วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

รีไฟแนนซ์รถยนต์...มีแต่เสียกับเสีย

รีไฟแนนซ์รถยนต์...มีแต่เสียกับเสียเห็นดอกเบี้ยต่ำๆ อย่างนี้ ใครที่กำลังผ่อนรถอยู่ อาจจะคิดถึงการขอเงินกู้ใหม่ เพื่อมาชำระหนี้รถที่คงค้างอยู่บ้าง
แต่ ใครก็ตามที่กำลังจะนำรถใช้แล้วไปขอสินเชื่อใหม่ อาจจะต้อง "คิดใหม่" ถ้าการขอสินเชื่อครั้งนี้เป็นการรีไฟแนนซ์ เพราะเงื่อนไขในการ "ปิดบัญชี" สินเชื่อรถยนต์ก่อนกำหนดนั้นลูกหนี้ยังคงต้องจ่ายดอก เบี้ยตามสัญญากู้เดิม
เท่า กับว่า ลูกค้าจะต้องจ่ายดอกเบี้ยซ้ำซ้อน ทั้งดอกเบี้ยที่เกิดจากสัญญากู้ใหม่ และดอกเบี้ยคงเหลือตามสัญญากู้เดิม แถมยังต้องจ่ายเป็นเงินก้อนครั้งเดียวสำหรับดอกเบี้ย ที่เกิดจากสัญญากู้เดิม
ถ้า โชคดีลูกค้าอาจจะได้รับส่วนลดบ้าง สำหรับดอกเบี้ยคงเหลือตามสัญญากู้เดิม ซึ่ง "ส่วนลด" ที่ลูกค้าได้รับ เมื่อปิดบัญชีเงินกู้ก่อนกำหนดนั้นส่วนใหญ่จะคิดตามร ะยะเวลาผ่อนชำระที่ชำระ แล้ว คือ ถ้าผ่อนชำระเงินงวดไปได้ไม่กี่งวด ส่วนลดดอกเบี้ยจะสูง แต่ถ้า จำนวนเงินงวดที่ต้องผ่อนชำระเหลือน้อยงวด ส่วนลดดอกเบี้ยจะน้อยด้วย ขณะที่บางค่ายกำหนดส่วนลดไว้ที่ 50% ของดอกเบี้ยคงเหลือ ไม่ว่าจะผ่อนชำระมาแล้วกี่งวดก็ตาม
แต่ท้ายที่สุด ลูกค้าก็ยังคงต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ดี ทั้งนี้เป็นผลมาจากการคิดดอกเบี้ยแบบ Flat Rate ในระบบสินเชื่อรถยนต์

ดังนั้น ก่อนที่จะปิดบัญชีสินเชื่อเดิม เพื่อนำรถไปใช้สินเชื่อใหม่ ลูกค้าต้องคำนวณว่า หลังจากหักส่วนลดดอกเบี้ย หรือบวกเบี้ยปรับเพิ่มตามเงื่อนไขของการปิดบัญชีสินเ ชื่อก่อนกำหนด ดอกเบี้ยคงเหลือตามสัญญากู้เดิมจะเป็นเท่าไหร่ จากนั้นคำนวณดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นจากการกู้ใหม่ เพื่อนำมาหาส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น จากทั้ง 2 กรณี คราวนี้ล่ะถึงจะรู้ว่า คุ้มหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ถ้าจะรีไฟแนนซ์รถยนต์ เพียงเพราะเห็นว่า ดอกเบี้ยใหม่ต่ำกว่า และหวังจะจ่ายดอกเบี้ยถูกลง ถือว่าเป็นการคิดที่ผิด เพราะนอกจากจะต้องจ่ายดอกเบี้ยซ้ำซ้อนแล้ว ยอดเงินและระยะเวลากู้ใหม่ ยังอาจลดลงตามสภาพและอายุรถที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือ มีหนี้เพิ่มขึ้น เช่น
สัญญากู้เดิม ตามสภาพรถใหม่ป้ายแดง (เมื่อปี 1999) วงเงินสินเชื่อ 3.5 แสนบาท ดอกเบี้ย 10.75% ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระ 48 เดือน อัตราผ่อนชำระเงินต้นรวมดอกเบี้ยประมาณเดือนละ 10,427 บาท หลังจากใช้รถมาแล้ว 3 ปีเศษๆ คงเหลือเงินที่ต้องผ่อนชำระอีก 10 งวด เป็นเงินต้นประมาณ 72,917 บาท ดอกเบี้ยประมาณ 31,354 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 104,270 บาท (ไม่รวม VAT)
คิดในแง่ที่เป็นประโยชน์กับผู้กู้มากที่สุด คือรับส่วนลด 50% ของดอกเบี้ยคงเหลือ เท่ากับต้องจ่ายดอกเบี้ยฟรีๆ ทันทีที่ปิดบัญชีประมาณ 15,677บาท
แต่ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เกิดขึ้นอีก ณ วันที่ทำสัญญากู้ใหม่ เช่น ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ค่าธรรมเนียมในการโอนรถ อากรแสตมป์ ค่าตรวจสภาพรถ ฯลฯ รวมๆ แล้วเกือบๆ 3 หมื่นบาท ซ้ำร้ายไปกว่านั้นบริษัทที่รับรีไฟแนนซ์จะ "ไม่ยอม" ให้ลูกค้าจ่ายเงินสดทุกกรณี แต่จะนำภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ไปหักออก จากเงินกู้ยอดใหม่
วิธีนี้ทำให้ลูกค้าต้องกู้เงินเพื่อชำระค่าใช้จ่ายต่ างๆ เหล่านี้ได้ด้วย โดยปริยาย
สำหรับ การชำระค่าเบี้ยประกันภัยชั้น 1 มีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นตรงที่รถรีไฟแนนซ์จะต้องทำประกัน ภัยชั้น 1 ในปีแรกทุกคัน หากประกันภัยชั้น 1 ที่ติดมากับรถยนต์เหลือระยะเวลาในการคุ้มครอง 6 เดือนหรือน้อยกว่านั้น
แต่ถ้าความคุ้มครองตามกรมธรรม์เดิมเหลือมากกว่า 6 เดือน หรือในกรณีที่ลูกค้าเลือกที่จะซื้อประกันภัยโดยไม่ผ่ านบริษัทที่รับรี ไฟแนนซ์ ลูกค้าจะต้องจ่ายเงินให้กับบริษัทที่รับรีไฟแนนซ์นั้ นๆ (เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมตามที่บริษัทรับรีไฟแนนซ์อ้าง ) มากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนเบี้ยประกันภัยที่จ่าย และระยะเวลาคุ้มครองที่เหลืออยู่
บริษัทที่รับรีไฟแนนซ์บางแห่งยังหักเงินงวดแรก (เงินต้น+ดอกเบี้ย) ที่ต้องผ่อนชำระจากลูกค้า 1 งวดก่อน ณ วันที่อนุมัติเงินกู้
เพราะ ฉะนั้น...รีไฟแนนซ์แล้วจะเหลือเงินสักกี่บาทกันเชียว จากรถคันเดิม หลังจากผ่านการใช้งานมา 3 ปีเศษๆ วงเงินสินเชื่อใหม่ 2.8 แสนบาท ดอกเบี้ย 7.5%ต่อปี เลือกผ่อนชำระ 36 เดือน อัตราผ่อนชำระเงินต้นรวมดอกเบี้ยประมาณเดือนละ 9,527 บาท (ยังไม่รวม VAT)
หลัง รีไฟแนนซ์รถแล้ว จะเหลือเงินสดรับจริงๆ เพียงประมาณ 2.2 แสนบาทเศษๆ และการเป็นหนี้นานขึ้นอีก 3 ปี ฉะนั้น ถ้าไม่มีความจำเป็นต้องการใช้เงินเพิ่ม ก็ไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม ..โดยเฉพาะการปิดบัญชีเงินกู้รถก่อนครบกำหนด

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น