ขั้นตอนการทำงานสี
ขั้นตอนแรกของการเตรียมพื้นผิว เราจะต้องเริ่มกันที่การขัดผิวก่อนนะครับ การขัดผิวนั้นเป็นหัวใจสำคัญของงานทาสีที่มีคุณภาพ เพราะจะช่วยให้พื้นผิวของเราเพิ่มขีดความสามารถในการยึดเกาะสีได้ดี แต่อย่าลืมใส่หน้ากากกรองฝุ่นสักหน่อยนะครับ จะได้ไม่หายใจเอาฝุ่นเข้าไปในปอดสวยๆ ของเรา
นอกจากนี้ บางทีช่างที่มีฝีมือดีๆ เขามักจะล้างผนังกันซะรอบหนึ่งแล้วปล่อยให้แห้งสนิทก่อนลงมือทาสี ซึ่งเหตุผลของการล้างผนังนั้นคือเพื่อล้างฝุ่นที่มักเกาะอยู่ตามผนังให้หลุดออกให้หมดเสียก่อน โดยขั้นตอนของการล้างผนัง ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแต่ใช้น้ำสบู่อ่อนๆ ล้างผนังให้ทั่ว จากนั้นค่อยล้างด้วยน้ำเปล่าอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็รอให้แห้ง (โดยปกติ ก็ประมาณ 1 วัน ดังนั้น เราจึงควรบวกเวลาเตรียมพื้นผิวในระยะเวลาทำงานเผื่อไปด้วยนะครับ)
สำหรับผนังหรือเพดานที่มีสีเดิมทาทับอยู่แล้ว ให้ดูว่าสีเก่านั้นหมดอายุหรือยัง หากยังติดแน่นทนทานดีอยู่ เราก็ขัดด้วยกระดาษทรายสักรอบหนึ่ง ก่อนที่จะล้างทำความสะอาด แล้วรอให้ผนังแห้ง แต่ถ้าสีหมดอายุแล้ว งานนี้ คงต้องหาลูกมือมาคอยช่วย เพราะสีเก่าจะเป็นฝุ่น ดังนั้น เราจึงต้องทำการล้างเอาฝุ่นสีเก่านั้น ออกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วทำการหาสีรองพื้นปูนเก่า Bager B-11090 หรือน้ำยารองพื้นสีปูนทับสีเก่า TOA Supershield Duraclean เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะของสี ก่อนที่จะทาสีจริงทับ อันนี้จำเป็นมากๆ เลยนะครับ ส่วนผนังที่เคยติด Wallpaper มาแล้ว ขั้นตอนก็จำเป็นต้องใช้แรงงานมากขึ้นไปอีก เพราะต้องลอก Wallpaper เก่าพร้อมด้วยคราบกาวทุกชนิดออกให้หมด จากนั้นจึงเริ่มขั้นตอนการเตรียมพื้นผิว ก่อนที่จะลงสีรองพื้นครับผม ภายหลังจากที่เรารอผนังให้แห้งแล้ว เราก็จะเริ่มทำการทาสีรองพื้นกันซัก 1-2 เที่ยวเสียก่อน โดยผมเคยอธิบายไปแล้วว่าเจ้าสีรองพื้นนี้มีข้อดีอย่างไรบ้าง เพียงแต่เราจะต้องเลือกสีรองพื้นให้ถูกชนิดจะช่วยให้เราประหยัดสีจริงได้มากเลยทีเดียว (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นผิวที่เป็นวัสดุพรุนอย่าง ยิปซั่ม แผ่น MDF หรือแม้กระทั่งแผ่น Viva board หากเราไม่ทาสีรองพื้นสำหรับวัสดุพวกนี้ เราจะต้องจ่ายค่าสีเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 1 เท่าตัวเลยทีเดียวครับ) ขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นหนึ่งก่อนการลงมือทาสี คือเราควรจะทำการป้องกันส่วนที่เราไม่ต้องการให้ สีเปื้อน ยกตัวอย่างเช่น โคมไฟ บัวพื้น บัวเพดาน หรือกรอบประตูหน้าต่าง ให้มิดชิดด้วยกระดาษกาวและกระดาษหนังสือพิมพ์ และเราควรระวังกระดาษกาวคุณภาพต่ำ หรือเสื่อมคุณภาพ เพราะแทนที่จะช่วยป้องกันสีเลอะ กลับจะดูดสีของส่วนอื่นๆ ให้หลุดออกมา เดือดร้อนเราต้องตามเก็บสีในภายหลังอีก สำหรับกระดาษกาวที่ผมแนะนำ จะเป็นของญี่ปุ่นนะครับ ยี่ห้อนิตโต้ ม้วนหนึ่งตกประมาณ 35 – 40 บาท อาจจะดูแพงไปสักหน่อย (เพราะต้องซื้อหลายม้วน ในกรณีที่มีพื้นที่เยอะๆ) แต่คุ้มกว่ามากครับ และในแนวที่มีการเปลี่ยนสี เช่นสีของผนังกับสีของฝ้าเพดาน เราก็จะสามารถใช้กระดาษกาวกับกระดาษหนังสือพิมพ์ในการกันแนวรอยต่อได้ด้วย พอทาสีฝ้าเพดานเสร็จ เราก็จะกันไม่ให้สีผนังไปเลอะส่วนฝ้าเพดาน พอลอกกระดาษออก รอยต่อก็จะเรียบและคมแบบมืออาชีพเลยครับ.. ต่อไปเป็นขั้นตอนการทาสีจริงละครับ ในการทาสีจริง เราจำเป็นต้องรู้เสียก่อนว่าเราจะทาอะไรบ้าง แล้วจึงจัดลำดับการทาให้ถูกต้อง โดยปกติแล้ว เราจะทาสีฝ้าเพดานก่อนแล้วค่อยทาสีผนัง จากนั้นถึงจะทาสีส่วนประตูและหน้าต่างพร้อมทั้งส่วนประกอบเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ครับ ถ้าจะให้จำง่ายๆ คือทาพื้นผิวส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างบนก่อน แล้วค่อยไล่ลงมาข้างล่าง จากนั้นจึงเก็บรายละเอียดของงาน ในการทาสี ถ้าเราต้องการให้สีเรียบเนียนสวย เราจะเริ่มทาจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง (อันนี้แล้วแต่ถนัดนะครับ) ทีละผนังจนครบทั้งห้อง โดยให้แนวของแปรงขนานกันไปเรื่อยๆ จนครบเต็มผนัง อย่าหยุดหรือพักทาสีขณะที่อยู่แนวกลางผนัง พยายามทาให้เสร็จไปเป็นผนังๆ ไป เพื่อป้องกันสีแห้งตัวไม่เท่ากัน และอาจจะเกิดอาการสีด่างได้ หลังจากทาสีไปแล้ว ก็ให้รอสีแห้งตัวตามที่ระบุไว้ในคู่มือของสีแต่ละยี่ห้อ โดยการแห้งตัวของสีแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือแห้งแบบแตะได้ กับแห้งแบบทาสีทับได้ การแห้งแบบแตะได้ เป็นการแห้งเฉพาะผิวหน้าเท่านั้น ส่วนการแห้งแบบทาสีทับได้ จะแห้งสนิทกว่า โดยมากแล้วจะกินเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครับ หลังจากนั้น เราจึงจะทาสีทับไปอีกทีละชั้น (ปกติ เราจะทาประมาณ 2-3 เที่ยว) จนกว่าสีจะ “ขึ้น” หรือจนกว่าเราจะได้สีที่เรียบเนียนสวย ปิดทับสีเดิมของพื้นผิวได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าสียังไม่ขึ้น แสดงว่าเราอาจจะทาสีบางเกินไป หรือผสมตัวทำละลายมากเกินไปก็ได้ ให้ลองตรวจดูส่วนผสมใหม่อีกครั้งนะครับ ภายหลังจากที่สีแห้งแล้ว สีจะดูขาวขึ้นกว่าตอนที่ทาเสร็จใหม่ๆ ที่เป็นแบบนี้ เป็นเพราะน้ำหรือสารละลายในสีได้ระเหยออกไป ซึ่งสีสุดท้ายที่ได้ตอนที่แห้งแล้ว ควรจะตรงกับสีที่เราเลือกไว้นะครับ เพราะฉนั้นอย่าตกใจที่เวลาทาสีแล้ว สีจะดูเข้มกว่าที่เราเลือก เพราะสุดท้าย มันจะกลับมาเป็นอย่างที่เราต้องการครับ หากเราทาสีไม่เสร็จ และต้องทำต่อในวันถัดไป ให้เราเก็บสีที่เหลือไว้ในกระป๋อง ปิดฝาให้สนิท ไม่ให้อากาศภายนอกเข้าไปได้อีก และทางที่ดีควรจะกลับกระป๋องคว่ำลงสัก 2-3 วินาที เพื่อให้สีบางส่วนไปเคลือบที่ฝา จะช่วยแก้ปัญหาสีแห้งตัวเป็นแผ่นฟิลม์ได้ครับ..แน่ะ..เคล็ดลับเชียวนะครับนี่.. วิธีการเทสีทิ้งให้ถูกต้อง คือเราต้องเตรียมถังใบใหญ่ พร้อมทั้งถุงขยะหนาๆ (อาจจะซ้อนสัก 2-3 ชั้นก็ได้) จากนั้น ให้ช่างเทสีส่วนที่เหลือลงในถุง ปล่อยไว้ให้แห้ง (ประมาณ 2-3 วัน) จึงค่อยมัดปากถุง แล้วค่อยนำไปทิ้งภายหลังครับ ซึ่งวิธีนี้ สามารถใช้ได้กับงานปูน งานยิปซั่ม และงานสีชนิดต่างๆ ในการใช้ลูกกลิ้งทาสี เราจะต้องใช้ร่วมกับ “ถาดสี” ซึ่งมีหน้าตาตามรูปนะครับ แล้วเราก็จะเทสีลงไปประมาณ 1 ใน 3 ของเจ้าถาดนี่แหละ ค่อยๆ ใช้ ลูกกลิ้งจุ่มลงไปในถาดแล้วหมุนจนสีติดเต็มลูกกลิ้งให้ทั่วแต่อย่าให้สีมากเกินไป มิฉะนั้น พอทาเสร็จ เราจะเห็นสีไหลย้อยเป็นแนว (แบบนั้น ต้องกลับไปที่ขั้นตอนการขัดพื้นผิวใหม่นะครับ) แล้วเวลาทาสีด้วยลูกกลิ้ง พอใกล้จะหมด เราจะนำลูกกลิ้งลงจุ่มสีใหม่ และเริ่มทาต่อที่บริเวณที่ยังไม่ลงสี แล้วค่อยๆ ทาเกลี่ยกลับมาที่แนวที่ทำค้างไว้ โดยเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้สีหนาเกินไปบริเวณรอยต่อ โดยมากแล้ว การทาสีด้วยลูกกลิ้งจะให้สีที่บางกว่าการใช้แปรง ดังนั้น เราอาจจะต้องทาสีมากครั้งขึ้นกว่าการใช้แปรง เพื่อให้สี ”ขึ้น” ก็ได้ เพราะฉนั้น อย่าเพิ่งตกใจนะครับ และการทาสีที่บาง แต่มากเที่ยวกว่า จะให้สีที่เรียบเนียนสวยกว่า การทาสีที่หนาเพียงไม่กี่เที่ยวครับ |
สุดท้ายสำหรับการทาสีนะครับ เมื่อทาสีเสร็จแล้ว ให้รอให้สีแห้งสนิทเสียก่อนที่จะทำการตกแต่งในขั้นตอนอื่นๆ ต่อไป (ถ้ามี) โดยมากแล้วสีน้ำพลาสติก มักจะใช้เวลาแห้งตัวประมาณ 24 ชั่วโมงครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น