การส่งข่าวสารกันด้วยวิทยุโทรศัพท์ (Radio Telephone) เป็นวิทีที่ง่ายมากเพราะเพียงแต่พูดเข้าไปทางไมโครโฟน ที่ต่อเข้ากับเครื่องส่งวิทยุ ผู้รับก็เพียงแต่เปิดเครื่องรับวิทยุให้มีความถี่ตรงกับสถานีส่งแล้วนั่งฟังเสียงที่พูดออกมาทางลำโพง แต่การส่งข่าวสารกันด้วยรหัส (Code) หรือที่เราเรียกกันว่าวิทยุโทรเลข(Radio Telegraphy) นั้นเป็นการส่งข่าวสารที่ต้องอาศัยความสามารถพิเศษ ของทั้งผู้ส่งและผู้รับ ทีนี้คุณคงอยากจะถามขึ้นมาว่า " ...ถ้าการส่งด้วยเสียงพูดง่ายขนาดนั้นแล้วทำไมเราต้องมีการส่งด้วยรหัสละ? " มีเหตุผลอยู่ 4 ประการที่จะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด
บันทึกเสียงการใช้รหัสมอร์สทางวิทยุสื่อสาร
- การติดต่อสื่อสารทางวิทยุด้วยรหัส ใช้เครื่องมือที่มีความชับซ้อนน้อยกว่า มีราคาถูกกว่า และมีขนาดเล็กกว่าเครื่องวิทยุรับส่ง ประเภทวิทยุโทรศัพท์ (ใช้เสียงพูด)
- การส่งด้วยรหัสนั้นสามารถทะลุทะลวง ผ่านเสียงรบกวนเนื่องจากบรรยากาศได้ดีกว่า เสียงพูดธรรมดา เพราะเสียงธรรมดา มีระดับเสียงและความถี่ที่เปลี่ยนแปลงไปมา ซับซ้อนกว่าเสียงความถี่ของสัญญาณรหัส จึงทำให้สามารถรับฟังสัญญาณได้ดีกว่า ในสภาพบรรยากาศที่ติดต่อสื่อสารด้วยวิทยุโทรศัพท์ลำบาก จึงมีความเชื่อถือได้สูงและแน่นอนกว่า หรืออาจจะกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า ที่ระยะทางห่างเท่ากัน การรับส่งโดยใช้รหัสมอร์ส จะใช้กำลังส่งน้อยกว่าการติดต่อโดยวิทยุโทรศัพท์ได้
- การส่งด้วยรหัสใช้แถบความถี่ (Bandwidth) แคบกว่าเสียงพูดดังนั้นในย่านความถี่หนึ่ง ๆ สามารถใช้ได้หลายช่องความถี่โดยไม่รบกวนกัน อย่างเช่นอาจใช้ได้มากถึง 10 สถานีพร้อมกัน ขณะที่การส่งเสียงพูดอาจจะใช้ได้เพียงสถานีเดียว
- รหัสมอร์สเป็นรหัสสากลที่นักวิทยุทั่วโลกรู้จักและเข้าใจดี ดังนั้นเมื่อใช้ร่วมกับรหัส Q และคำย่อต่าง ๆ ก็สามารถทำให้นักวิทยุทั่วโลกติดต่อแลกเปลี่ยนข่าวสารกันได้โดยไม่มีกำแพงขวางกั้นด้านภาษา ซึ่งมีประโยชน์ทั้งการติดต่อในภาวะปกติ และภาวะฉุกเฉิน
ด้วยความสำคัญของรหัสมอร์สดังกล่าว สหภาพวิทยุโทรคมระหว่างประเทศ (ITU) จึงกำหนดว่านักวิทยุทุกคน ที่ต้องใช้ความถี่ต่ำกว่า 30 MHz ควรจะต้องมีความสามารถในการรับส่งรหัสมอร์ส
เขาฝึกกันนานเท่าไร
การฝึกรหัสมอร์ส ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป ขอเพียงแต่มีความตั้งใจจริงเท่านั้น ไม่ว่าจะอายุ 4 ขวบ หรือ 80 ปี เขาก็ฝึกกันได้ทั้งนั้นโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 70 ชั่วโมง (ครั้งละไม่เกินครึ่งชั่วโมง) จะได้ความเร็วขนาด 13 คำต่อนาที ประมาณ 120 ชั่วโมง สำหรับความเร็ว 16 คำต่อนาที และ 175 ชั่วโมงสำหระบ 20 คำต่อนาที อย่างไรก็ตามหลายคนฝึกได้เร็วกว่านี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของแต่ละคน
ในยุคความก้าวหน้าทางอิเล็กทรอนิกส์เช่นนี้ผู้ที่เริ่มเข้ามาอยู่ในวงการวิทยุสมัครเล่น ไม่ค่อยมีใครอยากฝึกรหัสมอร์สกันเท่าไรนัก เพราะคิดว่าใช้เสียงพูดน่าสนใจกว่า ยิ่งบางคนเคยเห็นเครื่องรับส่งรหัสมอร์สอัตโนมัติยิ่งไม่อยากฝึกเคาะด้วยมือเอาเลย เรืยกว่าที่จำใจฝึกให้เป็นนั้น เพราะถ้าสอบไม่ผ่านก็อดเป็นนักวิทยุสมัครเล่น
คุณคงแปลกใจเมื่อรู้ว่า นักวิทยุสมัครเล่นมากมายทั่วโลกที่กลับรักใช้คันเคาะมากกว่าไมโครโฟน เพราะพอสอบได้และเริ่มลองรับ-ส่งรหัสมอร์ส ออกอากาศด้วยระบบการส่งที่เรียกว่า CW แล้วนั่นแหลาะจึงได้พบว่าการรับ-ส่งรหัสมอร์สนั้นสนุกและน่าประทับใจมาก เป็นภาษาพิเศษ ที่เชื่อมตัวคุณเองเข้ากับนักวิทยุสมัครเล่นทั่วโลก เมื่อคุณพบนักวิทยุสมัครเล่นที่มีความสามารถในการรับฟังน้อยกว่า ความมีอัธยาศัยในจิตใจ จะทำให้คุณต้องลดความเร็วของคุณให้พอเหมาะกับคู่สนทนา การรับส่งรหัสมอร์สจึงเป็นศิลปพิเศษอย่างหนึ่ง นอนกจากนั้นแล้ว รหัสมอร์ยังช่วยให้คุณเปิดโลกกว้างมากขึ้น จากการฟังทางวิทยุคลื่นสั้น ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของนักวิทยุสมัครเล่น
และคุณคงแปลกใจมากขึ้นไปอีก เพราะสามารถจำรหัสมอร์สได้ตลอด โดยไม่มีวันลืมเช่นเดียวกับการหัดขี่จักรยาน กว่าจะขี่ได้ก็ล้มแล้วล้มอีก แต่พอขี่เป็นแล้วก็จะขี่เป็นจนวันตาย เวาล 70 - 100 ชั่วโมงนั้นจึงคุ้มกับความสามารถพิเศษที่ติดตัวไปจนวันตาย
ดังนั้นจงตั้งใจฝึก และตั้งเป้าหมายให้ได้ว่า "ผมต้องฝึกรหัสมอร์สให้ได้ !!" แล้วคุณจะทำมันได้สำเร็จ
ขั้นตอนการเรียนรู้
ขั้นตอนการเรียนรู้รหัสมอร์สอาจจะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ
- ขั้นตอนจำรหัส
- ขั้นตอนการรับฟังรหัสให้ถึงความเร็วระดับหนึ่ง
- ขั้นตอนการส่งรหัสให้ถึงความเร็วระดับหนึ่ง
การจำรหัส คุณสามารถจำรหัสได้ภายในเวลาไม่กี่วันโดยไม่ต้องมีใครช่วย ข้อสำคัญที่สุดของการท่องจำคือ อย่าท่องจำจากการนึกภาพเป็น จุด หรือ ขีด ควรจะจำเป็นเสียง ดิต (Dit) หรือ ดาห์ (Dah) อย่างเช่นจำตัวอักษร C ว่าเป็น -.-. ซื่งเป็นการจำแบบเห็นรูป แต่ให้จำเป็นเสียงว่า ดาห์ - ดิ - ดาห์- ดิต ซึ่งเป็นการแทนเสียงใกล้เคียงของจริง
และอย่าพยายามจำตัวอักษรทั้งหมดในรวดเดียว จงจำทีละกลุ่มให้ได้จนขึ้นใจจริง ๆ ก่อนลองทบทวนของเก่าซ้ำแล้วจึงเพิ่มอีกทีละกลุ่ม เทคนิคการจำนั้นแล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน แต่อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้เป็นเทคนิคการจำแบบหนึ่ง ซึ่งแบ่งการจำออกเป็น 7 กลุ่ม
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น