผิดพลาดทางเทคนิคที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในบ างครั้ง


5. ผู้สื่อข่าว อันดับความเครียด 190
 คะแนน43.56
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน129 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงาน8
 รายได้ต่อปี $50,456.00

ผู้สื่อข่าวจะต้องเตรียมข่าว และถ่ายทอดข่าวออกอากาศให้กับผู้ชมทางโทรทัศน์ โดยปกติพวกเขาจะต้องถ่ายทอดข่าวแต่ละวันจากสตูดิโอ แต่บางครั้งก็ต้องออกภาคสนามเช่นกัน ซึ่งใน 24 ชั่วโมง มีข่าวต่าง ๆ มากมายเข้ามาเรื่อย ๆ จึงทำให้พวกเขาค่อย ๆ สะสมความเครียดเข้าไป นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันส ูงจากการหาข่าวแข่งกับ ที่อื่น ๆ และต้องอัพเดทข่าวให้เร็วที่สุด

6. เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชี

 อันดับความเครียด 189
 คะแนน41.05
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน135 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงาน9.5
 รายได้ต่อปี $62,105.00

เจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายบัญชีจะเป็นผู้ดูแลบัญชีของบริ ษัท ซึ่งพวกเขาจะต้องใช้สมองอย่างหนักในการคำนวณเลขมากมา ยให้ถูกต้องแม่นยำ พิจารณารายละเอียด และทำงานได้สำเร็จลุล่วงตามกำหนดเวลาอย่างเข้มงวด ดังนั้นจึงส่งผลให้พวกเขาเกิดภาวะกดดันทางอารมณ์และม ีอาการเครียดเรื้อรัง ตามมาได้

7. สถาปนิก

 อันดับความเครียด 185
 คะแนน39.93
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน88 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงาน8+
 รายได้ต่อปี $73,193.00

สถาปนิกจะต้องวางแผน ออกแบบ และควบคุมตรวจตราโครงสร้างของอาคารที่พักต่าง ๆ ซึ่งจะต้องมีการคำนวณอย่างแม่นยำก่อนจะส่งให้กับผู้ร ับเหมาก่อสร้างต่อไป ดังนั้นสถาปนิกจึงต้องจัดการกับความเครียดและความกดด ันจากการออกแบบวางแผน เพื่อไม่ให้งานเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้เลย


8. นายหน้าค้าหุ้น
 อันดับความเครียด 184
 คะแนน39.70
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน98 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงาน8
 รายได้ต่อปี $67,470.00

นายหน้าค้าหุ้นจะช่วยให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนหุ้นทำไ ด้อย่างสะดวกมากยิ่ง ขึ้น และพวกเขาต้องคอยเกาะติดกับความผันผวนของหุ้นแต่ละตั วซึ่งมีอยู่เป็นจำนวน มาก ดังนั้นความเครียดของพวกเขาก็ผันผวนตามการขึ้นลงของห ุ้นในตลาดเช่นเดียวกัน


9. เวชกิจฉุกเฉิน (EMT)
 อันดับความเครียด 183
 คะแนน39.68
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน100 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงานขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่
 รายได้ต่อปี $30,168.00

เวชกิจฉุกเฉิน(EMT) คือ เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉินและผ ู้ได้รับบาดเจ็บจาก อุบัติเหตุและภัยพิบัติในสถานที่เกิดเหตุ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตผู้ป่วยที่อยู่ในมือพว กเขาในทันการในการนำผู้ ป่วยจากที่เกิดเหตุมายังโรงพยาบาล อีกทั้งเวลาการทำงานไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับการแจ้งเหตุของผู้ป่วย


10. นายหน้าอสังหาริมทรัพย์
อันดับความเครียด 181
 คะแนน38.57
 ลำดับความต้องการในตลาดแรงงาน31 จาก 200
 จำนวนชั่วโมงทำงาน9.5
 รายได้ต่อปี $40,357.00

นายหน้าอสังหาริมทรัพย์จะเป็นคนกลางระหว่างผู้ซื้อแล ะผู้ขายในธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ พวกเขาจะต้องทำงานอย่างยาวนาน ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์ และทำงานที่น่าเบื่อ ซ้ำซากจำเจโดยต้องคอยเปิดตัวอย่างบ้านให้กับลูกค้าดู ทีละราย นอกจากนี้จากสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ บวกกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันของธุรกิจนี้อย่างสูง ดังนั้นอาชีพนี้จึงสร้างความเครียดให้กับพวกเขาได้ไม ่น้อยเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม ในชีวิตการทำงานทุกอาชีพก็ล้วนมีความเครียดด้วยกันทั ้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะรับมือและแก้ไขปัญหากับงานที่เราทำ และเราแฮปปี้แค่ไหนกับงานที่ทำ หากเรารักงาน รักในอาชีพ ต่อให้งานหนัก หรือเครียดแค่ไหนรับรองผ่านไปได้แน่นอน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

น้ำผลไม้ และ ความสำคัญ

|0 ความคิดเห็น
น้ำผลไม้ และ ความสำคัญ  

น้ำผลไม้ และ ความ สำคัญกับสุขภาพ ในปัจุบัน การบริโภค น้ำผลไม้มียอดเพิ่มขึ้นทั่วโลก เพราะ ทุกคนตระหนักแล้วว่าเครื่องดื่ม ประเภทนี้ ไม่เพียงช้วยดับกระหายเท่านั้น แต่ยังมีสารอาหาร มากมายด้วย

ในประเทศไทย จำนวนคนที่ ดื่ม น้ำผลไม้เป็นประจำมีเพิ่มขึ้น อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ กลุ่มคนที่มีฐานะดี น้ำผลไม้ อุดมไปด้วย วิตามิน ซีและเอ ซึ่งมีประโยชน์ แก่ร่ายกายในการป้องกันโรค

บางประเทศ นั้นให้ความสารคัญของการ กินผักผลไม้ มาก ใน ทวีปเอเชีย เช่น ฮองกง รัฐบาล มีการรณรงค์ ให้ประชาชน รับประทาน ผลไม้สามส่วน และ ผัก อีกสองส่วน เป็นประจำทุกวัน

สิ่งที่เห็นได้ว่า ประชาชนให้ความสำคัญต่อการดื่มน้ำ ผักผลไม้มากขึ้น เช่น บาร์ หลายแห่ง หันมาจำหน่ายน้ำผลไม้ด้วย แสดงว่าคนหนุ่มสาว กำลังนิยม และดื่ม น้ำผลไม้ มากขึ้น

ปัจุบัน ผู้บริโภค เริ่ม มองหาน้ำผลไม้ไม่เติมน้ำตาลมากขึ้น คนทั่วไป ชอบน้ำผลไม้ บรรจุกระป๋อง เพราะความสะดวก เก็บไว้ได้นาน ราคาย่อมเยา และ รสชาติอร่อย

คนทั่งไปเริ่มซื้อน้ำผลไม้มารับประทานที่บ้าน หลายคน ตระหนักว่า น้ำผลไม้สำคัญต่อภาวะ โภชนาการ ดังนั้นในแต่ละวัน ผู้คนจึงดื่มน้ำผลไม้มากพอสมควร

น้ำผลไม้เหมาะกับ โอกาสต่างๆ ไม่จำกัด ทำให้ น้ำผลไม้เป็นขวัญใจ ของผู้บริโภค จน อดใจไว้ไม่ได้

ไวน์แดง ชะลอความ แก่
 สารอาหารใน ไวน์แดง ชะลอความ แก่ จะดีเพียงใดหากมียา ที่ทำให้คุณปราศจากโรค ร้าย ยามชรา นักวิจัยสถานบันคนชรา แห่งชาติ อเมริกา และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า

สาร เรสเวอทรอลใน ไวน์แดง อาจมีคุณสมบัติ ชะลอความแก่ เมื่อทดลอง โดย นำหนูทดลองกินอาหารที่มีไขมันสูงเพื่อกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวาน ผลปรากฏว่าหนูที่ได้รับสาร เรสเวอทรอล มีอายุยืนยาวกว่าหนูที่ไม่ได้รับสารนี้

ยังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับการทำงานของสาร เรสเวอทรอลใน ไวน์แดง นี้ แต่พบว่า มีประสิทธิภาพของการ จัดการกับพลังงานอาหารที่ร่างกายได้รับ การรับประทานไวน์แดงเพื่อ รับ สาร เรสเวอทรอล ในปริมาณที่มากพอ คงไม่ใช้เรื่องง่ายนัก เพราะมีผลข้างเคียงของแอลกอฮอล์

ดังนั้น บริษัท ผลิตยาจึง พยายาม พัฒนาเป็นยาเม็ด และ นำมาวิจัยว่า จะสามารถใช้กับมนุษย์ ได้ผลเหมือน กับหนูทดลองหรือไม่




 

กินผัก ต้านมะเร็ง

|0 ความคิดเห็น
กินผัก ต้านมะเร็ง  

ข่าวสาร การทดลอง ทางการแพทย์ จาก ประเทศ อเมริกา ผลวิจัยล่าสุด สุดหล้า จากนักวิทยาศาสตร์ จากศูนย์สุขภาพมหาวิทยาลัย แม็กกิล เปิดเผยคือ การไม่รับประทาน อาหารที่มี โฟเลต ต่ำ อาจเพิ่มโอกาสเป็นโรคมะเร็งรำใส่ใหญ่ โฟเลตคือ วิตามิน ที่ พบ ได้ใน พืช ผักสวนครัว ผลไม้ และ ถั่ว

การศึกษาในหนูทดลองพบว่าปริมาณสารอาหารจาก พืชพัก โฟเลส ในอาหาร มีความสำคัญ การเกิดมะเร็งลำใส้ใหญ่ในหนูทดลอง ดร. ริมา โรเซน ผู้อำนวยการฝ่ายวิทยาศาสตร์การแพทย์ของ โรงพยาบาลเด็กมอนทรีออล และ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิทยศาสตร์ ของ มหาวิทยาลัย แม็กกิล อีกทั้ง หัวหน้า คณะวิจัย จัดงาน

แถลงข่าว เปิด เผยว่า หนูทดลองที่ได้รับ สารอาหารประเภท โฟเลต ไม่มีตัวใดเป็นมะเร็ง เลย แต่หนึ่งในสี่ ของหนูที่ขาด โฟเลตมีก้อน มะเร็ง อย่าง น้อย หนึ่งก้อน

ช็อกโกแลต กับ สุขภาพ

|0 ความคิดเห็น
ช็อกโกแลต กับ สุขภาพ

 ช็อกโกแลต กับ สุขภาพ ทำไม คนเรา จึงชอบกิน ช็อกโกแลต นั้น เหตุผล สำหรับข้ออ้างที่ดี

จากการวิจัย ข้อมูลใหม่พบว่า การกินช็อกโกแลต เล็กน้อย ช้วยป้องกันหลอดเลือดอุดตัน และโรคหลอดเลือดหัวใจ

งานวิจัย ล่าสุดจาก มหาวิทยาลัยจอนห์ฮอปกินส์ พบว่า หลอดเลือด ของผู้กิน ช็อกโกแลต เป็นประจำ มีโอกาศเกิดลิ่มเลือดช้ากว่า ผู้ที่ไม่กิน

สาร ฟลาโวนอยด์ ในเม็ดโก้โก้ มีฤทธิ์ละลาย ลิ่มเลือด เช่น เดียวกับ ยาแอสไพริน

หากต้องการ กินช็อกโกแลต เพื่อ สุขภาพ ควรเลือก กิน ช็อกโกแลต ดำ ซึ้งมีน้ำตาลและไขมันน้อยกว่า ช็อกโกแลตนม มาก


สุขภาพผู้หญิงวัยทำงาน

|0 ความคิดเห็น
สุขภาพผู้หญิงวัยทำงาน
สุขภาพ
สุขภาพของเรานั้น สำคัญยิ่งนัก และสุขภาพดีนั้น
เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากมี แต่จะมีสักกี่คนกันที่มีสุขภาพดีโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย มันคงเป็นไปไม่ได้เลย ที่คนเราจะมีสุขภาพดี โดย ที่ไม่ต้องทำอะไรเลย การที่เราจะมีสุขภาพดีนั้น เราต้องดูแลตัวเอง หลายด้านมาก เช่น อาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อนนอนหลับ ยิ่งสำหรับผู้หญิง ยิ่งต้องสนใจและดูแลตัวเองเป็นพิเศษ ทั้งในเรื่องของสุขภาพร่างกาย สุขภาพผิว และสุขภาพจิตใจ คงไม่มีผู้หญิงคนใหนปรารถนาที่จะมีลอยตีนกาบนใบหน้า หรือความเหี่ยวย่นของผิวหนังอยู่บนหลังมือ หรือความหย่อนยานของกล้ามเนื้อต้นแขนเป็นแน่นอน แต่ด้วยความจริงที่ว่า เมือเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอย และความเหี่ยวย่นเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ อยากให้ริ้วรอยลดลง ความเหี่ยวย่นลดลง แถมยังมีกระดูกที่แขงแรง มีสุขภาพดี และมีพลังมากกว่าที่เป็นอยู่ การดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่สนใจสุขภาพน้อยลง ปัญญหาสุขภาพจึงเป็นปัญญหาใหญ่สำหลับหลายคน ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องหันมาสนใจสุขภาพของตัวเอง ให้เวลากับตัวเอง ดูแลเรื่องอาหาร ออกกำลังกายสะบ้างผิวหนังจะได้เต่งตึงดูสดใสมีชีวิตชีวา

เรื่องไม่ลับสำหรับผู้หญิงวัยทำงานคะ

ผู้หญิงวัยทำงานอย่างเรา ๆ ต้องพกความมั่นใจมาเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว หลายคน มองว่าผู้หญิงที่มีความมั่นใจสูงจะประสบความสำเร็จในชวิตสูง เรามาค้นหาความลับของผู้หญิงวัยทำงานกัน เค้ามีความลับอะไร ถึงได้ ประสบความสำเร็จในชีวิต หลายคนมองว่า ผู้หญิงทำงานอย่างเรา ต้องทำงานหลายชัวโมงต่อวัน เราจะต้องทำอย่างไรให้ดูมั่นใจตลอดเวลา มีหลายอย่างด้วยกันที่ต้องดูแล และเรียกความมันใจให้กับตัวเอง ดิฉันมีเคล็ดลับ มาฝากกันคะ
ความมั่นใจคือส่วนสำคัญในการก้าวสู่ความสำเร็จ การรักษาสุขภาพอนามัยจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เมื่ออยู่นอกบ้านหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับคนอื่น ดังนั้นก่อนใช้ควรทำความสะอาดอาจใช้กระดาษทิชชูทับในกรณีที่เป็นห้องน้ำแบบชักโครก ถ้าเป็นห้องน้ำแบบราดน้ำควรราดด้วยน้ำสะอาดก่อนใช้ และผู้หญิงวัยทำงานอย่างเรา ควรพกทิชชูติดตัวไว้เวลาเข้าห้องน้ำ เพื่อใช้ซับป้องกันการเกิดความอับชื้นเพราะในห้องน้ำที่อื่นอาจไม่มีทิชชูเตรียมไว้ให้ ส่วนการทำความสะอาดช่วงที่มีประจำเดือนทำได้โดยล้างน้ำสะอาด อาจใช้สบู่อย่างอ่อนหรือสบู่เหลวอนามัยเฉพาะที่ร่วมด้วยก็ได้ โดยล้างเฉพาะภายนอก ไม่ควรสวนล้างเข้าไปภายในเพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ส่วนเรื่องเสื้อผ้านั้นไม่ควรใส่ชุดทำงานหรือชุดชั้นในที่คับเกินไป ทำให้ไม่มีอากาศถ่ายเทอีกทั้งชุดที่คับยังทำให้เกิดการเสียดสี ระคายเคือง หรือคัน ซึ่งถ้าเกาอาจเป็นแผลจนเกิดการติดเชื้อ เช่น ผ้าฝ้าย หรือผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ
และยังมีอีกหลายเรื่องที่เราควรจะทราบ สุขภาพของเราเอง ความงามบนใบหน้า การตั้งครรภ์ หรือแม้นแต่เรื่องการแต่งตัวที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้หญิงวัยทำงานอย่างเรา

เริ่มต้นดูแลสุขภาพของเรากันเถอะ

เลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ บวกด้วย น้ำผลไม้สด ที่สำคัญอย่าทานมากจนเกินไป เพราะว่าเราก็ ไม่ต้องการให้อ้วนด้วยใช่ใหม่คะ
ออกกำลังกายเป็นประจำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ ไม่ต่ำกว่า ครึ่งชั่วโมง การออกกำลังการควรทำเป็นประจำเนื่องจาก การที่คนเราได้ขับเหงื่อออกบ้างจะให้ให้รู้สึกว่า ผิวพรรณสดใส่ขึ้นและนอกจากนั้นยังช่วยต้านโรคด้วยคะ
ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และก็ ไม่สูบบุหรีด้วยคะ เครื่องดืมที่มีแอกอฮอล์ทำให้เราดูแก่เร็วขึ้น แต่มีสถาบันการแพทย์หลายแห่งบอกว่าการดืม วายล์แดง วันละแก้ว จะทำให้สุขภาพดี อันนี้ก็เป็นความเชื่อสวนตัวนะคะ ส่วนตัวดิฉันแล้วดืมวายล์แดง วันละนิดคะทำให้หลับสนิทสบายตลอดคืนคะ
ความเครียด การที่คนเรามีความเครียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว ก็เป็นเหตุทำให้ ความแก่มาเยือนได้เร็วเหมือนคะ พยายามหลีกเลี่ยง ความเครียด ไม่ให้เกิดกับตัวคุณ จะทำให้คุณรู้ว่า โลกนี้น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยทีเดี่ยวคะ

สุขภาพที่ดีนั้นเราหามาได้โดยไม่ต้องซื้อคะ ใครดูแลตัวเองดีคนนั้นก็ได้รับ ความมีสุขภาพดีไปแล้วท่านละคะเริ่มดูแลสุขภาพของท่านอย่างไร

อยากเป็นสาวมั่น……ฟังทางนี้คะ
อยากเป็นสาวมั่น ไม่ยากเลยค่ะ เรามีวิธีง่ายๆ ที่สาว ๆ เห็นแล้วก็บอกว่าตัวเองก็ทำได้

จงมีความเชื่อมั่นในตัวเองก่อนที่จะทำให้คนอื่นเชื่อมั่นตัวคุณ
เป็นตัวของตัวเองโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
มองโลกและตัวเองในแง่ดี อย่าคิดไปเองว่าคนอื่นจะว่าหรือคิดไม่ดีกับตัวเรา
ลบคำสบประมาท ด้วยการพิสูจน์ว่าคุณทำได้
จดจำช่วงเวลาที่ดีและความสำเร็จของคุณเอาไว้ เพื่อเป็นกำลังใจตัวเองเสมอ
ทำตัวให้ร่าเริงยิ้มให้กับทุกคนและบอกความเป็นตัวคุณด้วยความเป็นตัวคุณ
ลองทำกันดูนะคะ เป็นสาวมั่นไม่ยากเลยค่ะ สาวมั่นที่สาว ๆ ทุกคนอยากเป็นและก็เป็นได้ไม่อยากคะ
สิ่งที่หนุ่มสาวออฟฟิศไม่ควรคิดใส่มาทำงาน
หนุ่มสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ที่ต้องทำงานประจำจันทร์ – ศุกร์ เริ่มงานเช้า เลิกงานดึก มักจะไม่มีเวลาพิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้าที่จะแต่งตัวมาทำงานมากนัก จนบางครั้งอาจพลาด และเกิดอาการหน้าแตกต่อหน้าผู้คน ทำให้อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเดี๋ยวนั้น วันนี้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว เพราะเดลินิวส์ออนไลน์มีคำแนะนำง่าย ๆ ในการแต่งตัวมาฝาก
สำหรับผู้หญิง

สั้น สั้น สั้น คำนี้ต้องท่องจำให้ขึ้นใจว่า นี่คือการมาทำงาน ไม่ได้มาเที่ยวชิล ๆ เพราะฉะนั้นจะมาแต่งตัวตามสบาย ใส่กระโปรงสั้น เสื้อแขนกุด รองเท้าสาน คงไม่ควรแน่ เก็บชุดเหล่านี้เอาไว้ แพ็คกระเป๋าไปเที่ยวทะเลรับลมในวันพักร้อนจะเหมาะกว่า เพราะไม่เช่นนั้น ขอเตือนว่า อนาคตการทำงานของคุณอาจจะสั้นกว่ากระโปรงที่คุณใส่ก็เป็นได้
วี้ด ….วิ้ว หากไม่อยากถูกคนที่ทำงานตะโกนแซวให้อับอาย ก็ควรสำรวจตัวเองให้ดีก่อนก้าวเท้าออกจากบ้าน ว่าชุดที่ใส่เรียบร้อยแล้วหรือยัง เพราะหลายคนมักพลาดในเรื่องง่าย ๆ เช่น ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวมองเผิน ๆ ก็ดูเรียบร้อยดี แต่กลับสวมชุดชั้นในสีดำ ให้เห็นเด่นดำ ท้าทายสายตาผู้พบเห็น อย่างนี้ไม่ควรแน่
วิบ ๆ วับ ๆ จริงอยู่ เทรนด์แต่งหน้า แต่งตัวแบบวิบ ๆ วับ ๆ เป็นประกายส่องสะท้อนแสงไฟนั้นกำลังมา แต่อยากให้ลองนึกภาพดูว่า ถ้าคุณแต่งตัวเหมือนจะไปเที่ยวดิสโก้ แต่กลับมาสะท้อนแสงนีออนในออฟฟิส คงไม่น่าดูแน่ เก็บเทคนิคการแต่งหน้าและชุดเหล่านั้นไว้ไปสนุกหลังเลิกงานกับเพื่อน ๆ จะดีกว่าไหม
สำหรับผู้ชาย

หนุ่มมาดเซอร์ หลายคนมักจะเลือกแต่งตัวมาทำงานในสไตล์แบบอาร์ตติสตามใจฉัน คือใส่กางเกงยีนส์ขาด เสื้อแจ๊กเก็ต เข็มเข็ดหรือรองเท้าหนังที่มีลวดลายแปลกตามาทำงาน นี่อาจเป็นสไตล์การแต่งตัวที่ดูเท่ห์มาก ถ้าคุณมีอาชีพเป็นนักร้องเพลงร๊อค แต่คงไม่เหมาะแน่ถ้าคุณเป็นพนักงานออฟฟิศ และต้องการภาพลักษณ์ที่ดูดี และน่าเชื่อถือจากใครสักคน
ทหารมาแล้ว ถ้าไม่อยากให้เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานเรียกคุณว่า “จ่า” กรุณาเก็บเสื้อลายทางสีเขียว กางเกงลายทหาร และรองเท้าคอมแบตไว้ในตู้เสื้อผ้าที่บ้าน เพราะเพื่อนร่วมงานคงไม่อยากคิดว่ากำลังนั่งประชุมงานอยู่ในค่ายทหาร เพื่อวางแผนจะไปออกรบแน่


คาวบอยสุดฮอต ชุดและหมวกคาวบอยปีกกว้าง อาจทำให้คุณดูเป็นผู้ชายอบอุ่นและไปกันได้ดีในหน้าหนาว และถึงแม้ผู้หญิงบางคนอาจจะมองว่าคุณเป็นพ่อหนุ่มคาวบอยสุดเซ็กซี่ แต่คงไม่ใช่เหตุผลเพียงพอหากคุณต้องการเป็นมืออาชีพในสายตาเจ้านาย

เอาเทคนิคการออกกำลังกายมาฝาก

|0 ความคิดเห็น
เอาเทคนิคการออกกำลังกายมาฝาก

โรควุ้นในลูกตาเสื่อม" สำคัญมากสำหรับคนเล่นคอม

|0 ความคิดเห็น
โรควุ้นในลูกตาเสื่อม" สำคัญมากสำหรับคนเล่นคอม  

คนที่เล่นคอมพิวเตอร์เกือบทุกคนเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม'

ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค 'วุ้นในลูกตาเสื่อม' ถึง 14 ล้านคนแล้วจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์

นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะครับคนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก้อเป็นมากขนาดไหน?

อาการก็คือ==คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมาเหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะครับ
จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา

ถ้าอาการมากกว่านั้นก็คือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ)
และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด(ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่?)

สาเหตุของโรคนี้คือ ==' การใช้สายตามากเกินไป' (เล่นคอม) แต่ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอยที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ
แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม
(คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ)

ถามว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก?
ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์, อ่านไดอารี่,อ่านบทความ! ,อ่านหนังสือหรืออะไรก้อตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้นเพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ 'ระยะห่างระหว่าง
ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่ แน่นอนเพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน
กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่

แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณ์เป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด
สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส(เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป )

( และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ)
การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน บวกกับ ลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง
เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก้อ ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ

แต่ การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ
จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน
แต่ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้าง หรือลูกกลิ้งบนม้าส์นั้น
มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู)

มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตา จะต้องลากลูกตาเลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด

บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้น บางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้ว ว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย
ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จ
คุณจะปวดตามากๆๆ อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน
สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง
(ที่นิยมก้อคือตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง
ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป

หรือไม่ก้อ ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ
มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด เพราะเวลาเล่นเกมส์
ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ


สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน
กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก 'ทำให้สายตาเสีย'

2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต
มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย
การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เอง ที่ทำให้สายตาเสีย

3.การก้มๆเงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา 'ทำให้สายตาเสีย '

4.การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว 'ทำให้สายตาเสีย'

( ข้อนี้ คล้ายๆ กับ การเปิดดูทีวี ในห้องมืดๆ เป็นประจำแล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน)

5.การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน !!

(จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพ ดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ !!)

เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12นิ้ว)

แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น

ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่ อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา)



ที่มา : http://www.dek-d.com

มาตรวจภายในกันเถอะ

|0 ความคิดเห็น
มาตรวจภายในกันเถอะ  

มาตรวจภายใหนกันเถอะ
พอถึงเรื่งอตรวจภายใหนทำให้ผู้หญิงหลายท่านเกิดความอาย หรือไม่กล้า แต่จริง ๆ แล้วการตรวจภายในเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับผู้หญิง เพราะมะเร็งเป็นโรคที่น่ากลัวมากสำหรับผู้หญิง ผู้หญิงต้องทำการตรวจอยู่สองอย่างเป็นหลัก คือ มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม เราจะทำการตรวจถื่แค่ใหน อันนี้เป็นคำแนะนำ แต่ถ้าให้ดีก็ควรถามคุณหมอประจำตัวของท่านนะคะ
อายุ และความถี่ของการตรวจ
21 – 29 ให้ตรวจปีละครั้ง
30 – 69 ให้ตรวจทุก 2-3ปีหากการตรวจ 3 ครั้งหลังให้ผลปกติ
70 และมากกว่า ให้หยุดตรวจเมื่อการตรวจ 3 ครั้งหลังและ 10 ปีที่ผ่านมาผลการตรวจปกติ

วิธีสังเกตผู้ชายโกหก
จับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย : เช่น จับจมูก จับหู ถูคอ เจออาการแบบนี้ เตรียมตัวตั้งได้รับเลย
กลอกตาไปมา : กำลังใช้ความคิดอย่างหนักเลย ว่าจะทำยังไงดี
ชะงักก่อนตอบ : คนที่พูดความจริงจะไม่ชะงัก เพราะไม่ต้องคิดอะไร ตอบออกไปได้เลย
โวยวายใส่ : กำลังถาม ๆ อยู่ ทำไมถึงโวยวายใส่นะ ก็เพราะเขากลบเกลื่อนความผิดอยู่ โวยวายใส่จะได้เลิกถาม
กระพริบตาบ่อย ๆ : คนโกหกจะกระพริบตาบ่อย เพราะปกปิดความจริงที่จะออกมาทางแววตา
ไม่กล้าโชว์มือ : เวลาคนเครียด สังเกตดี ๆ คนโกหกมือจะไม่อยู่นิ่ง จับนั่นจับนี่ตลอดเวลา
รู้อย่างนี้แล้ว ลองนำไปสังเกตคนรักดูได้ เพราะอาจจะจับโกหกได้.

ข้อมูลดี ๆ จาก snook.com

ถึงสาว ๆ รับมือวันแดงเดือน

เมื่อใกล้มีประจำเดือน ผู้หญิง 80% ทั่วไป จะมีอาการของรอบเดือน มักเกิดความไม่สบายทางร่างกายและจิตใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นอาการป่วยชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้หลายคนต้องสูญเสียสัมพันธภาพกับคนรัก บางคนตัดสินใจด้านธุรกิจผิดพลาดไปในช่วงนี้
อาการไม่สบายขณะมีประจำเดือนจะพบได้หลากหลายมากกว่า 150 ชนิด สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่

กลุ่มแรกเรียกว่าอาการเจ้าน้ำตา
จะมีอาการหดหู่ ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ ตัดสินใจอะไรยากขึ้น สับสนและหลงลืมบ่อยๆ นอนไม่พอ เหนื่อยง่าย รู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อน ผู้ที่มีอาการแบบนี้ระหว่างมีประจำเดือนควรดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดี บริโภคอาหารไขมัน ต่ำให้มาก เพราะเกลือและไขมันที่สูงจะไปเพิ่มระดับ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้เกิดอาการเช่นนี้ นอกจากนี้ควรหาเวลาพักเมื่อรู้สึกเหนื่อย ทำสมาธิหรือเล่นโยคะก็จะช่วยได้มาก แร่ธาตุที่จำเป็นช่วงนี้ คือสังกะสี ซึ่งจะช่วยลดอาการเศร้าหดหู่ได้

กลุ่มที่สองเรียกว่าอาการขี้โมโห
จะหมดความอดกลั้นจนระเบิดอารมณ์บ่อย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ปรวนแปรจนตามไม่ทัน วิตกกังวลกว่าปกติที่เคยเป็น หุนหัน และทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดบ่อยๆ วิธีแก้ไขอาการเหล่านี้คือบริโภคอาหารมื้อเล็กๆแต่บ่อยครั้งขึ้น อาการนี้เกิดขึ้นเพราะขาดน้ำตาลในเลือดทำให้หงุดหงิดง่าย การออกกำลังเช่นเดินหรือปั่นจักรยาน จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ควรบริโภควิตามิน บี 6ให้มาก และอย่าลืมบอกกล่าวคนใกล้ตัวด้วย เพื่อที่เขาจะได้พร้อมให้อภัยในเวลาที่คุณเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมา

อาการที่สามที่มักพบได้บ่อยๆ คือ อาการ ท้องอืด
รู้สึกว่าเต้านมบวม เนื้อเหลว มีหน้าท้องใหญ่ขึ้น น้ำหนักขึ้น มือเท้าบวมจน สังเกตได้ มีอาการบวมน้ำตามส่วนต่างๆของร่างกาย วิธี การรักษาคือต้องลดการบริโภคเกลือลง อาหารที่มีโปรตีน วิตามินบี 6 และไฟเบอร์สูงจะช่วยให้หน้าอกกระชับและตึงขึ้น หากมีอาการท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย ควรงดกาแฟและแอลกอฮอล์ก่อนมีรอบเดือน ไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์
อาการที่สี่คืออาการไม่มีแรง
โดยจะมี ปัญหาเกี่ยวกับผิวช่วงที่มีรอบเดือน เช่น สิว ฝ้า ปวดศีรษะและหลัง ไม่มีแรง ใจสั่น อารมณ์อ่อนไหวง่าย ร่างกายเจ็บปวดบ่อยโดยไม่มีสาเหตุ ขาดความกระตือรือร้นทางเพศ ควรงดอาหาร หวานจัด แอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารกระตุ้นทุกชนิด บริโภควิตามินเอ เพื่อช่วยรักษาสภาพผิว

อาการสุดท้ายคืออาการ หิวบ่อย
จะมีลักษณะอยากทานอาหารหวานจัด เช่น เค้ก หรือช็อคโกแล็ต อาหารเค็ม เช่น พิซซ่า หรือพวกถั่วอบเกลือ และจะทานมากกว่าปกติ อาจมีอาการเวียนศีรษะบ่อย อาการนี้เกิดจากการที่สารเซโรโทนินลดลง อย่างรวดเร็วในช่วงก่อนมีรอบเดือน ทำให้ต้องการคาร์โบไฮเดรตมากกว่าปกติ เพื่อให้ร่างกายใช้ของหวานไปเพิ่มสารนี้ ควรควบคุมโภชนาการให้ถูกต้อง

์ขอขอบคุณข้อมูลจาก โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องนอนดึก

|0 ความคิดเห็น
สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องนอนดึก  

ใครที่ชอบนอนดึก ๆ อาจจะทำให้เสียสุขภาพได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
 
การพักผ่อนควรเข้านอนเวลา 3 ทุ่ม เนื่องจากร่างกายต้องการเวลาในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอขับของเสียตามอวัยวะต่าง ๆ ย่อยอาหารให้หมด และถ้ากินมื้อหนักในตอนกลางคืน แถมนอนดึกอีก รับรองว่าอ้วนแน่นอน เพราะไขมันเผาผลาญไม่หมดเลยทำให้เกิดการสะสมของไขมัน

แต่ถ้านอนดึกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต้องทำงานหรือติดงานอะไรก็ตาม ควรปฏิบัติดังนี้

1. งดเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ เพราะย่อยยากลำไส้ต้องทำงานหนัก

2. ถ้าหากอยากกินเนื้อสัตว์ ก็ควรช่วยลำไส้ด้วยการเคี้ยวให้ละเอียด ยิ่งเคี้ยวละเอียดมากเท่าไหร่ยิ่งดี จะได้แบ่งเบาภาระการทำงานของลำไส้

3. ดื่มน้ำขิง ผสม น้ำผึ้ง อุ่น ๆ หรือ น้ำอุ่นธรรมดา + น้ำผึ้ง หรือถ้าไม่มีอะไรเลย น้ำอุ่นธรรมดา สัก 1 แก้วก็ได้

4. เวลานอน ควรทำให้ช่วงท้องกับฝ่าเท้าอุ่น โดยการห่มผ้า

5. มื้อดึก ควรเป็นมื้อเบา ๆ อย่างเช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ เนื้อปลา จะดีกว่า

6. ควรหลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม เพราะจะเพิ่มภาระทำให้ระบบภายในร่างกาย ร่างกายต้องความร้อนเพราะช่วยในการย่อยอาหาร หากดื่มแต่น้ำเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังมื้ออาหาร จะทำให้ร่างกายต้องพยายามปรับอุณหภูมิ ให้อุ่นเหมาะสมก่อน แล้วจึงนำไปใช้

อย่าลืมหันมาดูแลสุขภาพกัน ด้วยการไม่นอนดึกมากจนเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดี


ที่มา : http://www.dek-d.com/