โรคกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะอาหาร ในความรู้สึกของประชาชนทั่วไป หมายถึง อาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ และมักสัมพันธ์กับการกินอาหาร อิ่มก็ปวด หิวก็ปวด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่มีอาการใกล้เคียงกับอาการดังกล่าวข้างต้น ได้แก่
1. นิ่วในถุงน้ำดี มักพบในหญิงวัยกลางคน หรือ ผู้ป่วยโรคทาลัสสิเมีย อาการมักปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ เยื้องมาทางขวา อาการปวดมักรุนแรง เป็นทันที อาจนานเป็นชั่วโมง อาจปวดร้าวไปหลัง หรือไหล่ขวา
2. กลุ่มอาการปวดท้อง irritable bowel syndrome พบบ่อยในวัยรุ่นและหนุ่มสาว เชื่อว่าสัมพันธ์กับความเครียดความกังวล อาการเด่น คือ ปวดท้องแน่น ๆ มักปวดท้องส่วนล่าง ซึ่งเมื่อถ่ายอุจจาระแล้วจะดีขึ้น มีความผิดปกติของอุจจาระ ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง เหลว อาจมีมูกปน หรือรู้สึกถ่ายไม่สุด
3. การรับประทานยาบางอย่างแล้วได้รับผลข้างเคียงจากยา เช่น ยาแก้ปวด ยาขยายหลอดลม ยาบำรุงเลือด ฯลฯ
สำหรับโรคของกระเพาะอาหารโดยตรง ที่พบบ่อย คือ โรคแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งพบบ่อย ในประชากรวัยทำงาน และ พบในชายมากกว่าหญิง อาการสำคัญ คือ มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ มักจะสัมพันธ์กับการกินอาหาร อาการจะดีขึ้น หรือ หายไป เมื่อรับประทานอาหาร ยาลดกรด หรือ นม อาการมักเป็น ๆ หาย ๆ อาจจะเป็นช่วงแรก ไม่นานแล้วก็หายไป แล้วเป็นใหม่ กลายเป็นแผลเรื้อรังได้ ซึ่งบางครั้ง อาจมีผลแทรกซ้อน เช่น มีเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร หรือ แผลนั้นทะลุเกิดการอักเสบในช่องท้อง ต้องผ่าตัดฉุกเฉินก็ได้
ุสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหาร
1. การหลั่งกรดผิดปกติในกระเพาะอาหาร
2. กรรมพันธุ์ พบว่าเกิดกับคนในครอบครัวเดียวกันได้บ่อย ๆ
3.บุหรี่ ทำให้มีการผลิตกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้แผลหายช้า
4. ยา บางอย่าง มี ผลทั้งระคายเคืองกระเพาะอาหารโดยตรง และทำให้กลไกการป้องกันในกระเพาะอาหารเสียไป ได้แก่ ยาแอสไพริน กลุ่มยา NSAIDs ที่ใช้รักษาโรคข้อแก้ปวด ยาในกลุ่มเสตียรอยด์ ฯลฯ
5. ความเครียดความกังวล ทำให้มีการหลั่งกรดมากขึ้น
6. การติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Helicobacter pylori
การรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร
เนื่องจากโรคนี้ พบบ่อย ในประชากรวัยทำงาน เนื่องจากการตรากตรำทำงานหนัก กินอาหารไม่เป็นเวลา พักผ่อนน้อย มีความเครียดจากงาน และใช้ยาแก้ปวดเมื่อยบ่อย เมื่อแพทย์ ซักประวัติ อาการ ความเสี่ยง และตรวจร่างกาย เข้าได้กับโรคแผลในกระเพาะอาหาร และไม่ใช่โรคอื่น ๆ ที่อาการคล้ายกันดังกล่าวข้างต้น ก็จะให้การรักษาไปเลย
การรักษา ต้องมี 2 อย่างประกอบกันเสมอ คือ การรักษาด้วยยา และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของผู้ป่วย
การรักษาด้วยยา แพทย์ มักจะให้ยากลุ่มลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร หรือ ยาที่เคลือบผิวผนังกระเพาะอาหารไว้ เช่น ยา Cimetidine Ranitidine Omeprazole Sucralfate ซึ่งยังมีอีกหลายชนิด หลายกลุ่ม ส่วนใหญ่แพทย์มักไม่ให้ยาน้ำ อย่าง Alum milk อาจเป็นเพราะผู้ป่วยมักหามากินเอง ก่อนมาหาแพทย์ และการใช้ Alum milk อย่างเดียว เพื่อรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ต้องกินบ่อยครั้งในปริมาณมาก จนอาจมีผลข้างเคียงของยาได้ บางครั้ง แพทย์ อาจให้ Alum milk มาใช้บรรเทาอาการ ร่วมกับยาอื่นก็ได้ การรักษาด้วยยาอาจใช้เวลา 4-8 สัปดาห์
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย เป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะทำให้หายเร็วขึ้น ซึ่งก็คือการลดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรค ได้แก่
1. รับประทานอาหารให้เป็นเวลา ควรทานสามมื้อ เว้นอาหารรสจัด งดทานอาหารว่างหลังอาหารมื้อเย็น
2. ระหว่างรับประทานอาหาร เคี้ยวให้ละเอียด ไม่รับประทานอาหาร เวลาเหนื่อยมาก ๆ หรือหลังเล่นกีฬา
3. งดสูบบุหรี่เด็ดขาด และควรงดดื่มสุราหรือดื่มกาแฟขณะท้องว่าง
4. ลดความกังวลความตึงเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
5. ละเว้นการใช้ยาแก้ปวดแก้ยอก เช่น แอสไพริน ยาในกลุ่ม NSAIDs และเสตียรอยด์ ถ้าจะต้องใช้ควรให้แพทย์ดูแลการใช้ ไม่ควรหามากินเอง
ทำไมรักษาโรคกระเพาะไม่หาย
เนื่องจากโรคแผลในกระเพาะอาหารเป็นโรคเรื้อรัง บางครั้งอาจไม่หายเร็ว แต่เมื่อไม่หาย สิ่งที่แพทย์ต้องตรวจสอบ คือ ผู้ป่วยได้รับประทานยาตามสั่งหรือไม่ ได้ปฏิบัติตัวเหมาะสมหรือไม่ ถ้าเหมาะสมแล้ว ต้องทบทวนการวินิจฉัยใหม่ เพราะ อาจจะเป็นโรคอื่น ๆ ดังกล่าวข้างต้น เมื่อรักษาไปแล้ว 4-6 สัปดาห์ ซึ่งอาจต้องค้นหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น การอัลตร้าซาวด์ การเอกซเรย์กลืนแป้ง หรือ ส่องกล้องตรวจในกระเพาะอาหาร เพื่อดูให้เห็นลักษณะในกระเพาะอาหาร และวิธีหลังนี้ ยังสามารถตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อ Helicobacter pylori ในกระเพาะอาหารหรือไม่ เพื่อจะได้ให้ยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย
แต่บางครั้ง แพทย์อาจจะต้องให้เอกซเรย์กลืนแป้ง หรือ ส่องกล้องตรวจในกระเพาะอาหารเลย โดยไม่ต้องรอให้ยาก่อนในผู้ป่วยบางราย กรณีที่สงสัยว่า อาจจะเป็นโรคอื่น ๆ หรือ อาการเกี่ยวข้องกับมะเร็ง หรือ มีโรคแทรกซ้อนของแผลแล้ว ได้แก่ เริ่มมีอาการเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี น้ำหนักลด ปวดรุนแรงตอนกลางคืน ตรวจพบว่าซีดหรือมีเลือดออกให้เห็นชัดเจน อาเจียนบ่อย กลืนลำบาก ตาเหลืองตัวเหลือง แพทย์คลำได้ตับโต ม้ามโต หรือก้อนอื่น ๆ ในท้อง มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งของทางเดินอาหาร ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ แพทย์จะต้องดูแลเป็นพิเศษ และต้องตรวจเพิ่มเติมทันที ที่มาหาครั้งแรก
การดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร
ถ้ามีอาการเข้าได้ สิ่งแรก คือต้องตรวจสอบตัวเองว่ามีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหรือไม่ เช่น กินอาหารไม่ตรงเวลา สูบบุหรี่จัด ทำงานเคร่งเครียด ใช้ยาแก้ปวดบ่อย ให้หลีกเลี่ยงเสีย อาจซี้อยา Alum milk ซึ่งมีทั้งแบบน้ำ และแบบเม็ด ลองรับประทานดู ถ้าดีขึ้นบ้าง แล้วเป็นอีก หรือ กินแล้วไม่หาย ควรปรึกษาแพทย์
แต่ถ้าท่านมีความผิดปกติ อย่างอื่น ร่วมด้วย เช่น มีไข้ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร อาเจียนบ่อย กลืนลำบาก ซีด ถ่ายดำ หรือ อาเจียนมีเลือดปน ปวดท้องรุนแรงตอนกลางคืน หรือเริ่มเป็นเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ควรปรึกษาแพทย์เลยจะดีกว่าครับ
โดย นพ.รักษ์พงศ์ เวียงเจริญ อายุรแพทย์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น